กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 711.1 เพียงขับไล่งูและมังกรไม่ขับไล่ยุง
ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ หลิวสือลิ่วแหงนหน้ามองภาพแขวนสามภาพที่ได้รับควันธูปจากภูเขาลั่วพั่วเงียบๆ
เฉินหน่วนซู่หยิบกระบอกธูปไม้ไผ่อันหนึ่งมาให้ ยกสองมือชูขึ้นสูง หลิวสือลิ่วเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำแล้วค้อมเอวก้มหน้าไปหยิบธูปสามดอกออกมาจากในกระบอกไม้ไผ่
โจวหมี่ลี่บอกกับชายฉกรรจ์ร่างกำยำว่าอีกเดี๋ยวหากเหนื่อยแล้วอยากจะพักเท้าสามารถนั่งบนเก้าอี้ของนางได้
แม่นางน้อยชุดดำชี้ไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ด้านหลังพนักเก้าอี้แปะกระดาษแผ่นขนาดเท่าฝ่ามือเขียนคำว่า ‘ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา โจวหมี่ลี่’
หลิวสือลิ่วพยักหน้ารับ
เฉินหน่วนซู่กระตุกชายแขนเสื้อของหมี่ลี่น้อย จากนั้นก็ออกไปจากศาลบรรพจารย์ด้วยกัน ให้หลิวสือลิ่วได้อยู่เพียงลำพัง
พวกนางเดินออกจากประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ จากนั้นก็เดินผ่านประตูด้านนอกของศาล เซียนกระบี่หมี่ที่สวมชุดคลุมสีเขียวตัวยาวสุภาพสง่างาม กับเว่ยซานจวินที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ ตรงหูห้อยห่วงสีทอง ยืนเคียงบ่ากันอยู่นอกประตูใหญ่ ประหนึ่งดอกจือหลันต้นไม้หยกที่ถือกำเนิดเคียงคู่อยู่หน้าสวน
หมี่อวี้ใช้เสียงในใจถามเว่ยป้อ “เจ้ารู้ตัวตนของอีกฝ่ายได้อย่างไร? ใต้เท้าอิ่นกวานไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ”
เว่ยป้อจึงอธิบายให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ที่อาจารย์ป๋ายขยับเข้ามาใกล้อาณาเขตของขุนเขาเหนือก็เป็นฝ่ายบอกกล่าวชื่อแซ่กับภูเขาพีอวิ๋นด้วยตัวเอง เขาเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘ป๋ายเหย่พาสหายรักหลิวสือลิ่วมาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว’ ส่วนหลิวสือลิ่วก็เรียกแทนตัวเองว่าเป็นศิษย์พี่ของเฉินผิงอันครึ่งตัว ต้องการมากราบไหว้ภาพแขวนของอาจารย์ที่นี่
หมี่อวี้เอ่ยสัพยอก “พอพูดถึงป๋ายเหย่ผู้นั้น พี่เว่ยต้องตื่นเต้นขนาดนี้เชียวหรือ?”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ใครบ้างไม่เลื่อมใส”
คนที่สามารถทำให้เว่ยป้อชื่นชมเลื่อมใสได้มีไม่มาก คนหนึ่งคือป๋ายเหย่ คนหนึ่งคืออาเหลียงที่สลักตัวอักษรลงบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ และยังมีเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานของแผ่นดินกลาง
หมี่อวี้ส่ายหน้า “ที่บ้านเกิดของข้าไม่มีการพูดคุยถึงคนผู้นี้มากนัก”
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าบัณฑิตผู้นั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่คุณธรรมไม่สอดคล้องกับชื่อเสียง แต่เป็นเพราะจำนวนครั้งที่ป๋ายเหย่ออกกระบี่มีน้อยเกินไปจนไม่มีอะไรให้เอามาพูดถึงได้
นอกจากปีนั้นที่ใช้หนึ่งกระบี่ชักนำน้ำตกหวงเหอมาจากบนฟ้าแล้ว หลังจากนั้นท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานก็ดูเหมือนว่าป๋ายเหย่จะไม่มีผลงานทางการสู้รบอะไรอีก
กระทั่งครั้งนี้ที่เขาปรากฏตัวในฝูเหยาทวีปซึ่งเป็นดินแดนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้ว ได้ใช้สามกระบี่สังหารปีศาจบนบัลลังก์ไปตนหนึ่ง
อันที่จริงก่อนจะออกกระบี่สองครั้ง ฮว่อหลงเจินเหรินได้แวะไปเยือนเกาะโดดเดี่ยวนอกทะเลแห่งนั้น ภายหลังป๋ายเหย่จึงได้พกกระบี่ออกเดินทางไกลไปเงียบๆ แล้วใช้หนึ่งกระบี่สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
หมี่อวี้มองไปในประตูใหญ่ บุรุษตัวสูงใหญ่ที่เดินทางมาไกลผู้นั้น หลังจากจุดธูปสามดอกแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะก็ไม่ยอมเอาธูปปักลงในกระถางเสียที น่าจะกำลังพึมพำอะไรอยู่
หมี่อวี้อิจฉาหลิวสือลิ่วผู้นี้อย่างมาก พอมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็สามารถจุดธูปกราบไหว้ได้ทันทีเลย
เซียนกระบี่หยกดิบที่ใช้นามแฝงว่าอวี๋หมี่ มาถึงภูเขาลั่วพั่วนานขนาดนี้แล้วยังไม่เคยได้เข้าไปจุดธูปกราบไหว้ในศาลบรรพจารย์ของยอดเขาจี้เซ่อ เพียงแต่จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้ เป็นหมี่อวี้เองที่บอกว่าจะรอให้ใต้เท้าอิ่นกวานกลับมาบ้านเกิดเสียก่อน รอให้บนภูเขาลั่วพั่วมีคนมากอีกหน่อย จากนั้นค่อยใช้ชื่อ ‘หมี่อวี้’ บันทึกเข้าไปในทำเนียบของศาลบรรพจารย์ ผลคือพอรอทีก็นานหลายปีขนาดนี้ หมี่อวี้รอจนเริ่มหงุดหงิดใจแล้ว เพราะถึงอย่างไรบนภูเขาลั่วพั่วก็มีเรื่องราวไม่น้อย ต้องแทะเมล็ดแตงพลางมองเมฆเคลื่อนผ่านไปผ่านมาเป็นเพื่อนหมี่ลี่น้อย หรือไม่ก็ต้องไปเดินเล่นอยู่บนราวรั้วหยกขาวนอกศาลเทพภูเขา หากเบื่อหน่ายจริงๆ ก็ไปร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี ไปหาหลิวเสี้ยนหยางชายฉกรรจ์เกียจคร้านเพื่อคุยเล่นกัน คุยถึงเรื่องวิชาและความรู้ของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของตระกูลเซียน คิดว่าในอนาคตจะลากเอาเว่ยซานจวิน ผู้ถวายงานโจวเฝย และยังมีเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นอีกคน เลือกวันฤกษ์ดีเปิดกิจการ จะดีจะชั่วก็จะได้หาเงินเทพเซียนมาให้ภูเขาลั่วพั่วชดเชยปราณวิญญาณสายน้ำได้บ้าง
ทุกเรื่องพวกนี้ น่าสนใจก็ส่วนน่าสนใจ สบายใจก็ส่วนสบายใจ แต่โอกาสที่จะได้ทำเรื่องเป็นการเป็นงาน ถึงอย่างไรก็ยังมีน้อยเกินไป
หมี่อวี้อยากจะทำความรู้จักกับเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาอยู่มาก หาโอกาสแอบใช้กระบี่ลอบฟันร่างทองของนางดูสิว่าดีของนางใหญ่แค่ไหนกันแน่
อยู่ที่บ้านเกิด หมี่อวี้มีโอกาสคบค้าสมาคมกับเทพขุนเขาสายน้ำที่แท้จริงน้อยครั้งมาก คิดไม่ถึงว่าอยู่ในแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ ทุกหนทุกแห่งจะมีแต่ศาลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แคว้นหูของนครลมเย็นแห่งนั้น หมี่อวี้อยากจะไปเยือนมาตั้งนานแล้ว ส่วนสวี่หุนเจ้านครก็ถูกหมี่อวี้มองเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัว เพราะสวี่หุนถูกเรียกขานว่าเป็นบุรุษที่เกลือกกลิ้งอยู่ในกองผงชาดเครื่องประทินโฉม (หรือเปรียบเปรยว่าคลุกคลีอยู่กับพวกสตรี) นอกจากนี้หมี่อวี้ก็ยิ่งอยากยืนยันให้แน่ใจว่าเจ้านครสวี่ที่ช่วงชิงตำแหน่ง ‘บุคคลอันดับหนึ่งเบื้องล่างห้าขอบเขตบน’ ของแจกันสมบัติทวีปกับหวงเหอแห่งศาลลมหิมะ เสื้อเกราะโหวจื่อบนร่างของเขาที่เป็นสมบัติสืบทอดของตระกูลหลิวเสี้ยนหยางชิ้นนั้น หลายปีมานี้สวมอยู่บนร่างแล้วพอดีตัวหรือไม่
ส่วนทางฝั่งของภูเขาตะวันเที่ยงที่ได้รับการกล่าวขานว่า ‘วิถีแห่งกระบี่หลายเส้นทอดยาวสู่ยอดเขา สิบเซียนกระบี่แห่งยอดเขาสูงสิบแห่ง’ ของแจกันสมบัติทวีปนั้น ก็เพิ่งจะมีบรรพบุรุษเซียนกระบี่ที่ออกมาจากการปิดด่าน ตอนนั้นหมี่อวี้นั่งงีบหลับอยู่ริมลำคลองติดร้านตีเหล็กเป็นเพื่อนหลิวเสี้ยนหยาง พอได้ยินหลิวเสี้ยนหยางเอ่ยสามคำว่า ‘เซียนกระบี่ผู้เฒ่า’ ก็ทำเอาหมี่อวี้สะดุ้งโหยง ชั่งน้ำหนักว่าขอบเขตหยกดิบของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างตนนี้จะมีโอกาสได้แลกชีวิตกับขอบเขตเซียนเหรินของแจกันสมบัติทวีปหรือไม่ รายงานขุนเขาสายน้ำที่หลิวเสี้ยนหยางยื่นให้เขาฉบับนั้น ถือเป็นรายงานแสดงความยินดีของบนภูเขาโดยเฉพาะ เพราะใช้กระดาษสีฟ้าลงด้วยอักษรสีทอง
หมี่อวี้อ่านรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับนั้น ถ้อยคำยกยอสรรเสริญเกินเหตุทั้งหลายบรรยายเสียราวกับว่าตาเฒ่าไม่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ แต่เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว หมี่อวี้ล่ะอัดอั้นนัก มารดาเจ้าเถอะ แค่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบเล็กๆ แค่นี้ก็ต้องปิดด่านนานถึงร้อยปีเชียวหรือ? การที่ข้าผู้อาวุโสถูกเรียกขานว่าเป็นเซียนกระบี่ปักบุปผาใหญ่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ซึ่งเป็นถ้อยคำชมเชยที่คล้ายคลึงคำว่า ‘บุคคลอันดับหนึ่งในหยกดิบ’ เหตุผลหนึ่งที่สำคัญก็ไม่ใช่เพราะว่าช่วงเวลาการปิดด่านนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ไปเกือบครึ่งปีหรอกหรือ?
หมี่อวี้รู้สึกแค่ว่ากระบี่ประจำกายของตนใกล้จะขึ้นสนิมเต็มทีแล้ว หากไม่เพราะครานี้ป๋ายเหย่พาหลิวสือลิ่วแวะเวียนมาหา หมี่อวี้คงใกล้จะลืมไปแล้วว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเองมีชื่อว่าเสียหม่านเทียน
ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปหรือไม่ก็ภูตผีทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่นงูดำที่มีชาติกำเนิดมาจากภูเขาฉีตุนเช่นเดียวกับเว่ยซานจวิน หรือไม่ก็งูเหลือมใหญ่ที่อยู่ในภูเขาหวงหูตัวนั้น ไม่มีทางรู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานเกิน แต่หมี่อวี้เป็นใคร หมอนปักลายบุปผาผู้หนึ่งที่ขนาดอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังเมาหลับอยู่บนเมฆเรืองรอง ไม่ตั้งใจฝึกกระบี่ก็ยังได้ พอมาถึงแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังแยกทางกับเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแล้ว หมี่อวี้มักจะรู้สึกว่ายิ่งนานก็ยิ่งห่างไกลจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาทุกทีจริงๆ ยิ่งไม่คาดหวังว่าจะได้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่อะไรแล้ว เพราะถึงอย่างไรคอขวดขอบเขตหยกดิบอยู่ที่ตรงไหนเขาก็ยังไม่รู้
อันที่จริงด้วยนิสัยของหมี่อวี้เอง ไม่รู้ก็คือไม่รู้ ไม่ได้สำคัญอะไร จะได้เป็นขอบเขตเซียนเหรินหรือไม่ ก็ปล่อยไปตามบุญพาวาสนาส่ง สวรรค์อยากจะมอบให้ก็มอบมาเถอะ ไม่ให้ข้าก็ไม่ร้องขอ ให้ไว้ข้าก็จะรับเอามา
เพียงแต่ว่าพอมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ใต้เท้าอิ่นกวานไม่อยู่บนภูเขา ผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยนก็ไม่อยู่ แม้แต่เจิ้งต้าเฟิงที่เฝ้าประตูก็ยังออกเดินทางไกลไปแล้ว ไปๆ มาๆ จึงเหลือแค่หน่วนซู่กับหมี่อวี้น้อย และยังมีพวกเด็กๆ ที่เพิ่งฝึกหมัดได้ไม่นานเท่าไร ไม่อย่างนั้นก็เป็นพวกภูตผีตัวประหลาดที่หมี่อวี้ไม่ชอบจะคบค้าสมาคมด้วย ดังนั้นอยู่ดีๆ หมี่อวี้จึงกลายมาเป็นหัวใจหลักของภูเขาลั่วพั่วชั่วคราว นี่ทำให้หมี่อวี้อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
เพราะถึงอย่างไรตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เป็นบ้านเกิด หมี่อวี้ก็เคยชินกับการดำรงอยู่ของเซียนกระบี่ใหญ่และเซียนกระบี่ผู้เฒ่ามากมายขนาดนั้นแล้ว ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่กลัว แล้วนับประสาอะไรกับที่หมี่อวี้ยังมีหมี่ฮู่ผู้เป็นพี่ชาย ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ซึ่งเดิมทีมีโอกาสจะเลื่อนขั้นเป็นสิบเซียนกระบี่บนยอดเขาใหญ่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ หมี่อวี้จึงเคยชินกับการทำอะไรตามใจชอบ เคยชินกับการไม่เก็บเรื่องใดมาใส่ใจ ดังนั้นจึงคิดถึงวันเวลาที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนและเรือนชุนฟาน ไม่ว่าอิ่นกวานหนุ่มจะให้เขาทำอะไรเขาก็ทำอย่างนั้นอย่างมาก ประเด็นสำคัญคือทุกครั้งไม่ว่าหมี่อวี้ทำอะไร หลังจบเรื่องล้วนได้รับผลตอบแทนน้อยใหญ่มาโดยตลอด
หมี่อวี้พลันเอ่ยทอดถอนใจว่า “หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ข้าคงได้แต่กินอยู่เปล่าๆ รอความตายไปจริงๆ แล้ว เรื่องอย่างการนั่งอาบแดดแทะเมล็ดแตงนี้ทำให้คนเสพติดได้ง่ายจริงๆ”
ไม่รู้ว่าเหตุใด อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว บางทีอาจเป็นเพราะปรับตัวเคยชินกับดินน้ำของที่นี่มากเกินไป หมี่อวี้ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองไปสอดคล้องกับคำกล่าวหนึ่ง ง่วงช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เพราะฤดูใบไม้ผลิอากาศเริ่มอบอุ่นมากขึ้น ผู้คนจึงมักจะรู้สึกเหนื่อย ง่วง อ่อนเพลีย มึนหัวอยากจะหลับได้ง่าย)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกวันจะต้องออกตรวจตราภูเขากับโจวหมี่ลี่สองครั้งเช้าและเย็น นั่นคือเรื่องที่สนุกสนานน่าสนใจเป็นที่สุด
เว่ยป้อลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “เจ้าคิดว่าจะไปดูที่นครมังกรเฒ่าหรือ?”
หมี่อวี้ชำเลืองตามองม่านฟ้า ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้อยากลองไปก็จริง แต่ทุกวันนี้ไม่วางใจภูเขาลั่วพั่วจริงๆ ภูเขาลั่วพั่วอยู่ใกล้กับภูเขาพีอวิ๋นมากเกินไป ง่ายที่จะเรียกให้พวกเหลือเดนของยุคบรรพกาลเหล่านั้นมาหา”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ขุนเขาเหนืออย่างข้าคือพื้นที่เดียวที่ยังไม่ถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลมารุกราน ต้องระวังแล้วระวังอีก”
ในศาลบรรพจารย์ หลังจากหลิวสือลิ่วจุดธูปกราบไหว้แล้วก็หลับตาพึมพำอีกครั้ง
โจวหมี่ลี่แบกคานหาบสีทอง ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว พูดกับพี่หญิงหน่วนซู่ด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ศิษย์พี่ครึ่งตัวของใต้เท้าเจ้าขุนเขาตัวสูงมากเลย มองดูแล้วน่าจะมีพละกำลังมาก แล้วนี่ยังแค่ครึ่งตัวด้วยนะ! หากรวมอีกครึ่งหนึ่งด้วยจะไม่ยิ่งร้ายกาจหรอกหรือ?!”
ตรงเอวของเฉินหน่วนซู่ห้อยพวงกุญแจเอาไว้หลายพวง เอ่ยอย่างจนใจว่า “ครึ่งหนึ่งที่ว่าไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้เสียหน่อย”
แม่นางน้อยชุดดำเลิกคิ้วทั้งคู่ขึ้น เอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “พี่หญิงหน่วนซู่ ข้าล้อท่านเล่นหรอกน่า แค่นี้ก็ฟังไม่ออกหรือ นี่แสดงว่าข้าพูดไปเสียเปล่าสิเนี่ย”
เฉินหน่วนซู่ยิ้มจนตาหยี ลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อยที่ตัวเตี้ยกว่าตนเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้หมี่ลี่ฉลาดกว่าเมื่อวานอีกแล้ว พรุ่งนี้ต้องพยายามเข้าอีกนะ”
โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับอย่างแรง “ใช่ๆๆ เผยเฉียนเคยบอกว่าปณิธานไม่ได้อยู่ที่อายุ ความฉลาดไม่ได้อยู่ที่ส่วนสูง”
หลิวสือลิ่วออกไปจากศาลบรรพจารย์ เดินข้ามธรณีประตูสองบาน ยิ้มเอ่ยกับเฉินหน่วนซู่ “ลงดาลประตูได้แล้ว”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพยักหน้ารับ เดินไปปิดประตูด้านในก่อน หมี่อวี้น้อยลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ไปช่วยพี่หญิงหน่วนซู่ทำเรื่องเป็นการเป็นงานก่อน ส่วนข้อที่ว่าจะรับรองแขกผู้มีเกียรติอย่างหลิวสือลิ่วอย่างไร นางต้องวางแผนในระยะยาว ต้องตั้งใจใคร่ครวญให้ดี
หลิวสือลิ่วกุมหมัดเอ่ยขอบคุณหมี่อวี้และเว่ยป้อ “ศิษย์น้องเล็กไม่อยู่บนภูเขานานหลายปี รบกวนเซียนกระบี่และซานจวินที่ให้การดูแลแล้ว”
หมี่อวี้กล่าว “อาจารย์หลิวไม่ต้องเกรงใจ เดิมทีข้าก็เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วอยู่แล้ว”
เว่ยป้อเองก็เอ่ยว่า “ข้าสามารถกลายมาเป็นซานจวินของขุนเขาเหนือต้าหลีได้ ล้วนต้องยกคุณความชอบให้อาเหลียง กับเฉินผิงอันก็ยิ่งเป็นสหายสนิท ญาติที่อยู่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ สมควรทำแล้ว”
หลิวสือลิ่วกล่าว “ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ มิอาจรับได้ไหว เรียกข้าว่าจวินเชี่ยนก็แล้วกัน แม้ว่าจะเป็นนามแฝงเหมือนกัน แต่ในใต้หล้าไพศาล ข้าใช้ชื่อนี้กับคนนอกมาโดยตลอด”
……
เรือนด้านหลังของร้านยาตระกูลหยาง ควันลอยขโมงอ้อยอิ่ง
หยางเหล่าโถวผูกกระบอกยาสูบเก่าแก่ไว้ตรงเอว ลุกขึ้นยืนต้อนรับแขก
คือซิ่วไฉเฒ่ากับป๋ายเหย่ที่จับมือกันมาเยี่ยมเยือนถึงเรือน