กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 712.4 ปริศนา
เจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูใหญ่ มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ไปอยู่ที่ใต้หล้าแห่งที่ห้าแล้ว
เฉินยวนจี มีชาติกำเนิดจากทำเนียบศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว ขณะเดียวกันก็เป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของจูเหลี่ยน แม่นางน้อยฝึกหมัดอย่างจริงจังตั้งใจ ทุกวันจะต้องฝึกท่าเดินนิ่งไปกลับระหว่างตีนเขากับยอดเขา
หลิวสือลิ่วมองเห็นอยู่ในสายตา คิดว่าจะหาโอกาสชี้แนะวิชาหมัดและสัจธรรมหมัดให้นางโดยที่ให้เหมาะสมกับกฎบนภูเขาสักหน่อย
หยวนเป่าหยวนไหล สองพี่น้องคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลูป๋ายเซี่ยง ได้ยินมาว่าเพิ่งจะออกจากภูเขาลั่วพั่วไปได้ไม่นานเท่าไร ดังนั้นทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วจึงยิ่งเงียบสงัดมากกว่าเดิม
หอบูชากระบี่ ชุยเหวยคอขวดโอสถทอง เจี่ยงชวี่กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว อีกทั้งยังเดินไปบนเส้นทางสายยันต์
เจินเหรินผู้เฒ่าหวนอวิ๋นจากอุตรกุรุทวีปที่เดินทางไกลมาถึงที่นี่ เคยมาอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วนานหนึ่งปีเพื่อถ่ายทอดวิชาสายยันต์ให้กับเจี่ยงชวี่โดยเฉพาะ
เพราะเจี่ยงชวี่ยังไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว เรื่องของการถ่ายทอดความรู้จึงไม่มีข้อห้ามมากนัก ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เป็นอาจารย์และศิษย์กันในนาม แต่กลับเป็นอาจารย์และศิษย์กันในทางพฤตินัย
ส่วนคนวัยเดียวกันอีกคนหนึ่งอย่างจางเจียเจิน เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน แต่ก็ไม่ได้หมดอาลัยตายอยาก เขาเลือกที่จะเรียนรู้วิชาคิดคำนวณจัดการเงินทองโดยติดตามเหวยเหวินหลงนักบัญชีที่มาจากเรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัวซึ่งไม่เคยปรากฎตัวเลย
ร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลง ผีสาวสือโหรวสวมคราบร่างของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง
ส่วนสหายฉางมิ่งผู้นั้นก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ร้านฉ่าวโถว นักพรตตาบอดเจี่ยเฉิง จ้าวเติงเกา เถียนจิ่วเอ๋อร์ อาจารย์และศิษย์สามคน แม่นางน้อยจิ่วเอ๋อร์คนนั้น เลือดสดของนางคือ ‘น้ำพุยันต์’ มาตั้งแต่กำเนิด โชคดีที่ได้มาอยู่ในภูเขาลั่วพั่ว ไม่อย่างนั้นจุดจบคงไม่ค่อยดีสักเท่าไร ง่ายนักที่จะกลายไปเป็นต้นไม้เขย่าเงินของภูเขาตระกูลเซียนแห่งใดแห่งหนึ่ง
งูดำที่ย้ายจากภูเขาลั่วพั่วไปฝึกตนที่ภูเขาฮุยเหมิงมีชาติกำเนิดจากภูเขาฉีตุน ทุกวันนี้เป็นขอบเขตประตูมังกร หลังจากจำแลงร่างเป็นคนแล้วก็กลายเป็นคนหนุ่มสวมชุดดำ สีหน้าซีดขาว บนร่างสวมชุดคลุมอาคม ‘ยาชิง’ คือคราบงูชิ้นหนึ่งที่ผ่านการหล่อหลอมมาแล้ว คนหนุ่มมีชื่อว่าอวิ๋นจื่อ นามจริงคือ ‘เต๋อจาง’
เกี่ยวกับเรื่อง ‘ชื่อจริง’ ที่เทียบเท่ากับชีวิตครึ่งหนึ่งนี้ ฟังหมี่ลี่น้อยบอกว่า นั่นคือ ‘คำบัญชา’ ของห่านขาวใหญ่ อวิ๋นจื่อมิกล้าไม่ทำตาม
ยังดีที่นอกจากจะมอบชื่อให้แล้ว ชุยตงซานผู้นั้นยังมอบสมบัติหนักตระกูลเซียนที่เหมาะให้เผ่าพันธ์เจียวหลงฝึกตนไว้อีกหนึ่งชิ้น
ในฐานะภูตขุนเขาสายน้ำที่ฝึกตนได้ไม่ง่าย การที่อวิ๋นจื่อสามารถฝ่าทะลุขอบเขตเร็วขนาดนี้ เดิมทีก็เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของตัวเขาเอง แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก นี่ยังต้องยกคุณความชอบให้กับหินดีงูที่เฉินหลิงจวินมอบให้
ส่วนงูเหลือมในภูเขาหวงหูที่เก็บตัวเงียบไม่เผยกายตัวนั้น ได้เป็นคอขวดโอสถทองมานานแล้ว เพียงแต่ว่าตัวงูเหลือมใหญ่เองมิยอมเดินลงน้ำเสียที
เว่ยป้อซานจวินใหญ่เคยแพร่งพรายความลับให้หลิวสือลิ่วฟัง เดิมทีมันมีความเกี่ยวข้องกับ ‘หนีชิวน้อย’ บางตัว เคยช่วงชิงน้ำหนึ่งในห้าธาตุซึ่งเป็นโชควาสนาบนมหามรรคากัน น่าเสียดายที่ต้องพ่ายแพ้ สุดท้ายจึงไม่อาจออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูได้
แน่นอนว่าคุณสมบัติในการฝึกตนของงูเหลือมใหญ่ย่อมไม่แย่ จึงสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้นานแล้ว แต่ปรากฏตัวน้อยครั้งมาก มีบางครั้งที่เผยกายก็จะเผยกายด้วยร่างจริงเสมอ ชอบจำศีลอยู่ในทะเลสาบใหญ่ บุกเบิกถ้ำสถิตของเผ่าน้ำไว้แห่งหนึ่งเงียบๆ
เนื่องจากงูเหลือมยักษ์ไม่เคยขึ้นบกด้วยร่างของมนุษย์ ดังนั้นเจ้าของภูเขาหูหวงคนเก่าที่เคยใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองซื้อภูเขาไว้จึงรู้แค่ว่าใต้ทะเลสาบของบ้านตนมีภูตน้ำแห่งทะเลสาบหนองบึงตนหนึ่งยึดครองพื้นที่อยู่ แต่ในเมื่อไม่รู้ว่าขอบเขตของมันสูงหรือต่ำ ก็ยิ่งไม่รู้ว่าโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้านี้เกี่ยวพันกับการไหลรินของโชคชะตาถ้ำสวรรค์หลีจูด้วย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางกึ่งขายกึ่งยกภูเขาหูหวงให้กับภูเขาลั่วพั่วเช่นนี้
ทุกวันนี้นามแฝงของงูเหลือมยักษ์คือหวงซานหนวี่ ชื่อจริงแห่งชะตาชีวิตก็เป็นชุยตงซานที่ตั้งให้เช่นกัน ในทำเนียบระบุว่าชื่อ ‘ฝอซง’ มีแค่บางครั้งที่มันจะออกจากน้ำขึ้นมาบนฝั่ง ปรากฏตัวมาพบกับโจวหมี่ลี่
โจวหมี่ลี่ยังคงไม่กล้าลงจากภูเขาไปเพียงลำพัง จึงอาศัยเมล็ดแตงแต่ละถุงมาทำการค้ากับเว่ยซานจวิน ทุกๆ หนึ่งเดือนจะให้เขาโยนนางไปไว้ที่ริมน้ำของภูเขาหูหวงหนึ่งที
หวงซานหนวี่มีดวงตาสีเขียวมรกตเหมือนน้ำฤดูใบไม้ร่วงที่ใสกระจ่าง พอนางขึ้นมาบนฝั่ง ตลอดทั้งร่างก็อบอวลไปด้วยปราณน้ำไพศาลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่
ริมทะเลสาบมีต้นสนโบราณอยู่ต้นหนึ่งที่ซุกซ่อนความลี้ลับมหัศจรรย์เช่นกัน ภาพบรรยากาศนั้นถูกเก็บซ่อนไว้ภายใน จึงยังไม่ชักนำให้ขุนเขาสายน้ำเกิดความผิดปกติ
คำกล่าวที่ว่างูเหลือมยักษ์จำศีลพันปีไม่เคลื่อนไหว มิมีวันใดต้นสนเก่าแก่มิเข้าฌาน ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ
เทียบกับอวิ๋นจื่อที่เกิดมาก็มีพลังอำนาจน่าเกรงขามแล้วก็ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หวงซานหนวี่ที่ร่างจริงคืองูเหลือมกลับชอบอยู่นิ่งๆ ไม่ชอบเคลื่อนไหว อาณาเขตของโพรงฝ่ายหลังจึงมีชื่อว่าเนินชิงหนี ตั้งอยู่บนภูเขาฮุยเหมิง มีความหมายคร่าวๆ ว่า ‘หมอกพิษนกบิดผ่านพลัดร่วง ลมคาวงูเหลือมยักษ์เลื้อยผ่าน’
เด็กหนุ่มชุดขาวเคยพาผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงตัวนั้นมาเที่ยวที่ภูเขาหวงหูด้วยกัน ตอนที่ขยับเข้าใกล้น้ำก็ยิ้มเอ่ยว่า นักประพันธ์ใหญ่เคยแต่งบทกวี ‘กล่าวถึงกระบี่’ บอกว่า ‘ทิ้งกระบี่ไว้สังหารเจียวใต้น้ำ มิควรเอาไปใช้ฆ่าสุนัขตามถนน’
ทำเอางูเหลือมใหญ่ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลสาบได้ยินเข้าก็รีบเอาศีรษะของร่างจริงแนบติดดินโคลนทันที ส่วนสุนัขพันธ์พื้นบ้านที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มก็ยิ่งตัวสั่นเทิ้ม หมอบคลานติดพื้นไม่กล้าลุกขึ้นมา
แคว้นใต้อาณัติซึ่งมีแคว้นหวงถิงเป็นหนึ่งในนั้น รวมถึงเมืองหงจู๋ ภูเขาฉีตุนแคว้นเสินสุ่ยเก่า ในประวัติศาสตร์ล้วนเป็นอาณาเขตของแคว้นสู่โบราณ เล่าลือกันว่ามีช่องโพรงของเจียวเชื่อมโยงติดกันเป็นสาย ชักนำให้เซียนกระบี่ที่ปรากฎตัวอยู่ระหว่างเมฆาสายน้ำปล่อยแสงกระบี่ลงมาสังหารเจียวหลง
เพียงแต่ว่าหลิวสือลิ่วไม่ได้คิดจะไปพบอวิ๋นจื่อและหวงซานหนวี่ ไม่อยากรบกวนการฝึกตนของพวกเขา หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่อยากรบกวนจิตแห่งมรรคาของพวกเขาให้วุ่นวาย
เพราะถึงอย่างไรเผ่าพันธุ์น้ำในใต้หล้านี้ หากได้พบเจอเขาหลิวสือลิ่ว อันที่จริงก็ไม่ถือเป็นเรื่องดีอะไร
มีเพียงหมี่ลี่น้อยที่ทุกวันจะต้องแบกคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าสีเขียวออกตรวจตรารอบภูเขาเช้าเย็นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ต่อให้จะต้องอยู่ร่วมกับหลิวสือลิ่วทุกวัน แต่นางกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
หนึ่งเพราะขอบเขตของ ‘ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้’ ตนนี้ต่ำเกินไป อีกทั้งจิตแห่งมรรคาของโจวหมี่ลี่ก็ใสสะอาด จึงกลับกลายเป็นว่าไม่มีปัญหาอะไร
นอกจากนี้ยังมีคนของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วอีกบางส่วนที่ต่างก็ไม่ได้อยู่บนภูเขา
หลิวสือลิ่วทำความคุ้นเคยกับภูเขาลั่วพั่วแล้วถึงได้ค้นพบว่าดูเหมือนนับตั้งแต่เจ้าขุนเขาหนุ่มไปจนถึงลูกศิษย์ของเขา ตลอดไปถึงผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ รวมถึงพวกผู้ถวายงานทั้งหลาย คล้ายว่าคนส่วนใหญ่จะออกเดินทางไกลกันทั้งหมด
ช่างเป็นขนบธรรมเนียมที่ประหลาดนัก
ภูเขาทั่วไปจะไม่เป็นเช่นนี้
ผู้ฝึกยุทธ ผู้ฝึกกระบี่ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ผู้ฝึกลมปราณลัทธิเต๋า ภูตประหลาดตามขุนเขาต่างๆ ผีสาว
และยังรวมถึงสหายฉางมิ่งที่มีความเป็นมาพิเศษคนนั้น
ทุกคนกลับอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมเกลียวปรองดอง
นี่ก็ประหลาดเหมือนกัน
วันนี้โจวหมี่ลี่ลากคนตัวใหญ่มานั่งบนยอดเขา มองดูพี่หญิงเฉินที่เซ่อซ่าผู้นั้นเดินฝึกหมัดลงจากเขาไปเป็นเพื่อนนาง ยิ่งนานเรือนกายของอีกฝ่ายก็ยิ่งเล็กเหมือนเมล็ดข้าวสาร ทำให้หมี่ลี่น้อยดีใจจนต้องยกสองมือป้องปากหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
หลังจากหัวเราะไปแล้ว ไม่มีเผยเฉียนคอยเตือนว่าต้องทำตัวให้สมกับเป็นกุลสตรี โจวหมี่ลี่ก็ให้รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ดังนั้นจึงคิดว่าจะเอ่ยประโยคที่ชวนให้อารมณ์ดีสักหน่อย นางจึงหันหน้ามาถามหลิวสือลิ่วเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่เจ้าขุนเขาครึ่งตัว พวกเรามาทายคำปริศนากันดีไหม? ข้ารู้ปริศนาคำทายเยอะเท่ากระบุงโกยเลยนะ อย่าว่าแต่พี่หญิงหน่วนซู่เลย แม้แต่เผยเฉียนก็ยังสู้ข้าไม่ได้ ทุกครั้งที่นางคิดคำตอบไม่ออกก็ได้แต่เดินวนอยู่ที่เดิมด้วยความร้อนใจเชียวล่ะ”
หลิวสือลิ่วยิ้ม “เจ้าถามสิ”
โจวหมี่ลี่กระแอมหนึ่งที “บนฟ้ามีกลอง ซ่อนอยู่จุดลึกของชั้นเมฆ พอตีก็ดังตึงๆๆ ตีอีกทีดังครืนๆๆ คืออะไร รู้หรือไม่?”
หลิวสือลิ่วเอ่ย “ฟ้าร้อง”
หลิวสือลิ่วชำเลืองตามองม่านฟ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่ก่อนหน้านี้ถูกเขาทำลายร่างทองทิ้งไปไม่ได้มีชาติกำเนิดมาจากกรมสายฟ้า แต่ไม่แน่ว่าตนต่อไปอาจจะใช่
โจวหมี่ลี่ชูนิ้วโป้งขึ้น จากนั้นแม่นางน้อยก็เริ่มใช้ความคิด
อื้อหือ เจอยอดฝีมือเข้าให้แล้ว
หมี่ลี่น้อยที่เดิมทียังคิดจะเตือนคนตัวโตสักประโยคถามอีกว่า “บนภูเขามีต้นหญ้า ไข่มุกมีไม่น้อย ข้าไปเอากลับเอามาไม่ได้ เจ้าเองก็ไปเสียเที่ยว…”
หลิวสือลิ่วยิ้มกล่าว “คือน้ำค้างบนยอดหญ้ากระมัง”
ในตำรามีคำกล่าวที่ว่า ‘ดุจดั่งน้ำค้างตอนเช้าเพียงพริบตาก็จางหาย วันเวลาที่เสียไปช่างมากมายเสียเหลือเกิน’
และยังมีคำกล่าวที่ว่า ‘โชคดีที่ยังสงบสุข ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง แต่คนหนุ่มสาวที่เหลือก็บริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น กลับเป็นดั่งน้ำค้างรุ่งอรุณ เพียงพริบตาก็สูญสลาย’
โจวหมี่ลี่ยกสองแขนขึ้นกอดอก ขมวดคิ้วมุ่น คิดหาปริศนาคำทายที่ค่อนข้างยาก “เม็ดหมากเยอะก็เยอะ กระดานหมากใหญ่ก็ใหญ่ พวกเราได้แต่มอง มิอาจวางหมากได้ ข้าถามท่าน เม็ดหมากนั้นคืออะไร?”
หลิวสือลิ่วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
เขาเคยเดินทางไปนอกฟ้าเพียงลำพัง เคยได้เห็นกายธรรมของหลี่เซิ่งคีบ ‘เม็ดหมาก’ ทั้งหลายมาขัดขวางสิ่งมีชีวิตยุคบรรพกาลเหล่านั้นกับตาตัวเอง
โจวหมี่ลี่โคลงศีรษะ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ยากมากเลยล่ะสินะ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่พอถึงตอนกลางคืนแล้วเงยหน้าขึ้น ท่านก็จะรู้คำตอบแล้ว”
จากนั้นแม่นางน้อยก็มองคนตัวโต เห็นว่าเขาคล้ายจะมีสีหน้าเปลี่ยวเหงา นางจึงเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ป้ายศิลาเล็ก หลายๆ ก้อน ตั้งเรียงสองแถวหน้าประตู แล้วนางก็อ้าปากน้อยๆ หัวเราะหึหึ
หลิวสือลิ่วหัวเราะพลางลูบศีรษะของแม่นางน้อย “รู้แล้วล่ะ”
“ตัวสูง อยู่ใกล้ฟ้า อิจฉาจังเลย”
หมี่ลี่น้อยเท้าคาง ทอดสายตามองไปไกล ความเสียใจมีเพียงน้อยนิด แต่กลับกลัดกลุ้มมากจริงๆ “ศิษย์พี่เจ้าขุนเขาครึ่งตัว ข้าจะบอกความลับอย่างหนึ่งให้ท่านฟัง อันที่จริงข้าไม่ได้ชอบลาดตระเวนบนภูเขาเท่าไรหรอก แต่ทุกวันข้าอยู่บนภูเขา แทะเมล็ดแตงหมดแล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำอีก ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ ท่านว่ามันน่ากลุ้มหรือไม่? ดังนั้นทุกวันที่ตรวจตราภูเขาข้าจะต้องวิ่งให้เร็วๆ เร็วๆ เพราะข้าแอบแอบอู้ออยู่ย่างไรล่ะ”
หลิวสือลิ่วพยักหน้ารับ “ข้าจะช่วยเก็บความลับให้เจ้า”
โจวหมี่ลี่ขยับเข้ามาใกล้อีกนิด เอ่ยเสียงเบาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกความลับเทียมฟ้าอีกอย่างแก่ท่าน ข้ากับเจ้าขุนเขาคนดี ปีนั้นตอนที่ออกท่องยุทธภพในอุตรกุรุทวีปด้วยกัน…”
แม่นางน้อยวางไม้เท้าเดินป่าสีเขียวและคานหาบสีทองไว้ที่ข้างเท้าก่อน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน แล้วถึงได้เอ่ยว่า “ข้ายืนอยู่ในตะกร้าใบใหญ่ เขกหัวอาจารย์พ่อของเผยเฉียนอย่างแรง เฉินคนดีบอกว่าเขกหนึ่งทีต้องจ่ายหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ข้าไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ”
หลิวสือลิ่วยิ้มอย่างเข้าใจ ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ร้ายกาจจริงๆ สามารถเขกมะเหงกใส่ศิษย์น้องเล็กของข้าได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของภูตน้ำใหญ่ทะเลสาบคนใบ้ก็ต้องใหญ่เทียมฟ้าแล้วจริงๆ”
โจวหมี่ลี่ที่เดิมทีสีหน้าเบิกบานสดใสพลันหน้าหมองทันใด “ปริศนาคำทายพวกนั้นล้วนเป็นเขาที่สอนให้ข้า หากเขายังไม่กลับมาบ้านอีก ข้าคงใกล้จะลืมไปบ้างแล้ว”
อยู่ๆ หลิวสือลิ่วก็นึกอยากจะไปท่องใต้หล้าเปลี่ยวร้างสักครั้ง ไปเยือนอาณาเขตที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของใต้หล้าไพศาล เพื่อพบกับศิษย์น้องเล็กที่ทำให้อาจารย์ปลาบปลื้มใจได้ จากนั้นก็บอกไปว่าตนแค่เดินทางจากแจกันสมบัติทวีปผ่านมาที่นี่เท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นอยู่บนหัวกำแพงเมือง ศิษย์น้องเล็กจะใช้สายตาถามว่า ท่านมาจากมาตุภูมิ ควรจะรู้เรื่องของมาตุภูมิ หรือไม่?
หลิวสือลิ่วถอนหายใจหนักๆ หากรู้อย่างนี้แต่แรกก็คงจะถามอาจารย์ไว้ก่อนแล้วว่าสามารถทำเช่นนี้ได้หรือไม่
พริบตานั้นร่างของหลิวสือลิ่วก็หายวับไปจากที่เดิม
หมี่ลี่น้อยกะพริบตาอย่างแรง คนตัวโตหนีกันไปได้อย่างไร นางยังไม่ได้คิดคำปริศนาที่ทายยากยิ่งกว่าเดิมเลยนะ
หลิวสือลิ่วมายืนอยู่บนสะพานหินโค้งสีทองแห่งหนึ่ง ขมวดคิ้วน้อยๆ
จากนั้นก็เห็นเพียงว่ามีสตรีร่างสูงใหญ่สวมชุดสีขาวใช้สองมือค้ำยันกระบี่ หันหน้ามาทางเขาช้าๆ
นางมีดวงตาสีทองคู่หนึ่งที่เป็นแก่นแท้ของฟ้าดินซึ่งบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด
หลิวสือลิ่วเงียบไปพักหนึ่งก็ถามอย่างกังขาว่า “ทำไมเจ้าถึงยังอยู่?”
หลิวสือลิ่วที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงกลับไม่ได้เดินก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ตอนที่หลิวสือลิ่วยังเป็นเด็ก เคยเจอกับนางมาก่อน และต้องเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวงมาก่อน
หลิวสือลิ่วชำเลืองตามองกระบี่ยาวในมือนาง ถามเนิบช้าว่า “เจ้าไม่มีคนถือกระบี่ให้แล้วหรือ?”