กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 713.3 เมื่อถึงเวลาฟ้าดินล้วนร่วมแรงร่วมใจ
ผู้ที่ให้คำตอบของคำถามแต่ละข้อเช่นเดียวกัน ยังมีวิญญาณผีที่ตายไปอย่างอยุติธรรมซึ่งทยอยกันมาบอกลากับคนหนุ่มผู้นั้น
เป็นพวกเขากับคนหนุ่มที่ให้คำตอบแก่ทะเลสาบซูเจี่ยนร่วมกัน คำตอบที่ยังคงเต็มไปด้วยความเสียใจและความเสียดายอยู่เหมือนเดิม
‘เจ้าคนแซ่เฉิน ผอมแห้งราวกับลำไม้ไผ่เช่นนี้ วันหน้าจะหาภรรยาได้อย่างไร วันหน้าพอออกไปจากสถานที่บ้าๆ นี้แล้ว จำไว้ว่าต้องกินเนื้อชิ้นโตกินปลาชิ้นใหญ่ กินข้าวหลายๆ ชามทุกมื้อด้วยล่ะ! ไม่ใช่ว่าข้าผู้อาวุโสคุยโวหรอกนะ ฝีมือทำอาหารของข้าดีเยี่ยม ต้มจับฉ่ายของข้าขึ้นชื่อว่าทำพระกระโดดกำแพงได้เชียวนะ ฮ่าๆ น่าเสียดายที่เด็กอย่างเจ้าไม่มีลาภปาก’
‘เฉินผิงอัน ระวังหน่อย อย่าให้พวกเราพบเจอกันอีกครั้งเร็วเกินไปล่ะ อีกอย่างนะ นักบัญชีที่ความสามารถไม่ได้เรื่องอย่างเจ้า จำไว้ว่าไม่ว่าจะว่างหรือไม่ว่างก็คอยตบบ้องหูกู้ช่านผู้นั้นแรงๆ แก้เบื่อบ่อยๆ เจ้ามาเจอกับเจ้าตะพาบอย่างกู้ช่านผู้นี้ ถือว่าเจ้าดวงซวยมาแปดชาติ วันหน้าอย่ายุ่งเรื่องของคนอื่นไม่เข้าเรื่องอีกล่ะ ไม่คุ้มกันหรอก’
‘อาจารย์เฉิน ข้ายังคงรู้สึกว่าวิถีทางโลกไม่ได้งดงามสักเท่าไร แต่ก็…ดูเหมือนว่ายังพอมีหวังอยู่เสี้ยวหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นข้าไปแล้วนะ อาจารย์เฉินรักษาตัวด้วย’
ตลอดหลายปีนั้น คนหนุ่มต่างถิ่นที่เพิ่งจะไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มมาแค่ไม่กี่ปีจะคลี่ยิ้มบางๆ โบกมืออำลาพวกเขา จะเปิดปากเอ่ยประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่ารักษาตัวด้วย ยามที่พูดอะไรไม่ออกก็จะเอามือกำเป็นหมุดทุบลงบนหัวใจเบาๆ หรือไม่ก็ใช้สองมือกุมหมัดบอกลา
เพียงแต่ว่าพอวิญญาณภูตผีเหล่านั้นสลายหายไป คนหนุ่มกลับมีแต่จะยิ่งเงียบงันมากกว่าเดิม
นอกจากที่ผู้เฒ่าจะยอมรับในด้านการหาเรื่องใส่ตัวและการชดเชยความผิดของคนหนุ่มผู้นั้นแล้ว เขากลับปลาบปลื้มกับการจากลาแต่ละครั้งที่ต่างฝ่ายต่างมีความเสียดาย แต่กลับไม่ถึงขั้นสิ้นหวังมากกว่า
ผู้เฒ่าเก็บความคิดกลับมา ยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อพวกเจ้ายังสามารถรักษาสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเจ้ายังไม่ถึงขั้นเฉยชา ถึงได้ถูกข้ากักขังไว้ที่นี่ ไม่ได้หลุดพ้น ครั้งนี้เมื่อจิตวิญญาณแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ข้าจะช่วยสั่งสมบุญกุศลในโลกมืดแทนพวกเจ้า ใครทำผิดก็ได้ลบล้างความผิด มีบุญบารมีก็ได้รับบุญบารมีตอบแทน”
ทุกวันนี้ปากของผู้เฒ่าเหมือนอมประกาศิตสวรรค์ วัตถุหยินพวกนั้นจึงเหมือนได้รับการอภัยโทษ เปลี่ยนจากวิญญาณวีรบุรุษมาเป็นดั่งร่างทองของเทพวารี
ก่อนหน้านี้ต้าหลีได้บุกเบิกปูเส้นทางบนบกให้กับสายเทพเส้นหนึ่ง เพื่อที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำซึ่งเป็นดั่งวิญญาณวีรบุรุษเหล่านี้จะสามารถไปเยือนลำน้ำฉีตู๋ที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปได้
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ยอีกว่า “ผีภูเขาริมน้ำในใต้หล้าล้วนเป็นสหายของข้า ใช่หรือไม่?”
แล้วผู้เฒ่าก็ถามเองตอบเองว่า “ไม่ใช่ก็ใช่!”
เทือกเขาน้อยใหญ่ ภูเขายอดเขาทั้งหลายในหนึ่งทวีป ล้วนมีผีภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน
ผู้เฒ่ายกฝ่ามือข้างหนึ่งทำท่าถือประคอง “สวรรค์บอกลาง”
แต่ละพื้นที่ที่อยู่เลียบมหาสมุทรสี่ด้านแปดทิศของหนึ่งทวีป ภูเขาทั้งสิ้นยี่สิบสี่ลูก ก่อนหน้านี้มีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งได้นำแผ่นไม้ไผ่ทั้งยี่สิบสี่แผ่นไปฝังซ่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขบวนผีภูเขาเคลื่อนพลกันอย่างเกรียงไกร มุ่งหน้าทะยานลมไปยังภูเขาทั้งยี่สิบสี่ลูกดุจดั่งกองทัพหยินข้ามอาณาเขตที่ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์
สุดท้ายผู้เฒ่าไปที่ปากทางเข้าท่าเรือเกาะชิงเสีย ยืนอยู่ตรงนั้น ก้มหน้าลงมองไป
หลังจากที่วันนั้นคนหนุ่มหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย หร่วนซิ่ว จงขุยต่างก็พากันมาเยี่ยมเยือนคนหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนพื้นซึ่งส่งเสียงกรนดังสนั่นราวฟ้าผ่า
อันที่จริงไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น
ผู้เฒ่าหัวเราะ บนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์เสียจริงๆ
ผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นเพียงว่าแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ไม่มีค่ายกลใหญ่ซานหยวนซื่อเซี่ยงอะไร แต่กลับมีค่ายกลยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลที่กว้างใหญ่ไพศาล สอดคล้องกับมหามรรคามากกว่าแห่งนี้
ค่ายกลโคจรทอดยาวไปตามฟ้าอำนวย ปกป้องพิทักษ์พื้นที่หนึ่งทวีปไว้อย่างรัดกุมไร้ช่องโหว่
ภิกษุวัยกลางคนถือบาตรเดินทางไกลผู้หนึ่งเคยไปเยือนสี่ทิศของทวีปแห่งนี้ปีแล้วปีเล่า
เขาท่องภาษาพระธรรมหนึ่งคำ
ทุกที่ที่เท้าทั้งสองข้างเคยเหยียบไปถึง บนพื้นดินกว้างใหญ่ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด บนภูเขาริมสายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ครึกครื้นหรือสถานที่เงียบสงัด ล้วนมีดอกบัวผุดตามขึ้นมา
สุดท้ายขุนเขาแม่น้ำของหนึ่งทวีป แจกันสมบัติทวีป แจกันสมบัติทวีป ก็ช่างเหมือนแจกันดอกไม้ที่ตั้งตกแต่งโต๊ะหนังสือตัวหนึ่งของโลกมนุษย์ แล้วมีดอกบัวสีทองขนาดใหญ่หนึ่งดอกผลิบานอยู่ในแจกัน
เรือกระบี่สิบสองลำที่ใหญ่โตราวขุนเขามาลอยจอดอยู่ที่เส้นแนวรบเส้นแรก อยู่ด้านหลังนครมังกรเฒ่า
มีมัลละของสำนักการทหารรวมตัวกันหนาแน่นใช้เวทลับรัวกลองสร้างพลังอำนาจ เพิ่มฟ้าอำนวยที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่งอีกส่วนหนึ่งให้กับเรือกระบี่และกระบี่บิน
บนกระบี่บินมีผู้ฝึกตนพรรคมหายันต์อุทิศแรงกายแรงใจ จ่ายเงินเทพเซียนและปราณวิญญาณอย่างไม่เสียดายเพื่อสลักลายเมฆลี้ลับให้กับกระบี่บินทุกเล่ม
ทันใดนั้นกระบี่บินก็มารวมตัวกันเหมือนสายฝนที่ตกกระหน่ำเข้าหากองทัพใหญ่เผ่าปีศาจบนมหาสมุทรที่กำลังโจมตีเมือง
แจกันสมบัติทวีปที่อาณาเขตเล็กที่สุดในใต้หล้าไพศาล นับตั้งแต่เกิดศึกใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ กลับเป็นเพียงทวีปเดียวที่ไม่เพียงรักษาความมั่นคงไว้ได้ อีกทั้งยังมีกำลังเหลือพอที่จะเปิดฉากโจมตีใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างห้าวหาญ
ซ่งจี๋ซินอ๋องเจ้าแคว้นทั้งไม่ได้เฝ้าพิทักษ์อยู่ในเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีซึ่งตั้งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้ย้ายจวนอ๋องไปยังภูเขาของขุนเขาใต้ที่ปลอดภัยมากกว่า แต่อยู่ที่นครมังกรเฒ่ามาโดยตลอด เป็นหนึ่งในหัวใจหลักที่สำคัญของสนามรบทางทิศใต้ร่วมกับขุนนางบู๊ระดับขั้นสูงสุดของต้าหลีสองท่านอย่างทูตผู้ตรวจตราเฉาผิงและซูเกาซาน เพียงแต่ว่าแม่ทัพใหญ่ทั้งสองท่านต่างก็ไม่ได้อยู่ในนคร แต่อยู่บนพื้นดินกว้างขวางด้านหลังนครมังกรเฒ่า เสียงฝีเท้าม้าขยับดังเป็นระลอก เตรียมพร้อมรับมือกับศัตรู
ส่วน ‘ซ่งมู่’ แห่งต้าหลีที่ไม่ใช่คุณชายเด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์ของตรอกหนีผิงมานานแล้ว เวลานี้สองมือกำเป็นหมัดแน่น สองตาแดงก่ำ สงครามใหญ่ลุกลามมานานถึงหนึ่งปีแล้ว อ๋องเจ้าเมืองไม่เคยคิดจะถอยหนี รับฟังรายงานที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ใช้ผู้ฝึกกระบี่หลายหมื่นไปถามกระบี่แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่
เวลานี้ซ่งจี๋ซินยืนอยู่ชั้นสูงสุดของหอสูงในจวนอ๋อง สองมือวางลงบนราวระเบียง เส้นเอ็นเขียวปูดโปนบนหลังมือ หัวเราะเกรี้ยวกราด “มา! มาถามกระบี่กับต้าหลีข้าอีกสักที!”
วิญญูชนคนหนึ่งที่มาจากสำนักศึกษากวานหูมาถึงนครมังกรเฒ่าแล้ว ก่อนจะออกเดินทางเขาได้คารวะบอกลาเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาและอาจารย์ เขาต้องการไปจะแนวหน้าของสนามรบ
วิญญูชนถือขวดกระเบื้องหยกไว้ในมือ ขวดนั้นใสแวววาวราวกับบรรจุฟ้าร้องฟ้าแลบและสายฟ้าเอาไว้เต็มแน่น ประหนึ่งบ่อสายฟ้าขนาดย่อม
แท้จริงแล้วสายฟ้าในขวดล้วนเป็นตัวอักษรจากตำราอริยะปราชญ์แต่ละเล่มที่แสดงออกมาจากมรรคกถาและวิชาความรู้ในตัวเขา
หลังบอกลากับอาจารย์แล้ว เขาก็ยิ้มเอ่ยกับเด็กรุ่นหลังร่วมสำนักศึกษาที่เป็นคนหนุ่มอีกทั้งยังเป็นคนบ้านเดียวกับเขาว่า
ปีหน้าบ้านเกิดมีบุปผาผลิบาน ช่วยมองแทนข้าให้มากหน่อย
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาคนหนึ่งที่เคยถกเถียงด้านวิชาความรู้กับเขา ถึงขั้นที่ว่าถ้อยคำที่ใช้รุนแรงดุเดือด ก็จะไปสนามรบพร้อมกับเขาด้วยพอดี
ที่แท้การโต้เถียงด้านความรู้ระหว่างบัณฑิตก็เป็นแค่การโต้เถียงกันของวิญญูชนเท่านั้นจริงๆ
คือคนบนเส้นทางเดียวกัน
นักปราชญ์วิญญูชน ทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยคำใด
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ใกล้กับหอเติงหลงมานานหลายปี กับผู้ถวายงานของสกุลซุนที่ลักษณะคล้ายนายพรานจับคู่กันมา ทั้งสองต่างก็มาขอลาออกกับเจ้าประมุขทั้งสองตระกูล แล้วกระโจนสู่สนามรบซึ่งเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดพร้อมกัน
ยามที่คนทั้งสองทะยานลม ผู้ถวายงานซุนที่เคยเล่าเรียนตำราอริยะปราชญ์มาก่อน แต่กลับไม่เคยได้เป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เทือกเขาชิงหนีมีภูเขาคดเคี้ยวมากมาย เดินร้อยก้าวอ้อมผ่านเขาหินเก้าลดเลี้ยว ต่อให้วิถีทางโลกในใจของข้าจะมีดินโคลนสกปรกพันหมื่นปีทับถมแล้วอย่างไร นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่สัตว์เดรัจฉานอย่างพวกเจ้าจะบุกเข้ามาได้”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ายิ้มเอ่ยว่า “คำพูดสุภาพเจ้าบทเจ้ากลอนอะไรนี่ ข้าพูดไม่เป็นหรอก แต่ข้าก็จะลองพูดประโยคหยาบๆ ตามคำของเจ้าไปก็แล้วกัน ถือเสียว่าเป็นคำสั่งเสีย คิดจะผ่านทางนี้ คิดจะเข้าบ้านหลังนี้ ต้องให้ข้าตายเสียก่อน”
ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งที่เดิมทีออกจากใบถงมาอย่างสงบสุขแล้ว ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่เคยทำการค้าครั้งใหญ่กับคนหนุ่มต่างถิ่นและเจียงซ่างเจิน ได้รวบรวมผู้ฝึกตนทั้งหมดในสำนักมาไว้ด้วยกัน
สำนักของผู้เฒ่าตั้งอยู่ที่ตำหนังพยัคฆ์เขียวยอดเขาเทียนแจว๋ทางทิศเหนือของใบถงทวีป และผู้เฒ่าก็คือเจ้าตำหนักผู้เฒ่าที่เชี่ยวชาญการหลอมโอสถที่สุดอย่าง ลู่ยง
ตอนที่เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังไม่ขึ้นมาบนชายฝั่ง เจ้าตำหนักผู้เฒ่าลู่ที่การข่าวว่องไวอีกทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาเอาตัวรอดก็ได้พาพวกลูกศิษย์ขึ้นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนหลบหนีเข้ามาในแจกันสมบัติทวีปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว หากช้ากว่านั้นสักสิบวันก็อาจจะต้องกินน้ำแกงประตูปิดที่เรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบแล้ว
เพียงแต่ว่าก็เหมือนกับคนฉลาดคนอื่นทุกคน ในเมื่อเข้ามาในอาณาเขตของนครมังกรเฒ่าแล้วก็ยังไม่สามารถเข้าเมืองไปหลบภัยอย่างสงบได้ ได้แต่มารวมตัวอยู่กับผู้ฝึกตนต่างถิ่นคนอื่นๆ ในสถานที่แห่งหนึ่งเหมือนนักโทษที่ถูกกักขัง
สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว เพียงแต่ว่าผ่านวันเวลาไปได้อย่างไม่สบายเท่าใดนัก
ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของราชวงศ์ต้าหลีเหล่านั้นไม่เคยเอ่ยอะไรกับพวกเขาแม้แต่ครึ่งคำ หากไม่สังหารพวกคนโง่เง่าที่ไม่รักษากฎก็เพียงแค่มองชาวบ้านลี้ภัยจากใบถงทวีปอย่างพวกเขาอยู่ไกลๆ ด้วยสายตาเย็นชา
ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ต่างกัน แต่กลับมีสายตาแบบเดียวกัน
ไม่มีความสงสารอะไร มีเพียงความเย็นชาอำมหิตโดยกำเนิดที่ได้มาจากสนามรบ รวมไปถึงแววดูแคลนเหยียดหยามที่คนผู้หนึ่งใช้มองบางอย่างที่ไม่ใช่คน
เพียงแต่ว่าหากมีอารมณ์อยากจะชมสงครามอยู่ไกลๆ จากบนสิ่งปลูกสร้างชั้นสูงที่เป็นดั่ง ‘กรงขัง’ แห่งนี้ ต้าหลีกลับไม่คิดจะขัดขวาง
ผู้เฒ่าเห็นศึกใหญ่นอกนครมังกรเฒ่าเริ่มดุเดือดขึ้นทุกวันกับตาตัวเอง ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งพูดน้อย กระทั่งวันนี้ลู่ยงพลันเดือดดาลอย่างหนัก ทั้งหนวดทั้งผมล้วนชี้ชัน “ต่อให้เจ้าจะเป็นลมแรงเป็นแผ่นดินไหว เป็นสายฟ้าสายฝนดุเดือดปานใด จะบังอาจมาถอนต้นไม้พันปีที่ปลูกอยู่ใต้บันไดบ้านข้าได้อย่างไร?!”
สุดท้ายผู้เฒ่าคลี่ยิ้มอย่างซีดเซียว บอกพวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดว่าให้มีชีวิตอยู่ต่อไปในต่างบ้านต่างเมืองนี้ให้ดี กว่าจะหนีมาที่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็จงอย่าได้ตายไปง่ายๆ ต่อให้จะอับอายขายหน้าแค่ไหน วันหน้าก็ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดี หลอมยาดีๆ ออกมาให้เยอะๆ
สุดท้ายผู้เฒ่ามองไปยังเด็กที่อายุน้อยที่สุดทั้งหลาย
สีหน้าของเขาพลันปล่อยวาง
หากข้าตายไป พวกผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปที่หัวเราะเยาะว่าพวกเจ้าคือพวกสุนัขไร้บ้านที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ก็คงจะลดน้อยลงไปมากกระมัง พวกเด็กรุ่นหลังคิดจะหยัดยืนอยู่ในแจกันสมบัติทวีปได้อย่างมั่นคงก็คงจะง่ายกว่าเดิมมาก
ภิกษุของวัดใหญ่รูปหนึ่งมาถึงสนามรบของนครมังกรเฒ่า ถือบาตรทะยานลมอยู่กลางอากาศ ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก
สุดท้ายภิกษุนั่งลงบนความว่างเปล่า สองมือพนมสิบนิ้ว
พระโพธิสัตว์ล่ามโซ่ตรวน ร้อยโครงกระดูกเพรียกร้อง
ร่างเหมือนเจดีย์วิเศษ ส่องประกายแสงดุจเปลวไฟ
มีเกาเจินลัทธิเต๋าไม่ทราบนามคนหนึ่งเหยียบเรือวิเศษทะยานลมมาถึงที่นี่ สีหน้าของเขาผ่อนคลาย ราวกับว่ามาชมทัศนียภาพของที่นี่อย่างไรอย่างนั้น
นักพรตเฒ่าร่ายวิชาอภินิหารโปรยถั่วเป็นทหาร กระดาษยันต์นั้นมากมายจนเหมือนยามที่ชาวบ้านโปรยกระดาษเงินกระดาษทองตามใจชอบ
บนทะเลเมฆมียันต์หุ่นเชิดร่างสูงร้อยจั้งร้อยกว่าตนยืนตระหง่าน
บนอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาลระหว่างนครมังกรเฒ่ากับขุนเขาใต้ มองไปไกลสุดลูกหูลูกตาเห็นเพียงพื้นกว้างราบเรียบ
มีกองทัพม้าเหล็กสองกองใหญ่กระจายตัวกันไปตามแนวเส้นการรบ แล้วปักหลักอยู่ที่นี่
ประหนึ่งน้ำขึ้นที่โถมตัวค้างแน่นิ่งไม่ขยับ
นิ่งเงียบรอคอยศัตรู
แม่ทัพบู๊คนหนึ่งที่ยังไม่ได้สวมชุดเกราะขี่ม้าลาดตระเวนไปตามเส้นแนวรบ แต่กระนั้นก็ยังต้องพกดาบถือทวน ไม่อย่างนั้นไม่ชิน
ทูตผู้ตรวจการต้าหลีที่ในมือกุมอำนาจสูงผู้นี้พลันหยุดม้า หนึ่งคนหนึ่งม้าหันหน้าไปทางทิศใต้
กองทัพม้าเหล็กต้าหลีของข้า กีบม้าควบจากเหนือลงใต้ ลอดทะลวงมาทั้งทวีป!
จุดใดที่กีบม้าควบผ่าน ความสามารถในการสังหารคนเป็นอย่างไรกันแน่ อย่าว่าแต่หนึ่งทวีป ตลอดทั้งใต้หล้าล้วนรับรู้กันหมดแล้ว!
และทุกวันนี้จุดที่กีบม้าย่ำเหยียบก็ยิ่งจะสังหารปีศาจอีกนับไม่ถ้วน!
แม่ทัพใหญ่ซูเกาซานยกทวนเหล็กขึ้นเบาๆ ชี้ไปทางทิศใต้ “กล้ามาที่นี่ ก็บดขยี้พวกมันให้แหลกเป็นผุยผง!”
……
ฮ่องเต้ต้าหลีซ่งเหอยังคงอยู่ในเมืองหลวงทางทิศเหนือ
หลังจากว่าราชการเสร็จก็ให้พวกขุนนางสวมชุดหม่างทั้งหลายถอยออกไปอยู่ห่างๆ ส่วนตัวเขาเดินอยู่ใต้กำแพงสีชาดสูงใหญ่เพียงลำพัง
ภายใต้คำสั่งของราชครู เขาผู้เป็นฮ่องเต้ได้ออกพระราชโองการหลายฉบับที่เนื้อหาเหมือนกัน ผู้ที่รับพระราชโองการล้วนเป็นกษัตริย์ของแคว้นใต้อาณัติทั้งหมดในทวีป
หากต้าหลีพ่ายแพ้ให้กับสงครามใหญ่ครั้งนี้ ขุนเขาสายน้ำของทั้งทวีปก็ต้องพินาศดับสูญ ทุกคนไม่มีบ้านไม่มีแคว้นให้กล่าวถึง
แต่หากต้าหลีชนะศึกใหญ่ครั้งนี้มาได้ แคว้นใต้อาณัติทุกแห่งในทวีป ทุกคนที่ล้มตาย ยกตัวอย่างเช่นสามสิบแคว้นสูงสุดล้วนจะได้รับการกอบกู้แคว้น นับแต่นี้ไปได้หลุดพ้นจากใต้อาณัติของสกุลซ่งต้าหลี ต่อให้จะมีคนเหลืออยู่แค่คนเดียว ราชวงศ์ต้าหลีก็จะยังเป็นฝ่ายช่วยคนผู้นั้นกอบกู้แคว้น อย่างมากสุดร้อยปีจะต้องกลายมาอยู่ในอันดับของแคว้นที่แข็งแกร่งแห่งแจกันสมบัติทวีปในอนาคตได้แน่นอน อีกทั้งยังจะได้เป็นพันธมิตรกับต้าหลีไปอีกทุกยุคทุกสมัย
ฮ่องเต้ต้าหลีจะให้คำสัตย์สาบานต่อหนึ่งลำน้ำห้าขุนเขาด้วยตัวเอง หากผิดคำสาบานนี้ ทั้งคนและเทพต้องเดือดดาล โชคชะตาแคว้นของสกุลซ่งต้าหลีก็จะขาดสะบั้นไปนับแต่นี้
ก่อนจะแจกจ่ายพระราชโองการออกไป ได้มีการถามตอบที่เป็นทั้งการถามระหว่างเจ้าผู้ปกครองและขุนนาง แล้วก็เป็นทั้งการถามตอบระหว่างอาจารย์และศิษย์
ชุยฉานกับซ่งเหอ
ราชครูถามฮ่องเต้
อาจารย์ถามลูกศิษย์
‘ฝ่าบาท หากเป็นเช่นนี้ ในอนาคตเกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งสิบราชวงศ์ใหญ่ ต้าหลีคงรักษาไว้ไม่ได้’
‘แต่หากเป็นเช่นนี้ ท่านซ่งเหอ ในฐานะลูกหลานสกุลซ่งต้าหลีจะต้องได้กลายเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชาในประวัติศาสตร์พันปีหมื่นปีอย่างแน่นอน’
‘จะเลือกและสละอย่างไร อยู่ที่ท่านซ่งเหอแล้ว’
ตอนนั้นซ่งเหอยิ้มกล่าวว่า ‘ราชครูออกจะดูแคลนความใจกว้างของศิษย์ไปสักหน่อยแล้ว ใต้หล้าไพศาลไปๆ มาๆ ก็มีราชวงศ์ใหญ่สิบแห่งอยู่เพียงแค่นั้น แต่มีฮ่องเต้มีจักรพรรดิสักกี่พระองค์ที่คู่ควรกับคำกล่าวยิ่งใหญ่ซึ่งจะทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์พันปีหมื่นปีเล่า?’
‘ซ่งเหอต้องการให้ยามที่ลูกหลานรุ่นหลังของสกุลซ่งต้าหลีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ยามที่แต่ละคนเผชิญหน้ากับภาพเหมือนของบรรพบุรุษ ภายใต้ภาพแขวนของข้า พวกเขาจะหยุดยืนอยู่นานที่สุด เคารพเลื่อมใสมากที่สุด!’
หลังจากที่ซิ่วหู่ผู้นั้นได้รับคำตอบนี้แล้วก็ผงกศีรษะด้วยรอยยิ้มบางๆ
ซ่งเหอมีคำถามข้อหนึ่งที่อดไม่ไหว จึงเปิดปากถามไปว่า ‘เรามีแค่คำถามเดียว’
‘หากเราไม่ตอบตกลง ไม่ได้ทำให้ราชครูสมใจปรารถนาเล่า?’
ตอนนั้นชุยฉานยิ้มตอบว่า ‘ฝ่าบาททรงกระจ่างแจ้งในพระทัยดี’
ฮ่องเต้ต้าหลีหัวเราะดังลั่น ‘ซิ่วหู่ตัวดี’
สุดท้ายฮ่องเต้มองราชครูที่ล่วงล้ำอำนาจมากเหลือเกินผู้นี้
ชุยฉานพยักหน้าเบาๆ
สีหน้าของฮ่องเต้มีทั้งความเสียใจและความขมขื่น มีซิ่วหู่อยู่ข้างกาย คนที่เป็นฮ่องเต้อย่างเขาก็อดรู้สึกเหมือนมีอุปสรรคขัดขวางไม่ได้
แต่หากต้าหลีสูญเสียซิ่วหู่ที่วางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมผู้นี้ไปจริงๆ เขาซ่งเหอจะไม่ประหวั่นพรั่นพรึงได้หรือ?
สุดท้ายชุยฉานเอ่ยเนิบช้าว่า ‘ข้ากับฉีจิ้งชุนทิ้งเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ไม่เหมือนกับที่อื่นไว้ให้ราชวงศ์ต้าหลีของพวกท่านมากมายเพียงนั้น ต่อให้อาณาเขตของต้าหลีหายไปครึ่งหนึ่ง วันหน้าก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาลุกผงาดได้อีกครั้งอยู่ดี น่าเสียดายก็แต่ยามที่ท่านมีชีวิตอยู่บนโลกก็อาจไม่ได้เห็นเองกับตาตัวเองเสมอไป พูดถึงแค่เรื่องนี้ ท่านกับอดีตฮ่องเต้ก็มีจุดจบที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร เป็นความน่าเสียดายที่ใหญ่หลวงอย่างหนึ่งจริงๆ นี่แสดงให้เห็นว่ามาเจอราชครูอย่างข้า เป็นเรื่องโชคดีของต้าหลี แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องโชคดีของฮ่องเต้อย่างพวกท่านสองคน’
‘ก็แค่ความโชคร้ายเล็กๆ เท่านั้น แต่ต้าหลีกับซ่งเหอต่างโชคดีมหาศาล ถึงสามารถได้พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ มีวีรกรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้ภายใต้การประคับประคองช่วยเหลือของท่านอาจารย์ได้’
ฮ่องเต้ประสานมือคารวะผู้เฒ่า เอ่ยเสียงเบาว่า ‘ถ้าเช่นนั้นศิษย์ก็ขอลาอาจารย์มา ณ ที่นี้’
——