กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 713.4 เมื่อถึงเวลาฟ้าดินล้วนร่วมแรงร่วมใจ
เวลานี้ซ่งมู่พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ ยื่นมือไปตบกำแพงอย่างแรง จากนั้นก็ขยุ้มมือกำแน่น พูดเสียงหนักว่า “ร่วมประคองแผ่นฟ้าไปด้วยกัน!”
ขันทีสวมชุดหม่างคนหนึ่งพลันก้าวเร็วๆ ขึ้นมาด้านหน้า จากนั้นก็หยุดเท้าลงอย่างเงียบเชียบ เอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท ทางทิศเหนือมีคนมาพะยะค่ะ”
สีหน้าซ่งเหอเบิกบานทันใด ก้าวเร็วๆ ไปยังพื้นที่ตรงกลางระหว่างกำแพงสองด้าน แหงนหน้าขึ้นมอง แม้จะถูกกำหนดมาแล้วว่ามิอาจมองเห็นอะไร คนเหล่านั้นไม่มีทางมาถึงน่านฟ้าของเมืองหลวงต้าหลีเร็วขนาดนี้ แต่ซ่งเหอก็ยังอดไม่ไหวแหงนหน้ารอมองภาพนั้น
ทุกวันนี้ภายใต้วิธีการอันยิ่งใหญ่เทียมฟ้า บุรพแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีปก็คืออาณาเขตของทวีปเดียวกัน!
ฮว่อหลงเจินเหรินกับหลี่หลิ่วและสตรีร่างอ้วนท้วมขอบเขตบินทะยานจากหลุมน้ำลู่ผู้นั้น ทุกวันนี้ยังคงรับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์เส้นทางบนมหาสมุทรสายนี้
ทั้งสองฝ่ายหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ร่วมกันปกป้อง ‘สะพาน’ ที่เชื่อมโยงระหว่างสองทวีป
ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มใหญ่ของอุตรกุรุทวีปจะขี่กระบี่เลียบเส้นทางสายนั้นลงใต้มายังแจกันสมบัติทวีป
ป๋ายฉางเซียนกระบี่อันดับหนึ่งของแถบทิศเหนือ หวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง…
นอกจากผู้ฝึกกระบี่แล้วยังมีลูกศิษย์เอกสองคนของฮว่อหลงเจินเหริน หยวนหลิงเตี้ยนแห่งสายจื่อเสวียน และยังมีสายของป๋ายอวิ๋น
เจินเหรินลัทธิเต๋ากลุ่มหนึ่งของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน จู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมา และยังมีผู้ฝึกกระบี่กระดูกขาวในหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูก ผูหรางสตรีผู้เป็นวิญญาณวีรบุรุษ
เกาเฉิงแห่งนครจิงกวานเคยคลายพันธนาการฟ้าดินเพื่อให้ผูหรางได้เซ่นกระบี่
ทุกวันนี้เกาเฉิงได้ออกมาจากหุบเขาผีร้ายแล้ว ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจึงไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ส่วนผูหรางที่ร่างดับมรรคาสลายอยู่ในซากปรักสนามรบของที่นั่นก็เลือกที่จะไปเยือนสนามรบอีกแห่งหนึ่ง ถือเสียว่าเป็นการบอกลาไร้เสียงกับคนในใจที่ไม่เคยวางได้ลงมาโดยตลอด ในเมื่อตนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมิอาจเป็นคู่รักเทพเซียนกับเขาได้ แล้วเหตุใดยังต้องถ่วงรั้งไม่ให้เขาได้เป็นพุทธะแห่งโลกมนุษย์ด้วยเล่า? ชอบคนคนหนึ่ง ไม่ควรเป็นเช่นนี้
เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะแจกันสมบัติทวีปเคยข้ามทวีปไปถามกระบี่แก่เทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีป
ครานี้กลับเดินทางมาร่วมกับเทียนจวินเซี่ยสือ คนทั้งสองต่างก็ถือว่าได้เดินทางกลับบ้านเกิดด้วยกัน
ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงกับลูกศิษย์ใหญ่หรงช่าง ก่อนจะออกเดินทาง นางได้บอกกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนอย่างเฉินหลี่และเกาโย่วชิงว่า ตนจะไปดูที่นครมังกรเฒ่าสักหน่อย
ตอนอยู่บ้านเกิดของพวกเจ้า ต่างบ้านต่างเมืองของอาจารย์ ยังฆ่าสัตว์เดรัตฉานเผ่าปีศาจไปไม่น้อย อยู่ในใต้หล้าไพศาลที่เป็นบ้านเกิดแห่งนี้ก็ไม่มีเหตุผลให้ไม่สังหารพวกสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจเพิ่มอีกหน่อย
นั่นจะไม่ทำให้หลี่อวี๋สหายรักหัวเราะเยาะเอาหรอกหรือ วันหน้าจะยังวางมาดอาจารย์ต่อหน้าเด็กอย่างพวกเจ้าสองคนได้อย่างไร?
เพียงแต่ลี่ไฉ่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่สะดวกจะบอกกับลูกศิษย์ที่เป็นเด็กรุ่นหลัง
ที่นั่นก็คือทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปแล้ว ไม่ต้องอยู่ห่างไกลกันโดยมีอีกทวีปกั้นขวาง ดังนั้นสามารถอยู่ใกล้กับเจ้าบุรุษใจดำผู้นั้นได้อีกนิด
ลี่ไฉ่ที่กลับมาถึงบ้านเกิดได้รับฟังสถานการณ์ของใบถงทวีปมาอย่างต่อเนื่องก็เหมือนได้คลายปมในใจ
บุรุษใจจืดใจดำผู้นั้นทำผิดต่อตน และในความเป็นจริงแล้วเขายังผิดต่อความจริงใจของสตรีที่ลุ่มหลงในรักอีกมากมาย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ผิดต่อภาระหน้าที่ที่ลูกผู้ชายอย่างเขาพึงมี
เจียงซ่างเจินที่เป็นเช่นนี้คู่ควรให้ลี่ไฉ่เสียใจ ชื่นชอบ
ขณะที่พวกเขาจับมือกันเดินทางลงใต้ข้ามมหาสมุทร ไม่ว่าจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ น้อยคนนักที่จะมีสีหน้าของคนที่กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญหรือสีหน้าฮึกเหิมคึกคัก
จิตใจนิ่งสงบ
เพราะนี่ก็เหมือนเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปที่สมเหตุสมผลเรื่องหนึ่งเท่านั้น
ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปอย่างพวกข้า ต่อให้ยามที่คนกันเองปิดประตูขึ้นมาจะต่อยตีกันเอาเป็นเอาตาย วางแผนปัดแข้งปัดขา จะกระบี่บิน ผู้ฝึกตน ผู้ฝึกยุทธ ใช้กระบี่บิน ใช้เวทคาถาหรือประเคนหมัดและเท้าใส่คนกันเองแค่ไหน
แต่ยามที่สถานการณ์ใหญ่มาถึง จะขาดผู้ฝึกตนของทวีปใดไปก็ได้ มีเพียงมิอาจขาดอุตรกุรุทวีปของพวกข้าไปได้!
คนเดินทางลงใต้ ความองอาจของผู้กล้าก็ยิ่งเดินทางลงใต้ไปด้วย
……
หลิวสือลิ่วดื่มเหล้ากับหมี่อวี้ที่ร้านยาฮุยเฉินก่อน เพียงแต่ว่าหมี่อวี้ที่ควรกลับขึ้นเหนือแล้วกลับบอกว่าจะกลับไปภูเขาลั่วพั่วช้าสักหน่อย
หลิวสือลิ่วจึงดื่มเหล้าร่วมกับเซียนกระบี่ท่านนี้เพิ่มอีกกา
วันนี้กุ้ยฮูหยินผู้ถวายงานตระกูลฟ่านพลันมาเยือนร้านยาฮุยเฉิน
หลิวสือลิ่วเอ่ย “เจ้าคิดจะทำแบบนี้ ข้าค่อนข้างประหลาดใจ”
หลิวสือลิ่วก็ดี กุ้ยฮูหยินที่เป็น ‘เผ่าพันธ์ดวงจันทร์’ ดั้งเดิมที่สุดของใต้หล้าก็ช่าง หากจะพูดให้ถูกต้อง พวกเขาต่างก็ถือว่าเป็นกากเดนของยุคบรรพกาลกันทั้งคู่
ในตำรายุคหลังชอบพูดถึงเรื่องประหลาดของเทพเซียนที่มหัศจรรย์พันลึก บอกว่าบนมหาสมุทรไกลโพ้นมีเซียนโบราณ ยามที่มหาสมุทรแปรเปลี่ยนเป็นผืนนา พวกเราหยิบแผ่นไม้ไผ่มาบันทึก ตอนนี้ก็สะสมได้เต็มสิบห้องแล้ว
ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับพวกเขาทั้งสองคน ไม่ถือว่าเป็นเรื่องประหลาดอัศจรรย์ได้เลยจริงๆ
พวกเขา หรือควรจะเรียกว่า ‘พวกมัน’ ต่างก็เคยอยู่บนฟ้าหลุบตาลงมองพื้นดิน เห็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ปรากฏตัวกับตาตัวเอง มองเผ่ามนุษย์เดินขึ้นเขา สุดท้ายก็มองเผ่ามนุษย์เดินขึ้นฟ้า
ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป
ลำน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ท่ามกลางสีของราตรีคลื่นลมเงียบสงบ
บนเรือน้อยลำหนึ่งมีเด็กชายคนหนึ่งกำลังจ้วงไม้พายอย่างเหน็ดเหนื่อย
แต่เด็กหนุ่มชุดขาวท่าทางเกียจคร้านคนหนึ่งกลับเอาแต่นอนอยู่บนหัวเรือ ชายแขนเสื้อกว้างสีขาวหิมะจุ่มลงไปในน้ำ
ประกายน้ำล้อแสงจันทร์ ขับให้ชายแขนเสื้อสีขาวยิ่งขาวจ้า
เด็กหนุ่มหลับตา ครวญบทเพลงเสียงดัง “น้ำใบไม้ผลิบรรทุกเรือเรือบรรทุกคน เรือล่องน้ำใบไม้ผลิล้วนล่องอยู่บนฟ้า”
เด็กหนุ่มพลันลุกพรวดขึ้นนั่ง บ่นอย่างน่าสงสารว่า “ฟ้าไม่สงสารดินไม่เวทนาความลำบากของข้าผู้ขับร้องบทเพลงนี้บ้างเลย”
ชุยตงซานยื่นนิ้วของสองมือมาฝั่งละนิ้วแล้วขยี้หัวตาตัวเองแรงๆ อยากจะหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าอาดูร จะได้ช่วยส่งเสริมบรรยากาศ
เพียงแต่ว่ายังไม่ทันรอให้เขาเค้นน้ำตาออกมาได้ก็มองเห็นคนสองคนที่เดินทางมาด้วยกันเสียก่อน คนผู้หนึ่งมาจากชายหาดโครงกระดูกของอุตรกุรุทวีป อีกคนหนึ่งมาจากสถานที่ที่ห่างไกลยิ่งกว่านั้น
เกาเฉิงแห่งนครจิงกวาน
ชุยตงซานขยับมาอยู่ด้านหลังเด็กชายที่กำลังพายเรือแล้วตบเข้าที่ท้ายทอยของอีกฝ่าย “มัวอึ้งอยู่ทำไม หันหัวเรือ หันหัวเรือ รีบเรียกพี่ชายเร็วเข้า ท่านผู้นี้คือพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าเชียวนะ!”
บนฝั่ง ในที่สุดเกาเฉิงก็รู้แล้วว่าเหตุใดหลายปีมานี้ ทั้งๆ ที่ในนครจิงกวานของหุบเขาผีร้ายไม่มีภัยร้ายซ่อนแฝงทั้งภายในและภายนอก แต่ใจของตนกลับไม่เคยสงบสุขได้เลย
ส่วนภิกษุเฒ่าน้ำแกงไก่ที่เดินทางจากแคว้นชิงหลวนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มายังที่แห่งนี้
เขาสวมชุดจีวรเก่าขาด ภิกษุเฒ่าเดินอยู่ริมลำน้ำ
ไอหมอกรวมตัวเป็นก้อนเมฆ ก้อนเมฆก่อตัวเป็นจีวร
แสงจันทร์สาดสะท้อนผิวน้ำ ประกายแสงน้ำสะท้อนกลับไปยังโพธิจิต
น้องเกาจ้วงพายเต็มแรง ส่วนชุยตงซานก็ใช้สองมือช่วยพุ้ยน้ำ มุ่งหน้าเข้าหาชายฝั่งด้วยกัน
พอเกาเฉิงเห็นภาพนี้ก็รู้สึกว่าตนไม่ควรมาพบคนผู้นี้ ช่างชวนให้คนสะอิดสะเอียนซะจริง
ท่ามกลางม่านตรี ม่านฟ้าของฝูเหยาทวีปตกอยู่ในมือของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเรียบร้อยแล้ว
นี่หมายความว่าอริยะผู้มีเทวรูปในศาลบุ๋นที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของที่แห่งนี้ ตายไปแล้ว
ป๋ายเหย่ยืนกลางอากาศเคียงคู่ซิ่วไฉเฒ่า
ประหนึ่งเซียนที่อยู่บนธารดาราของม่านฟ้า
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “พี่ป๋าย จะทำแบบนี้จริงๆ หรือ? ครั้งนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่มีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนใดวิ่งมาหาเรื่องเจ้าแล้วนะ”
ป๋ายเหย่คร้านจะพูด
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นป๋ายเหย่ ไม่เสียทีที่เป็นป๋ายเหย่ผู้ซึ่งข้าเคยอ้อนวอนขอบทกลอน อ้อนวอนขอตัวอักษรอย่างยากลำบาก! เจ้ารู้ดีที่สุดว่าข้าไม่ใช่คนหน้าหนาชอบเซ้าซี้คนอื่น แต่ข้ากลับแหกกฎเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ!”
ป๋ายเหย่ยิ่งไม่อยากพูดเข้าไปใหญ่
มือกระบี่ที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุด เซียนแห่งบทกวีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในใต้หล้าไพศาลผู้นี้หลุบตาลงมองโลกมนุษย์ที่ขุนเขาสายน้ำปริแตกย่อยยับ
ข้าป๋ายเหย่ไม่ทำอะไร ต่อให้เจ้าลัทธิศาลบุ๋น ผู้อำนวยการสถานศึกษาอย่างเจ้ามาอยู่ที่หน้าประตูบ้านข้า ยกหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์มาพูดกับข้าด้วยความปรารถนาดี ล้วนไร้ประโยชน์
ข้าป๋ายเหย่คิดจะทำอะไร ต่อให้เจ้าเป็นศาลบุ๋นแห่งแผ่นดินกลาง เป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ คิดจะขัดขวาง ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ลองดูได้
ซิ่วไฉเฒ่าหลับตาลง คล้ายเงี่ยหูฟังเสียงของในหนึ่งทวีป เมฆม้วนตัวเมฆคลายตัว บุปผาผลิบานบุปผาร่วงโรย เสียงถอนหายใจของคนแก่ เสียงร้องไห้ของเด็กน้อย…
ป๋ายเหย่ใช้นิ้วโป้งดันด้ามกระบี่ของกระบี่เซียนที่ห้อยไว้ตรงเอวเบาๆ รอคอยคำตอบนั้นของซิ่วไฉเฒ่าเงียบๆ เมื่อได้รับคำตอบแล้ว คนที่ผิดหวังอย่างเขาผู้นี้จะออกกระบี่แก่หนึ่งทวีป
ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำว่า “ช่วงเวลาแห่งสันติสุข ดอกไม้ไร้คนปักสุราไร้คนยุให้ดื่ม เมามายก็ไร้คนดูแล นั่นก็ยังเป็นวิถีทางโลกที่สงบสุขนี่นา”
ทุกวันนี้ผืนแผ่นดินใหญ่ของฝูเหยาทวีป ต่อให้มีคนตายก็ไร้คนช่วยฝังศพ
ลัทธิพุทธกล่าวว่าโลกใบนี้ก็คือสหาโลกธาตุ มีไว้เพื่อ ‘อดทน’ ความหมายก็คือโลกของพวกเรามีความขาดแคลนสารพัดรูปแบบ
ทว่าต่อให้ความจริงจะเป็นเช่นนี้ ทุกหนทุกแห่งในโลกมนุษย์ก็ยังมีฝนฤดูใบไม้ผลิพร่างพรมดอกซิ่งร่วงหล่น มีรถม้าเคลื่อนช้าๆ ไปบนภูเขาวสันต์ฤดูอยู่ดีนี่นา
ล่างภูเขาไม่มีบัณฑิตที่เป็นวิชาอภินิหารอยู่แม้แต่น้อย ดื่มเหล้าจนสุราขึ้นหัวแล้วก็กล้าพูดว่าจะคล้องแขนร่ำสุรากับแม่น้ำใหญ่ ราดรดลงบนอกบนใจข้า
แสงจันทร์กระจ่างไม่รู้ว่าท่านจากไปแล้ว กลางดึกยังจุดตะเกียงอ่านตำราข้างหน้าต่าง สตรีอยู่ที่บ้านเกิดเพียงลำพังย่อมน้ำตาคลอ ขอพรให้ท่านเป็นดั่งแสงจันทร์ที่ส่องแสงสว่างในทุกค่ำคืน
ผู้แข็งแกร่งชักดาบ จุดที่แสงกระบี่มุ่งไป ไม่เพียงแต่พุ่งเข้าหาผู้แข็งแกร่ง ยิ่งพุ่งเข้าหาสถานการณ์ใหญ่ที่ล้มครืนลง!
ชายแขนเสื้อใหญ่ของซิ่วไฉเฒ่าโบกสะบัดพองโป่ง ตวัดมือสองข้างโบกอย่างแรง แสงดาวสาดกระจาย
ป๋ายเหย่ผลักกระบี่ออกจากฝักตามไป ไม่ได้ชักกระบี่อย่างแท้จริง แต่กลับมีแสงกระบี่นับพันนับหมื่นเส้นที่หล่นลงบนขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป
จุดที่โชคดียังไม่ถูกไฟสงครามลามมาโดนของฝูเหยาทวีป ขอแค่โรงเรียนยังมีคนเล่าเรียน ล้วนมีแสงกระบี่เยียบเย็นดุจหิมะเส้นหนึ่งแผ่ลงมาปกคลุมไว้อย่างเงียบเชียบ
วันนี้ตอนนี้ บัณฑิตยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
หนึ่งคนพกหนึ่งกระบี่ แสงกระบี่จำแลงพันหมื่น
เป็นศัตรูกับเผ่าปีศาจทั้งทวีป
สุดท้ายป๋ายเหย่เอ่ยว่า “ซิ่วไฉเฒ่า ต่อให้เจ้าจะพูดมากน่ารำคาญแค่ไหน แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ส่งเสียงพูด”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!”
ป๋ายเหย่พกกระบี่มุ่งไปยังโลกมนุษย์
ซิ่วไฉเฒ่าเงียบไปนาน ก่อนจะพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า “บทกวีป๋ายเหย่ไร้ผู้ใดเทียมทาน ลบล้างความกลัดกลุ้มชั่วนิรันดร”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ประโยคนี้ควรจะพูดก่อนที่พี่ป๋ายจะจากไปสิ!”
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
เบื้องล่างภูเขาทัวเยว่
ชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกมอมแมมคนหนึ่งที่แม้แต่ลมตะวันตกเฉียงเหนือก็ยังไม่มีให้กิน (มาจากสำนวนกินลมตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งหมายถึงว่าไม่มีอะไรให้กินสักอย่าง) ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนคล้ายตะพาบตัวใหญ่ที่ต้องแบกขุนเขาทั้งลูกไว้บนกระดอง เขาจึงได้แต่บ่นพึมพำอยู่กับตัวเอง
ตะพาบท่องคัมภีร์ไม่ฟัง ไม่ฟัง? หลี่ไหวเจ้าตะพาบน้อย เจ้านี่มันปากเสียจริงๆ
เฒ่าตาบอดคนหนึ่งออกจากภูเขาบ้านตัวเองมาเป็นครั้งแรก ข้างกายมีหมาแก่ที่ผอมจนหนังแนบกระดูกติดตามมาด้วย พากันมาเยี่ยมเยือนอาเหลียงชาติสุนัขผู้นี้
เพราะถึงอย่างไรมาดูเรื่องสนุกคนเดียวก็ไม่สนุกเท่าใดนัก
เฒ่าตาบอดไม่ได้ขยับเข้าใกล้ภูเขาทัวเยว่มากเกินไป ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ จึงเพียงแค่ยืนอยู่ห่างไปพันลี้ เอียงหูเงี่ยฟัง บังเอิญได้ยินคำบ่นของอาเหลียงเข้าพอดี เขาพลันอารมณ์ดีทันใด เจ้าชาติสุนัข ปีนั้นอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ชอบแล่นมาเตร็ดเตร่อยู่บ้านข้าอย่างส่งเดช ชอบกระโดดโลดเต้นนักไม่ใช่หรือ? คราวนี้ทำไมไม่กระโดดลิงโลดเหมือนเก่าเสียแล้วเล่า?
เฒ่าหูหนวกใช้ฝ่ามือแนบติดพื้นดิน หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ปีนั้นใครกันที่วิ่งมาตรงหน้าข้าแล้วพูดจาใหญ่โตอย่างไม่ละอายว่า ‘มีเวทกระบี่นี้ก็ไม่ต้องมีรูปโฉมเช่นนี้ มีรูปโฉมเช่นนี้ไม่ต้องมีเวทกระบี่นี้’?”
อาเหลียงอึ้งตะลึง ก่อนจะหัวเราะคิกคัก “โอ้โหแหะ เฒ่าตาบอดนี่เจ้าจะมาช่วยข้าย้ายภูเขาหรือ? อย่านะ เจ้าไม่รู้หรอกว่ามีภูเขาใหญ่คอยนวดไหล่ให้ทำให้คนรู้สึกสบายถึงเพียงใด ไม่ต้องมาสนใจข้าหรอก หากเจ้ากล้าสนข้า ข้าก็จะ…เรียกเจ้าว่าท่านปู่!”
ทุกวันนี้เป็นวีรบุรุษตกยาก จึงได้แต่พึมพำเบาๆ ว่า “เฒ่าตาบอดเจ้าตาบอดมาหมื่นปี มองไม่เห็นรูปโฉมอันองอาจหล่อเหลาของข้าสักหน่อย”
แพ้ที่ตัวคนได้ แต่จะแพ้ที่พลังอำนาจไม่ได้ นิสัยดีๆ ต้องรักษาเอาไว้
เฒ่าตาบอดหัวเราะร่าชอบใจ “ได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามนี้ ช่างทำให้คนไร้คำจะกล่าวจริงๆ”
ตาเฒ่าบอดรำคาญว่าหมาแก่ที่วิ่งวนอยู่ใกล้เท้าเกะกะลูกหูลูกตาจึงเตะมันกระเด็นออกไป หมาแก่ผอมแห้งกลิ้งตลบอยู่หลายรอบ มันช้ำใจเหลือจะกล่าว อุตส่าห์หวังดีเตือนเจ้าว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้อยู่นาน ควรจะรีบคุยให้เสร็จแล้วกลับบ้านโดยเร็วแท้ๆ
เฒ่าตาบอดนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงยิ้มถามว่า “หลี่ไหวคือใคร?”
อาเหลียงหัวเราะร่วน “พี่น้องคนดีของข้าเอง ถ้าอย่างนั้นก็เป็นพี่น้องคนดีของเจ้าด้วย”
เฒ่าตาบอดไม่ถือสา “แค่คำทำนายประโยคนั้นของเด็กคนนั้น ข้าก็ถูกชะตากับเขามากแล้ว”
อาเหลียงสบถด่า “ถูกชะตากับผายลมเจ้าน่ะสิไอ้บอด”
เฒ่าตาบอดคิดว่าควรจะกลับได้แล้ว
อาเหลียงเองก็ไม่รั้งไว้ เพียงแค่กลืนน้ำลายหนึ่งอึก “เอ๊ะ พวกเราสองพี่น้องกินเนื้อหมาตอนอากาศหนาวๆ เฒ่าตาบอดเจ้านี่มีมโนธรรมดีจริงๆ”
เฒ่าตาบอดยกมือข้างหนึ่งขึ้น กลางฝ่ามือมีสองคำว่า ‘หลี่ไหว’ ลอยขึ้นมา เขา ‘จ้อง’ ชื่อกลางฝ่ามือนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้ายิ้มเอ่ย “หลี่ไหว ข้าจำไว้แล้ว”
อาเหลียงเอ่ยอย่างตกตะลึง “หลี่ไหว ข้าจะยอมเรียกเจ้าว่านายท่านใหญ่หลี่แล้ว ปากช่างศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เฒ่าตาบอดเจ้านำความข้าไปบอกเจ้าเด็กนั่นที บอกเขาให้เอ่ยประโยคว่าอาเหลียงรีบกลับบ้านมาดื่มเหล้ากินเนื้อ…”
จากนั้นก็พูดอย่างเสียใจสุดแสน “มารดามันเถอะ ข้ายอมศิโรราบแล้วจริงๆ หลี่ไหวเจ้าคือนายท่านใหญ่ของข้า ตอนนี้ข้ายอมตกลงเป็นสามีของพี่สาวเจ้าแล้ว สายไปหรือไม่? ยังทันหรือไม่?”
เฒ่าตาบอดมีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เอ่ยว่า “ใช่ว่าเจ้าจะจากไปไม่ได้สักหน่อย พูดเหลวเหลวอะไรกัน ยอมตัดใจให้ปณิธานกระบี่ถูกกัดกร่อน ตบะถูกเผาผลาญอยู่ที่นี่ได้ทุกวันเชียวหรือ? คิดว่าขอบเขตสิบสี่ของตัวเองมั่นคงแท้จริงแล้วหรือไร? ความสามารถมากขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่หน้าบ้านข้าทำไมไม่เห็นเจ้าใช้กระบี่แทงฟ้าให้เป็นรูเล่า? อ้อ แล้วยังชอบแสร้งทำตัวเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ห้าขอบเขตกลางกับคนอื่นด้วย? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มีจิตใจที่แน่วแน่จริงๆ”
อาเหลียงหัวเราะแห้งอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็เงียบเสียงลง
มารดามันเถอะ เมื่อก่อนไม่เห็นเจ้าเฒ่าตาบอดผู้นี้จะชอบพูดจาเหมือนผายลมเลย วันนี้กลับพูดประชดประชันเช่นนี้ได้ ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้มาจากใคร
เฒ่าตาบอดเก็บมือกลับแล้วลุกขึ้นยืน “เจ้าไม่ไปเองจะโทษใครได้”
ม่านฟ้าของใต้หล้าไพศาลเปิดออก ชักนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลแต่ละตนเข้ามา
ส่วนเบื้องล่างของภูเขาทัวเยว่แห่งนี้ เส้นสายใต้ดินก็ปริแตก มีผีร้ายวิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วนกรูกันขึ้นมา
ดังนั้นหากอาเหลียงจะไปจากที่แห่งหนึ่ง หนึ่งอยู่ที่น้ำหนักของภูเขาทัวเยว่ สองอยู่ที่มโนธรรมในใจของเขาเอง กล้าหรือไม่ หรือควรจะพูดว่ายินดีจะปลดปล่อยวัตถุหยินพวกนั้นที่หนีจากดินแดนพุทธะสุขาวดีมายังใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ จากนั้นปล่อยให้พวกมันถูกบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ชักนำไปยังใต้หล้าไพศาลหรือไม่
อาเหลียงพลันเอ่ยว่า “เฒ่าตาบอด ลืมตามองดูใต้หล้าสักครั้งเถอะ ทุกวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
เฒ่าตาบอดที่หันหลังให้ภูเขาทัวเยว่หยุดเดิน เอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองม่านฟ้า “จริงหรือ?”
แล้วก็เพราะว่าอาเหลียงดึงมือสองข้างออกมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต้องตบอกรับรองเสียงดังสนั่นแน่นอน “เชื่อข้าสักครั้ง ไม่อย่างนั้นข้าก็คือบิดาเจ้า!”
เฒ่าตาบอดยังคงไม่หันตัวกลับ เพียงยิ้มเอ่ยว่า “มิกล้า”
——