กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 717.2 เจี่ยเซิงทำให้คนผิดหวัง
สกุลสวี่นครลมเย็นเชี่ยวชาญเรื่องการสร้างสถานการณ์แล้วป่าวประกาศไปทั่วที่สุด ก่อนหน้านี้ก็ให้บุตรสาวสายตรงแต่งงานกับบุตรชายอนุภรรยาของสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้น แล้วยังบอกว่าเป็นเรื่องซับซ้อนยากจะเอื้อนเอ่ย และดูเหมือนว่าสกุลสวี่จะให้ทายาทสายตรงที่กลอุบายลึกล้ำผู้นั้นไปแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับสายของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าตระกูลเถาแห่งภูเขาตะวันเที่ยงด้วย ทุกวันนี้สวี่หุนก้าวข้ามธรณีประตูใหญ่เทียมฟ้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้แล้ว ด้วยนิสัยของนครลมเย็น หากไม่เป็นเพราะอยู่ดีๆ แคว้นหูก็หายวับไปกับตา อย่าว่าแต่อุตรกุรุทวีปเลย คาดว่าป่านนี้ข่าวนี้คงแพร่ไปถึงธวัลทวีปแล้ว
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยว่าคนผู้หนึ่งที่หลงระเริงจนลืมตน ง่ายที่จะถูกตบบ้องหู เพ่ยเซียงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ยังรู้สึกสะใจอย่างมาก ผลคือตอนนั้นนางก็ถูกจูเหลี่ยนตบเบาๆ หนึ่งที บอกว่าหมายถึงเจ้านั่นแหละ
ท่ามกลางแสงสนธยาคนทั้งสองเดินทางผ่านเมืองหงจู๋ที่ยังคงคึกคักเจริญรุ่งเรือง ขอแค่ข้ามภูเขาฉีตุนไป ภูเขาลั่วพั่วก็อยู่ใกล้เพียงเบื้องหน้าแล้ว
เพ่ยเซียงรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เงยหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นภูเขาพีอวิ๋นที่มีทะเลเมฆล้อมวนได้อย่างชัดเจนแล้ว นี่ทำให้นางเหมือนได้กินยาสงบใจเข้าไปอีกเม็ด
จูเหลี่ยนซื้อเมล็ดแตงจากร้านหนึ่งในตลาดมาเยอะมาก จากนั้นก็พาเพ่ยเซียงไปที่ตรอกแห่งหนึ่งด้วยกัน
เพ่ยเซียงใช้เสียงในใจสอบถาม “จะไปเจอใครหรือ?”
จูเหลี่ยนพาเจ้าแห่งแคว้นหูที่อยู่ข้างกายผู้นี้เดินไปบนถนนที่มีผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ ยิ้มตอบว่า “เทพวารีแห่งแม่น้ำชงตั้น หลี่จิ่น”
จูเหลี่ยนเอ่ยเสริมมาอีกประโยค “เขาขายหนังสือ ข้าซื้อหนังสือ ความสัมพันธ์จึงไม่เลวมาโดยตลอด ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียงนี่นะ”
ก่อนหน้านี้เพราะเรื่องของเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ ย่อมทำให้พี่น้องหลี่จิ่นยอกแสลงใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรหากกระต่ายตายหมาป่าย่อมต้องเศร้าอาลัย นี่คือความรู้สึกปกติทั่วไปของมนุษย์
ครั้งนี้เดินทางผ่านมาต้องถือโอกาสคลายปมในใจให้กับเถ้าแก่ผู้นั้นด้วย
เพราะสิ่งที่จูเหลี่ยนเชี่ยวชาญในการรับมือมากที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่สตรีอยู่แล้ว
สตรีจำเป็นต้องรับมือด้วยหรือ?
เอาเป็นว่าจูเหลี่ยนไม่เคยมีความจำเป็นนั้นก็แล้วกัน
ในใจเพ่ยเซียงพลันกระจ่างแจ้ง เมืองหงจู๋ใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงจุดตัดของแม่น้ำสามสาย จึงมีองค์เทพวารีสามองค์ หลี่จิ่นที่เป็นคนหนึ่งในนั้นเพิ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากต้าหลีได้ไม่กี่ปี ควันธูปในศาลกลับไม่เลว
เดิมทีแคว้นหูก็เป็นสถานที่ที่ปลาและมังกรของสามสำนักเก้าสาขาปะปนกันอยู่แล้ว ข่าวสารบนภูเขาถูกส่งต่อถึงกันอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเพ่ยเซียงจึงรู้เรื่องลับๆ ของในหนึ่งทวีปค่อนข้างมาก
ส่วนเรื่องที่จูเหลี่ยนสนิมสนมกับหลี่จิ่นไม่ได้ทำให้เพ่ยเซียงรู้สึกตะลึงมากเท่าใดนัก เพราะถึงแม้ขอบเขตของหลี่จิ่นจะไม่ต่ำ แต่ถึงอย่างไรก็เพิ่งจะเป็น ‘คนหน้าใหม่ในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำ’ ของต้าหลี ไม่แน่ว่าอาจยังต้องสานสัมพันธ์ผูกมิตรกับภูเขาลั่วพั่ว เมื่อสนิทสนมกับภูเขาลั่วพั่วแล้วก็เท่ากับว่าสามารถป่ายปีนไปตีสนิทกับซานจวินใหญ่เว่ยแห่งภูเขาพีอวิ๋นได้แล้ว
‘เพ่ยเซียง’ ที่เป็นภูตจิ้งจอกก่อกำเนิด แม้จะอยู่ห่างจากเว่ยป้อหนึ่งขอบเขต แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานะหรือตบะที่แท้จริงของทั้งสองฝ่ายก็ล้วนต่างกันดุจก้อนเมฆกับดินโคลน
ทุกวันนี้มีข่าวลือเล็กๆ อย่างหนึ่งเริ่มแพร่ไป บอกว่าร่างทองของซานจวินเว่ยได้รับการบำรุงให้ชุ่มชื้นและหล่อหลอมจากฝนสีทองที่ตกกระหน่ำลงมาสามครั้ง จึงพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นได้อย่างรวดเร็ว เท่ากับว่าขอบเขตของผู้ฝึกตนได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว จากนั้นก็กลายเป็นซานจวินท่านหนึ่งที่ร่างทองบริสุทธิ์ที่สุด กายธรรมสูงที่สุดในบรรดาห้าขุนเขาใหญ่ในหนึ่งทวีป
เถ้าแก่ร้านคือชายหนุ่มชุดดำที่มีรูปโฉมหล่อเหลา เขาเอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย มือข้างหนึ่งถือกาน้ำชาพลางอ่านตำราไปด้วย
เพียงแต่เพ่ยเซียงแค่เหลือบมองหลี่จิ่นไม่กี่ที เรื่องของรูปโฉมนั้น กลัวการเปรียบเทียบเป็นที่สุด
หลี่จิ่นเห็นจูเหลี่ยนที่สวมหน้ากากแล้ว เพียงไม่นานก็จำอีกฝ่ายได้ ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายคล่องแคล่วคุ้นเคยเสียจนน่าเหลือเชื่อ ตำราบนชั้นหนังสือที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ จำนวนไม่มาก เพียงไม่กี่ชั่วกะพริบตาก็ถูกเจ้าหมอนั่นถือมาไว้ในมือทั้งหมด เมื่อก่อนเขาก็ชื่นชอบจนวางไม่ลงอยู่แล้ว แต่พอความคิดในหัวตีกันพักใหญ่ สุดท้ายก็ตัดใจไม่ยอมซื้อไป แต่วันนี้กลับมือเติบไม่น้อย ไม่ลังเลเลยสักนิด ท่าทางประมาณว่า ‘ข้าผู้อาวุโสคือบัณฑิต ซื้อหนังสือต่อให้ดูแค่ราคาก็ถือว่าผิดต่อตำราอริยะปราชญ์แล้ว’ ดูท่าจูเหลี่ยนออกเดินทางครั้งนี้จะได้เงินมาก้อนใหญ่? หลี่จิ่นเหลือบมอง ‘เด็กสาว’ ผู้นั้น เดิมทีนี่ก็เป็นคำตอบหนึ่งอยู่แล้ว นั่นก็คือขอบเขตก่อกำเนิด? ใช่แล้ว สกุลสวี่นครลมเย็นมีแคว้นหูอยู่แห่งหนึ่งที่ชื่อเสียงโด่งดังมาก สาวงามหนังจิ้งจอกก็ยิ่งถูกส่งไปขายไกลถึงราชวงศ์และจวนเซียนทั่วทั้งทวีป ภูตจิ้งจอกตัวดี ทำไม มาลงเรือโจรลำเดียวกับจูเหลี่ยนแล้วหรือ? ภูเขาลั่วพั่วคิดจะฉีกหน้าแตกหักกับนครลมเย็นอย่างสิ้นเชิงแล้วหรือไร? จูเหลี่ยนผู้นี้สมกับเป็นบุคคลที่เป็นหัวใจสำคัญของภูเขาลั่วพั่วซะจริง ต่อให้เจ้าขุนเขาหนุ่มไม่อยู่บ้าน เขาก็ยังสามารถตัดสินใจเองเช่นนี้ได้
ในใจของหลี่จิ่นมีการคาดเดามากมาย ทว่ากลับแสร้งทำเป็นจำจูเหลี่ยนไม่ได้ ยิ่งไม่มองเพ่ยเซียงมากเกินจำเป็น ยังคงดื่มชาอ่านตำรา ทำตัวเป็นเถ้าแก่ร้านหนังสือของเขาต่อไป อยากซื้อก็ซื้อ คิดจะหั่นราคานั้นไสหัวไป
คนฉลาดที่แท้จริงก็คงเป็นอย่างหลี่จิ่นนี่กระมัง มองออกแต่ไม่พูดแฉ แสร้งทำตัวเป็นคนโง่
ไม่ว่าจะเป็นคนโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หรือภูตขุนเขาสายน้ำที่กว่าจะฝึกตนจนจำแลงร่างเป็นคนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะเรียนรู้จนหัดพูดภาษาคนได้ล้วนไม่ง่ายเหมือนกัน แต่กลับยังต้องเรียนรู้อีกว่าการไม่พูดต่างหากจึงจะเรียกว่าฉลาดอย่างแท้จริง วิถีทางโลกนี่นะ
จูเหลี่ยนดีดนิ้วหนึ่งที เพ่ยเซียงก็รีบเอาวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งที่มีลักษณะเป็นแท่นฝนหมึก แต่เดิมสลักอักษรสองคำว่า ‘ซานจวิน’ ออกมา
ภายหลังจูเหลี่ยนได้แกะสลักตัวอักษรเล็กๆ อีกหนึ่งแถวกับตราประทับอีกหนึ่งตราลงไป
อายุหินหมื่นปี อายุกระดาษพันปี อายุคนร้อยปี จริงใจกี่ปี
ตราประทับส่วนตัวของจูเหลี่ยนคือ ‘ปู้แยนโหว’
เขารับแท่นฝนหมึกมา ควรจะคลายตราผนึกของวัตถุฟางชุ่นชิ้นนี้อย่างไร เพ่ยเซียงบอกวิธีที่สมบูรณ์กับเขาไว้นานแล้ว
อันที่จริงนางยังมีวัตถุจื่อชื่อที่ทะนุถนอมอย่างดีเป็นพิเศษอีกชิ้นหนึ่ง ถือเป็นคลังสมบัติคลังเงินทองของแคว้นหู แล้วก็ถือเป็นเงินเก็บส่วนตัวของนาง นางไม่กลัวว่าจูเหลี่ยนจะมาแตะต้องมันแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าจูเหลี่ยนกลับไม่ได้สนใจเลย
เมื่อทั้งกายและใจของสตรีผู้หนึ่งล้วนปฏิบัติต่อบุรุษคนหนึ่งอย่างจริงใจ หากบุรุษผู้นั้นพอจะมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ก็ควรจะรับผิดชอบสักหน่อย
และจูเหลี่ยนก็กลัวเรื่องนี้ที่สุดพอดี
ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงไม่มีความคิดที่ไม่ถูกไม่ควรต่อเจ้าแห่งแคว้นหูผู้นี้แม้แต่น้อย
จูเหลี่ยนหยิบเอาม้วนภาพเล็กที่เป็นภาพลายเส้นขาวดำออกมาสองม้วน คลี่ม้วนหนึ่งลงบนโต๊ะคิดเงินก่อน จากนั้นจึงหันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับเทพวารี “เถ้าแก่จะลองมาดูหน่อยไหม?”
หลี่จิ่นได้ยินก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางวางกาน้ำชาและหนังสือไว้บนโต๊ะน้ำชา เดิมทีบนโต๊ะน้ำชาก็วางแจกันดอกไม้ทองสัมฤทธิ์ลายมังกรดั้นเมฆปั้นนูนเอาไว้ใบหนึ่ง งามประณีติอย่างถึงที่สุด หนวดมังกรแต่ละเส้นล้วนเห็นได้อย่างชัดเจน
ในแจกันดอกไม้ทองสัมฤทธิ์ปักกิ่งท้อเอียงๆ ไว้หลายกิ่ง
หลี่จิ่นเดินมาถึงข้างโต๊ะคิดเงินแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน “ลูกค้าท่านนี้ หากข้าใช้เงินซื้อคงจะหยาบคายเกินไป ไม่สู้พวกเราเอาหนังสือมาแลกเปลี่ยนภาพวาดดีหรือไม่?”
เพ่ยเซียงเองก็เพิ่งเคยเห็นม้วนภาพนี้เป็นครั้งแรก นี่น่าจะเป็นผลงานที่ ‘เถ้าแก่เหยียน’ วาดขึ้นยามว่างตอนอยู่ในร้านขายเครื่องหอมของนครลมเย็นกระมัง
นางชำเลืองตามองจูเหลี่ยน
นางกะพริบตาปริบๆ ในดวงตามีริ้วคลื่นดุจสายน้ำสารทฤดู
สำหรับข้อเสนอของหลี่จิ่น จูเหลี่ยนไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ เพียงคลี่ม้วนภาพที่สองออก
ม้วนภาพแรกวาดเป็นภาพปลาหลีกับปัญญาชน ปัญญาชนรูปโฉมสุภาพสง่างามขี่อยู่บนปลาหลีตัวใหญ่ ปลาหลีโผล่ให้เห็นแค่หัวกับหางเท่านั้น เรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารถูกปกคลุมอยู่ในเมฆหมอกขาวโพลน
จูเหลี่ยนประทับตัวอักษรเล็กๆ ลงไปแปดตัว ‘จิตใจข้าลึกล้ำ ขอบเขตยิ่งใหญ่แจ่มกระจ่าง’
ส่วนอีกภาพหนึ่งเป็นภาพประตูมังกรหลุบตามองกระแสน้ำบ่า คือภาพที่ปัญญาชนใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันเสาใหญ่ของประตูมังกร ประทับตัวอักษรแปดคำกำกับด้านข้างว่า ‘ปลามังกรเปลี่ยนร่าง เชี่ยวชาญยอดเยี่ยม’
รอยยิ้มของหลี่จิ่นยิ่งกดลึก จุ๊ปากเอ่ยว่า “พี่จูเหลี่ยน ฝีมือช่างยอดเยี่ยมนัก”
จูเหลี่ยนพยักหน้ายิ้มกล่าว “น้องหลี่จิ่น สายตาดีเยี่ยม”
สายตาของหลี่จิ่นทิ้งค้างอยู่บนม้วนภาพวาดเป็นนาน เอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน “ว่ามาเถอะ ราคาเท่าไร ทองพันชั่งก็ยากจะซื้อของที่ถูกใจได้ ถือเสียว่าข้าเปิดราคาให้เป็นนิมิตหมายอันดี ต่อให้เป็นเงินฝนธัญพืชก็ยังคุยกันได้”
ใช้นามแฝงว่าหลี่จิ่น ร่างจริงคือจิ่นหลี (ปลาที่มีเกล็ดเป็นประกายแวววาว หรือปลาคาร์ฟ)
จูเหลี่ยนตบหลังมือของเพ่ยเซียง นางเข้าใจได้ทันที จึงคลี่ม้วนภาพเก็บอย่างระมัดระวัง ผูกเชือกรัดเรียบร้อยด้วยท่วงท่าอ่อนโยน
จูเหลี่ยนหัวเราะร่าเอ่ยว่า “พวกเราคบค้ากันด้วยเงินทองมานานมากแล้ว วันนี้ไม่พูดถึงเรื่องเงิน ใช้หนังสือแลกกับภาพวาด เป็นอย่างไร?”
หลี่จิ่นมองภาพสองม้วนนั้นก่อนถอนสายตากลับคืน ส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ยังคงเป็นกฎเดิม พี่น้องต้องคิดบัญชีกันอย่างชัดเจน”
จูเหลี่ยนไม่เห็นเป็นสำคัญ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็มอบให้น้องหลี่จิ่น!”
หลี่จิ่นถึงได้พยักหน้ารับ ยื่นมือไปวางทับบนม้วนภาพ “น้อมรับน้ำใจ วันหน้าที่ร้านจะแหกกฎเพื่อพี่จู หนังสือทุกเล่มลดราคาแปดส่วน” (หรือสองในสิบส่วน 20% จาก 100%)
เพ่ยเซียงฉลาดถึงปานใด ย่อมเข้าใจความนัยลึกล้ำของทั้งสองฝ่ายได้ทันที
จูเหลี่ยนใช้สถานะของผู้ดูแลใหญ่ หวังว่าภูเขาลั่วพั่วจะสามารถไปมาหาสู่กับแม่น้ำชงตั้นได้บ่อยๆ ต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ สั่งสมความสัมพันธ์ควันธูปไว้ให้มาก
เพียงแต่ว่าหลี่จิ่นใช้สถานะของเทพวารีแม่น้ำชงตั้นมาปฏิเสธการเสนอเป็นพันธมิตรของจูเหลี่ยนอย่างละมุนละม่อม
จูเหลี่ยนจึงถอยไปก้าวหนึ่ง สองฝ่ายเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง ให้นี่เป็นแค่การแลกเปลี่ยนส่วนตัวระหว่างมิตรภาพเท่านั้น
เป็นการพบเจอกันด้วยดีและจากลากันด้วยดีครั้งหนึ่ง
จูเหลี่ยนพาเพ่ยเซียงไปยังภูเขาฉีตุนที่ภูเขาสายน้ำอิงแอบกับเมืองหงจู๋
ระหว่างที่ก้าวเดิน จูเหลี่ยนเก็บกิ่งไม้เอามาทำไม้เท้าเดินป่า ยิ่งทำให้มองดูคล้ายคนแก่วัยไม้ใกล้ฝั่งมากขึ้น
เพ่ยเซียงเอ่ยชวนคุย “หากไม่ใช่ภาพลายเส้นขาวดำ แต่วาดปลาหลีตัวนั้นให้เป็นสีแดงสด จะไม่ยิ่งถูกใจเขามากกว่าหรอกหรือ?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ยกตัวอย่างนะ ข้ารู้ว่าเพ่ยเซียงเป็นภูตจิ้งจอก แต่หากเจอหน้าเพ่ยเซียงแล้วเรียกว่าภูตจิ้งจอกทุกครั้ง จะเหมาะไหม? ไม่เหมาะสม หากไม่ผิดไปจากที่คาด หลี่จิ่นย่อมต้องเพิ่มสีสันให้ภาพวาดด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นทำแทน”
จูเหลี่ยนยิ้มถาม “ไม่เชื่อใช่ไหม พวกเรามาเดิมพันกันดีไหมล่ะ? เดิมพันเล็กๆ น้อยๆ ให้พอสนุกสนาน หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะพอ”
เพ่ยเซียงไม่ยินดีจะเดิมพันกับเขา ใครแพ้ใครชนะล้วนไม่มีความหมาย
ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ ไม่เพียงแต่ภูตจิ้งจอกขอบเขตก่อกำเนิดอย่างเพ่ยเซียง ผู้ฝึกตนเซียนดินทุกคนในแจกันสมบัติทวีป ขอแค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก็จะมองเห็นดอกบัวสีทองดอกหนึ่งที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งทวีป
ใช้แจกันสมบัติทวีปเป็นแจกันใบหนึ่งที่มีดอกบัวดอกหนึ่งเบ่งบาน
ส่ายไหวไปตามสายลมวสันตฤดู
ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ ต่อให้เป็นเพ่ยเซียงก็ยังรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ
เพียงแต่ว่าเมื่อเวลานานวันเข้าก็ไม่รู้สึกประหลาดใจอีกต่อไป เพียงแค่มองมันเป็นทัศนียภาพอันงดงามหาได้ยากในโลกมนุษย์ที่มีไว้ให้ชื่นชมเท่านั้น
บนเส้นทางการเดินทางกลับบ้านเกิดนี้ จูเหลี่ยนกลับชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามที่ชวนให้สบายตาสบายใจนี้น้อยครั้งมาก
จูเหลี่ยนเพียงแค่ถามนางว่าขุนนางของกองซือฟานในศาลเทพบุปผาซึ่งบันทึกไว้ในตำราสามารถควบคุมกลิ่นหอมยามบุปผาเบ่งบานได้จริงหรือไม่
เพ่ยเซียงเพียงแค่คิดว่าปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งคงไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องพวกนี้สักเท่าไร
จูเหลี่ยนเองก็ไม่ยินดีจะพูดถึงเรื่องวงในกับนาง สุดท้ายแล้วจะเป็นการพบเจอกันด้วยดี แล้วจากลาด้วยดี เริ่มดีจบดีหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องของเขาแค่คนเดียว จิตใจคนเปราะบางดั่งแก้วที่แตกได้ง่าย
เว้นเสียแต่ว่าคุณชายอยู่บนภูเขา
จูเหลี่ยนเลือกเส้นทางสายเล็กเงียบสงบบนภูเขาฉีตุนเส้นหนึ่ง เมื่อก่อนเผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่มารอคุณชายที่นี่ล้วนชอบเดินบนทางสายนี้ เชื่อว่าเผยเฉียนในเวลานั้นคงร่ายวิชากระบี่มารคลั่งไปไม่น้อย
จากบ้านเกิดไปนานหลายปี มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก
ยกตัวอย่างเช่นตอนอยู่ในเมืองหงจู๋ก่อนหน้านี้ก็ได้รู้ว่าภูเขาฉีตุนมีศาลเทพภูเขาเพิ่มขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง ส่วนภูเขาลั่วพั่วก็สูญเสียเทพภูเขาองค์หนึ่งไปในเวลาเดียวกัน
ศาลเทพภูเขาที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วได้ย้ายมาอยู่ที่ภูเขาฉีตุนแล้ว ระดับขั้นไม่เปลี่ยน มองดูเหมือนเป็นการโยกย้ายในตำแหน่งที่เท่าเทียมกันของวงการขุนนาง แต่แท้จริงแล้วเป็นการลดระดับขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่มีกรอบป้ายและเทวรูป สิ่งปลูกสร้างยังคงอยู่เหมือนเดิม
การกระทำเช่นนี้เป็นความรู้ใจกันอย่างหนึ่งระหว่างซานจวินเว่ยป้อกับราชสำนักต้าหลี
ซ่งอวี้จางเทพภูเขาไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองโกรธแค้นใดๆ ราวกับคาดการณ์ได้ล่วงหน้านานแล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง
กลับกลายเป็นว่าก่อนจะย้ายออกมา เขายังเดินออกมาจากศาลที่เดิมทีก็ไม่มีควันธูปอะไร แล้วเดินเตร็ดเตร่เที่ยวไปทั่วภูเขาลั่วพั่วเป็นครั้งแรก คงมีความหมายประมาณว่าพอไม่มีภาระตัวก็เบากระมัง
อันที่จริงจูเหลี่ยนเข้าใจซ่งอวี้จางผู้นั้นได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าในเมื่อแต่ละฝ่ายต่างก็มีเจ้านายกันคนละคน ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้เป็นสหายกันเลยดีกว่า เพียงแต่ว่าจูเหลี่ยนก็ไม่เคยขัดขวางไม่ให้พวกเผยเฉียนไปเที่ยวเล่นที่ศาลภูเขาบนยอดเขา
นอกจากเรื่องของศาลเทพภูเขาแล้ว จูเหลี่ยนยังได้รับคำอวยพรประโยคหนึ่งมาจากหลี่จิ่นเทพวารีแม่น้ำชงตั้น
เพราะงูเหลือมใหญ่ของภูเขาหวงหูตัวนั้นเกิดความกล้าที่จะเดินลงน้ำแล้ว ในเมื่อหลี่จิ่นเอ่ยอวยพร ก็แสดงว่าหวงซานหนวี่ผู้นั้นต้องเดินลงน้ำได้สำเร็จอย่างแน่นอน
หลี่จิ่นเป็นคนระมัดระวังรอบคอบ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในร้านหนังสือก็แค่ใช้เสียงในใจบอกเรื่องนี้แก่จูเหลี่ยนเท่านั้น
ส่วนเพ่ยเซียงที่เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดตัวจริง ก่อนหน้านี้ต่อให้อยู่ริมชายแดนของจังหวัดหลงโจว จิตก็ยังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน นางรีบทะยานลมขึ้นสู่ที่สูง มองไกลๆ ไปยังการเปลี่ยนแปลงของขุนเขาสายน้ำในจังหวัดหลงโจวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็พูดอย่างมาดมั่นว่ามีวัตถุใหญ่โตอย่างหนึ่งกำลังเดินลงน้ำ
จูเหลี่ยนรู้สึกว่าการเดินเท้าค่อนข้างน่าเบื่อหน่ายจึงเล่าเรื่องนี้ให้เพ่ยเซียงฟังคร่าวๆ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับการคาดเดาถึงรากฐานความเป็นมาของเจียวน้ำตัวนั้นอย่างส่งเดชของเพ่ยเซียงเองแล้ว ย่อมเข้าใกล้ความเป็นจริงมากกว่า ก่อนหน้านี้เพ่ยเซียงทะยานลมอยู่บนฟ้า ร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ แม้ว่าตรงจุดตัดของแม่น้ำทั้งสามสาย โชคชะตาขุนเขาสายน้ำจะกระเพื่อมสะเทือนไม่หยุด อีกทั้งยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ายเวทอำพรางตา เป็นเหตุให้การมองเห็นพร่าเลือน แต่เพ่ยเซียงก็แน่ใจว่างูเหลือมที่เดินลงน้ำด้วยพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามตัวนั้นต้องเป็นบุคคลเรืองอำนาจประเภทผู้ถวายงานปกป้องภูเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะสามารถเดินลงน้ำอย่างราบรื่นเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่เพียงแต่น้ำไหลบ่าท่วมท้น ดูเหมือนว่าเทพวารีของแต่ละพื้นที่ที่อยู่ติดกับลำน้ำยังคอยช่วยให้การคุ้มกัน หลีกเลี่ยงไม่ให้กระแสน้ำบ่าทะลักล้นฝั่งจนชาวบ้านเดือดร้อนกลายเป็นภัยธรรมชาติอีกด้วย เชื้อสายเผ่าพันธุ์น้ำทั่วไปยามเดินลงน้ำ ไม่ถูกศาลของเทพภูเขาเทพวารีในแต่ละพื้นที่จงใจหาเรื่องเล่นงานก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
ในสายตาของมนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขา ในอาณาเขตของจังหวัดหลงโจวที่กว้างใหญ่มากเป็นพิเศษซึ่งถือเป็นอาณาเขตของต้าหลีเก่านี้ ก็แค่มีพายุฝนตกกระหน่ำติดต่อกัน เวลากลางวันดั่งยามค่ำคืน ฟ้าดินมืดสลัวราง กระแสน้ำซัดเชี่ยวไหลบ่าเท่านั้น
เพียงแต่ว่าในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว นี่กลับเป็นการเดินลงน้ำกลายร่างเป็นเจียวที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง
ในเมื่อเพ่ยเซียงพูดขึ้นมาก่อน อีกทั้งตอนนี้ยังใกล้ถึงบ้านเกิดแล้ว จูเหลี่ยนจึงไม่ปิดบังอะไรอีก “นางชื่อว่าหงเซี่ย ฝึกตนอยู่บนภูเขาใต้อาณัติลูกหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วมานานแล้ว ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกับเจ้าได้ครึ่งตัว ต่างก็เป็นสตรี หากนิสัยเข้ากันได้ วันหน้าพวกเจ้าก็ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ภูเขาลั่วพั่วไม่มีข้อห้ามเรื่องภูเขาเล็กไม่เล็กอะไร ล้วนเปิดเผยตรงไปตรงมา ใกล้ชิดห่างเหินมีความต่างก็คือมีความต่าง”
ถึงอย่างไรบนภูเขาก็มีกฎอยู่แค่ไม่กี่ข้อนั้น ขนาดหมี่ลี่น้อยก็ยังท่องได้แม่นยำจำได้ขึ้นใจ
——