กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 717.4 เจี่ยเซิงทำให้คนผิดหวัง
สำนักชิงเหลียงแห่งอุตรกุรุทวีปมีเจ้าสำนักคือเฮ้อเสี่ยวเหลียง
ข้างกายของนางมีเทพหญิงฉีลู่ที่เดินออกมาจากภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังของชายหาดโครงกระดูกติดตามมา
นางได้รับคำสั่งให้มายืนอยู่ด้านหลังเฮ้อเสี่ยวเหลียงผู้เป็นเจ้านาย เพราะเมื่อครู่นี้นางแค่มองสตรีชุดเขียวแวบเดียวก็รู้สึกปวดตา แล้วจิตใจก็เริ่มไม่สงบสุข
เฮ้อเสี่ยวเหลียงกับผู้เฒ่าพายเรือที่เป็นศิษย์พี่ครึ่งตัว ก่อนหน้านี้ได้รับคำสั่งที่ลี้ลับมากฉบับหนึ่งจากอาจารย์
มีแค่สองเรื่องเท่านั้น เรื่องหนึ่งเกี่ยวข้องกับเฉินหลิงจวิน จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ก็คือให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับมาที่แจกันสมบัติทวีปอีกครั้ง ให้ไปหาจื้อกุยแห่งตรอกหนีผิงและหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็สามารถถือโอกาสนี้ไปพบกับศิษย์พี่บางคนได้
ส่วนผู้เฒ่าคนพายเรือ เมื่อเทียบกับศิษย์น้องคนนั้น เขาอยากไปพบกุ้ยฮูหยินที่นครมังกรเฒ่ามากกว่า
หลี่ซีเซิ่งเดินก้าวเดียวก็ข้ามผ่านทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาถึงนอกประตูใหญ่บนถนนฝูลวี่ที่เป็นบ้านเกิด
หลังจากไปพบท่านพ่อท่านแม่แล้ว หลี่ซีเซิ่งก็ยังมาสระน้ำเล็กๆ ของน้องสาว
มองดูปูตัวเล็กสีทองตัวหนึ่งที่อยู่ในนั้นแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องพูดถึงจิตใจที่ไร้ความหวาดกลัวต่อบ่อสายฟ้า ต่อให้อยู่ในถิ่นของราชามังกรแห่งท้องทะเลก็ยังกล้ากำเริบเสิบสานไร้ยำเกรง”
……
จูเหลี่ยนกับเพ่ยเซียงเดินออกมาจากภูเขาฉีตุน ยังคงเดินกลับกันไปอย่างเชื่องช้า พอขยับเข้าใกล้ประตูตีนเขาของภูเขาลั่วพั่ว เพ่ยเซียงก็มองเห็นแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งยืนเอาสองมือกอดอก กอดไม้เท้าเดินป่าสีเขียวกับคานหาบสีทองไว้ในอ้อมอก ยืนตัวตรงแน่ว เบิกตากว้าง ดูเหมือนว่าจะเป็น…ภูตน้ำน้อย? ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูภูเขา
เพ่ยเซียงหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ไหว “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้านี่ช่าง…”
ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาบรรยายขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วดีแล้ว
จูเหลี่ยนเอ่ยอธิบาย “นางคือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วเราเชียวนะ”
เพ่ยเซียงหลุดเสียงหัวเราะ
จูเหลี่ยนกล่าว “ไม่ได้โกหกเจ้าสักหน่อย หมี่ลี่น้อยคือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่มีชื่อบนทำเนียบของภูเขาลั่วพั่ว เก้าอี้ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อก็อยู่แถวหน้าๆ ด้วย”
เพ่ยเซียงกึ่งเชื่อกึ่งกังขา “จริงหรือ?!”
จูเหลี่ยนหัวเราะร่วน “ใช่แล้ว อีกเดี๋ยวพอเจ้าได้เจอกับหมี่ลี่น้อยก็เอ่ยทักทายอย่างตรงไปตรงมาได้เลยว่า ‘เจ้าก็คือภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ในตำนานเองหรือ’ นางจะต้องดีใจมากแน่ๆ”
เขาถอดหน้ากากบนใบหน้าออก กลับคืนมาสวมใบหน้าที่เป็นของพ่อครัวเฒ่าแห่งภูเขาลั่วพั่วอีกครั้ง
เพ่ยเซียงเองก็ถอดหน้ากากออกเช่นกัน จากนั้นก็ร่ายเวทอำพรางตาทับไปอีกที
โจวหมี่ลี่ขยี้ตา แล้วรีบวิ่งทะยานเข้ามาหาจูเหลี่ยน พูดเสียงสะอื้นไห้ “พ่อครัวเฒ่า พ่อครัวเฒ่า! ข้านึกว่าเจ้าหลงทาง ไม่รู้ว่าควรจะกลับมาบ้านอย่างไรเสียแล้ว! แล้วข้าก็ดันไม่กล้าไปรับเจ้าที่เมืองหงจู๋…”
แม่นางน้อยเสียใจจนพูดไม่ออก
ไม่มีเวลามาสนใจศักดิ์ศรีหน้าตาอะไรอีกแล้ว แล้วยังยอมรับไปโดยไม่ทันระวังอีกว่าตัวเองไม่กล้าไปเมืองหงจู๋และแม่น้ำอวี้เย่
จูเหลี่ยนยื่นมือไปลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย กระดกห่อสัมภาระใบใหญ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังให้นางดู ยิ้มเอ่ยว่า “ลองเดาดูสิว่ามีอะไร”
หมี่ลี่น้อยเช็ดน้ำตา หันไปมองหญิงสาวที่อยู่ข้างกายพ่อครัวเฒ่าอย่างขลาดๆ แล้วก็รีบเม้มปากแน่น ก่อนยอบตัวคารวะต่อเพ่ยเซียง
เพ่ยเซียงคลี่ยิ้มบางๆ พยักหน้ารับ
เมื่อครู่นี้มัวแต่มองดูว่าพ่อครัวเฒ่าอ้วนขึ้นหรือผอมลงจึงไม่ทันสังเกตเห็นพี่สาวที่หน้าตางดงามผู้นี้
เพ่ยเซียงพลันนึกถึงคำเตือนของจูเหลี่ยนขึ้นมาได้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าก็คือภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้หรือ?”
โจวหมี่ลี่อึ้งตะลึงอยู่กับที่ อยู่ดีๆ นางก็ไม่รู้ว่าควรจะเกาแก้มหรือว่าเกาหัวดี
ว้าว
เหตุใดพี่สาวคนนี้ถึงงดงามน่ามองขึ้นอีกแล้วล่ะ
นี่คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าสตรีพอเติบใหญ่ก็เปลี่ยนไปได้สารพัดแบบอย่างที่เผยเฉียนชอบพูดถึงกระมัง?
เฮ้อ เปลี่ยนกะผีอะไรเล่า เติบใหญ่มีอะไรดีตรงไหน แต่หมี่ลี่น้อยกลับไม่กล้าพูดกับเผยเฉียนเช่นนี้
โจวหมี่ลี่นึกถึงคำถามของพ่อครัวเฒ่าขึ้นมาได้จึงเอ่ยเบาๆ ว่า “คือตำราเทพเซียนที่เผยเฉียนพูดถึงหรือ? ด้านบนวาดคนจิ๋วที่ต่อสู้กันเอาไว้? น่าเสียดายที่เผยเฉียนไม่ยอมบอกมากกว่านี้ ขอให้ข้าดูหน่อยได้ไหมล่ะ? ทุกวันนี้ข้าชอบอ่านตำรา และความรู้ก็ยิ่งใหญ่มากด้วยล่ะ หึหึ รอให้เผยเฉียนกลับมาบ้านเมื่อไหร่จะทำให้นางตกใจขวัญหนีไปเลย”
จูเหลี่ยนหน้าแดงก่ำ เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “คือเมล็ดแตงต่างหาก”
โจวหมี่ลี่ทอดถอนใจหนึ่งที ก่อนพูดเหมือนคนแก่ว่า “โตขนาดนี้แล้วยังจะแทะเมล็ดแตงอีกนะ”
แต่เพียงไม่นานแม่นางน้อยก็ยิ้มเอ่ย “ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว งั้นก็ช่างมันเถอะ!”
จูเหลี่ยนยิ้มพลางพยักหน้ารับ
ขนบธรรมเนียมของภูเขาบ้านเกิดที่ไม่ได้เจอมานาน ในที่สุดก็ไม่ต้องได้แต่คอยคิดถึงอยู่ไกลๆ แล้ว
ข้ากลับมาถึงบ้านเกิด อยู่ในภูเขาลูกนี้แล้ว
ภูตน้ำน้อยตนหนึ่งเหมือนเปลี่ยนมาเป็นนกกระจิบตัวน้อยบนภูเขาที่คอยกระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายจูเหลี่ยน พูดเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องในบ้านในเขาฟัง
เรื่องบางอย่างที่พูดไม่ได้ หมี่ลี่น้อยก็จะไม่พูด คนหัวไวบนภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนมาเป็นอันดับหนึ่ง นางอันดับสอง พี่หญิงหน่วนซู่ได้แต่อยู่อันดับที่สาม!
เพ่ยเซียงรู้สึกว่าเหลวไหลสิ้นดี ได้แต่ใช้เสียงในใจสอบถามว่าแม่นางน้อยเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วจริงๆ หรือ?
ตำแหน่งผู้พิทักษ์ในพรรคและตระกูลเซียนที่อยู่บนภูเขามีน้ำหนักมากอย่างถึงที่สุด ถูกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลขนานนามให้เป็นค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำครึ่งตัว
เพ่ยเซียงแน่ใจว่าภูตน้ำน้อยตนนี้ขอบเขตไม่ใช่แค่ไม่สูง แต่ยังต่ำจนไร้เหตุผล ในเมื่อแม่นางน้อยเป็นถึงผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา หรือว่าหงเซี่ยก็คือผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้าย? หรือว่าจะเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว?
ทว่าจูเหลี่ยนกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เอาแต่สนใจฟังเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งจากแม่นางน้อย
เพ่ยเซียงหัวเราะอย่างฉุนๆ
สมควรแล้วที่เจ้าถูกเรียกว่าพ่อครัวเฒ่า
ในขณะที่เพ่ยเซียงกำลังอัดอั้นตันใจอยู่นั้น เพียงไม่นานความรู้สึกก็เปลี่ยนมาเป็นผวาพรั่นพรึง
บุรุษรูปโฉมหล่อเหลาสวมชุดสีขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวจากความว่างเปล่า ยิ้มบางๆ เอ่ยกับจูเหลี่ยนว่า “เจ้านี่ช่างเลียนแบบได้เหมือนยิ่งนัก ทำตัวเป็นเถ้าแก่สะบัดมือทิ้งร้านจนติดใจมากเลยใช่ไหม? นี่มันผ่านไปตั้งกี่ปีแล้ว?”
เพ่ยเซียงรู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้รูปงามดุจขุนเขาหยก
ในสายตาของนาง รูปโฉมของคนผู้นี้ด้อยกว่าจูเหลี่ยนแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ซานจวินเว่ยป้อ!
มีตำแหน่งเทพเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาภูเขาสายน้ำอาณาเขตทิศเหนือของทวีป
จูเหลี่ยนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “จากบ้านเกิดไปนาน ถึงขั้นคิดถึงพี่เว่ยแล้ว”
เว่ยป้อกระตุกมุมปาก “เลิกพูดไปเลย”
เจ้าไม่มีเมตตาก็อย่าหาว่าข้าไร้คุณธรรม จูเหลี่ยนรีบถูหมัดทันที “ตบะของซานจวินเพิ่มขึ้นพรวดพราด ตามหลักแล้วฟ้าดินควรร่วมอวยพร รอให้กลียุคสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ พวกเรามาจัดงานเลี้ยงท่องราตรีอย่างชอบด้วยเหตุผลกันสักครั้ง!”
เว่ยป้อไม่ได้สนใจจูเหลี่ยน หันไปผงกศีรษะทักทายเจ้าแห่งแคว้นหู
พอจะเดาแผนการของจูเหลี่ยนได้คร่าวๆ แล้ว ชั่วร้ายจริงๆ จอบนี้ของจูเหลี่ยนขุดลงไปก็ขุดเอาต้นกำเนิดทรัพย์สมบัติของสกุลสวี่นครลมเย็นมาถึงครึ่งหนึ่งโดยตรง
เพ่ยเซียงรีบยอบตัวคารวะใต้เท้าซานจวิน
เรือนกายของนางอรชรอ้อนช้อย มีเสน่ห์และความงามตามธรรมชาติ ไม่ใช่ว่านางจงใจทำ
หมี่ลี่น้อยยิ้มเรียกเว่ยซานจวิน เว่ยซานจวิน เว่ยซานจวิน เวลาปกติจะเรียกแค่สองรอบ วันนี้นางดีใจมากจริงๆ จึงเรียกเพิ่มอีกรอบ
เว่ยป้อรู้ใจ ค้อมเอวลงน้อยๆ แบฝ่ามือออก
หมี่ลี่น้อยวางเมล็ดแตงลงไปกำใหญ่
เว่ยป้อเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำแล้วเริ่มแทะเมล็ดแตงอย่างเป็นธรรมชาติ ใช้เสียงในใจพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับจูเหลี่ยน
ทำเอาเพ่ยเซียงที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วถึงกับหนังตากระตุก
จูเหลี่ยนฟังเรื่องที่เว่ยป้อพูดแล้วหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าลูกกระต่ายผู้นั้นช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ครั้งหนึ่ง”
ที่แท้กากเดนราชวงศ์จูอิ๋งที่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วจึงหลบหายนะไปได้อย่างไม่ง่ายผู้นั้นก็ได้รับคำสั่งลับจากต้าหลีฉบับหนึ่งเช่นกัน แต่กลับไม่ได้ไปที่หอบินทะยาน นี่เท่ากับว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มละทิ้งโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าในการเป็นศาลาใกล้น้ำได้ยลแสงจันทร์ก่อนไป
แน่นอนว่านี่เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนอย่างหนึ่งที่ฮ่องเต้สกุลซ่งมีต่อภูเขาลั่วพั่ว ข้าต้าหลีรู้ประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้แล้ว แต่ก็ยังคงยินดีที่จะไม่ตำหนิเรื่องความผิดในอดีต มือปราบของหน่วยจานกานของกรมอาญาจะหยุดมือนับแต่นี้
จูเหลี่ยนค่อนข้างจะพอใจในทางเลือกของเจ้าสุนัขไร้บ้านผู้นั้น ฉลาดอย่างมาก ไม่ได้ได้คืบแล้วจะเอาศอก ภูเขาลั่วพั่วมอบที่พักพิงให้เขาก็ต้องรู้จักพอ หากยังกล้าอาศัยภูเขาลั่วพั่วไม่รู้จักหนักเบา เข้าใจผิดคิดว่ายันต์ช่วยชีวิตแผ่นหนึ่งที่ใช้แล้วก็หมดสิ้นกันไปสามารถเอามาทำเป็นยันต์คุ้มกันกายที่ใช้ได้อย่างยาวนาน ถ้าอย่างนั้นจูเหลี่ยนก็คงต้องแปะยันต์เร่งชีวิตลงบนศพของเขาแล้ว
ไม่อย่างนั้นเมื่อกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว เรื่องที่สองที่จูเหลี่ยนจะทำ แน่นอนว่าต้องเป็นการถามหมัด
และการถามหมัดของจูเหลี่ยนก็ต้องแบ่งเป็นตายเสมอ
ส่วนเรื่องแรกนั้น แน่นอนว่าต้องมอบเมล็ดแตงให้กับพวกหน่วนซู่ หมี่ลี่เสียก่อน จากนั้นทำอาหารตามฤดูกาลอร่อยๆ อีกโต๊ะใหญ่ ถึงเวลานั้นค่อยปลดผ้ากันเปื้อนไปถามหมัด
จูเหลี่ยนเงยหน้าขึ้น
เพ่ยเซียงเห็นเพียงว่าบนภูเขามีบุรุษชุดเขียวคนหนึ่งเดินลงมาช้าๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนโยน
จูเหลี่ยนอึ้งตะลึง
ชำเลืองตามองเว่ยป้อ
เว่ยป้อจงใจไม่พูดถึงเรื่องของคนผู้นี้ ถึงอย่างไรพี่จูก็กลับบ้านมาแล้ว ก็ให้เขาไปดูเองแล้วกัน
หลายปีที่วางแผนอย่างลับๆ อยู่ในนครลมเย็น เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน หลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกสิ่งที่ทำมาสูญเปล่า จูเหลี่ยนจึงไม่เคยส่งจดหมายลับใดๆ ให้แก่ภูเขาลั่วพั่ว
เพราะถึงอย่างไรสตรีออกเรือนแล้วสกุลสวี่ผู้นั้นก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันอะไรเลยจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่อาศัยแคว้นหูมารวบรวมโชคชะตาบุ๋นอย่างลับๆ ต่อให้จนถึงตอนนี้ อันที่จริงจูเหลี่ยนก็ค้นพบเบาะแสมานานแล้ว ทว่าเพ่ยเซียงกลับยังคงไม่ได้บอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมา
ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงไม่รู้สถานะของคนผู้นี้จริงๆ
เพียงแต่มองออกว่าอีกฝ่ายคือผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตไม่ต่ำคนหนึ่ง
หมี่อวี้ใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยกับจูเหลี่ยน “คารวะผู้ดูแลใหญ่ ข้ามาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ นามว่าหมี่อวี้ หมี่ที่แปลว่าข้าวสาร อวี้ที่แปลว่าอุดมสมบูรณ์ เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว พี่จูสามารถเรียกข้าว่าอวี๋หมี่ได้”
จูเหลี่ยนกุมหมัดคารวะยิ้มเอ่ย “น้องอวี๋หน้าตาหล่อเหลาคมคายถึงเพียงนี้ ช่วยเพิ่มสีสันให้กับภูเขาลั่วพั่วเราได้เยอะเลย”
หมี่อวี้รีบกุมหมัดคารวะกลับคืน “มิกล้า มิกล้า”
เว่ยป้อคลี่ยิ้มมีเลศนัย
โจวหมี่ลี่หันไปขยิบตาให้อวี๋หมี่ จากนั้นก็เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ส่งสายตาไปยังห่อผ้าที่อยู่ด้านหลังพ่อครัวเฒ่า บอกเป็นนัยแก่หมี่อวี้ว่าวันนี้พ่อครัวเฒ่ากลับมาบ้านได้ซื้อเมล็ดแตงกลับมาด้วยเยอะเลย
นอกจากที่เพ่ยเซียงจะรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าพวกแล้ว ยังยิ่งรู้สึกตะลึงพรึงเพริดไปกับ ‘น้องอวี๋’ ผู้นี้
ปราณกระบี่เข้มข้นยิ่งนัก!
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะหมี่อวี้จงใจโอ้อวดขอบเขต
เรื่องแบบนี้น่าเบื่อเกินไป
ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพราะหมี่อวี้เพิ่งกลับจากนครมังกรเฒ่ามาถึงภูเขาลั่วพั่วไม่นาน ปราณกระบี่จึงยังมีจิตสังหารสอดแทรกปะปนอยู่ ยังไม่สลายหายไปทั้งหมด มันจึงเผยตัวออกมาตามธรรมชาติ
และนี่ยังเป็นผลลัพธ์จากการที่หมี่อวี้จงใจสยบปณิธานกระบี่เอาไว้แล้วด้วย
นอกจากหมี่อวี้กับจูเหลี่ยนที่ทยอยกันกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว อันที่จริงยังมีคนที่เร่งรุดเดินทางมาอีก
จ้งชิว เฉาฉิงหล่าง ในที่สุดพวกเขาที่ออกเดินทางไกลก็กลับคืนมายังแจกันสมบัติทวีป กลับมาจากทางทิศเหนือ โดยสารเรือข้ามฟากของสำนักพีหมากลับมา
กลับจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมายังแจกันสมบัติทวีปโดยตรง หนึ่งเพราะไม่มีเรือข้ามฟาก สองเพราะอันตรายเกินไป
อาจารย์จ้งจึงพาเฉาฉิงหล่างไปที่ธวัลทวีปก่อน แล้วค่อยไปที่อุตรกุรุทวีป จากนั้นจึงนั่งเรือข้ามฟากเดินทางลงใต้กลับมายังบ้านเกิด
คนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือสุ่ยจิ่งเฉิงกับศิษย์พี่หรงฉ่างจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิง พวกเขาเดินทางจากทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปกลับมายังทิศเหนือ ซึ่งจะต้องผ่านภูเขาลั่วพั่วอีกครั้ง
ระหว่างนี้พวกเขาได้ไปหาลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ที่นครมังกรเฒ่ามาโดยเฉพาะ ลี่ไฉ่ไม่ได้ให้ลูกศิษย์ใหญ่หรงฉ่างอยู่ต่อที่สนามรบ บอกว่าหากต่อสู้จนเลือดขึ้นตาแล้วข้าตายแหงแก๋ไป วันหน้าทะเลสาบกระบี่ฝูผิงจะไม่ถูกคนรังแกปางตายหรอกหรือ ดังนั้นเจ้าหรงฉ่างก็อย่าได้มาร่วมวงความครึกครื้นเลย ถึงอย่างไรทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็มีเจ้าสำนักอย่างข้าคอยช่วยประคับประคองสถานการณ์อยู่ แม้อาจไม่ได้รับชัยชนะจนมีหน้ามีตา แต่เอาเป็นว่าไม่ถึงขั้นต้องขายขี้หน้าก็แล้วกัน
เวลานี้บนภูเขา นอกเรือนไม้ไผ่ ชุยเหวยผู้ฝึกกระบี่ที่ฝึกตนอยู่บนหอบูชากระบี่กลับเตรียมจะลงจากภูเขา
เขาทั้งต้องการมาบอกลากับผู้อาวุโสเซียนกระบี่หมี่อวี้ แล้วก็ถือโอกาสมาเยี่ยมหาเจี่ยงชวี่ที่ฝึกวิชาสายยันต์ด้วย
ชุยเหวยเองก็ไปหอบินทะยานมาแล้วเช่นกัน
เขากลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งแล้ว
ทุกวันนี้ซานจวินขุนเขาเหนืออย่างเว่ยป้อถือว่าเป็นคนที่ค่อนข้างว่างงาน ไม่ใช่ว่าเว่ยป้อแอบอู้ แต่เป็นเพราะศึกใหญ่หลายครั้งที่เกิดขึ้นหลังจากม่านฟ้าเปิดออก ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่ต้องให้เขาลงมือเลย แค่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาอย่างเดียวเท่านั้น คาดว่าวันหน้าเมื่อเจอกับจิ้นชิงซานจวินขุนเขากลางที่เป็นเพื่อนร่วมงานอีกครั้ง เกรงว่าอีกฝ่ายคงพูดจาเหน็บแนมให้ได้ยินไม่น้อย
จูเหลี่ยนลากเอาเว่ยป้อ หมี่อวี้ และยังมีเหวยเหวินหลงนักบัญชีมาปรึกษาเรื่องสำคัญด้วยกัน
มีเรื่องมากมายเหลือเกินที่ต้องปรึกษาหารือกัน อีกทั้งยังไม่มีเรื่องใดที่เป็นเรื่องเล็กอีกด้วย
แม้แต่เรื่องของการจัดวางแคว้นหูก็ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
เพ่ยเซียงตามเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนามว่าเฉินหน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยที่ท่าทางพิลึกพิลั่นไปเข้าพักในเรือนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง
อารมณ์ของเพ่ยเซียงซับซ้อน ตอนกลางคืนจึงนอนไม่หลับ เลยออกมาจากที่พักแล้วเดินเล่นไปเพียงลำพัง สุดท้ายไปนั่งอยู่บนขั้นบันไดบนยอดเขา
ขนาดตัวนางเองยังรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองในเวลานี้ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ตอนที่ยังมาไม่ถึงภูเขาลั่วพั่วก็เอาแต่กลัวว่ารากฐานของภูเขาลั่วพั่วจะเปราะบางเกินไป คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว เรื่องประหลาดกลับเกิดขึ้นติดกันครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้นางได้แต่มองตาไม่กะพริบ ในใจจึงอดกระวนกระวายไม่ได้
จากนั้นเพ่ยเซียงก็สังเกตเห็นว่าจูเหลี่ยนน่าจะคุยธุระจบแล้ว เวลานี้จึงกำลังฝึกท่าเดินนิ่งลงจากภูเขาไปพร้อมกับเฉินยวนจี
จูเหลี่ยนค้นพบว่าวิชาหมัดของเฉินยวนจีพัฒนาไปไม่น้อย รู้ว่านางได้รับคำชี้แนะจากหลิวสือลิ่ว
จูเหลี่ยนบอกให้เฉินยวนจีฝึกเดินนิ่งขึ้นเขาต่อไป ส่วนเขาก้าวเร็วๆ ขึ้นมาบนยอดเขา มานั่งลงข้างกายเพ่ยเซียง
จูเหลี่ยนเอ่ยเสียงเบา “เพิ่งจะคืนสติรับรู้ได้ว่าที่แท้ตัวเองมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแล้วใช่หรือไม่? ไม่เป็นไร ใช้เวลาไม่นานเจ้าก็จะเคยชินไปเอง”
เพ่ยเซียงถามเสียงแผ่ว “เหยียนฟ่าง ในใจเจ้าคอยแอบหัวเราะเยาะว่าข้าคือกบใต้บ่ออยู่ตลอดใช่หรือไม่?”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ทำไมถึงกลายเป็นคนอารมณ์เปราะบางขี้น้อยใจเช่นนี้ไปได้ ในความทรงจำของข้า เจ้าแห่งแคว้นหูนครลมเย็นคือวีรสตรีคนหนึ่ง เชี่ยวชาญการคิดคำนวณ กล้าตัดสินใจ แล้วยังงดงามอีกด้วย”
——