กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 717.6 เจี่ยเซิงทำให้คนผิดหวัง
อวี้เจวี้ยนฟูเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเผยเฉียน มองเด็กน่าสงสารที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกแล้วพูดกับเผยเฉียนว่า “หมัดนั้น ขอบคุณมาก”
เผยเฉียนเค้นรอยยิ้มส่งไปให้พร้อมส่ายหน้าเบาๆ
หมัดก่อนหน้านี้ของนางที่ช่วยอวี้เจวี้ยนฟูซึ่งอยู่ไกลบนสนามรบเรียนรู้มาจากสายของผู้อาวุโสเพ่ยแห่งศาลเหลยกง ดังนั้นเผยเฉียนจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรให้ต้องขอบคุณ หากอาจารย์พ่อรู้เข้า จะทำร้ายให้ตนต้องกินมะเหงกเปล่าๆ หนึ่งลูกหรือไร?
บุรุษหนุ่มที่สวมชุดขาวสะดุดตาอย่างถึงที่สุดยืนอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่งเพียงลำพัง
บนเส้นทางการฝึกตน ใต้หล้ามืดสลัวมีเต๋าเหล่าเอ้อที่ถูกขนานนามให้เป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงในหลายๆ ใต้หล้า
บนเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ คนผู้นี้ก็มีมาดของคนที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงอยู่หลายส่วน
เพราะถึงอย่างไรเบื้องหน้าเขาก็ยังมีอาจารย์ที่เป็นเทพีแห่งการต่อสู้รอคอยเขาอยู่
เฉาสือไม่เพียงแต่ออกหมัดสังหารศัตรู ยังสามารถออกหมัดช่วยคนได้อีกด้วย
ส่วนเผยเฉียนนั้นอย่างมากสุดก็ได้แค่แบ่งสมาธิไปคอยระวังความปลอดภัยให้กับพี่หญิงไจ้ซี นี่ยังเป็นเพราะว่าอวี้เจวี้ยนฟูรบเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ไม่ห่างจากนางด้วย
ทว่าเฉาสือผู้นั้น สองหมัดกลับสามารถดูแลสนามรบที่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุดได้
ไม่เสียแรงที่เป็นดาวพิฆาตเพียงหนึ่งเดียวบนเส้นทางวรยุทธของอาจารย์พ่อ
อาจารย์พ่อหาคู่ต่อสู้ กับอาจารย์พ่อทำอะไร ล้วนเหมือนกันหมด นั่นคือล้วนเก่งกาจยอดเยี่ยมเสมอมา
เพียงแต่ว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่หามาได้ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเอาออกมาเป็นหน้าเป็นตาได้สักเท่าไร
เผยเฉียนพูดกับเด็กคนนั้น “ลุกขึ้นมา ตอนที่สมควรแกล้งตายค่อยแกล้งตาย ตอนที่สมควรลุกขึ้นยืนก็ต้องลุกขึ้นยืน ลุกขึ้นแล้วค่อยก้มหน้า แบบนี้ถึงจะมีชีวิตอยู่ไปได้ยาวนาน หากยังอยู่ที่นี่ต่อ ตายก็คือตายจริงๆ แล้ว”
อันที่จริงเผยเฉียนสังเกตเห็นเด็กประหลาดคนนี้มานานแล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาสนใจ
เด็กคนนี้ คือเผ่าปีศาจ
แต่อยู่บนสนามรบ ‘เด็กชาย’ ที่มีชาติกำเนิดจากเกราะทองทวีปกลับยอมตายเพื่อปกป้องคนผู้หนึ่ง น่าเสียดายก็แต่คนที่เด็กชายยอมทุ่มชีวิตปกป้องนั้นตายอย่างไม่เหลือซากศพไปนานแล้ว ส่วนเด็กชายที่เพิ่งกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ไม่นานเท่าไร เพียงแค่ถูกเวทคาถาสายหนึ่งพุ่งมาโดน ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยการที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้น ดังนั้นก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเขาแกล้งตาย แต่เป็นเพราะหมดสติไปจริงๆ รอจนกระทั่งฟื้นคืนสติถึงได้เริ่มแกล้งตาย
สุดท้ายเด็กชายก็ลุกขึ้นยืน เดินขากะเผลกติดตามมาด้านหลังเผยเฉียนเงียบๆ
เผยเฉียนเดินเร็ว เขาก็เดินเร็ว เผยเฉียนเดินช้า เขาก็เดินช้า
อวี้เจวี้ยนฟูไม่ได้ปิดบังอำพราง นางพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เผยเฉียน ขอข้าปากมากพูดสักคำ วันหน้าหากเจ้าต้องออกหมัดแล้วยังต้องดูแลเด็กคนหนึ่งให้ดีด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ”
อวี้เจวี้ยนฟูไม่ได้เกิดยอกแสลงใจเพียงเพราะเด็กคนนี้มีชาติกำเนิดจากเผ่าปีศาจ
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ยากมาก”
นางหันหน้ามามองเด็กชายที่หยุดเดินในเสี้ยววินาที
ดูเหมือนว่าพอคนผู้นั้นตายไป กลิ่นอายของสัตว์ป่าดุร้ายบนร่างของเด็กชายก็เริ่มมารวมตัวกันอีกครั้ง ทำให้เปลี่ยนไปเป็นภูตแห่งขุนเขาที่ยังฝึกตนได้ไม่นาน จึงไม่ค่อยเชี่ยวชาญการอำพรางรูปโฉมเดิมของเผ่าปีศาจสักเท่าไร
เศร้าเสียใจลึกล้ำจนจิตใจตายด้าน
เผยเฉียนหยุดเดิน หันหน้าไปมองเด็กคนนั้น ถามด้วยภาษากลางของเกราะทองทวีป “ต้องการเรียนวิชาหมัดจากข้าหรือไม่?”
เด็กคนนั้นนิ่งเฉยไม่สะท้านสะเทือน เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
อวี้เจวี้ยนฟูขมวดคิ้ว เพราะนางมองเห็นความเกลียดแค้นที่สลักลึกลงกระดูกจากสายตาของเด็กคนนั้น เป็นความเกลียดแค้นที่มีให้ทั้งกับตนและกับเผยเฉียน ดูเหมือนว่ากับใต้หล้าทั้งใบและวิถีทางโลกก็ล้วนเป็นเช่นนี้
ไม่มีเหตุผล ทว่าเรื่องจริงกลับเป็นเช่นนี้
เด็กคนนั้นมองประสานสายตากับเผยเฉียน ในที่สุดเขาก็ยินดีเปิดปากพูด เขายื่นมือออกมาข้างหนึ่ง น้ำเสียงแหบพร่าฟังอู้อี้ไม่ชัดเจน คล้ายกับว่าถูกทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาเป็นเหตุให้แม้แต่การพูดจาก็ยังเป็นเรื่องยาก
เป็นนานกว่าอวี้เจวี้ยนฟูจะฟังได้ชัดเจน เด็กคนนั้นพูดว่า ‘เอาเงินให้ข้ายืม ข้าจะจากไป เงินซื้อชีวิต วันหน้าจะใช้คืนให้’
เผยเฉียนเอ่ย “เรียนวิชาหมัดสามารถหาเงินได้”
เด็กคนนั้นสีหน้าไร้อารมณ์ ก้มหน้าลง
อวี้เจวี้ยนฟูรู้สึกจนใจเล็กน้อย เผยเฉียนกับเด็กคนนี้ นี่มันอะไรกับอะไรกันนะ
……
ตำหนักพยัคฆ์เขียวยอดเขาเทียนแจว๋ใบถงทวีป ลู่ยงก่อกำเนิดผู้เฒ่ามีใจคิดว่าต้องตายแน่แล้ว เขาไปหาแม่ทัพบู๊ผู้นำของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ บอกว่าต้องการทำการค้าครั้งหนึ่งกับราชวงศ์ต้าหลีตามกฎบนภูเขาที่ราชครูเป็นผู้กำหนด
แม่ทัพบู๊ที่เรือนกายแข็งแกร่งบึกบึนพยักหน้ารับ บอกว่าสามารถปรึกษากันได้ จากนั้นก็เรียกเลขาธิการฝ่ายบุ๋นของต้าหลีมาทันทีสองคน เพื่อมาปรึกษารายละเอียดกับก่อกำเนิดเฒ่าจากต่างถิ่นผู้นี้ ตอนที่มาพวกเขายังพกบันทึกลับมาด้วยหนึ่งเล่ม เรื่องที่บันทึกเอาไว้ก็คือข้อมูลอย่างละเอียดของตำหนักพยัคฆ์เขียวและลู่ยงแห่งใบถงทวีป เลขาธิการฝ่ายบุ๋นคนหนึ่งจึงเสนอแนะกับแม่ทัพบู๊ว่า ลู่ยงไม่ต้องไปสนามรบเพื่อสังหารปีศาจแลกคุณความชอบทางการสู้รบ แค่หลอมโอสถก็พอแล้ว คุณความชอบที่ได้มีแต่จะใหญ่ยิ่งกว่า แม่ทัพบู๊คนนั้นขมวดคิ้ว ถามขุนนางบุ๋นคนนั้นอย่างตรงไปตรงมาว่า การหลอมยาสามารถนำมาคิดเป็นคุณความชอบทางการสู้รบ สรุปแล้วคิดคำนวณอย่างไร ลู่ยงผู้นี้วางชีวิตมาปรึกษาเรื่องนี้กับพวกเรา รบกวนช่วยพูดให้ละเอียดสักหน่อย เลขาธิการฝ่ายบุ๋นจึงปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านข้างอย่างละเอียด จากนั้นก็ป่าวประกาศวิธีการที่ถูกต้องชัดเจนตามระเบียบที่ต้าหลีกำหนดไว้ต่อหน้าแม่ทัพบู๊และลู่ยงอย่างตรงไปตรงมา
ขุนนางบุ๋นคนนี้พูดจารัวเร็ว ถ้อยคำที่ใช้กระชับแม่นยำ ไม่มีจุดใดที่เลอะเลือนแม้แต่น้อย
ยกตัวอย่างเช่นวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินทั้งหมดที่จำเป็นต่อการหลอมโอสถล้วนไม่ต้องให้ลู่ยงและตำหนักพยัคฆ์เขียวเป็นผู้ออก เพียงแต่ว่าไม่อาจคิดค่าแรงจากต้าหลีได้
ยกตัวอย่างเช่นวิชาการหลอมโอสถสองสามชนิดของตำหนักพยัคฆ์เขียว หากสามารถให้ผลลัพธ์ที่เห็นผลทันตาต่อผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ถ้าอย่างนั้นขอแค่ลู่ยงยินดีเปิดเผยแก่ต้าหลีก็สามารถถือเป็นคุณความชอบที่น่าดูชมอย่างหนึ่งได้
แม่ทัพบู๊เพียงแค่สอดปากเอ่ยประโยคเดียว เจ้าลู่ยงวางใจได้เลย หากไม่ยินดีมอบตำรับหลอมโอสถเซียนที่สืบทอดกันอย่างลับๆ ต้าหลีย่อมไม่มีทางสร้างความลำบากใจให้กับตำหนักพยัคฆ์เขียวด้วยเหตุนี้อย่างแน่นอน ยิ่งไม่มีทางคิดบัญชีกับเจ้าภายหลัง
ลู่ยงปิติยินดีอย่างยิ่งยวด ฝืนข่มกลั้นความตื่นเต้นในใจเอาไว้แล้วตอบตกลงไปทีละข้อ
ตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แม้แต่เรื่องที่ว่าผู้ฝึกตนหลอมโอสถทุกคนของตำหนักพยัคฆ์เขียวและลู่ยงควรไปอยู่ที่ใด ไปอย่างไร ราคาของโอสถแต่ละชนิดควรจะหักเป็นคุณความชอบทางการสู้รบอย่างละเอียดอย่างไร คนที่ประสานงานซึ่งมาพักอยู่ชั่วคราวคือใคร เลขาธิการฝ่ายบุ๋นสองคนนั้นล้วนบอกแก่ลู่ยงอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
คุยธุระเสร็จ ขุนนางบุ๋นสองคนที่ต่างก็อายุไม่มากพากันจากไปอย่างรวดเร็ว
แม่ทัพบู๊เพียงแค่กุมหมัดให้ ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำเกรงใจมีมารยาทอะไรกับพวกเขา
ลู่ยงทอดถอนใจอยู่ในใจ
ที่แท้กองทัพชายแดนต้าหลีไปมารวดเร็วดุจสายฟ้าแลบก็ไม่ได้มีแค่บนสนามรบเท่านั้น
แม่ทัพบู๊ต้าหลีที่รับผิดชอบคอยจับตามองผู้ฝึกตนต่างถิ่นอยู่ที่นี่ ทุกครั้งที่สวมเสื้อเกราะติดดาบตรวจตราพันธนาการของขุนเขาสายน้ำ บางครั้งที่มองพวกเทพเซียนที่คล้ายถูกล้อมคอกเลี้ยงเอาไว้ สายตาของบุรุษล้วนเต็มไปด้วยความเย็นชา
การที่เขายอมพูดคุยเรื่องการค้ากับก่อกำเนิดผู้เฒ่าจากใบถงทวีปที่เชี่ยวชาญการหลอมยาผู้นี้ เป็นเพราะหน้าที่ของกองทัพชายแดนต้าหลีที่ต้องทำเท่านั้น
กองทัพชายแดนต้าหลีมีกฎรุนแรงที่สุด ไม่ปล่อยให้ใครเพิกเฉยได้ กฎระเบียบน้อยใหญ่เหล่านั้นล้วนสลักลึกลงไปในกระดูกของเหล่าผู้ฝึกยุทธแล้ว
กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพไม่มีการแบ่งบนภูเขาล่างภูเขาอะไร ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธทุกคน
แต่ในเมื่อตอนนี้คุยเรื่องการค้ากันจบแล้วก็ไม่มีเรื่องให้ต้องกริ่งเกรงอะไรมากนัก ก่อนที่ชายฉกรรจ์จะจากไปพลันคลี่ยิ้ม กุมหมัดเอ่ยเสียงทุ้มหนักกับผู้ฝึกตนเฒ่า “แค่อาศัยการที่เจินเหรินผู้เฒ่ายอมพาตัวมาตายอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ข้ากับสหายร่วมรบทั้งหลายล้วนจดจำตำหนักพยัคฆ์เขียวแห่งยอดเขาเทียนแจว๋เอาไว้แล้ว นักสู้บนสนามรบจะจำได้หรือไม่ได้ แน่นอนว่ามิอาจนับเป็นอะไรได้ เพียงแค่อยากบอกความในใจให้เจินเหรินผู้เฒ่าฟังเท่านั้น”
ชายฉกรรจ์ก้าวยาวๆ จากไป เสียงเกราะเหล็กกระทบกันดังเคร้งคร้าง ทิ้งไว้เพียงเงาแผ่นหลังให้กับผู้เฒ่า
ลู่ยงอดไม่ไหวหันไปกุมหมัดคารวะแผ่นหลังของแม่ทัพบู๊คนนั้น ก่อนจะลดมือลงอย่างขัดเขิน หมุนตัวก้าวเท้าเร็วๆ เดินจากไป เขายังมีงานให้ต้องทำ!
บนสนามรบของนครมังกรเฒ่าที่ห่างไปไกล
ภิกษุสมณศักดิ์สูงจากวัดใหญ่ กับนักพรตไม่ทราบชื่อคนนั้นรบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน
นักพรตเฒ่าคลี่ ‘เทียบแรกฟ้าเปิด’ ที่เขียนด้วยอักษรสิงซูซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้า เนื้อหามีแค่ยี่สิบแปดคำ ทว่าตราประทับที่คนรุ่นหลังทำขึ้นมากลับมีมากถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองตัวอักษร
แต่ละตัวล้วนเป็นอักขระยันต์ เป็นหุ่นเชิดเกราะทองที่พากันทุ่มกระแทกเข้าใส่กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ
คือผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบอย่างสมชื่อ ทว่ากลับไร้นามไร้สัญชาติอยู่ในแจกันสมบัติทวีป
เว้นจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว โชคชะตาบู๊ของแจกันสมบัติทวีปก็ไม่แพ้ให้กับอีกเจ็ดทวีปที่เหลือเลย ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเทียบกับธวัลทวีปแล้วยังมีโชคชะตาบู๊โชติช่วงกว่าด้วยซ้ำ
ทว่าหากจะให้พูดถึงจำนวนผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของในทวีปกลับมีน้อยจนเรียกว่าอัตคัดขัดสน
ส่วนภิกษุเฒ่าคนนั้นก็โยนคักขราชิ้นนั้นออกไป มันกลายร่างเป็นเจียวหลงสีเขียวตัวหนึ่ง
ทั้งยังปลดจีวรบนร่าง จีวรพลันขยายใหญ่เท่าทะเลเมฆ แผ่ปกคลุมสนามรบหลายสิบลี้ บนจีวรผืนหนึ่งคล้ายมีดอกบัวตูมเต่งกลมกลึงผุดขึ้นมาจากผิวน้ำ โยกไหวส่ายเอนไปตามสายลม
ฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีเคยออกพระราชโอการให้ทั่วพื้นที่ของแคว้นสร้างวัดวาอารามขึ้น
ลัทธิพุทธก็ควรจะต้องมอบของขวัญตอบแทนกลับคืน
วันนี้ภิกษุเฒ่ากับนักพรตหยุดพักรบในช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขามานั่งอยู่บนทะเลเมฆด้วยกัน อยู่ห่างกันหลายร้อยจั้ง จึงใช้เสียงในใจพูดคุยกัน ภิกษุเฒ่ายิ้มถาม “เหตุใดถึงมาที่นี่?”
“อยู่ในภูเขามานานไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ก็เลยลงจากเขามาลองดู”
สถานที่ฝึกตนของเขาก็คือราชวงศ์ป๋ายซวงที่ในอดีตมีกองกำลังแคว้นแข็งแกร่งทัดเทียมกับราชวงศ์จูอิ๋ง
เพียงแต่ว่าครานั้นกองทัพม้าเหล็กต้าลีบุกทะลวงแคว้น ไม่ว่ากีบม้าควบผ่านที่ใด เทพเซียนผู้เฒ่าล้วนไม่เคยลงมือ
ฝึกตนอยู่บนภูเขา จิตแห่งมรรคาไร้ความรู้สึก
แต่เขากลับไม่ใช่ผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของแจกันสมบัติทวีป ก็แค่เดินทางไกลมาถึงแจกันสมบัติทวีป พอได้มาอยู่ก็อยู่นานหลายปีเท่านั้น
สุดท้ายผู้เฒ่ายิ้มอย่างสง่างาม “หญ้าเขียวนอกภูเขางอกงามทุกปี จะมองดูหรือไม่ เป็นเรื่องของผินเต้า จะเบ่งบานหรือไม่ ก็ยังคงเป็นเรื่องของผินเต้าอยู่ดี”
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า ผู้ฝึกกระบี่ฉู่หยางเคยถูกสวี่รั่วช่วยเอาไว้ จากนั้นพวกเขาก็ได้มาพบเจอกันในต่างบ้านต่างเมืองอีกครั้ง
จะทำให้จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ที่ชอบวางกระบี่พาดแนวขวางไว้ด้านหลังได้รู้สึกว่า ในอดีตที่ช่วยเหลือเขาฉู่หยางไม่ได้เสียเปล่า
ร่วมมือกับผู้ถวายงานของตระกูลซุน
ทุกวันนี้นครมังกรเฒ่าใช้ค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำของตระกูลฝูเป็นปราการกีดขวาง บนเส้นแนวรบริมทะเลทางทิศใต้นี้มีช่องโหว่ขนาดใหญ่สามช่องแล้ว ฉู่หยางจึงอยู่ที่นี่ทำหน้าที่รับผิดชอบขัดขวางพวกเผ่าปีศาจที่กรูกันเข้ามา
เหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด ทว่ากลับสังหารได้อย่างสาแก่ใจ
ค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำที่มีนครมังกรเฒ่าเป็นจุดศูนย์กลาง ทั้งคอยรับผิดชอบขัดขวางพวกเผ่าปีศาจโจมตีเมืองที่พาตัวมาตายอย่างไม่ขาดสายจนศพกองพะเนินเป็นภูเขา ทั้งยังสามารถช่วยหาเผ่าปีศาจเซียนดินและห้าขอบเขตบนที่สามารถฝ่าทลายตราผนึกค่ายกลใหญ่ได้ด้วยตัวเองให้กับฟ่านจวิ้นเม่าซานจวินแห่งขุนเขาใต้และพวกผู้ฝึกตนบางคนด้วย
เรือกระบี่ของต้าหลีที่ลอยอยู่กลางอากาศรับผิดชอบโจมตีใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับคืน
ทุกวันนี้แถบพื้นที่ทางทิศใต้ของนครมังกรเฒ่าแจกันสมบัติทวีป อันที่จริงถือว่าเป็นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
อาณาเขตพื้นที่ของหนึ่งทวีป ในแจกันมีดอกบัวสีทองเบ่งบาน นั่นคือค่ายกลขนาดใหญ่
และยิ่งมีค่ายกลใหญ่ยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาลที่ยังคงโคจรหมุนเวียนอย่างไร้ช่องโหว่
ชุยฉานนั่งบัญชาการณ์ ‘ป๋ายอวี้จิง’ รับผิดชอบคอยใช้กระบี่สั่งหารปีศาจใหญ่
มีเซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งที่เดินทางมาจากทิศไกลเข่นฆ่าศัตรูต่อเนื่อง ออกกระบี่ไม่หยุด
กระบี่ประจำตัวในวันวานปริแตกไม่เหลือชิ้นดีจนไม่อาจนำมาใช้ได้อีกแล้ว ส่วนกระบี่ที่ถืออยู่ในมือก็เป็นนางที่ไปค้นออกมาจากคลังสมบัติของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง
ส่วนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตซึ่งถือเป็นรากฐานในการหยัดยืนบนยอดเขาของเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง อยู่ในศึกใหญ่สองครั้งที่ทยอยกันเกิดขึ้นในต่างบ้านต่างเมืองและในบ้านเกิด ล้วนได้รับความเสียหายแล้วเช่นกัน
มีเวลาอยู่ชั่วครู่หนึ่งที่เซียนกระบี่หญิงท่านนี้พลันคลี่ยิ้มหวาน
เพราะมีบุรุษคนหนึ่งปรากฏตัวอย่างลึกลับแล้วปล่อยกระบี่หนึ่งออกมาไกลๆ สังหารผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเผ่าปีศาจคนหนึ่งได้แล้วก็เผ่นหนีไปไกล เพียงแต่ตะเบ็งเสียงทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “คืนนี้เหนียงจื่อ (คำเรียกขานภรรยา) งดงามยิ่งนัก ชวนมองน่าประทับใจเป็นที่สุด!”
ลี่ไฉ่ตอบกลับพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะดังลั่น “เหล่าเหนียงสวยหรือไม่สวย ยังต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ?!”
ทางทิศใต้สุดของสนามรบนครมังกรเฒ่า โจวมี่ปรากฏตัวที่นี่ ข้างกายคือเซียนกระบี่โซ่วเฉินลูกศิษย์ผู้สืบทอด รวมถึงหลิวป๋ายที่เพิ่งเดินทางมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
และยังมีลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เพิ่งรับมา มู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซินที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เด็กหนุ่มในวันวาน คนหนุ่มในวันนี้
โซ่วเฉินขมวดคิ้วกล่าว “แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ มีคนมหัศจรรย์คนใดบ้าง ก่อนและหลังกระโจมเจี่ยจื่อล้วนมีบันทึกไว้หมดแล้ว เรื่องไม่คาดฝันเหล่านั้นโผล่ออกมาจากไหนกันแน่? หรือเป็นข้าที่พลาดรายงานของกระโจมเจี่ยจื่อไป?”
โจวมี่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต้องโทษที่ข้าไปจากบ้านเกิดนานเกินไป แล้วก็ต้องโทษที่ชุยฉานมีแผนการมากเกินไป”
ทว่าในสายตาของเขา อันที่จริงเรื่องไม่คาดคิดทั้งหลายพวกนี้ล้วนมีเบาะแสให้สืบหา เมื่อเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ก็แค่จัดการให้ราบคาบเท่านั้น
ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล เคยมีคำทอดถอนใจที่กล่าวว่า ‘ปฏิภาณและความเจ้าแผนการในใต้หล้าล้วนต้องยกให้เจี่ยเซิง’
ดังนั้นมู่จีจึงเอ่ยว่า “ซิ่วหู่ชุยฉาน ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์พี่ของอิ่นกวาน”
โจวมี่ยิ้มกล่าว “สรุปแล้วว่ามีปัญญามากน้อยแค่ไหน หากชุยฉานไม่ตายก็ไม่รู้”
โจวมี่โบกมือ
ครู่หนึ่งต่อมา
บนพื้นผิวมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสิ้นสุด
เสียงสายฟ้าค่อยๆ แผดดัง พลังอำนาจสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ที่แท้นอกมหาสมุทรที่อยู่ใกล้กับนครมังกรเฒ่าก็มีมหาสมุทรอีกชั้นที่สูงถึงร้อยจั้งกว่าพร้อมใจกันถาโถมเข้ามาอย่างดุดัน
นี่ก็คือวิชาอภินิหารคาถาน้ำของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เฟยเฟย เจ้าผู้ครองลำคลองเหยาเย่
นางจะทำให้น้ำท่วมกลบทับนครมังกรเฒ่า!
บนเส้นทางมุ่งขึ้นเหนือมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เชี่ยวชาญวิชาน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง ไม่ก็ร่ายวิชาเสริม พากันผลักดันคลื่นยักษ์ที่มืดฟ้ามัวดินให้ถาโถมไปเบื้องหน้า
คลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้าตีกระทบนครที่ขวางหูขวางตาซึ่งอยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปอย่างดุดัน
บนแท่นเติงหลง จื้อกุยจำแลงร่างเป็นสายรุ้งหนึ่งเส้นลอดทะลุผ่านค่ายกลใหญ่ของนครมังกรเฒ่า พุ่งเข้าไปในมหาสมุทร ยังไม่ได้เผยร่างของมังกรที่แท้จริง เผ่าปีศาจที่อยู่ในรัศมีหลายสิบลี้รอบกายนางก็ถูกกระเทือนจนตายคาที่ไปนับไม่ถ้วนแล้ว
โจวมี่มองเมินไปอย่างสิ้นเชิง เพียงแค่ยิ้มเอ่ยกับมู่จีลูกศิษย์คนสุดท้ายว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าไม่เสียแรงที่ชุยฉานเป็นศิษย์พี่ของอิ่นกวาน ฟังแล้วไม่ค่อยเหมาะหรือไม่ น่าจะบอกว่าเป็นอิ่นกวานหนุ่มต่างหากที่ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์น้องของชุยฉานถึงจะถูก”
โจวมี่แหงนหน้ามองไป ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ซิ่วหู่เห็นด้วยไหม?”
ชุยฉานที่กายธรรมใหญ่โตมโหฬารลอยอยู่กลางอากาศสูงเหนือนครหลวงแห่งที่สองของต้าหลี บนฝ่ามือถือประคองป๋ายอวี้จิง กระบี่บินสิบสองเล่มใหญ่เหมือนเรือกระบี่ลอยอยู่สี่ด้านแปดทิศ ชุยฉานตอบไม่ตรงคำถาม เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แผนการของเจี่ยเซิง ทำให้คนผิดหวังยิ่งนัก”