กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 718.2 ในที่สุดจั่วโย่วก็ไม่ต้องลำบากใจ
หลังจากแน่ใจแล้วว่าพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าไม่มีปีศาจเร้นกายอยู่ จั่วโย่วก็เริ่มปล่อยจิตหยินออกมาเดินทางไกล
พื้นที่มงคลมีชื่อว่าพื้นที่มงคลอวี่ฮว่า ความหมายของชื่อนี้ยิ่งใหญ่มาก แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่สมชื่อเลยสักนิด เป็นเพียงแค่ผลผลิตส่วนตัวของตระกูลเซียนอักษรจงปลายแถวแห่งหนึ่งของใบถงทวีปเท่านั้น
ในอดีตผู้ฝึกตนอาศัยที่แห่งนี้สร้างโอสถ ‘บินทะยาน’ จากไป ไปอยู่ในใบถงทวีปที่เป็น ‘ฟ้านอกฟ้า’ บนเส้นทางการฝึกตนหลังจากนั้นก็ถูกตระกูลเซียนอักษรจงสมัครรับตัวมา ต่อให้ผู้ฝึกตนจะอำพรางตนอย่างลึกล้ำ แต่กระนั้นก็ยังถูกบรรพจารย์บนภูเขาสืบสาวไปเจอพื้นที่มงคลอันเป็นบ้านเกิด หลังผ่านการอนุมานและไล่ตามเบาะแสไป ก็พอจะได้ที่อยู่มาคร่าวๆ ใช้เวลาไปหลายสิบปี สุดท้ายก็งมพื้นที่มงคลเล็กแห่งนี้มาจาก ‘บริเวณใกล้ริมชายฝั่ง’ ของแม่น้ำแห่งกาลเวลา
หลังจากนั้นก็ทำการเปิดประตูใหญ่อย่างเป็นลำดับขั้นตอน เจ๋อเซียนพลิ้วกายลงมาตรวจสอบพื้นที่มงคล กวาดค้นสมบัติวิเศษแห่งพื้นดินที่ถือกำเนิดตามโชคชะตา ค้นหาหยกงามวัตถุดิบที่เหมาะสมสำหรับการฝึกตน
เพียงแต่ว่าผลิตผลที่ถือกำเนิดขึ้นในพื้นที่มงคลแห่งนี้แร้นแค้นเกินไป สมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินที่พอจะเข้าตาได้บ้างมีน้อยจนนับนิ้วได้ ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนก็ยิ่งชักหน้าไม่ถึงหลัง บางครั้งเจอบ้างสักคนหนึ่ง พอพาออกไปจากพื้นที่มงคลแล้วทุ่มเทแรงใจอบรมสั่งสอน ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่อาจเอาไปใช้ทำงานใหญ่ได้ อย่างมากสุดก็ฝึกตนจนกลายเป็นโอสถทองเท่านั้น สำหรับตระกูลเซียนอักษรจงแห่งหนึ่งแล้ว ต่อให้มีพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งอยู่ในมือ แต่กลับกลายเป็นว่ารายรับไม่เท่ารายจ่ายอย่างแท้จริง
ส่วนเรื่องที่คิดจะให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาและลูกหลานชนชั้นสูงอื่นๆ ใช้ตัวตนของเจ๋อเซียนจ่ายเงินมาท่องเที่ยวพื้นที่มงคล ก็ติดขัดที่คุณสมบัติและระดับขั้นของพื้นที่มงคล ผลประโยชน์ที่ได้รับน้อยเกินไป ดังนั้นภูเขาตระกูลเซียนแห่งอื่นของใบถงทวีปต่างก็รู้สึกว่าเป็นการทำการค้าที่ขาดทุน นานวันเข้าพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าจึงเป็นพื้นที่มงคลระดับล่างมาโดยตลอด สำนักในใต้หล้าต่างก็ยินดีที่จะยกระดับพื้นที่มงคลระดับกลางให้เป็นระดับสูง ต่อให้ต้องทุ่มเงินมากแค่ไหนก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีเพียงการยกระดับพื้นที่มงคลระดับล่างให้เป็นระดับกลางเท่านั้นที่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเต็มใจทำจริงๆ ดังนั้นบนภูเขาจึงมีคำกล่าวที่ว่า ‘พื้นที่มงคลระดับล่าง มีสู้ไม่มี’
หากไปตกอยู่ในมือของสำนักใหญ่สามารถไม่ต้องคิดคำนวณถึงต้นทุน สุดท้ายจะเป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาว ได้รับผลประโยชน์ที่ยาวไกลก้อนหนึ่ง เปลี่ยนจากขาดทุนเป็นกำไร ทว่าในประวัติศาสตร์ก็มีสำนักเล็กที่รากฐานไม่แน่นหนามั่นคงพอจำนวนไม่น้อยที่กลับกลายเป็นว่าถูกทำร้ายเพราะสาเหตุนี้ สุดท้ายส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะเปลี่ยนมือขายต่อไปให้กับสำนักบนภูเขาที่มือเติบ
ระดับขั้นสูงต่ำของพื้นที่มงคล นอกจากระดับความกว้างขวางของขุนเขาสายน้ำและจำนวนประชากรในพื้นที่มงคลแล้ว ระหว่างฟ้าดินมีปราณวิญญาณอยู่มากน้อยแค่ไหน ยิ่งเป็นความสำคัญในสำคัญอีกที ไม่อย่างนั้นต่อให้พื้นที่มงคลของเจ้ากว้างไกลพันหมื่นลี้ จำนวนประชากรมีมากหลายสิบล้านคน คนธรรมดาไม่เหมาะจะขึ้นเขาฝึกตน ธรณีประตูของการฝึกตนสูงเกินไป คอขวดก็ใหญ่เกินไปอีก เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนล้วนเป็นห้าขอบเขตล่าง แม้แต่ขอบเขตถ้ำสถิตก็ยังเป็นเพียงความเพ้อฝัน คำกล่าวที่ว่า ‘บรรลุมรรคากลายเป็นเซียน’ ก็เป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิตซึ่งเป็นขั้นแรกของห้าขอบเขตกลาง แน่นอนว่าระดับขั้นของพื้นที่มงคลก็ได้แค่คำประเมินว่า ‘ระดับล่าง’ เท่านั้น
และในพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าแห่งนี้ นักพรตรุ่นที่สามสิบหกของตำหนักสนมรกตบนยอดเขา รวมถึงเจ้าอารามคนแรกของอารามเป่าจี ต่างก็ถือเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่รวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดิน ได้รับโชควาสนาใหญ่หลวง อยู่ในพื้นที่มงคลระดับล่างแห่งหนึ่ง ไม่เพียงแต่ฝึกตนจนได้ขอบเขตประตูมังกรที่ไม่เคยมีใครในประวัติศาสตร์ทำได้มาก่อน สุดท้ายยังสามารถสร้างโอสถทองหนึ่งเม็ด เป็นเหตุให้ได้รับความโปรดปรานจากมหามรรคาของฟ้าดิน อนุญาตให้เปิดม่านฟ้า ออกเดินทางไกลไปจากบ้านเกิด
น่าเสียดายที่เรื่องราวทางโลกนั้นแปรปรวนไม่แน่นอน
ผู้ฝึกตนที่มีชาติกำเนิดจากพื้นที่มงคล ถือเป็นคนโชคดีที่แบกรับโชคชะตาของฟ้าดิน แต่เมื่อโชควาสนาแห่งเซียนของคนผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้นก็มักจะเป็นจุดเริ่มต้นของภัยร้ายในใต้หล้า
พื้นที่มงคลอวี่ฮว่าแห่งนี้ยังถือว่าเจอโชคดีในความโชคร้าย สามารถรักษาพื้นที่มงคลไว้ได้ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ถูกทำลาย ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลมีพื้นที่มงคลไม่น้อยที่เนื่องจากมีคน ‘บินทะยาน’ ไปแล้ว ไม่ทันระวังเปิดเผยรากฐานของตัวเอง ยังไม่ทันถูกสำนักใหญ่บางแห่งเก็บเข้ากระเป๋า เฝ้าพิทักษ์ไว้อย่างแน่นหนา สุดท้ายกลับต้องเจอจุดจบอันน่าอเนจอนาถที่ภูเขาสายน้ำของพื้นที่มงคลปริแตกผู้คนตายสิ้นเสียก่อน แล้วก็มีพื้นที่มงคลระดับล่างหลายแห่งที่ถูกผู้ฝึกตนใช้วิธีวิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา สะบั้นเส้นทางการเดินขึ้นเขาของผู้ฝึกตนในพื้นที่ไปอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่าพื้นที่มงคลระดับล่างที่ลุกผงาดขึ้นตามโอกาสเพราะคนเพียงผู้เดียวก็มีเยอะเช่นกัน
หญิงสาวสวมชุดหรูหราคนหนึ่งฉวยโอกาสที่ผู้อาวุโสในตระกูลมาหยุดพักเท้าที่นี่ อ้างกับมารดาว่าจะไปชมทัศนียภาพแล้วพาสาวใช้มาหยุดอยู่ข้างกายบัณฑิตชุดเขียวที่ดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง หมวกคลุมใบหน้ามุมหนึ่งของนางเลิกขึ้น นางหน้าแดงเรื่อ เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้เป็นคนของที่ใดหรือ?”
จั่วโย่วหันหน้ามาตอบ “สถานที่ที่แม่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน”
พวงแก้มของสตรีแดงปลั่งดุจแต้มชาด นางยิ้มเอ่ย “หากคุณชายบอกมา ข้าก็จะรู้จักแล้ว”
จั่วโย่วส่ายหน้า “ต่อให้ข้าพูดไป แม่นางก็ยังไม่รู้จักอยู่ดี”
หากเป็นในอดีต ถ้าจั่วโย่วไม่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก็จะแค่ตอบคำถามเพียงข้อเดียวเท่านั้น
ทว่าคราวก่อนหลังจากพบกับอาจารย์และต้องจากลากันอีกครั้ง จั่วโย่วก็รู้สึกว่าบางทีตนอาจต้องเปลี่ยนนิสัยอยู่บ้างจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่นเอาการพูดคุยพาทีกับสตรีบนโลกมาเป็นการถามกระบี่อย่างจริงจังสักครั้ง?
ดังนั้นวันนี้จั่วโย่วจึงพูดมากขึ้นอีกคำสองคำ
ไม่รู้ว่าเหตุใดแม่นางคนนั้นถึงจากไปพร้อมความอับอายที่พานเป็นความโกรธ เด็กสาวที่อยู่ข้างกายสตรีก็ยิ่งไฟโทสะโหมโชน บัณฑิตผู้นี้หัวทึบยิ่งนัก เสียแรงเปล่าที่มีรูปโฉมหล่อเหลาน่ามอง
ดีมาก การถามกระบี่สิ้นสุดลงแล้ว
รวดเร็วฉับไว ไม่อืดอาดยืดยาดเลยแม้แต่น้อย
จั่วโย่วหมุนกายเดินกลับไป เอาถ้วยเปล่าในมือไปคืนให้กับที่ร้าน เจ้าของร้านยังบ่นพึมพำอยู่หลายคำ เหล้าถ้วยหนึ่งดื่มแช่อยู่นานเป็นครึ่งๆ วัน ไม่ได้ถ่วงรั้งเวลาการหาเงินแล้วจะเป็นอะไร เป็นบัณฑิตแต่ดันทำเรื่องเสียเวลาเช่นนี้ ไม่รู้ว่ามาจุดธูปหรือมาหลอกสตรีที่บ้านมีเงินกันแน่?
ในใจข้าไม่พอใจก็เลยบ่นออกมาเบาๆ เจ้าได้ยินคนอื่นไม่ได้ยิน หากบัณฑิตอย่างเจ้าไม่มีความใจกว้างมากพอ ก็เท่ากับว่าทิ้งมาดสุภาพชนร่วงหล่นเกลื่อนพื้นไปหมดแล้ว หากจะตีกันขึ้นมาจริงๆ นึกว่าข้ากลัวเจ้าหรืออย่างไร?!
หากเปลี่ยนเป็นบัณฑิตทั่วไปคงจะฟังเป็นแค่ลมผ่านหู ขึ้นเขาไปจุดธูป ไม่ควรให้เกิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ทว่าบัณฑิตผู้นั้นกลับหยุดเท้า “เจ้าพูดอีกรอบหนึ่งสิ”
เจ้าของร้านพลันเดือดดาลทันใด เพียงแต่ว่าพอมองอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าเรือนกายบัณฑิตจะไม่ต่ำเตี้ยทั้งยังสูงมากอีกด้วย จึงได้แต่เบนสายตาไปทางอื่นอย่างขุ่นเคือง ไม่กล้ามองสบตากับเจ้าคนที่นิสัยเจ้าอารมณ์ผู้นี้ตรงๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่มีอะไรๆ ลูกค้าฟังผิดไปแล้ว”
จั่วโย่วเดินขึ้นเขาไปยังตำหนักสนมรกตต่อไป ก่อกำเนิดเฒ่าคนหนึ่งรบตายอยู่ในต่างบ้านต่างเมือง สำหรับสถานการณ์ที่บุกรุดหน้าไปอย่างดุดันของใต้หล้าไพศาลแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงน้ำหนึ่งแก้วที่ดับไฟท่วมทั้งคันรถ ไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ ทว่าจั่วโย่วกลับไม่คิดเช่นนี้
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสี่คนของสายเหวินเซิ่งในอดีต เวลาเจอกับเรื่องที่เล็ก ชุยฉานจะชอบสืบเสาะสำรวจจุดที่ละเอียดที่สุดของใจคน ไม่แน่ว่าอาจใช้สิ่งนี้มาพิศมองบางคนบางเรื่อง ยอมเสียเวลานานหลายเดือน ส่วนเจ้าคนตัวโตเป็นพวกไม่เจ็บไม่คัน ต่อให้เรื่องใหญ่กว่านั้นหล่นลงมาบนหัวก็เหมือนกันหมด คิดจะทำให้ข้าโมโห ความสามารถต้องมากพอ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างล้วนเป็นเพียงความว่างเปล่า เสี่ยวฉีอาจจะพินิจพิจารณาถึงพวกขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่หนึ่งมากกว่า มีเพียงจั่วโย่วที่ดึงดันจะงัดข้อกับคนซึ่งๆ หน้า หากไม่แจกแจงกันให้กระจ่างก็จะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด ตอนที่จั่วโย่วอายุยังน้อย เคยต้องเผชิญความยากลำบากเพราะเรื่องนี้มามาก ทำเอาอาจารย์ต้องเดินเข้าออกห้องหนังสือ เสียสมาธิไปหลายรอบ ก็เพราะต้องคอยเก็บกวาดเรื่องเละเทะแก้ปัญหาให้กับลูกศิษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่จั่วโย่วหันไปฝึกกระบี่ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ลากจั่วโย่วให้มาขอโทษต่อหน้า ทุกครั้งซิ่วไฉเฒ่าเห็นเจ้าลูกศิษย์หัวดื้อที่ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมก้มหัว โทสะก็ไม่รู้ว่าผุดมาจากไหน ซิ่วไฉเฒ่ามักจะกระโดดตบหัวของอีกฝ่าย เพราะไม่อย่างนั้นก็กดหัวของลูกศิษย์ลงมาไม่ได้ ต้องทำให้จั่วโย่วรีบก้มหัวลงมา คิดจะขอโทษคนอื่นต้องก้มหัว!
เพียงแต่ว่าหลังจากก้มหัวยอมรับผิดอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจในแต่ละครั้ง พอซิ่วไฉเฒ่าพาจั่วโย่วออกมาพ้นสายตาผู้คนแล้ว ก็จะพูดหลักการเหตุผลที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม รวมไปถึงเรื่องที่ว่าถูกผิดที่แท้จริงอยู่ตรงไหนกันแน่ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลักการเหตุผล ความถูกผิดของคนที่ทยอยกันจากไปนานแล้วให้จั่วโย่วฟัง สุดท้ายจะต้องให้จั่วโย่วที่ก้มหน้าข่มกลั้นความขุ่นเคืองเงยหน้าขึ้นสูง สูงอีก! ต้องเรียนหนังสือ เรียนหนังสือให้มาก อย่าเอาแต่ฝึกวิชากระบี่ ดีแต่จะสร้างเรื่องก่อราว ในอนาคตเมื่ออ่านตำราอริยะปราชญ์จนเข้าใจถ่องแท้แล้ว วันหน้าเมื่อออกกระบี่แทงฟ้าให้เป็นรู อาจารย์ก็จะยังช่วยปิดแผ่นฟ้าให้เจ้า! แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น เจ้าต้องอ่านหนังสือให้มากนะ ต้องใช้มหามรรคาฟ้าดิน ใช้ความยากลำบากในโลกมนุษย์มาเป็นฝักกระบี่ ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะวางใจให้ลูกศิษย์ฝึกกระบี่ไม่เล่าเรียนหนังสือได้อย่างไร…
หลังจากจั่วโย่วเดินขึ้นมาถึงยอดเขาก็เห็นอารามสนมรกตที่ด้านบนปกคลุมด้วยกระเบื้องแก้วใสสีมรกต เพียงแต่ว่าแก้วใสของที่แห่งนี้ไม่ใช่วัสดุตระกูลเซียน เป็นแค่สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความโปรดปรานของกษัตริย์ในโลกมนุษย์เท่านั้น
จั่วโย่วไม่ได้เข้าไปในอารามเต๋าที่ควันธูปลอยกรุ่น แต่เลือกสถานที่ที่คนน้อย ยืนพิงราวรั้วซึ่งอยู่สูงกว่าตรงช่วงกึ่งกลางเขาทอดสายตามองไปไกล
มีแต่จะเดือดร้อนทำให้อาจารย์ต้องกลัดกลุ้มเป็นกังวล ไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้อาจารย์เลย
สำหรับในเรื่องนี้ ยังคงเป็นเจ้าโง่ใหญ่ผู้นั้นที่ทำได้ดีที่สุด ไม่พูดถึงตนที่ก่อเรื่องเหมือนกินข้าว อันที่จริงแม้แต่เสี่ยวฉีก็ยังสู้เขาไม่ได้
โดนด่าก็ไม่เถียงกลับ โดนตีก็ไม่ตอบโต้ คอยอยู่ข้างกายอาจารย์เสมอมา แทบไม่เคยก่อเรื่องใดๆ
จั่วโย่วแหงนหน้ามองไป ตอนแรกก็ขมวดคิ้วก่อน จากนั้นหัวคิ้วค่อยคลายออก กลั้นยิ้ม
มีคนใช้หมัดต่อยแหวกพันธนาการฟ้าดิน จากนั้นก็สลายปราการปราณกระบี่ทิ้งไปง่ายๆ ดังนั้นตอนแรกจั่วโย่วจึงนึกว่ามีปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานบางตนมาที่นี่ จึงอดเป็นห่วงความปลอดภัยของพื้นที่มงคลไม่ได้
รอกระทั่งจั่วโย่วมองเห็นรูปโฉมของแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างชัดเจน อารมณ์เขาก็เปลี่ยนมาเป็นดีมาก จั่วโย่วเผยปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ออกไปเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายสามารถมองเห็นได้ในทันที ขณะเดียวกันก็ใช้ปราณกระบี่ช่วยเปิดทางให้อีกฝ่าย ช่วยบดบงภาพปรากฎการณ์พิเศษให้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ร่องรอยของอีกฝ่ายในพื้นที่มงคลอวี่ฮว่าสะดุดตาเกินไป
ส่วนอีกฝ่ายพอสัมผัสได้ถึงปณิธานกระบี่ของจั่วโย่วก็รีบเก็บลมปราณไปทันใด ทิ้งตัวเป็นเส้นตรงมาเป็นแขกบนภูเขาที่จั่วโย่วอยู่ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เนื่องจากถูกสองเท้าของชายฉกรรจ์ร่างกำยำสัมผัสโดน ภูเขาลูกหนึ่งก็ยังคงสั่นไหวน้อยๆ อยู่ดี ต้นสนส่ายไหวเป็นระลอก พวกผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายพากันเข้าใจผิดคิดว่าเซียนสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หลายคนที่เดิมทีเดินออกไปจากประตูใหญ่ของตำหนักสนมรกตแล้วรีบเดินฝีเท้าเร่งร้อนไปเชิญธูปอีกครั้งทันใด
หลิวสือลิ่วยิ้มกว้าง “ทำให้ข้าหาเจอได้ง่าย”
ก่อนจะมาที่นี่ หลิวสือลิ่วข้ามทวีปเดินทางไกลมายังใบถงทวีป ตอนแรกก็ไปเยือนสำนักใบถงที่อยู่ทางทิศเหนือสุดมารอบหนึ่งก่อน ไม่ได้เข้าร่วมกับเรื่องราวทางนั้น เพียงแต่ถามว่าจั่วโย่วอยู่ที่ไหน จากนั้นก็เดินทางลงใต้มาตลอดทาง ได้รู้จากปากผู้ฝึกกระบี่นามโจวเฝยที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วว่าจั่วโย่วถูกกักอยู่ในขุนเขาสายน้ำจุดใดของใบถงทวีปกันแน่ ก่อนจะใช้หมัดเปิดประตูใหญ่ ก็ได้เห็น ‘ปีศาจใหญ่’ ขอบเขตเซียนเหรินสองตนที่สามารถทำให้คนตกใจตายได้อย่างที่โจวเฝยบอกจริงๆ โจวเฝยยังบอกอีกว่าอาจารย์หลิวต้องระวังตัวให้มาก ความประทับใจที่หลิวสือลิ่วมีต่อเขาไม่เลวเลยทีเดียว ก็เป็นเจียงซ่างเจินที่ใช้ใบหลิวหนึ่งใบสังหารเซียนของใบถงทวีปนี่นะ ชื่อเสียงกระเดื่องเลื่องลือยิ่ง ทุกวันนี้แม้แต่แจกันสมบัติทวีปก็ยังคุยกันเรื่องมาดในการสังหารคนของเจ้าสำนักกุยหยกคนใหม่ผู้นี้ นั่นต้องเรียกว่ายอดเยี่ยมที่สุด ทำให้คนสาแก่ใจยิ่งนัก
นี่จึงทำให้ชื่อเสียงของสำนักเจินจิ้งเป็นดั่งเรือที่ลอยสูงตามน้ำอยู่ในแจกันสมบัติทวีปไปด้วย
ภาพความทรงจำที่ไม่ใคร่จะดีเพียงหนึ่งเดียวของคนผู้นี้ในใจหลิวสือลิ่วก็คือ พูดมากเกินไปหน่อย ไม่เพียงแต่ทะยานลมมาเป็นเพื่อนหลิวสือลิ่วไกลหลายพันลี้ ยังคอยพูดจ้ออยู่ข้างหูไม่หยุด ถามคำถามบางอย่างที่หลิวสือลิ่วไม่อาจตอบได้เลย ยกตัวอย่างเช่นว่าในชีวิตเขาจะมีโอกาสจะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วหรือไม่ แล้วยังมีเด็กคนที่ตนช่วยเลี้ยงดูแทนศิษย์น้องของอาจารย์หลิว อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี้ยนดื้อรั้นซุกซนหรือไม่…
ดังนั้นหลังจากที่หลิวสือลิ่วแยกจากเจียงซ่างเจิน ไม่ทันระวัง เพียงดีดนิ้วเบาๆ ทีเดียวก็ทำให้ร่างของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินตนหนึ่งระเบิดแตกไป
เซียนเหรินทิ้งศพเอาไว้ คราบร่างประหนึ่งจักจั่นลอกคราบ
มหามรรคาได้รับความเสียหาย ขอบเขตถดถอยไปหนึ่งขั้น
หลิวสือลิ่วไม่ได้ไล่ตามไปเล่นงานผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เผ่นหนีไปไกลต่อ แต่เริ่มทำเรื่องเป็นการเป็นงานก่อน
จั่วโย่วไม่พูดไม่จา
หลิวสือลิ่วเคยชินเสียแล้ว จึงเป็นฝ่ายเล่าถึงสถานการณ์ล่าสุดของอาจารย์และทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในแจกันสมบัติทวีปให้อีกฝ่ายฟัง
จั่วโย่วฟังจบแล้ว สีหน้ายังคงไร้อารมณ์อยู่เหมือนเดิม
หลิวสือลิ่วเอ่ยอย่างอ่อนใจ “มีแค่เรื่องพวกนี้แล้ว มากกว่านี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว”
จั่วโย่วถึงได้เอ่ยว่า “เรียกศิษย์พี่”
เจ้าโง่ใหญ่ยังคงหัวทึบอยู่เหมือนเดิม
หลิวสือลิ่วจึงได้แต่เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าศิษย์พี่จั่ว
คนที่มีกฎเกณฑ์เยอะที่สุดในสำนัก แน่นอนว่าต้องยกให้ศิษย์พี่จั่วโย่วนี่แหละ
จั่วโย่วถึงได้กล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
หลิวสือลิ่วถามหยั่งเชิง “พวกเราสองคนมาเปลี่ยนกันดีไหม? ข้าอยู่ในใต้หล้าไพศาล สังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่เดินทางมาไกลสองสามตน ยังนับว่าทำได้ แต่เรื่องอื่นๆ กลับไม่ค่อยเหมาะสม”
จั่วโย่วคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ก็ได้”
กับศิษย์น้องจวินเชี่ยน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจใดๆ
หลิวสือลิ่วกลับเกิดลังเลขึ้นมา
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “จวินเชี่ยน มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”
หลิวสือลิ่วกล่าว “ตอนที่เดินทางลงใต้ไปแจกันสมบัติทวีป ข้าไปหาศิษย์พี่ใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สภาพการณ์ของท่านแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ข้ามาที่นี่ สามารถทำให้ท่านข้ามทวีปไปที่เมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีได้โดยตรง แน่นอนว่าหากท่านไม่ยินดีก็อยู่ต่อที่ใบถงทวีปได้ เพียงแต่ว่าอยู่ที่นี่ อย่างมากสุดท่านก็ไปได้แค่สำนักกุยหยกแล้ว เพราะทางฝั่งของสำนักใบถงที่ท่านปกป้องก่อนหน้านี้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงแล้ว พวกคนหนุ่มสาวถูกเหล่าบรรพจารย์ทั้งหลายจับขังเอาไว้ แต่ท่านวางใจเถอะ นักโทษพวกนั้น ตอนนี้ยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต”
จั่วโย่วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าไปสำนักกุยหยก”
ไม่มีความคิดอื่นใดที่เกินความจำเป็น
——