กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 721.4 จะปล่อยให้เหนื่อยเปล่าไม่ได้
ตรงจุดสูงของจวนอ๋องเจ้าเมือง
วันนี้ซ่งมู่ออกมาจากห้องโถงปรึกษางานที่มีแม่ทัพบู๊ เซียนซือรวมตัวกันกลุ่มใหญ่ พาอาจารย์ฟ่านแขกผู้มีเกียรติที่เดินทางมาไกลเดินขึ้นสู่ที่สูงไปชมสนามรบด้วยกัน
มีประโยคหนึ่งที่เสด็จอาซ่งจ่างจิ้งทำให้เขาเปลี่ยนจากซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงกลายมาเป็นซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองต้าหลีที่แท้จริง
เจ้าใช้เวลาทั้งชีวิตหมดไปกับการมุมานะตรากตรำอ่านตำรา ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถกลายเป็นอริยะปราชญ์แห่งศาลบุ๋นได้ เจ้าเดินขึ้นเขาไปฝึกตนฝึกมรรคกถาก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้กลายเป็นเซียน แต่เจ้าคืออ๋องเจ้าเมืองต้าหลี ไม่จำเป็นต้องไปสนใจว่าบนทำเนียบสกุลมู่ สรุปแล้วเจ้าเป็นซ่งเหอหรือว่าซ่งมู่กันแน่ ขอแค่เจ้าเข้าใจผู้คนรู้จักเลือกใช้คน เจ้าก็จะเป็นซ่งจี๋ซินที่ในมือกุมอำนาจเหนือกว่าเจ้าขุนเขาแห่งสำนักศึกษาหรือเซียนบนภูเขาเสียอีก ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป แผ่นดินครึ่งหนึ่งล้วนอยู่ในมือของเจ้าซ่งจี๋ซิน รอคอยให้เจ้าไปวางแผนจัดการกับมัน อริยะปราชญ์แห่งสำนักศึกษาอธิบายหลักการเหตุผล คนอื่นก็แค่รับฟังเท่านั้น เทพมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ? ก็แค่ได้ดูอยู่กับตัวเองเท่านั้น ส่วนความคิดจิตใจของสตรีบางคนที่อยู่ข้างกาย เจ้าต้องจงใจไปทำความเข้าใจด้วยหรือ? ต้องน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองด้วยหรือ? เจ้าต้องให้นางเป็นฝ่ายมาคาดเดาความคิดในใจของเจ้าซ่งจี๋ซินที่อยู่ข้างกายต่างหาก
ซ่งมู่พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
นอกนครมังกรเฒ่า แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งหนึ่งมีผู้ฝึกตนมากมายออกจากภูเขามาร่ายเวทวิชาอภินิหาร ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนเฒ่าข้างกายอาจารย์ฟ่านที่เคยไล่ฆ่าอาเหลียงมาก่อนก็ยังแอบตกตะลึงไม่ได้
จื้อกุยที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรใหญ่ ตอนแรกก็เผยร่างจริงก่อน นางไม่เพียงแต่บุกขยี้เข่นฆ่ากองทัพใหญ่าเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างกำเริบเสิบสาน ยังควบคุมให้คลื่นยักษ์โถมตัวขึ้นสูงพุ่งกระแทกชนเข้ากับแนวเส้นน้ำขึ้นที่ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เฟยเฟยร่ายวิชาอภินิหารน้ำขึ้นมา
เฟยเฟยลงมือเป็นเหตุให้ตลอดทั้งน่านน้ำมหาสมุทรทักษิณนอกนครมังกรเฒ่าคล้ายกับแบ่งเป็นสองจุด หนึ่งสูงหนึ่งต่ำ จื้อกุยเผยร่างจริงแล้ว ไข่มุกเม็ดหนึ่งก็ใหญ่เหมือนดวงจันทร์อยู่กลางมหาสมุทร สาดส่องประกายแสงสว่างไปทั่วรัศมีร้อยลี้ เพียงชั่วพริบตาก็ถูกยกขึ้นสูงจนใกล้กับผิวทะเลนครมังกรเฒ่า กำแพงสูงบนมหาสมุทรใหญ่ที่ราวกับว่ามีเพียงเส้นเส้นเดียวกันขวาง เหนือสูงใต้ต่ำต่างกันระดับใหญ่ เพราะถึงอย่างไรวิชาน้ำย้ายทะเลของเฟยเฟย เดิมทีก็เป็นการทุ่มเทอย่างสุดพลังของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนนี้ ยิ่งมีเผ่าปีศาจที่เชี่ยวชาญคาถาน้ำอีกนับร้อยนับพันช่วยผลักคลื่นลม จื้อกุยปล่อยให้ผิวมหาสมุทรที่พังทลายลงมาครึ่งหนึ่งโถมตรงเข้าหาเบื้องหลังของตน สายน้ำทะลักหมายกลบทับนครมังกรเฒ่า!
นางเพียงแต่อยู่บนเส้นทางที่บุกรุดไปเบื้องหน้า พุ่งชนทลายกำแพงแล้วมุ่งไปทางใต้ ตรงไปหาเฟยเฟยอย่างดุดัน
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่บนสนามรบนครมังกรเฒ่าไม่มีทางปล่อยให้น้ำทะเลทั้งหมดโถมทับค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำของนครมังกรเฒ่า เรือกระบี่ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นเล่มพุ่งออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ผู้ฝึกกระบี่เซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่เดินทางไกลมาถึงที่นี่ แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ของแจกันสมบัติทวีปเองซึ่งมีฉู่หยางผู้ถวายงานตระกูลฝูเป็นหนึ่งในนั้น ต่างก็พากันปล่อยแสงกระบี่หลากสีไปซัดทำลายสายน้ำให้แตกซ่านเซ็น ยิ่งมีเจินเหรินผู้บรรลุมรรคาจากราชวงศ์ป๋ายซวงที่ปล่อยให้เทียบตัวอักษรที่ตัวอักษรด้านบนสูญหายไปแล้วสลายหายไปจากฟ้าดิน จากนั้นค่อยทำให้ตราประทับแต่ละตราบนเทียบอักษรกลายเป็นหุ่นเชิดร่างทองตัวสูงหลายสิบจั้งตนแล้วตนเล่า แต่ละตนถืออาวุธอาคม ยืนเรียงกันอยู่บนแนวเส้นนอกนครมังกรเฒ่า พร้อมใจกันบุกตะลุยไปเบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่ง ทุ่มกำลังผ่าสายน้ำอย่างเต็มที่
อีกทั้งยังมีภิกษุสมณศักดิ์สูงที่เป็นตัวแทนของวัดวาทั้งแจกันสมบัติทวีปมอบของขวัญกลับคืนให้กับราชวงศ์ต้าหลี ยอมทุ่มคักขราและจีวรซึ่งเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตสองชิ้นทิ้งโดยไม่เสียดาย ให้คักขรากลายเป็นมังกร ประหนึ่งเทือกเขาเขียวเส้นหนึ่งที่ทอดขวางอยู่ระหว่างคลื่นลูกยักษ์และพื้นดิน จากนั้นใช้จีวรห่มคลุมนครมังกรเฒ่าครึ่งหนึ่ง แต่ก็ต้องป้องกันไม่ให้น้ำมหาศาลท่วมทับเมืองให้จงได้ ไม่ให้มันสร้างความเสียหายให้แก่ค่ายกลของนครมังกรเฒ่าที่ต่อให้เป็นเงินเทพเซียนก็ยากที่จะชดเชยแก้ไขได้
หวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักกระบี่ไท่ฮุยไม่เพียงไม่ถอยหนีกลับกันยังบุกรุดหน้า ยืนอยู่ริมชายฝั่งเพียงลำพัง เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมา แล้วก็ไม่สนว่าเป็นคลื่นยักษ์อะไรทั้งนั้น เพียงแต่ฉวยโอกาสนี้สังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่สามารถอยู่ในน้ำได้อย่างอิสระเหล่านั้น ทุกอย่างล้วนเป็นการแสดง เพื่อที่จะได้อาศัยโอกาสนี้ปล่อยให้เฟยเฟยพุ่งเข้ามาฉีกกระชาก ประหยัดแรงไม่ให้ข้าผู้อาวุโสต้องคอยไปตามหา เขาปล่อยหนึ่งกระบี่ออกไป มันจำแลงเป็นแสงกระบี่แปดสิบเอ็ดเส้นก่อน สี่ด้านแปดทิศล้วนมีแสงกระบี่ที่เป็นดั่งเจียวหลงว่ายวน ขอแค่แสงกระบี่ที่พร่างพราวทุกเส้นสัมผัสโดนร่างของเผ่าปีศาจก็จะระเบิดกลายเป็นแสงกระบี่เป็นกลุ่มใหญ่กระจัดกระจายในชั่วพริบตา จากนั้นค่อยสาดยิงออกไปด้านนอกอีกที
ในอดีตตอนที่แย่งจะไปรนหาที่ตายกับเจ้าสำนักในกำแพงเมืองปราณกระบี่ นี่ก็คือความมั่นใจที่ตอนนั้นหวงถงเอ่ยว่า ‘ให้ข้าทำเอง เจ้ากลับไป’
น่าเสียดายก็แต่ยังคงถูกเจ้าสำนักหานไหวจื่อใช้คำว่า ‘ข้าคือเจ้าสำนัก’ มากดข่มเอาไว้
ค่ายกลใหญ่ปกป้องเมืองของนครมังกรเฒ่าตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร
แต่ว่าก่อนที่อาจารย์ฟ่านผู้นั้นจะจากไป ยังคงยิ้มเอ่ย ‘ถ้อยคำเกรงใจ’ กับอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ไปประโยคหนึ่ง ข้ามองไม่เห็นความสูญเสียระดับนี้ยังดี แต่พอเห็นแล้วกลับทั้งไม่ได้ลงมือทั้งไม่ได้ลงแรง ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ออกเงินแล้ว
ดังนั้นนครมังกรเฒ่าจึงได้เงินฝนธัญพืชมาเพิ่มอีกก้อนหนึ่ง เอามาใช้ประคับประคองการโคจรปราณวิญญาณของนครมังกรเฒ่าและเรือกระบี่บนฟ้า
หลังจากที่อาจารย์ฟ่านและข้ารับใช้จากไปแล้ว ซ่งมู่ก็ทำเพียงแค่จ้องมองจุดที่อยู่ห่างไปไกล มองศัตรูคู่อาฆาตบนมหามรรคาคู่หนึ่งที่บางครั้งจะเผยร่างจริงให้เห็นบ้างเล็กน้อย
จื้อกุย เฟยเฟย
ล้วนเผยร่างจริงกันแล้ว
ทางฝั่งทิศเหนือมีโชคชะตาน้ำเข้มข้นประหนึ่งแม่น้ำที่สายน้ำไหลเชี่ยวกรากออกจากลำน้ำใหญ่ทางภาคกลางพุ่งเข้าหาบนร่างจื้อกุยที่อยู่กลางมหาสมุทรใหญ่อย่างไม่ขาดสาย
ส่วนเฟยเฟยเองก็ดึงเอาโชคชะตาน้ำส่วนหนึ่งมาจากทางทิศเหนือของใบถงทวีปเช่นกัน แต่พลังอำนาจกลับไม่ได้น่าครั่นคร้ามเกินจริงอย่างของจื้อกุย
การช่วงชิงกันของมังกรและงู
เพียงแต่ว่ามังกรที่แท้จริงซึ่งระดับขั้นสูงยิ่งกว่าหนึ่งขั้นกลับมีอายุน้อยกว่า ขอบเขตก็ต่ำยิ่งกว่า
โชคดีที่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังไม่กล้าดึงเอาโชคชะตาน้ำในมหาสมุทรใหญ่ซึ่งมีความใกล้ชิดโน้มเอียงเข้าหามังกรแท้จริงที่เป็นสีขาวหิมะปลอด มีเพียงดวงตาที่เป็นสีทองมากกว่ามาใช้โดยพลการ
สีหน้าของซ่งมู่นิ่งสงบ แต่มือข้างหนึ่งที่จับราวระเบียง ห้านิ้วกลับเกร็งขยุ้มเหมือนตะขอ
ซ่งมู่พลันเก็บมือข้างนั้นมา ไม่ได้หันหน้าไป เพียงแค่ยกมือขึ้นเบาๆ
พวกผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีรีบปล่อยตัวสองคนนั้นมาทันที อนุญาตให้ฝ่ายหลังไปอยู่ข้างกายอ๋องเจ้าเมืองได้
คือคนสนิทเก่าแก่สองคน ฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าและไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรือง
กับฝูหนันหัวไม่จำเป็นต้องพูดจาเกรงใจ แม้ว่าทุกวันนี้จะไม่ได้พบหน้ากันบ่อยๆ แต่ตลอดหลายปีมานี้ คนหนึ่งอยู่ที่จวนอ๋องเจ้าเมืองของนครในแห่งนครมังกรเฒ่า อีกคนหนึ่งย้ายบ้านไปอยู่นครนอก โอกาสที่จะได้มาพูดคุยเรื่องเก่าๆ กันจึงมีไม่น้อย ดังนั้นหลังจากซ่งมู่หันตัวกลับมาแล้วก็แค่ผงกหน้ายิ้มให้ฝูหนันหัว แล้วค่อยมองไปทางเซียนดินแห่งภูเขาเมฆาเรือง กุมหมัดเอ่ยว่า “ยินดีกับจินเจี่ยนด้วยที่ได้เลื่อนเป็นก่อกำเนิด”
ไช่จินเจี่ยนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ยิ้มเอ่ยว่า “ก็แค่เรื่องตลก ฝูหนันหัวเพิ่งจะเพิ่งพูดหยอกล้อไป เพิ่มเจ้ามาอีกคนก็ไม่เป็นไรหรอก”
หลังจากซ่งมู่หัวเราะเสียงดังลั่นไปแล้วถึงได้เอ่ยว่า “ข้าไม่ใช่นายน้อยฝูเสียหน่อย”
ไช่จินเจี่ยนถอนหายใจ ยืนอยู่ข้างกายซ่งมู่ ทอดสายตามองไกลไปยังสนามรบ ประกายแสงสีรุ้งของค่ายกลใหญ่นครมังกรเฒ่าเหนือศีรษะชั้นนั้นถูกคลื่นยักษ์ที่ยังหลงเหลืออยู่โถมเข้ามาทับ โชคดีที่พอกระแทกชนแล้ว แสงก็แค่หม่นลงเล็กน้อย เพียงไม่นานปราณวิญญาณก็กลับคืนมาเป็นดังเดิม สกุลซ่งต้าหลีในทุกวันนี้มีเงินจริงๆ เลยนะ
ไช่จินเจี่ยนได้โชควาสนาจากหอบินทะยานมา เพราะสำนักของนางคือภูเขาเมฆาเรืองจึงไม่จำเป็นต้องให้นางไปเข่นฆ่าในสนามรบ ทรัพย์สินและทรัพยากรล้วนสามารถแลกเปลี่ยนมาเป็นคุณความชอบทางการสู้รบได้เช่นกัน
พอรู้ว่าไช่จินเจี่ยนกลายเป็นก่อกำเนิดแล้ว บรรพจารย์ผู้คุมกฎภูเขาเมฆาเรืองยังถึงขั้นตั้งใจเดินทางมาหาไช่จินเจี่ยนโดยเฉพาะ ต้องการให้นางรับรองเรื่องหนึ่ง หากนางคิดจะออกจากนครไปเข่นฆ่า พวกเขาจะไม่ขัดขวางอย่างแน่นอน แต่จะต้องปกป้องรากฐานมหามรรคาเอาไว้ให้ได้
ซ่งมู่มองสนามรบที่ห่างไปไกลต่ออีกครั้ง
ขอบเขตผู้ฝึกตนของเขาไม่มีค่าพอให้พูดถึง นี่กลับกลายเป็นเรื่องดี จึงไม่ต้องเห็นภาพที่เปรอะโชกไปด้วยเลือดสดๆ พวกนั้นชัดเจนเกินไปนัก
มังกรแท้จริงที่มีตัวเดียวบนโลกตัวนั้นยาวถึงสามพันจั้ง เรือนกายใหญ่โตมโหฬาร หากถูกกรีดเป็นบาดแผล แผลก็มีแต่จะใหญ่ยิ่งกว่า น่าอกสั่นขวัญผวายิ่งกว่า
ไช่จินเจี่ยนชำเลืองตามองอ๋องเจ้าแคว้นที่อันที่จริงโฉมหน้าไม่ถือว่าอ่อนเยาว์แล้วก็ถอนหายใจอยู่ในใจ ในที่สุดก็ไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มของตรอกหนีผิงที่ยากจะปกปิดกลิ่นอายสูงศักดิ์บนร่างอีกแล้ว
ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ที่ตั้งของป๋ายอวี้จิงจำลอง กระบี่บินสิบสองเล่มถูกเรียกออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะหายวับไปจากกลางอากาศเหนือเมืองหลวงแห่งที่สองและลำน้ำใหญ่ แล้วมาโผล่พรวดอยู่กลางมหาสมุทรใหญ่นอกนครมังกรเฒ่า
กระบี่บินปักตรึงเข้าไปในร่างจริงของเฟยเฟยตั้งแต่หัวจรดหาง
เป็นเหตุให้มังกรแท้จริงที่กระดูกขาวซึ่งโผล่ออกมาเป็นสีขาวหิมะ แต่บนเรือนกายกลับมีเลือดสดสีทองอาบเยอะกว่าสามารถถอยออกจากสามรบได้ เพียงแต่ว่าต่อให้มีกระบี่บินสิบสองเล่มคอยช่วยคุมหลังให้ มังกรที่แท้จริงก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นออกจากสนามรบได้อย่างราบรื่นนัก
ผู้เฒ่าแขนยาวคนหนึ่งขี่กระบี่ลอยตัวอยู่นอกสนามรบ เปลี่ยนจากท่าแบกกระบองยาวไว้บนบ่ามาเป็นฟาดกระบองลงบนหัวของมังกรที่แท้จริง ทำเอาหัวของมังกรที่แท้จริงกระแทกจมลึกถึงก้นมหาสมุทร เลือดสดพลันไหลอาบแผ่นองไปทั่วพื้นผิวน้ำทะเล
ภาพนี้อยู่ใกล้กับนครมังกรเฒ่าในระยะประชิด
สองมือของซ่งมู่กำเป็นหมัดอยู่ในชายแขนเสื้อแน่น ทว่าสีหน้าของเขาไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา
เซียนกระบี่จากอุตรกุรุทวีปหลายท่านมาคอยช่วยคุมหลังให้มังกรที่แท้จริง ส่วนปีศาจใหญ่หยวนโส่วที่เห็นว่าโอกาสจะสังหารอีกฝ่ายมีไม่มากจึงหัวเราะหึหึแล้วดีดปลายเท้า พุ่งตัวออกจากกระบี่ยาวที่เหยียบอยู่ พลันนั้นก็กลับคืนสู่ร่างจริงที่เรือนกายใหญ่โตมโหฬาร เท้าเหยียบผู้ฝึกตนหลายสิบคนที่สังหารลูกหลานคนดีในใต้หล้าบ้านตนที่กล้าขึ้นฝั่งตาย แล้วเงื้อกระบองฝาดเข้าที่ค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำของนครมังกรเฒ่า เพียงแค่กระบองเดียวก็ฟาดให้ประกายแสงหลากสีของค่ายกลใหญ่หดหายสิ้น ค่ายกลใหญ่ปกป้องเมืองที่มีปราณวิญญาณมหาศาลเส้นเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนโคจรสร้างขึ้นมากลับระเบิดแตกโพล๊ะคาที่ ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่องประหนึ่งฝนหลากสีห่าใหญ่ที่พร่างพรมลงมายังนครมังกรเฒ่า
กระบองยาวไม่เพียงแต่ฟาดให้ค่ายกลใหญ่แตก พลังอำนาจยังคงยิ่งใหญ่น่าเกรงขามอยู่เหมือนเดิม มันพุ่งเข้าหาหอเรือนสูงของจวนอ๋องเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว
หวงถงและลี่ไฉ่ร่ายกระบี่บินไปตัดหัวหยวนโส่วแทบจะเวลาเดียวกัน แต่กลับถูกปีศาจใหญ่ใช้ฝ่ามือหนึ่งปัดกระบี่บินเล่มหนึ่ง แล้วค่อยยื่นมือไปจับกระบี่อีกเล่มโยนทิ้งไปไกล
โชคดีที่ตอนกระบองนั้นกำลังจะร่วงลงสู่จวนอ๋องเจ้าเมือง บนท้องฟ้ามีเส้นเล็กยาวเหยียดที่ไม่สะดุดตาเส้นหนึ่งปรากฎขึ้นมา แล้วก็เพราะเทือกเขาเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าถูกใครย้ายมานี้ที่ช่วยสกัดขวางพลานุภาพที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งของหยวนโส่วทิ้งไปได้
‘เส้นด้าย’ ขาดผึง ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็มีเทือกเขาสายหนึ่งที่ปริแตกตามกันไป
หยวนโส่วเองก็ไม่กล้ารั้งรออยู่บนสนามรบนานเกินไปนัก แล้วยังถูกกระบี่ของเซียนกระบี่แทงอีกหลายที จึงกลับไปเหยียบบนกระบี่ยาวอีกครั้ง ถอยออกจากสนามรบไป
เจ้าลูกกระต่ายเล่นกระบี่ของอุตรกุรุทวีปกลุ่มนี้น่าชิงชังรังเกียจเสียจริง รอให้ข้าผู้อาวุโสทุบทำลายศาลบรรพจารย์ร้อยแห่งของแจกันสมบัติทวีปแล้วไปถึงบ้านเกิดของพวกเจ้าเสียก่อนเถอะ กับศาลบรรพจารย์บ้านพวกเจ้าจะไม่ใช่กระบองยาวทุบให้แตกแล้ว แต่จะเปลี่ยนมาถามกระบี่กับภูเขาของพวกเจ้าให้ดีๆ เลยเชียว
ขึ้นมาบนแท่นเติงหลง สตรีชุดขาวผู้หนึ่งที่เก็บร่างจริงแล้วล้มตัวนอนขดตัวงอ
เด็กชายชุดเหลืองคนหนึ่งยืนอยู่ตรงขั้นบันไดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าเดินขึ้นไป ยิ่งไม่กล้าเข้าใกล้เจ้านายที่สภาพน่าอนาถจนแทบไม่อาจทนมอง
จื้อกุยแนบใบหน้าซีกหนึ่งติดพื้น จ้องเจ้าสวะผู้นั้นเขม็ง เค้นสามคำลอดไรฟัน “ไปตายไกลๆ”
‘เด็กชายชุดเหลือง’ ที่ก่อนหน้านี้ติดตามจื้อกุยเดินลงน้ำผ่านลำน้ำใหญ่ฉีตู๋จนสำเร็จ งูสี่ขาของตรอกหนีผิงในอดีตตัวนี้รีบวิ่งลงจากบันได ไปนั่งยองอยู่ตีนบันไดแท่นเติงหลง สองมือกุมหัว ตัวสั่นสะท้าน
เมื่อครู่แค่สบตากับอีกฝ่ายเขาก็สังเกตเห็นว่าดูเหมือนขาดอีกนิดเดียวเจ้านายก็จะต้องกินอาหารเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว
เฟยเฟยเองก็กลับคืนสู่ร่างมนุษย์เช่นกัน แต่บนร่างมีรูเพิ่มมาสิบสองรู นั่นไม่ใช่กระบี่บินของเซียนกระบี่ทั่วไป จึงทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาของนางอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกระบี่ที่แทงทะลุท้ายทอยมายังหว่างคิ้วเล่มนั้นที่อำมหิตที่สุด แต่เมื่อเทียบกับจุดจบอันน่าสังเวชของมังกรน้อยตัวนั้นแล้ว สภาพของเฟยเฟยกลับดีกว่าไม่น้อย
ส่วนกระบี่บินสิบสองเล่มของป๋ายอวี้จิงก็ไม่ได้กลับไปถึงมือชุยฉานทั้งหมด ถูกนางทำลายไปหนึ่งเล่ม แล้วดักอีกเล่มหนึ่งไว้ได้ คิดว่าจะนำไปมอบให้คุณชายของตนเป็นของขวัญ
สนามรบกลับคืนสู่การเข่นฆ่ากันระหว่างสองกองทัพอีกครั้ง
อ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ออกคำสั่งข้อหนึ่ง
นักรบเดนตายของต้าหลีหลายสิบคนพลันเคลื่อนกำลังพลไปยังประตูใหญ่สามแห่งที่ถูกใต้หล้าเปลี่ยวแรงเจาะทะลุประหนึ่งหว่านแห
เป็นทั้งประตูใหญ่ที่ถูกกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจฉีกกระชากออก แล้วก็เป็นทั้งเส้นทางที่นครมังกรเฒ่าจงใจเปิดให้ด้วย
ไม่อย่างนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เป็นดั่งฝูงมดรุมไต่นครมังกรเฒ่าก็จะกรูกันไปทางทิศเหนือนับแต่นี้ ซ่งมู่กับทุกคนที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุมไม่เคยรู้สึกว่าจะสามารถพิทักษ์นครมังกรเฒ่าเอาไว้ได้
เพียงแต่ว่ายามที่นครมังกรเฒ่าพิทักษ์ไม่อยู่แล้ว จะเหลือเพียงซากปรักที่ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิงแห่งหนึ่ง มีกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่ตายไปมากพอเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ ส่วนผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปบ้านตน สงครามแห่งใต้หล้า จะไม่มีคนตายได้หรือ?!
ก็เหมือนอย่างนักรบพลีชีพที่กระโจนเข้าหาสนามรบเหล่านั้น นอกจากจะมีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของกองทัพชายแดนต้าหลีแล้ว ส่วนมากยังคงเป็นผู้ฝึกตนที่เป็นนักโทษถูกขังอยู่ในคุกนักโทษประหารของกรมอาญา แต่ละคนล้วนเป็น ‘ยันต์’ แผ่นหนึ่ง ทุกคนที่รบตายไป พลานุภาพจะเท่ากับการฆ่าตัวตายของเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง
ไช่จินเจี่ยนถาม “ไม่กังวลว่าพวกนักรบพลีชีพจะกลัวตาย พอถึงเวลาจึงหลบหนี หรือไม่ก็ไปสวามิภักดิ์กับเผ่าปีศาจหรอกหรือ?”
ซ่งมู่เอ่ย “ต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเขากลัวตาย เผ่าปีศาจก็ไม่กล้ารับไว้”
นักรบเดนตายที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพของราชวงศ์ต้าหลีจะต้องสวามิภักดิ์ก่อนแล้วค่อยตาย อีกทั้งไม่ได้มีแค่คนเดียวอีกด้วย แต่ทั้งก่อนและหลังจะมีรวมทั้งสิ้นสิบสองคน จะบีบให้กระโจมทัพเผ่าปีศาจไม่ยอมรับการสวามิภักดิ์ อีกอย่างสถานการณ์การสู้รบวุ่นวายขนาดนี้ ใครเล่าจะยังมีอารมณ์มามัวแยกแยะตัวตนของแต่ละคนอยู่อีก
——