กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 722.2 ป๋ายเหย่จากไป
ภิกษุเฒ่าพลันกระจ่างแจ้ง “คนพายเรือเฒ่าของเกาะกุ้ยฮวาตระกูลฟ่านที่มักจะเดินทางผ่านร่องเจียวหลงบ่อยๆ”
เฉาหรงพยักหน้ารับ
การที่บอกว่าเป็นศิษย์พี่ครึ่งตัว ก็เพราะอาจารย์ไม่เคยยอมรับว่าคนผู้นี้คือศิษย์ผู้สืบทอด
แต่ว่าปีนั้นตอนที่อาจารย์ออกทะเลเดินทางไปทั่วสารทิศในใต้หล้า คนพายเรือผู้เฒ่ารับหน้าที่ถ่อเรือออกเดินทางไกลไปพร้อมกับอาจารย์ ต่อให้ไม่มีคุณความชอบก็มีคุณความเหนื่อยยาก ดังนั้นลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างพวกเขาจึงยอมรับว่าคนพายเรือเฒ่าก็คือศิษย์พี่ใหญ่
นามแฝงของศิษย์พี่ผู้เฒ่าคนพายเรือมีค่อนข้างมาก หนึ่งในนั้นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ กู้ชิงซง ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเคยมีคำเรียกขานที่ไพเราะบนภูเขาว่า ‘แสร้งทำเป็นผ่อนคลาย’ (ชื่อกู้ชิงซงเขียนคนละอย่าง แต่ออกเสียงเหมือนคำที่แปลว่าแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย) ขึ้นชื่อเรื่องนิสัยแข็งกร้าว
ไม่ว่าจะเข่นฆ่ากับใคร ไม่ว่าขอบเขตจะแตกต่างกันหรือไม่ อีกฝ่ายจะมีประวัติความเป็นมาใหญ่เทียมฟ้าแค่ไหน กู้ชิงซงก็ไม่เคยหวาดกลัวมาก่อน แล้วก็แทบไม่เคยจะชนะใครมาก่อน แต่ถึงสุดท้ายกลับยังเอาชีวิตรอดมาได้ อาเหลียง เจ้านครจักรพรรดิขาว ฮว่อหลงเจินเหริน ‘กู้ชิงซง’ เคยไปมีเรื่องด้วยมาหมดแล้ว ภายหลังเมื่อออกจากพื้นดินบนบกไป หวนกลับไปเป็นคนพายเรือผู้เฒ่าที่ถ่อเรืออยู่ในมหาสมุทรใหญ่อีกครั้ง ว่ากันว่าเขาไม่อาจไปมีเรื่องกับใครมากกว่านั้นได้อีกแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้คนรุ่นเยาว์ในยุคหลังไล่ตามไม่ทัน
มีเฉาหรงคอยลงมือปกป้องค่ายกลให้ นครมังกรเฒ่าและจวนอ๋องเจ้าเมืองต่างก็ไร้ความกังวลแล้ว
ซ่งมู่ที่อยู่ในห้องประชุมงานพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยเตือนเสียงทุ้มหนัก “ผู้ฝึกตนทุกคนที่ตายอยู่นอกนครมังกรเฒ่า ต่อให้จะเป็นพวกเขาที่ออกจากสนามรบซึ่งถูกกำหนดไว้แล้วมาโดยพลการ ต่อให้พวกเขาจะละเมิดกฎโดยไม่ทันระวัง แต่รบตายก็คือรบตาย ไปเตือนผู้ฝึกตนที่ตรวจตราการศึกทุกคน บอกว่าผู้ฝึกลมปราณที่อยู่ในเอกสารบันทึกของสองกรมอย่างกรมอาญาและกรมกลาโหมต้าหลีนี้ คุณความชอบทางการสู้รบห้ามถูกหักลบไปแม้แต่น้อย!”
เลขาธิการฝ่ายบุ๋นคนหนึ่งเอ่ยว่า “การทำเช่นนี้จะขัดต่อกฎเกณฑ์ที่ราชครูตั้งไว้”
ซ่งมู่หันมาจ้องหน้าเขาเขม็ง “อยู่ในนครมังกรเฒ่า ข้าเป็นคนตัดสินใจ! เจ้าแค่ทำตามคำสั่งไปก็พอ หากราชครูคิดจะเอาผิดกับจวนอ๋องเจ้าเมือง ก็ให้มาหาข้าซ่งมู่ที่นครมังกรเฒ่า!”
เลขาธิการฝ่ายบุ๋นดวงตาเป็นประจายเจิดจ้า กุมหมัดเอ่ย “รับคำสั่ง!”
ขุนนางบุ๋นอายุน้อยที่จิตใจกำลังฮึกเหิมผู้นี้รีบส่งกระบี่บินไปแจ้งเรื่องนี้ทันที
ลูกหลานตรอกอี้ฉือที่มีชาติกำเนิดมาจากแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลีผู้นี้ให้การยอมรับสถานะอ๋องเจ้าเมืองของซ่งมู่จากใจจริงเป็นครั้งแรก
วิญญูชนหนุ่มคนหนึ่งจากสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยเฝ้าอยู่ด้านหลังหนึ่งในช่องโพรงขนาดยักษ์ของค่ายกลนครมังกรเฒ่า แนวเส้นการสู้รบที่ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสามเส้นมากพอจะแสดงให้เห็นถึงความใหญ่โตของประตูใหญ่บานนี้ นอกจากวิญญูชนจะคอยช่วยจัดวางกำลังพลสร้างขบวนรบให้กับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของต้าหลีแล้ว ทุกครั้งที่ขอแค่สะสมปราณวิญญาณได้มากพอ วิญญูชนก็จะลงมืออย่างเต็มกำลังหนึ่งครั้ง
ครานี้เมื่อคำพูดออกจากปากของวิญญูชนหนุ่มคาถาอาคมก็ติดตามไป เขาเอ่ยเบาๆ หนึ่งประโยคว่า ‘ม้าเขียวจัดขบวนสามล้าน’
คำว่า ‘ม้าเขียว’ แท้จริงแล้วก็คือกิ่งหลิว
รวมตัวกันหนาแน่น มีพลังอำนาจอย่างมาก
สังหารเผ่าปีศาจที่พาตัวมาตายซึ่งไม่ใช่ผู้ฝึกตน ยังพอทำได้ หลักๆ แล้วคือนำมาใช้ขัดขวางการเดินรุดหน้าของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ
โจวจวี่นักปราชญ์สำนักศึกษากวานหูที่ทำตัวเอ้อระเหยลอยชาย เมื่อหลายปีก่อนกว่าจะได้กลับมาเป็นวิญญูชนอีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือได้มาสร้างคุณความชอบทางการสู้รบที่ไม่เล็กไว้บนสนามรบนครมังกรเฒ่า มีเพียงยามอยู่ในสำนักศึกษาเท่านั้นที่ทำยศวิญญูชนหล่นหายไป กลับมาเป็นนักปราชญ์อีกครั้ง ขึ้นๆ ลงๆ เมื่อไหร่จะได้หยุดพักสักทีหนอ
ก่อนหน้านี้โจวจวี่ลงมือไปแล้วหลายครั้ง เทียบกับวิญญูชนของสำนักศึกษาซานหยาแล้วฝีมือยังเกินคาดมากยิ่งกว่า เวลานี้กำลังนั่งแทะเงินเทพเซียนอยู่ข้างกายวิญญูชนสำนักศึกษาซานหยา เสียงดังกร้วมๆ ถูกเขากินจนราวกับว่ารสชาติมันล้ำเลิศมากอย่างไรอย่างนั้น
ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งที่อายุไม่มากเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารจากศาลลมหิมะที่มาทำหน้าที่คอยปกป้องวิญญูชนสำนักศึกษาที่ร่างกายอ่อนแอ พูดง่ายๆ ก็คือ หากฝ่ายหลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตายอย่างแน่นอน เขาก็จะต้องเป็นคนที่ออกไปรับหน้าก่อน ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ บนสนามรบของกองทัพชายแดนต้าหลี นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอยู่แล้ว
แม้ว่าตอนเข่นฆ่าอยู่ในสนามรบเขาจะเป็นคนที่สุขุมหนักแน่นอย่างมาก แต่อันที่จริงนิสัยแต่กำเนิดกลับร่าเริงอย่างยิ่ง เขาหันมายิ้มหน้าเป็นกับโจวจวี่นักปราชญ์ที่มีนิสัยใกล้เคียงกัน “อริยะโจวต้า สามล้านหรือ? สามหมื่นน่ะถึงไหม? เอาอะไรมาตั้งสามล้าน?”
โจวจวี่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ความสามารถด้านตัวอักษร อันดับแรกต้องประณีตและงามวิจิตร จะต้องใช้กลิ่นอายดุดันของคมดาบและกองกำลังบนหน้าหนังสือมาสยบกำราบฝ่ายตรงข้ามก่อน คำว่าทำให้ฝ่ายตรงข้ามหมดกำลังจะสู้โดยที่ยังไม่ทันลงสนามต่อสู้ก็เป็นเช่นนี้แล ในฐานะยอดฝีมือชั้นเลิศที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของศาลลมหิมะ หลักการเล็กน้อยแค่นี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจหรือ ไม่ได้ความเอาเสียเลย ไม่สู้วันหน้าไปอยู่ในสำนักศึกษากวานหูกับข้าหลายๆ วันหน่อยเถอะ”
วิญญูชนสำนักศึกษาซานหยาเอ่ยเพียงแค่ประโยคเดียวก็เรียกกองทัพใหญ่ ‘ม้าเขียว’ กิ่งหลิวให้กระโจนลงสนามรบได้แล้ว จากนั้นเขาก็รีบนั่งขัดสมาธิทันที ใบหน้าซีดขาวน้อยๆ ยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราแค่พอประมาณก็พอแล้ว อย่าได้เสพติดเลย”
ความบันเทิงเริงใจที่ใหญ่ที่สุดในยามว่างของโจวจวี่แห่งกวานหูและผู้ฝึกตนสำนักการทหารศาลลมหิมะก็คือหยอกเย้าวิญญูชนเช่นเขา พร่ำเรียกเขาว่าอริยะว่าที่เจ้าขุนเขาคำแล้วคำเล่า
ทว่าวิญญูชนกลับรู้ตัวเองดีว่า ทุกวันนี้เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยเปลี่ยนจากเหมาเสี่ยวตงเป็นราชครูชุยฉานไปแล้ว วันหน้าใครจะมาทำหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาก็ไม่อาจจินตนาการได้ถึงเลยแม้แต่น้อย
ใครจะกล้าไปคาดเดาความคิดจิตใจที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งของซิ่วหู่ชุยฉานผู้นั้นกันเล่า
โจวจวี่พลันลุกขึ้นยืน พูดกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพด้วยสีหน้าจริงจัง “ปกป้องวิญญูชน!”
แล้วร่างของเขาก็เปล่งวูบหายไป เห็นเพียงว่าตรงบริเวณที่อยู่ใกล้กับประตูใหญ่ มีดรุณีน้อยเผ่าปีศาจที่สวมชุดคลุมสีดำตัวใหญ่คนหนึ่งร่ายวิชาอภินิหารที่แปลกประหลาด เรือนร่างพลันกลายเป็นนกน้อยหลายพันหลายหมื่นตัวในชั่วพริบตา ถึงขั้นสังหารกิ่งหลิวสีเขียวพวกนั้นจนหมดสิ้น โจวจวี่ต้องการไปพบหน้านางสักหน่อย! หาโอกาสบิดหัวอีกฝ่ายแล้วค่อยเอ่ยกับนางประโยคหนึ่งว่าที่แท้เจ้าก็คือหญิงงาม
บนสนามรบอีกแห่งหนึ่งสถานการณ์กลับอันตรายยิ่งกว่า ต่อให้จะมีเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปคอยช่วยคุมท้ายขบวนให้ แต่อันตรายก็ยังคงรายล้อมอยู่รอบด้าน สัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างประหนึ่งฝูงตั๊กแตนที่กรูกันเข้ามารุมประตูใหญ่
ผู้ฝึกตนทุกคนของนครมังกรเฒ่าล้วนจำต้องยอมรับว่าเผ่าปีศาจพวกนี้ไม่กลัวตายเลยจริงๆ
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเองก็ใช้วิธีการของนักรบพลีชีพมาทุ่มชีวิตต่อสู้กับนครมังกรเฒ่าเหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับ
ตอนแรกเริ่มนี่เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนบนแนวรบเส้นแรกของสนามรบนครมังกรเฒ่าเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง กระทั่งเลขาธิการฝ่ายบุ๋นของจวนอ๋องเจ้าเมืองทุ่มสุดชีวิตเปิดอ่านเอกสารบันทึกลับจำนวนมากอย่างว่องไว สุดท้ายหานักรบเดนตายฝ่ายตรงข้ามจากสมุดเล่มหนึ่งที่ค่อนข้างใหม่แต่ไม่ได้ระบุถึงที่มาของการบันทึกเจออย่างไม่ง่ายดาย รู้ว่าสถานะของทั้งสองคือ ‘ฝันร้าย’ และ ‘คนขโมยใบหน้า’ จวนอ๋องเจ้าเมืองถึงได้หาวิธีการรับมือได้ กระบี่บินส่งข่าวไปยังผู้ฝึกกระบี่ทุกคน บอกกล่าวถึงเบาะแสของผู้ฝึกตนประหลาดสองชนิดนี้ ถึงได้พลิกเปลี่ยนสถานการณ์การรบกลับมาใหม่อีกครั้ง
กลางอากาศเหนือสนามรบมีบ่อสายฟ้าเล็กๆ บ่อหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากความว่างเปล่า ในรัศมีหลายสิบลี้ สายฟ้าล้วนถูกชักนำ ฟ้าแลบเหมือนเจียวสีขาว ห้าอสนีประหนึ่งงูหลากสีที่เปล่งวูบวาบฟาดโบยลงมายังพื้นแผ่นดินไม่หยุดนิ่ง
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่งชายแขนเสื้อสองข้างมีสีแดงและสีดำ แยกกันบังคับมังกรเพลิงและเจียวน้ำให้พากันบุกมาเข่นฆ่าตรงประตูใหญ่
เหนือพื้นผิวทะเลห่างไกลจากนอกประตูใหญ่ยังมีปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่ปรากฏตัวเป็นครั้งแรก คือแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะสีทองควบม้าถือทวน บุกตะลุยแหวกผิวน้ำมาอย่างว่องไว มุ่งตรงเข้าหานครมังกรเฒ่า
แม้ว่ามันจะไม่ใช่ปีศาจใหญ่ดุร้ายขอบเขตยอดเขาอะไร แต่ม้าตัวนี้เมื่ออยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตกลับสะดุดตาอย่างถึงที่สุด ชุดเสื้อเกราะสีทองบนร่างยากจะทำลาย เป็นเหตุให้ถูกสายอิ่นกวานของคฤหาสน์หลบร้อนจัดไว้ในลำดับของบุคคลต้องฆ่า
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ทหารม้าผู้นี้ยังเป็นแบบนี้ อยู่ในนครมังกรเฒ่าแห่งนี้เล่าจะเป็นอย่างไร?
มีเจินเหรินพรรคยันต์ของลัทธิเต๋าคนหนึ่งที่ขอบเขตไม่สูง เป็นคอขวดโอสถทอง แต่กลับเชี่ยวชาญสายของอักขระยันต์ ตอนนี้ร่วมมือกับวิญญูชนใหญ่แห่งสำนักศึกษาที่ปากอมกฎแห่งสวรรค์ผู้หนึ่ง
เหนือทะเลทักษิณ หนึ่งขีดหนึ่งเขียนก่อตัวขึ้นกลายเป็นตัวอักษร คือบทความของอริยะปราชญ์
มีผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่เป็นหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ รูปโฉมอ่อนเยาว์ ตรงหน้าผากและข้างแก้มยังพอจะมีลักษณะพิเศษของร่างจริงเผ่าปีศาจให้เห็นอยู่หลายส่วน นางถึงขั้นบุกรุดหน้าไปได้เร็วยิ่งกว่าเทพเกราะทองขี่ม้าผู้นั้น
นางเองก็ไม่ได้ขี่กระบี่ ทุกครั้งที่กระโดดใต้ฝ่าเท้าจะมีขั้นบันไดหยกขาวขั้นหนึ่งโผล่มา ประกายแสงด้านหลังของนางเหมือนรัศมีทรงกลดของดวงจันทร์ ถูกกระบี่บินหรือไม่เวทคาถาของนครมังกรเฒ่าโจมตีทีเดียวก็แหลกสลาย กลายเป็นดั่งผิวกระจกที่ปริแตกยับเยิน ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็ประสานตัวกลับมาใหม่อีกครั้ง นางฝึกตนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งมีหลงจวินเฝ้าอยู่มานานหลายปี ได้รับปณิธานกระบี่ ‘ดอกไม้ไฟ’ ส่วนหนึ่ง กระบี่บินชื่อ ‘กระจกแตก’ วิชาอภินิหารคือ ‘คืนประสาน’ ทั้งกระบี่บินและร่างกายล้วนเป็นเช่นนี้ ตายยากอย่างยิ่ง แน่นอนว่าอยู่บนสนามรบที่เป็นเช่นนี้กลับยังคงตายได้อยู่ดี ทว่าในฐานะผู้ฝึกกระบี่ หากเอาแต่ขลาดกลัวการสู้รบจะเป็นเซียนกระบี่ได้อย่างไร
อีกอย่างแม้แต่สนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังเคยเข่นฆ่าอยู่นานหลายปี นางก็ไม่รู้สึกจริงๆ ว่าตัวเองจะต้องมาตายอยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้
ในอนาคตเมื่อไปถึงนอกประตูใหญ่ของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ปล่อยกระบี่ออกไปแล้วค่อยตาย กลับว่าพอจะกล้อมแกล้มยอมรับได้!
ผู้ฝึกตนเซียนดินของนครมังกรเฒ่าที่ซุกซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้คนหนึ่งระเบิดความดุร้ายสังหารศัตรูไปแถบใหญ่ เพิ่งจะใกล้ได้สมใจปรารถนา สะสมคุณความชอบไว้ได้เพียงพอแล้ว สามารถอาศัยสิ่งนี้ออกไปจากสนามรบ กลับไปเป็นบรรพจารย์ผู้เฒ่าของสำนักที่ตั้งอยู่ใจกลางของจังหวัดต่อไป ผลกลับถูกคนผู้หนึ่งที่ลุกขึ้นยืนจากกองศพด้านหลัง ทั้งๆ ที่เป็นใบหน้าของผู้ฝึกตนแจกันสมบัติทวีปที่คุ้นเคยดี แต่กลับถูกฝ่ายหลังเอามือควักหัวใจ แม้แต่โอสถทองก็ถูกอีกฝ่ายยัดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ จากนั้นก็ล้มลงอยู่บนพื้นราวกับหุ่นเชิดโดยที่เลือดสดยังไหลนองเต็มปาก
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับสนามรบแห่งนี้มีขอบเขตเป็นก่อกำเนิด คือผู้อาวุโสเซียนกระบี่อย่างสมชื่อของแจกันสมบัติทวีปแล้ว เมื่อตามหาร่องรอยของร่างจริงเผ่าปีศาจที่ทำลับๆ ล่อๆ ผู้นั้นไม่เจอจึงได้แต่ถอยไปเลือกอันดับรอง เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘กิ่งสูง’ ออกมา ใช้แสงกระบี่วาดวงโค้งขนาดใหญ่แผ่ปกคลุมกองศพทั้งหลายเอาไว้ จากนั้นแสงกระบี่ก็ซัดตูมลงไปเบื้องล่าง ระเบิดศพเหล่านั้นให้แตกออกเกินครึ่ง น้อยนักที่จะเหลือศพใดครบสมบูรณ์
คิดไม่ถึงว่ายังคงมีหุ่นเชิดพุ่งแผล็วออกไปไกล กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ผู้เฒ่าจึงพุ่งตรงตามไป
ยิ่งคาดไม่ถึงว่าศพของผู้ฝึกตนที่ก่อนหน้านี้ถูกควักหน้าอกกลับเผ่นหนีไปยังทิศทางตรงกันข้ามห่างไปไกลในเสี้ยววินาที ขณะเดียวกันร่างของหุ่นเชิดที่ปรากฏตัวแรกสุดก็อ่อนยวบลงกำลังจะพลัดตกลงสู่มหาสมุทร
แค่ชั่วประกายไฟแลบ เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกกระบี่เฒ่ารับมือไม่ทันอยู่บ้าง เก็บปณิธานกระบี่เข้ามาตามจิตใต้สำนึกแล้วถือโอกาสฟันหุ่นเชิดนั้นให้ขาดออกเป็นสองท่อน จากนั้นก็รีบเก็บกระบี่บินทันที หันไปฟันศพที่ไม่มีหัวใจก่อน ร่างจริงของสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นต้องอยู่บนร่างของฝ่ายหลังอย่างแน่นอน แสงกระบี่ฉายประกายเจิดจ้า พลังอำนาจดุจสายรุ้ง
ลี่ไฉ่จนคำพูด
เจ้าเล่นลูกไม้อวดลวดลายให้ใครดูกันนี่
ต่อให้จะเป็นเซียนกระบี่หญิงที่มาจากต่างถิ่นผู้นี้ก็เหน็ดเหนื่อยไร้เรี่ยวแรงอยู่นานแล้ว แต่กระนั้นก็ยังพยายามสุดกำลังที่จะเรียกกระบี่บินออกมา ใช้หนึ่งกระบี่สะบั้นฟันหุ่นเชิดที่เพิ่งจะถูกผ่าร่างตัดเอวให้ระเบิดแตกอย่างสิ้นเชิง ปั่นคว้านจิตวิญญาณของเซียนดินเผ่าปีศาจที่แท้จริงแล้วซ่อนอยู่ในเนื้อหนังมังสาของเผ่ามนุษย์ร่างนี้ให้เละ
ชำเลืองตามองตาเฒ่าผู้นั้น ลี่ไฉ่ก็คร้านจะพูด ต้องกลับไปยกเหล้าในนครมังกรเฒ่าดื่มให้กระปรี้กระเปร่าสักหลายๆ กาถึงจะได้ เหล่าเหนียงขอนอนหลับให้สบายสักตื่นใหญ่ๆ ค่อยมาสู้รบต่อ
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นมองดูก็อายุมากแล้ว สภาพคล้ายก่อกำเนิด ถือว่าเป็นคนใหม่ ทว่าโอสถทองที่อยู่ในระดับขั้นปกติกลับถูกขัดเกลามาหลายปีแล้ว
เหตุใดประสบการณ์การเข่นฆ่าบนสนามรบถึงได้เหมือนลูกนกหัดบินอย่างไรอย่างนั้น
ดูเหมือนว่าจะเป็น ‘เซียนกระบี่ผู้เฒ่า’ ที่มาจากภูเขาตะวันเที่ยง?
มารดาแท้ๆ ของเหล่าเหนียงหนอ
พูดถึงแค่สายตา ความตื้นลึกและความเด็ดขาดในการออกกระบี่ อย่าว่าแต่เฉินหลี่ลูกศิษย์ของตนที่ฉลาดหัวไวเลย เกรงว่าแม้แต่แม่หนูเกาโย่วชิงเขาก็ยังห่างชั้นอยู่ไกลจนเทียบไม่ติดแล้ว
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกกระบี่เฒ่าของภูเขาตะวันเที่ยงคนนั้นกลับกุมหมัดขอบคุณเซียนกระบี่หญิงแห่งอุตรกุรุทวีปที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้มาแต่ไกลๆ แล้ว
ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าสำนักลี่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง! ผู้ฝึกกระบี่ของสองทวีปต่างก็รู้จักเซียนกระบี่ใหญ่หญิงท่านนี้
ช่างเป็นเซียนกระบี่ที่ยอดเยี่ยมนัก! เวทกระบี่เลิศล้ำเสียจริง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งก็ยิ่งประหนึ่งลูกดอกที่เข้าร้อยเป้า ทุกครั้งที่ออกกระบี่ต้องได้รับผลเก็บเกี่ยวยิ่งใหญ่กลับมาเสมอ!
หากในอนาคตสามารถไปเป็นแขกที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงได้ จะต้องยึดหลักมารยาทของลูกศิษย์ครึ่งตัวบนภูเขา ขอวิชาความรู้ด้านวิถีกระบี่จากเจ้าสำนักลี่ให้ดีสักครั้งให้จงได้
ลี่ไฉ่เกือบจะกลอกตาตอบกลับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไปเสียแล้ว กว่านางจะข่มกลั้นไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วก็ไม่มีอะไรให้พูดมากนัก คนเราไม่ควรยื่นมือไปตบหน้าคนที่ยิ้มให้
มารดาเจ้าเถอะ สายตาแบบนี้หากเอาไปวางไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วถูกคนนอกเห็นเข้า อย่าว่าแต่ใต้เท้าอิ่นกวานเลย ต่อให้เป็นอิ่นกวานน้อยของบ้านตนก็คงยังลงไปนอนหัวเราะขำกลิ้งอยู่กับพื้น
กำแพงเมืองปราณกระบี่มีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย หนึ่งในนั้นมีเรื่องประหลาดเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตามากนักอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือตอนอยู่บนสนามรบ ทุกครั้งที่อิ่นกวานหนุ่มไปจัดการกับเผ่าปีศาจที่เป็นเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขา ดูเหมือนว่าเขาจะเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ
ลี่ไฉ่เคยสอบถามเป็นการส่วนตัว หรือว่าเจ้ามีความแค้นใหญ่เทียมฟ้ากับหยวนโส่ว? เพียงแค่เพราะขอบเขตไม่เพียงพอ ดังนั้นเลยได้แต่เอาไฟโทสะไประบายใส่หัวของพวกศิษย์ลูกศิษย์หลานหยวนโส่วชั่วคราว?
ตอนนั้นเฉินผิงอันให้เหตุผลที่ลี่ไฉ่นึกว่าเป็นแค่คำพูดตลกขบขัน บอกว่าครั้งแรกที่ข้ากับหนิงเหยาทุ่มชีวิตร่วมมือกันโจมตีศัตรูกลับไม่อาจได้เปรียบใดๆ กลับมา
ลี่ไฉ่เพียงแค่รู้สึกอัดอั้นนัก เจ้าหยวนโส่วผู้นั้นเคยลงมือกับเจ้าและหนิงเหยามาก่อนหรือ? หรือจะบอกว่ามีปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานเผ่าพันธ์ย้ายภูเขาตนใดมาพบเจอกันบนสนามรบ เพียงแต่ว่าไม่ได้ต่อสู้กันแบบสะท้านฟ้าสะเทือนดิน? ก็เหมือนอย่างปีนั้นที่อิ่นกวานหนุ่มประมือกับเฝ่ยหราน เพียงไม่นานก็เดินสวนไหล่ผ่านกันไป?
ลี่ไฉ่ขี่กระบี่กลับไปยังนครในของนครมังกรเฒ่า ไปดื่มเหล้า อันที่จริงท่วงท่าการขี่กระบี่ของนางในเวลานี้โงนเงนเต็มทีแล้ว ราวกับสตรีดื่มเหล้ามาจนเมามายแล้ว
ขอบเขตเซียนเหรินกับมารดามันเถอะ คราวนี้หมดหวังแล้วจริงๆ แม้แต่โอกาสเสี้ยวเดียวที่เหลืออยู่ก็ถูกเหล่าเหนียงเหยียบย่ำจนหายไปแล้ว จะโทษใครได้ โทษสุราก็แล้วกัน
——