กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 724.1 วิดน้ำทั้งทวีปให้แห้งเพื่อจับปลา
หลี่เป่าผิงจูงม้าเดินผ่านซุ้มหินซุ้มแล้วซุ้มเล่า มุ่งหน้าไปยังริมลำคลอง
สกุลเฉินผู้รอบรู้ถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่ที่รวบรวมซุ้มประตูหินของผู้ประสบความสำเร็จแห่งใต้หล้าเอาไว้ สำนักศึกษาเสากวงและสำนักศึกษาฝานลู่ล้วนเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ
และยิ่งเป็นสำนักศึกษาสองแห่งที่เป็นเพื่อนบ้านอยู่ใกล้กันมากที่สุดในใต้หล้าไพศาล สำนักศึกษาฝานลู่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสถานศึกษาประจำตระกูลของสกุลเฉินผู้รอบรู้ อาจารย์และผู้สอนเกินครึ่งล้วนเป็นคนสกุลเฉิน
สตรีสวมชุดแดงรัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ตรงเอว พกดาบแคบยันต์มงคล ทุกวันนี้หลี่เป่าผิงมีชื่อเสียงไม่น้อยในสำนักศึกษาสองแห่ง นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับการ ‘ยึดมั่นในเหตุผล’ ของนาง รวมไปถึงความอดทนที่มากผิดปกติยามที่ถกปัญหากับผู้อื่น ไม่ถึงขั้นทำให้คนรังเกียจ แต่กลับทำให้คนรำคาญอยู่ไม่น้อย ดังนั้นสำนักศึกษาสองแห่งอย่างเสากวงและฝานลู่ต่างก็รู้จักหญิงสาวที่มาจากสำนักศึกษาซานหยาคนนี้ แม้จะบอกว่าทุกวันนี้สำนักศึกษาซานหยาของสกุลเกาต้าสุยในแจกันสมบัติทวีปมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่นี่กลับต้องยกคุณความชอบให้กับเจ้าขุนเขาคนใหม่ เพราะเขาคือชุยฉานที่ทรยศออกจากสายบุ๋น หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนมากกว่า ไม่ได้อยู่ที่ว่าสำนักศึกษามีเมล็ดพันธ์บัณฑิตกี่มากน้อย ไม่ได้อยู่ว่านักปราชญ์วิญญูชนคนรุ่นเยาว์นำเสนอความรู้ยิ่งใหญ่ดีงามอะไรที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งแผ่นดินกลางบ้าง ดังนั้นทุกวันนี้ก็ใช่ว่าลัทธิขงจื๊อจะไม่มีความเห็นต่างต่อการที่สำนักศึกษาซานหยาได้กลับมาอยู่ในเจ็ดสิบสองลำดับเลยเสียทีเดียว
ซิ่วหู่ชุยฉานเป็นราชครูต้าหลี สามารถรวบรวมกองกำลังของทั้งแคว้นมาใช้ต่อต้านกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจ ไม่มีอะไรให้ต้องพูด มีเพียงการที่ชุยฉานได้เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยาเท่านั้นที่ก่อให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย
ก่อนหน้านี้หลี่เป่าผิงเดินทางไปท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาเพียงลำพัง เคยไปเยี่ยมเยือนราชวงศ์ใหญ่ๆ หลายแห่งอย่างต้าตวน เส้าหยวน ทุกหนทุกแห่งล้วนมีการเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามอย่างเร่งด่วน ต่างฝ่ายต่างระดมกำลังผู้ฝึกตนบนภูเขาและทหารม้ายอดฝีมือให้เดินทางไปยังเส้นแนวรบเลียบมหาสมุทรที่สำคัญหลายเส้นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ผู้ฝึกลมปราณเมธีร้อยสำนักต่างก็ร่ายวิชาอภินิหารของใครของมัน เรือข้ามทวีปที่ใหญ่โตดุจขุนเขาหลายลำทะยานขึ้นจากพื้นดิน ลอยอยู่บนนภามืดฟ้ามัวดิน ผ่านสถานที่ใดก็ล้วนสามารถทำให้เวลากลางวันของที่แห่งนั้นพลันเปลี่ยนเป็นราตรีมืดมิดในทันใด เล่าลือกันว่าบรรพจารย์ของแต่ละสำนักต่างพากันปรากฏตัว เพียงแต่ว่าทางฝ่ายของศาลบุ๋นนี้ นับแต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ไปจนถึงหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง เจ้าลัทธิศาลบุ๋นและยังมีอริยะผู้บุกเบิกขุนเขาของสายบุ๋นสายอื่นในระบบลัทธิขงจื๊อ ต่างก็ยังไม่ได้ปรากฏตัว สุดท้ายก็มีเพียงรองเจ้าลัทธิคนหนึ่งของศาลบุ๋นและผู้อำนวยการสามท่านที่วิ่งวุ่นทำงานหนักอยู่ในหลายทวีป มักจะเห็นจากรายงานขุนเขาสายน้ำได้เป็นประจำว่าพวกเขาปรากฎตัวที่ใดบ้าง พูดคุยเรื่องอะไรกับใครบ้าง
อันที่จริงก็ไม่ถือว่าหลี่เป่าผิงออกเดินทางท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำเพียงลำพัง ผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่ชื่อว่าสวี่ป๋ายคนนั้นยังคงชอบติดตามหลี่เป่าผิงอยู่ไกลๆ เพียงแต่ว่าหลังจากถูกหลี่ซีเซิ่งหดย่อพื้นที่พาออกห่างมาพันลี้และหมื่นลี้ หนึ่งในสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ที่ถูกเรียกขานอย่างไพเราะว่า ‘สวี่เซียน’ ผู้นี้ ทุกวันนี้ก็เรียนรู้ที่จะฉลาดขึ้นบ้างแล้ว นอกจากบางครั้งจะนั่งเรือข้ามฟากลำเดียวกับหลี่เป่าผิงแล้ว ในช่วงเวลาอื่นๆ เขาจะไม่โผล่หน้ามาอย่างเด็ดขาด ถึงขั้นที่ว่าไม่เข้าใกล้หลี่เป่าผิงด้วย หลังจากขึ้นเรือมาแล้วก็จะไม่มาหานาง คนหนุ่มมักจะชอบยืนเซ่อซ่าอยู่ตรงหัวเรือ รอคอยอย่างโง่งม ขอแค่ได้เห็นสตรีชุดแดงที่ตัวเองชื่นชอบอยู่ไกลๆ สักแวบก็พอแล้ว
ก่อนหน้านี้โดยสารเรือข้ามทวีปมายังทักษินาตยทวีป มีครั้งหนึ่งหลี่เป่าผิงทนไม่ไหวจริงๆ จึงไปหาเขา ถามว่าสวี่ป๋ายเจ้าถูกคนผูกด้ายแดงใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นเจ้าจะมาชอบอะไรข้า? ต้องทำอย่างไรกันแน่เจ้าถึงจะไม่ชอบข้า?
ตอนนั้นสวี่ป๋ายหน้าแดงก่ำ ตอบทั้งสามคำถามติดๆ กัน บอกว่าไม่มีทางถูกใครผูกด้ายแดงแน่นอน ไม่ว่าอะไรก็ชอบ เว้นเสียจากว่าข้าไปชอบแม่นางคนอื่น
ผู้ฝึกตนในใต้หล้า มีพวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่โชควาสนาเปี่ยมล้นอยู่จริงๆ นักพรตหญิงหวงถิงแห่งใบถงทวีป เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งแจกันสมบัติทวีป ล้วนเป็นเช่นนี้
และทุกวันนี้ในบรรดาสิบคนรุ่นเยาว์ ก็มีคนหนุ่มของใต้หล้ามืดสลัวที่หยุดอยู่ในขอบเขตรั้งคนแล้วได้เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉที่คนเดียวได้ครอบครองน้ำเต้าบรรพบุรุษถึงสองลูก
ในบรรดาสิบคนตัวสำรองก็มีสวี่ป๋ายแห่งแผ่นดินกลางและหม่าขู่เสวียนแห่งแจกันสมบัติทวีปที่ในเรื่องโชควาสนานั้นดีเยี่ยมที่สุด ราวกับได้รับโชควาสนาบนมหามรรคาที่หล่นลงมาจากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
คนรุ่นเยาว์สิบคนและสำรองสิบคน ส่วนใหญ่ล้วนผ่านการขัดเกลาบนมหามรรคามาไม่มากก็น้อย แม้แต่เด็กสาวจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่มีอายุน้อยที่สุดอย่าง ‘ฉุนชิง’ ตอนที่ติดอันดับก็เพิ่งจะอายุสิบหกปีเท่านั้น ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของฮูหยินภูเขาชิงเสิน จึงเคยผ่านการประลองมาแล้วหลายครั้ง
มีเพียงสวี่ป๋ายที่ไม่ค่อยเหมือนกับหม่าขู่เสวียน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีบันทึกถึงการลงมือของเขา คาดว่าคงมีอยู่แค่สองครั้งที่เขาเกิด ‘ความขัดแย้ง’ กับคนอื่น ผลลัพธ์คือเพราะโชคดีเกินไปจึงกลายเป็นว่าโชคไม่ได้ดีมากขนาดนั้นอีกแล้ว สวี่ป๋ายถึงได้เจอกับพี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิงโดยตรง โชคดีที่สวี่ป๋ายไม่ได้มีใจอยากเอาชนะคะคาน ออกมาท่องยุทธภพในครั้งแรกก็พ่ายแพ้ติดต่อกันสองครั้ง ทว่าสภาพจิตใจของเขากลับยังไร้อุปสรรคขัดขวาง ขอแค่อย่าได้พบเจอกับบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊ออีกเป็นพอ
ทุกวันนี้สวี่ป๋ายก็อยู่ในสำนักศึกษาฝานลู่ ข้อสงสัยเพียงหนึ่งเดียวในใจของชายหนุ่มก็คืออาจารย์อาน้อยที่หลี่เป่าผิงพูดถึง สรุปแล้วคือเทพเซียนจากฝ่ายใดกันแน่ เหตุใดวันนั้นสุดท้ายแล้วหลี่เป่าผิงถึงได้พูดจาน่าเชื่อถือว่า วันหน้ารอให้นางได้พบกับอาจารย์อาน้อยเสียก่อน ก็จะทำให้สวี่เซียนกลายเป็นสวี่ปู้เซียน (สวี่ไม่ใช่เซียน) ให้ดู ยามนั้นราวกับว่าสตรีชุดแดงได้กลายเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง น่ารักอย่างถึงที่สุด สวี่ป๋ายรู้สึกว่าต่อให้ถูกอาจารย์อาน้อยของนางซ้อมรอบหนึ่งก็คุ้มค่าแล้ว
อันที่จริงสำหรับฉายา ‘สวี่เซียน’ ที่อยู่ดีๆ ก็หล่นลงมาบนหัวของตนนี้ สวี่ป๋ายรู้สึกกระวนกระวายมาโดยตลอด ยิ่งไม่กล้าคิดเป็นจริงเป็นจัง
เพราะถึงอย่างไรบทกวีและกระบี่ของป๋ายเซียน ถ้อยวลีของซูเซียน ยันต์ของอวี๋เซียน หมากของเจิ้งเซียน ก็ล้วนมีมาดเซียนอันล่องลอยอย่างสมชื่อ ใต้หล้านี้ไร้ผู้ใดทัดเทียมได้ สวี่ป๋ายไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าอยู่ดีๆ ตนมีคำว่า ‘เซียน’ มาต่อท้ายชื่อได้อย่างไร
หลี่เป่าผิงจูงม้าเดินอยู่ริมลำคลอง กำลังจะหยิบน้ำเต้ามาดื่มเหล้าก็ต้องรีบวางลงทันที
หลี่เป่าผิงกะพริบตาปริบๆ อาจารย์ของอาจารย์มาแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงร่ายเวทอำพรางตา พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “เป่าผิงน้อย อย่าเอะอะไป ชื่อเสียงของข้าที่นี่ยิ่งใหญ่เกินไป หากถูกใครค้นพบร่องรอยเข้าจะปลีกตัวไปได้ยาก”
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ยากจะปฏิเสธน้ำใจอันลึกซึ้ง ยามที่มาถ่ายทอดวิชาความรู้ที่สกุลเฉินผู้รอบรู้แห่งนี้ เดือดร้อนให้แม่นางกี่มากน้อยที่ต้องโยนปิ่นปักผม โยนผ้าเช็ดหน้ามาให้? เดือดร้อนอาจารย์กี่มากน้อยที่ต้องถกเถียงกันจนลำคอแดงก่ำเพื่อแย่งตำแหน่งที่นั่ง?
หลี่เป่าผิงจึงไม่ได้ประสานมือคารวะ เพียงแค่ใช่เสียงในใจเรียกว่าอาจารย์ปู่เป็นครั้งแรก
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะจนหุบปากไม่ลง เขาชอบเป่าผิงน้อยในจุดนี้เป็นที่สุด ไม่เหมือนเหมาเสี่ยวตง ยึดถือกฎเกณฑ์ยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มถามชวนคุย “เป่าผิงน้อย ช่วงนี้อ่านหนังสืออะไรอยู่หรือ?”
หลี่เป่าผิงตอบ “อ่านคัมภีร์พุทธเล่มหนึ่ง บทนำคือหนึ่งร้อยแปดคำถามที่พระโพธิสัตว์ต้าฮุยถามต่อพระพุทธเจ้า”
หากเปลี่ยนเป็นสายบุ๋นสายอื่นของลัทธิขงจื๊อ อาจารย์ผู้เฒ่าได้ยินเช่นนี้คาดว่าคงจะปวดหัวแปลบทันที ทว่าซิ่วไฉเฒ่ากลับยิ้มอย่างเข้าใจ แค่ถามชวนคุยกลับได้คำตอบที่น่ายินดีอย่างไม่คาดฝัน จึงลูบหนวดพยักหน้ารับ “เป่าผิงน้อยเลือกหนังสือได้ดี เป็นคัมภีร์ที่ดี พระธรรมที่ดี พระพุทธเจ้ายังรู้สึกว่าถามน้อยเกินไป จึงย้อนถามกลับเสียมากกว่า ถามจนฟ้าดินถึงขั้นรู้สึกว่าบอกกล่าวไปแทบทั้งหมดแล้ว หนึ่งในความตั้งใจของพระพุทธเจ้าก็คือต้องการกำจัดวิถีเชิงสัมพัทธ์ อันที่จริงนี่มีความคล้ายคลึงกับวิถีแห่งจงยงที่ลัทธิขงจื๊อของพวกเราสรรเสริญ ในบรรดาบัณฑิตอย่างพวกเรา คนที่ขานรับกับวิถีนี้อยู่ไกลๆ ก็น่าจะเป็นนักปราชญ์ผู้ล่วงลับของทะเลสาบซูเจี่ยนที่อาจารย์อาน้อยของเจ้าเคยคบค้าสมาคมด้วย ในอดีตข้าเคยให้การบ้านข้อหนึ่งแก่อาจารย์ของเจ้าเป็นพิเศษ และยังมีอาจารย์ลุงทั้งหลายของเจ้า เพื่อเอามาใช้ตอบ ‘ถามฟ้า’ โดยเฉพาะ ภายหลังตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อาจารย์ลุงจั่วของเจ้ายังจงใจทำให้อาจารย์อาน้อยของเจ้าลำบากใจด้วยเรื่องนี้”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับเบาๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ ศาสตร์แห่งตรรกะของลัทธิพุทธ ศาสตร์แห่งการโต้แย้งการโน้มน้าวของสำนักต่างๆ ที่มีชื่อเสียง หลี่เป่าผิงล้วนเคยสัมผัสมาก่อน ส่วนบรรพจารย์สายเหวินเซิ่งบ้านตน หรือก็คืออาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่อยู่ข้างกายเวลานี้ ใน ‘ตำราเจิ้งหมิง’ ก็เคยพูดถึงการให้คำจำกัดความ การตั้งชื่อเพื่อนำมาสะท้อนภววิสัยอย่างละเอียด แน่นอนว่าหลี่เป่าผิงย่อมตั้งใจศึกษาเรื่องนี้มากกว่า หรือพูดง่ายๆ ก็คือ พวกมันล้วนเป็นสมบัติอาคมในการ ‘โต้เถียง’ ยิ่งรู้มากก็ยิ่งเป็นประโยชน์มาก เพียงแต่ว่ายิ่งหลี่เป่าผิงอ่านตำรามากเท่าไร ข้อสงสัยก็ยิ่งมีมากเท่านั้น กลับกลายเป็นว่าตัวเองเถียงตัวเองไม่ชนะ ดังนั้นมองดูเหมือนว่ายิ่งนานนางก็ยิ่งเงียบงัน แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะนางพูดคุยกับตัวเอง ถามเองตอบเองอยู่ในใจมากเกินไปต่างหาก
“อ่านตำราอริยะปราชญ์ได้ถึงแก่นย่อมเข้าใจทะลุปรุโปร่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “คำกล่าวนี้เมื่อก่อนอาจารย์ของเจ้าไม่สะดวกจะพูดกับพวกเจ้า เพราะตอนนั้นพวกเจ้าอายุน้อยเกินไป ยังไม่ได้อ่านตำรามาหนามากพอ ง่ายที่จะแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่น ยกตัวอย่างเช่นคำกล่าวที่บอกว่า ‘ทำความสะอาดบ้านต้องสะอาดเอี่ยมทั้งภายในและภายนอก ปิดประตูลงกลอนต้องตรวจสอบด้วยตัวเอง’ พวกเด็กๆ ฟังแล้วมีแต่จะรู้สึกรำคาญว่าเหนื่อยยาก แต่พอพูดกับคนแก่กลับจะรู้สึกว่าเป็นสัจธรรมที่แท้จริง รู้สึกว่าควันธูปทอดยาวไกล การทำไร่ไถนา การเล่าเรียนหนังสือ การสืบทอดของตระกูล ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายล้วนอยู่ในสิ่งละอันพันละน้อยของชีวิตประจำวัน คนคนเดียวกัน เหตุผลข้อเดียวกัน ฟังตอนเป็นเด็กกับฟังตอนโตแล้ว จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พออ่านหนังสือหนาเข้า ก็จะสามารถแยกออกมาแสดงความคิดเห็น เอารวมกันเพื่อทำความเข้าใจ เพียงอ่านก็เข้าใจความหมาย”
ระหว่างที่พูดซิ่วไฉเฒ่าก็หยิบเอากำไลข้อมือหยกวงหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เอามาวางไว้บนฝ่ามือ ยิ้มถาม “มองอะไรออกบ้างหรือไม่?”
หลี่เป่าผิงคล้ายจะกระจ่างแจ้ง นางพยักหน้ารับเบาๆ “ในบรรดาตราประทับของล่างภูเขา ตราประทับทรงสี่เหลี่ยมล้ำค่ามากที่สุด ก็คือหลักการเดียวกัน มีหรือไม่มีไม่แน่นอน เมื่อมีแน่นอนย่อมเกิดหมื่นอาคม”
หยกมันแพะงดงามในโลกมนุษย์ นำมาแกะสลักเป็นกำไลหยกชิ้นหนึ่ง การที่มันล้ำค่าหายาก ก็เพราะว่าต้องสกัดกลึงออกเยอะมาก สุดท้ายเหลือเพียงส่วนสีขาวไว้ให้คนได้เห็น
ส่วนในบรรดาตราประทับ ตราประทับรูปวงรี ตราประทับรูปทรงตามแต่ใจ มูลค่ามักจะต่ำกว่าตราประทับทรงสี่เหลี่ยมอยู่มาก เหตุผลนั้นอยู่ที่การ ‘หักใจไม่ลง’
เพียงแต่ว่าในขั้นตอนนี้ยังเกี่ยวพันไปถึง ‘เมล็ดพันธ์เทพเซียน’ ที่มีความเกี่ยวข้องกับตัววัสดุของกำไลหยกและของตราประทับทรงสี่เหลี่ยม เพียงแต่ว่าความคิดของเป่าผิงน้อยค่อนข้างโลดแล่น มักจะกระโดดไปยังจุดที่ห่างไปไกลเสมอ นี่จึงช่วยตัดความกังวลมากมายให้กับซิ่วไฉเฒ่าไปได้
ซิ่วไฉเฒ่าพลันหันหน้ามา ยิ้มตาหยีถามอีกว่า “สวี่ป๋าย เจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร?”
ห่างไปไกลทางด้านหลัง คนหนุ่มผู้หนึ่งรีบเผยกาย ประสานมือคารวะเพื่อขออภัยก่อน พอยืดเอวตรงแล้วก็ประสานมือคารวะอีกครั้ง ตอบอย่างนอบน้อมว่า “ผู้เยาว์มิทราบ”
สวี่ป๋ายมีชาติกำเนิดมาจากแคว้นเล็กๆ ห่างไกลของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ภูมิลำเนาเป็นคนเส้าหลิง คนรุ่นปู่รุ่นพ่อล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดาที่คอยเฝ้าสะพานขอพร แม้ว่าตอนเด็กสวี่ป๋ายจะเคยตรากตรำอ่านตำราอริยะปราชญ์ แต่แท้จริงแล้วกลับยังไม่ช่ำชองเรื่องทางโลกเท่าใดนัก ครั้งนี้ปลุกความกล้าออกเดินทางไกลมาเพียงลำพัง ตลอดทางจึงสร้างเรื่องขบขันไว้ไม่น้อย
ซิ่วไฉเฒ่ามองคนหนุ่มที่สวมชุดสีเขียวสุภาพเรียบร้อย โชคดีที่ตอนนี้เจ้าเด็กนี่ยังไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายบุ๋น แล้วยังถือว่าเป็นคนซื่อตรงใช้ได้ ไม่อย่างนั้นกล้ามาขุดมุมกำแพงสายเหวินเซิ่งของข้า ซิ่วไฉเฒ่าจะต้องกระโดดถ่มน้ำลายรดหน้าเจ้าให้จงได้ ฟ้าดินกว้างใหญ่เหตุผลใหญ่ที่สุด อายุลำดับอาวุโสอะไรนั่นขยับไปยืนอยู่ข้างๆ ก่อน ซิ่วไฉเฒ่าอารมณ์ดีอย่างมาก เจ้าหนุ่มนี่ไม่เลว ไม่เสียแรงที่เป็นสวี่เซียน เป็นพวกลุ่มหลงในรักนี่เอง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหวินเซิ่งข้า แต่ละคนล้วนไม่ขาดวาสนารักจริงๆ เพียงแต่ว่าล้วนเอาความสามารถไปวางไว้บนเรื่องของการศึกษาเล่าเรียนเสียหมด สายหลี่เซิ่งสายหย่าเซิ่งจะมาเปรียบเทียบด้วยได้อย่างไร ส่วนสายตาเฒ่าฝูนั่นก็อย่าเอามาเทียบเลย ถ้าจะมาขอกราบอาจารย์ขอความรู้จากสายเหวินเซิ่งของข้าอย่างนอบน้อมน่ะยังพอได้
หลี่เป่าผิงถอนหายใจ ช่วยไม่ได้ ดูท่าคงได้แต่ต้องเรียกพี่ใหญ่ให้มาช่วยเสียแล้ว หากพี่ใหญ่ทำได้ ก็ให้ส่งสวี่ป๋ายผู้นี้กลับไปบ้านเกิดเขาเสียเลยจะดีกว่า
ซิ่วไฉเฒ่ารีบยกมือขึ้นแล้วกดลงบนความว่างเปล่าสองที บอกเป็นนัยแก่เป่าผิงน้อยว่าอย่าเพิ่งรีบเรียกใช้ท่าไม้ตาย มีอาจารย์ปู่อยู่ยังต้องกลัวอะไรอีก
ซิ่วไฉเฒ่ากวักมือเรียกสวี่ป๋าย กระทั่งคนหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่าอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วถึงได้ประสานมือคารวะอีกครั้ง “ข้าน้อยสวี่ป๋าย คารวะท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มพลางพยักหน้ารับ ถามว่า “สวี่ป๋าย เคยได้ยินชื่ออาจารย์ผู้เฒ่าเหมาเสี่ยวตงที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดในการศึกษาเล่าเรียนหรือไม่?”
สวี่ป๋ายพยักหน้ารับ “ตอนที่เรียนชั้นประถม ก่อนอาจารย์ในโรงเรียนจะออกเดินทางไกลเคยได้เขียนรายชื่อหนังสือให้ข้าฉบับหนึ่ง มีหนังสือทั้งหมดสิบหกเล่ม ต้องการให้ข้าอ่านทบทวนซ้ำไปมา เล่มหนึ่งในนั้นก็คือผลงานคำอรรถาธิบายความหมายของคำศัพท์โบราณของเจ้าขุนเขาเหมาแห่งสำนักศึกษาซานหยา ข้าน้อยเคยตั้งใจอ่านมาก่อน ได้ความรู้มากมาย”
กล่าวมาถึงตรงนี้สวี่ป๋ายก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย อาจารย์ในโรงเรียนของตน หากพูดถึงแค่ชื่อเสียง ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาท่านหนึ่งแล้วย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว จะว่าไปแล้วนี่ก็เพราะคนหนุ่มที่ถือกำเนิดในสถานที่เล็กๆ ยังมีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ ยังรู้จักแยกแยะความจนความรวย บนภูเขาล่างภูเขาได้ ดังนั้นในสายตาของสวี่ป๋าย อาจารย์ที่ช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้ขั้นประถมให้กับตน ไม่ว่าตนจะให้ความเคารพเลื่อมใสเขาเพียงไร ถึงอย่างไรความรู้ของเขาก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าอริยะสำนักศึกษาท่านหนึ่ง
ซิ่วไฉเฒ่าอารมณ์ดีอย่างยิ่ง แล้วก็ไม่คิดจะเปิดเผยความลับกับคนหนุ่ม เพียงแค่ใช้เสียงในใจเอ่ยกับเป่าผิงน้อย “หากเดาไม่ผิด อาจารย์ในโรงเรียนของสวี่ป๋ายก็คือ ‘เส้าหลิงสวี่จวิน’ ผู้นั้น คือนักศึกษาคัมภีร์ใหญ่อย่างสมชื่อ แต่แม้ว่าทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ต่างก็แซ่สวี่ ทว่ากลับไม่มีควันธูปบนทำเนียบตระกูลกันก็เท่านั้น”
หลี่เป่าผิงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
‘สวี่จวิน’ ที่พวกชาวบ้านแต่งตั้งตำแหน่ง ‘จื่อเซิ่ง’ (อริยะด้านตัวอักษร) ให้ผู้นั้น ไม่ใช่อริยะปราชญ์ที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลบุ๋น ทว่าปีนั้นอาจารย์อาน้อยกลับชื่นชมอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้มาก
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “อาจารย์ในโรงเรียนของเจ้าคนนั้นมีแววตาที่ยอดเยี่ยมนัก คัมภีร์สิบหกเล่มที่เลือกไว้ให้เจ้าตั้งใจศึกษา หนึ่งในนั้นมี ‘รวมคำอธิบายชุยจื่อ’ ของเหมาเสี่ยวตงอยู่ด้วย สามารถมองเห็นรากฐานความรู้ของชุยฉาน แล้วก็มองเห็นการให้คำอธิบายของเหมาเสี่ยวตง นั่นก็เท่ากับว่ามองเห็นวิชา ศาสตร์และสถานการณ์ไปพร้อมกัน”
ยากที่จะจินตนาการได้ว่า ศิษย์น้องคนหนึ่งที่ตั้งใจให้คำอธิบายความรู้ของศิษย์พี่โดยเฉพาะ ปีนั้นที่อยู่ในสำนักศึกษาซานหยา เหมาเสี่ยวตงกับชุยฉาน ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนกลับเป็นปรปักษ์ต่อกันถึงขนาดนั้น
——