กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 726.3 ป๋ายเหย่สมกับเป็นเทพเซียน ทว่าวิญญาณกระบี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 726.3 ป๋ายเหย่สมกับเป็นเทพเซียน ทว่าวิญญาณกระบี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
สำหรับกระบี่เซียนสี่เล่มที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหลายใต้หล้า แต่ไหนแต่ไรมาก็มีคำเล่าลือว่าทุกเล่มล้วนมีวิญญาณกระบี่ซ่อนตัวอยู่ สามารถใช้ปณิธานกระบี่ก่อตัวขึ้นมาเป็นมนุษย์ คอยอยู่เคียงข้างเจ้านายตลอดเวลา ตัวของวิญญาณกระบี่เองจะมีพลังการต่อสู้เท่าเทียมกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง เป็นเหตุให้ได้ครอบครองกระบี่เซียนเล่มหนึ่งก็เท่ากับว่าได้ครอบครองข้ารับใช้ถือกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่มีมหามรรคาร่วมกัน เพียงแต่ว่ารูปโฉมของวิญญาณกระบี่ทั้งสี่ท่าน แม้แต่อวี๋เสวียนก็ยังไม่เคยได้เห็นกับตามาก่อน สหายรักอย่างฮว่อหลงเจินเหริน ในฐานะเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ก็ยังบอกกับอวี๋เสวียนว่าตัวเองเคยพบกับวิญญาณกระบี่แค่สองครั้งเท่านั้น ทว่ารูปโฉมกลับไม่แน่นอน มีครั้งหนึ่งรูปร่างเป็นนักพรตน้อยที่ห้อยตราประทับเทียนซือ ส่วนอีกครั้งหนึ่งมีลักษณะเป็นสตรีถือกระบี่ที่สะพายฝักกระบี่
สำหรับเรื่องนี้อวี๋เสวียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะถึงอย่างไรยามที่ฮว่อหลงเจินเหรินคิดจะหลอกคนอื่นขึ้นมาก็ทำให้คนไร้คำพูดได้จริงๆ เพราะใครที่สนิทที่สุดเขาก็มักจะชอบหลอกคนผู้นั้น ก็เหมือนอย่างเมื่อหลายปีก่อนที่ฮว่อหลงเจินเหรินต้องหน้าม้านที่จวนเทียนซือ จากนั้นพอเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในแผ่นดินกลาง ข้างกายเขาจึงมีนักพรตหนุ่มคนหนึ่งติดตามไปด้วย ลูกศิษย์ผู้สืบทอดจางซานเฟิง
สองอาจารย์และศิษย์ไม่ขึ้นเขา ฮว่อหลงเจินเหรินเพียงแค่บอกให้อวี๋เสวียนลงจากภูเขามารับรองแขก บอกว่าลูกศิษย์ของตัวเองเป็นคนขี้ขลาด
เจ้าเด็กคนนั้นก็ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าใจกล้าหรือว่าเป็นคนโง่กันแน่ พอรู้ว่าเขาชื่ออวี๋เสวียนยังทำสีหน้าจริงใจ ขาดก็แค่ไม่ได้หลุดปากเอ่ยมาว่าผู้อาวุโสโชคไม่ดีเลย ถึงขั้นโชคร้ายมีชื่อเดียวกับฝูลู่อวี๋เสวียนผู้นั้น ด้วยเหตุนี้การฝึกตนบนภูเขาจะต้องถูกคนหัวเราะเยาะไม่น้อยแน่นอน
กระบี่เซียนสามเล่มที่มีไท่ป๋ายเป็นหนึ่งในนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมานาน การปรากฎตัวของกระบี่เซียนทุกเล่มล้วนสร้างความสะท้านฟ้าสะเทือนดินได้ทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเช่นป๋ายเหย่ใช้กระบี่ฟันถ้ำสวรรค์ น้ำของแม่น้ำหวงเหอไหลมาจากสวรรค์ หรือยกตัวอย่างเช่นเต๋าเหล่าเอ้อตัวคนเดียวพกกระบี่ไปถามกระบี่แก่อารามเสวียนตูใหญ่ สังหารผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำคนหนึ่งของใต้หล้ามืดสลัว
หรือยกตัวอย่างเช่นเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์รุ่นนี้ ในฐานะนักพรตหนุ่มที่สืบทอดตำแหน่งเทียนซือใหญ่ด้วยอายุที่น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ตอนอายุยี่สิบก็พกกระบี่ลงจากภูเขา ไปท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์นานร้อยปี เหยียบย่างลงบนพื้นที่ของหกทวีปในไพศาล สังหารปีศาจห้าขอบเขตบนติดต่อกันไปถึงสิบเอ็ดตน สังหารจนผีทั้งหลายในโลกมนุษย์ล้วนพากันหลบเลี่ยงเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ นี่ถึงได้มีคำพูดติดปากประโยคที่บอกว่า ‘บนโลกมนุษย์ขอแค่เป็นสถานที่ที่ภูตผีออกอาละวาด ก็ต้องมีเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์’
มีเพียงกระบี่เล่มที่สี่เท่านั้นที่ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาไม่เคยเผยร่างจริง ว่ากันว่าหอสยบกระบี่ของทักษินาตยทวีปหนึ่งในเก้าหอพิทักษ์เมืองสร้างขึ้นมาก็เพื่อใช้สยบกระบี่เล่มนี้ ใช้สยบกำราบวิญญาณกระบี่ตนนี้ แล้วก็มีคำกล่าวบอกว่าคนพิฆาตมังกรที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาบนโลกเมื่อสามพันปีก่อน ตอนนั้นได้ถือกระบี่ยาวเล่มนี้ไว้ในมือ พอสังหารมังกรไปแล้วก็โยนกระบี่ทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้กระบี่จมลงสู่มหาสมุทร
บนยอดเขาของใต้หล้าไพศาลยังมีคำเล่าลือบอกว่า อันที่จริงยังมีกระบี่เซียนเล่มที่ห้าด้วย เพียงแต่ไม่มีใครรู้ร่องรอยว่าหายไปไหน
นอกจากนี้กระบี่เซียนไท่ป๋ายที่อารามเสวียนตูใหญ่ให้ป๋ายเหย่ยืมเล่มนี้ อันที่จริงชื่อเดิมคือเสวียนตู เพียงแต่ว่ามีอีกชื่อหนึ่งคือไท่ป๋าย พอมาอยู่ในมือป๋ายเหย่ ชื่อหลังถึงได้เหนือกว่าชื่อแรก
จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ หนึ่งในวัตถุแทนตัวตราประทับกระบี่ของเทียนซือใหญ่ กระบี่เซียนมีชื่อว่าว่านฝ่า (หมื่นอาคม)
ส่วนกระบี่เซียนที่อยู่ในการครอบครองของเจ้าลัทธิสองแห่งป๋ายอวี้จิงที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง มีชื่อว่าเต้าจ้าง (ชื่อเรียกรวมของคัมภีร์ในลัทธิเต๋า)
ป๋ายเหย่หันหน้ามายิ้มถาม “ไม่ไปจริงๆ หรือ? โอกาสสุดท้ายแล้วนะ หากจิตหยินของผู้อาวุโสแหลกสลาย บวกกับที่ทิ้งน้ำเต้าแห่งชะตาชีวิตลูกนั้นไว้ที่นี่ เกรงว่าแม้แต่ขอบเขตบินทะยาน เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ก็คงเก็บไว้ไม่ได้แล้ว”
ฟ้าดินจิตธรรมหกแห่งของป๋ายเหย่มิอาจกักตัวปีศาจใหญ่หกตนได้นานนัก
อวี๋เสวียนกลัดกลุ้มใจเหลือเกิน ตนไม่อาจช่วยอะไรได้มาก แต่ก็คงไม่ถึงขั้นช่วยให้เสียเรื่อง แล้วนับประสาอะไรกับที่ตนอยู่ที่นี่ก็ทำให้ป๋ายเหย่มีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
ในความเป็นจริงแล้วเขาใช้จิตหยินออกเดินทางไกลมาเยือนฝูเหยาทวีปจริงๆ ร่างจริงของเขาซ่อนอยู่ที่อื่น ทว่าสมบัติทั้งหมดรวมถึงน้ำเต้าบรรจุเหล้าลูกนี้ล้วนเอามาพร้อมกันด้วยทั้งหมดแล้ว
ป๋ายเหย่ยกฝักกระบี่ที่อยู่ในมือขึ้น เอ่ยว่า “รบกวนเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ช่วยเอาของสิ่งนี้ไปคืนให้แก่อารามเสวียนตูใหญ่ที ได้ยินมาว่าหนึ่งในความเสียดายในชีวิตนี้ของฝูลู่อวี๋เสวียนก็คือไม่สะดวกจะออกเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว ป๋ายเหย่พอจะมีคุณความชอบเล็กๆ ติดตัว อยู่กับข้าไม่มีประโยชน์อะไร อวี๋เสวียนสามารถอาศัยสิ่งนี้บินทะยานไปกลับระหว่างสองใต้หล้าได้ ส่วนกระบี่ไท่ป๋ายในมือป๋ายเหย่นี้คงไม่อาจเอากลับไปคืนเจ้าของเดิมได้แล้วจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านอีกที ช่วยบอกต่อแก่เจ้าอารามซุนด้วยว่าข้าขอโทษ”
ขอแค่อวี๋เสวียนรับฝักกระบี่ไท่ป๋ายนี้ไป ป๋ายเหย่ก็จะออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง ฟันบัลลังก์ทั้งหกอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฟันเปิดทางเส้นหนึ่งให้กับอวี๋เสวียนให้จงได้
เชื่อว่าด้วยวิชายันต์ของอวี๋เสวียน ต่อให้มีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์พยายามขัดขวางอย่างสุดความสามารถ อวี๋เสวียนก็คงจากไปได้ไม่ยากอยู่ดี
คิดไม่ถึงว่าอวี๋เสวียนจะส่ายหน้า “แค่ใช้จิตหยินเดินทางไกลมา แค่ตัดใจสละครึ่งชีวิตทิ้งไว้ที่นี่ก็ถือว่าไม่ใจกว้างมากพอแล้ว ถอยร่นในช่วงเวลาสำคัญ เผ่นหนีเอาชีวิตรอด จะไม่ทำให้มาดแห่งเซียนต้องสูญหายไปสิ้นหรอกหรือ”
เมื่อจิตแห่งมรรคาของอวี๋เสวียนยืนหยัดหนักแน่นก็ไม่ทำตัวเลอะเลือนต่ออีก เขาหัวเราะเสียงดัง “อยากคืนฝักกระบี่ก็เอาไปคืนเองสิ! ข้าอวี๋เสวียนจะไปพบกับป๋ายอิ๋งผู้นั้นก่อน ไม่แน่ว่าเจ้านี่อาจเป็นกุญแจสำคัญของวิชาตัวตายตัวแทนนั่นก็ได้ จากนี้ยามเจ้าออกกระบี่ก็ทำตามกฎเดิม ข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงของเจ้า”
ขอบเขตบินทะยานยอดเขาสูงสุดคนหนึ่งที่มีหวังจะผสานมรรคากับฟ้าดิน ตัดใจทิ้งจิตหยินและวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เป็นรากฐานที่สุดชิ้นหนึ่งได้ลงคอ หากนี่ยังไม่เรียกว่าใจกว้างอีก ก็คงเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าแล้ว
ฝูลู่อวี๋เสวียน เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียน
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าผมขาวสวมชุดสีม่วง เท้าเหยียบอยู่บนภาพไท่จี๋ ร่างพลันเปล่งวูบหายไป ฉวยโอกาสตอนที่จิตธรรมขุนเขาสายน้ำของป๋ายเหย่ถูกป๋ายอิ๋งกระแทกม่านฟ้าให้ปริแตกลอดผ่านรอยเส้นเข้าประตูนั้นไป ผู้เฒ่าเผยกายธรรม ชายแขนเสื้อสองข้างพองสะบัด ยันต์ล่องลอยออกมาติดต่อกันไม่ขาดสาย ประหนึ่งเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า โจมตีป๋ายอิ๋งและข้ารับใช้ถือกระบี่ที่ทำหน้าที่เปิดทางให้ถอยร่นกลับไปยังซากปรักสนามรบแห่งนั้นก่อน แล้วค่อยใช้ยันต์ครึ่งหนึ่งสร้างความมั่นคงให้กับฟ้าดินจิตธรรมของป๋ายเหย่ ถ่ายโอนเข้ามาในฟ้าดินค่ายกลยันต์ของตัวเอง ยันต์อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือมีสารพัดรูปแบบ เต็มไปด้วยความแปลกใหม่พิสดาร
บนพื้นดิน กองทัพม้าเหล็กมารวมตัวกัน บุกทะลวงฝ่าค่ายกล บนนภากาศ มีนางฟ้าโปรยบุปผา
นอกจากนี้ยังมีหุ่นเชิดเกราะทองอีกหลายร้อยตนที่พอเหยียบลงพื้นได้ก็พุ่งกระโจนไปเบื้องหน้า พลังอำนาจดุจอสนีบาต
ศาลา หอเรือน หอเก๋งมากมายล้วนมีเซียนซือชุดขาวที่จำแลงมาจากยันต์พร้อมใจกันร่ายวิชาอภินิหารที่แตกต่าง โยนสมบัติอาคมที่ใช้ในการโจมตีออกไป ประหนึ่งสายฝนที่พร่างพรมลงบนโลกมนุษย์
หนึ่งในคดีที่ปิดไม่ลงบนภูเขาของใต้หล้าไพศาลก็คือสรุปแล้วฝูลู่อวี๋เสวียนหลอมยันต์ไว้กี่หมื่นแผ่นกันแน่ หลายหมื่นแผ่น? หลายแสนแผ่น? ล้านแผ่น?!
เวลาเดียวกันนั้นปีศาจบนบัลลังก์ป๋ายอิ๋งไม่ว่าจะหดย่อพื้นที่อย่างไรก็ยังคงยืนอยู่บนประตูตายของค่ายกลปากว้าอยู่ตลอดเวลา
ต่อให้เจ้าจะอยู่ในฟ้าอำนวยของค่ายกลใหญ่สามแห่งของฝูเหยาทวีป ทว่าก่อนหน้านี้มีฟ้าดินจิตธรรมของป๋ายเหย่ มีฟ้าดินของอวี๋เสวียน แล้วยังตามมาด้วยภาพไท่จี๋ ทั้งสามสิ่งนี้ต่างก็พร้อมใจกันสลายฟ้าอำนวยนั้นทิ้งไป!
อารมณ์ของป๋ายอิ๋งเคร่งเครียด เจ้าฝูลู่อวี๋เสวียนสมควรตายผู้นี้ หากเปลี่ยนไปเป็นคนใดคนหนึ่งของสิบคนแห่งแผ่นดินกลางก็ไม่ถึงขั้นทำให้เขารู้สึกยุ่งยากถึงขนาดนี้
ป๋ายอิ๋งไม่ยินดีจะเผยรากฐานของตัวเองออกมา จึงได้แต่เลียนแบบฝูลู่อวี๋เสวียน นั่นคือใช้ปริมานคว้าชัยชนะ ต่างฝ่ายต่างร่ายวิชาอภินิหาร ใช้จำนวนมากปะทะจำนวนมาก
อวี๋เสวียนมียันต์มาก ป๋ายอิ๋งก็จำแลงชุดคลุมอาคมบนร่างให้เป็นบัลลังก์โครงกระดูกอีกครั้ง บังคับกองทัพใหญ่วิญญาณหยินแต่ละกองให้จับคู่เข่นฆ่ากับหุ่นเชิดยันต์ที่มีเป็นพรืดอยู่บนสนามรบแห่งต่างๆ
อันที่จริงฟ้าดินที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ ไม่ว่าจะบนฟ้าหรือบนดินก็ล้วนเป็นสนามรบทั้งสิ้น
แม้ว่าอวี๋เสวียนจะแค่รั้งปีศาจใหญ่บนบัลลังก์อย่างป๋ายอิ๋งไว้ได้แค่คนเดียว แต่กระนั้นก็ทำให้ป๋ายเหย่รู้สึกผ่อนคลายได้เยอะมาก
หนึ่งเพราะมีความเป็นไปได้มากว่าป๋ายอิ๋งจะเป็นทางหนีทีไล่สำคัญที่เจี่ยเซิงจัดวางไว้ นอกจากนี้ชีวิตนี้ป๋ายเหย่ที่ไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่ผู้ภาคภูมิใจหรือเซียนกวีผู้ผิดหวัง ก็ไม่เคยพึ่งพาคนอื่น ด้วยเหตุนี้การเข่นฆ่าในครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ป๋ายเหย่ได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนอื่น
นอกจากป๋ายอิ๋งแล้ว ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์อีกห้าตนที่เหลือล้วนหลุดพ้นจากพันธนาการมาได้แล้ว พวกเขาพร้อมใจกันเผยกายธรรมหมื่นจั้ง สุดท้ายปราณวิญญาณจึงไปรวมตัวอยู่ในห้าจุดอย่างบ้าคลั่ง
ระหว่างฟ้าดิน ปราณวิญญาณอันเปี่ยมล้นไพศาลของหนึ่งทวีปจึงแห้งขอดไปนับแต่นั้น
หากไม่เป็นเพราะก่อนหน้านี้บัลลังก์ทั้งหกดึงเอามาควบคุมวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็เป็นเพราะถูกทะเลเมฆของป๋ายอิ๋ง ชุดคลุมมังกรของหย่างจื่อและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเชี่ยอวิ้นสูบกลืนเอาไปดั่งปลาวาฬสูบน้ำ
ต่อมาค่ายกลกระบี่ห้าแห่งก็หล่นลงบนพื้น กักปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งห้าที่รวมถึงหย่างจื่อให้อยู่ในนั้นอีกครั้ง
ป๋ายเหย่บทกวีไร้เทียมทาน
มีเพียงยามที่บทกวีบทกลอนในใจถูกเปิดอ่านจนสิ้น ถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ปราณวิญญาณในจิตใจของป๋ายเหย่เผาผลาญจนหมด
ซึ่งก่อนจะเป็นเช่นนั้น บทกวีไร้เทียมทาน กระบี่ก็ยิ่งไร้ทัดเทียม
ป๋ายเหย่สมกับเป็นเซียนกระบี่จริงๆ ทำให้ผู้ฝึกกระบี่มากน้อยเท่าไรละอายใจ
ใต้หล้ามืดสลัว
ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง เจี่ยกวนของใต้หล้า
มีเซียนสยายผมขี่ปลาวาฬกลับนคร บ้างก็ขี่กระเรียนสีเหลืองทะยานไปกลางอากาศ มีเซียนผู้เฒ่านั่งลืมตนเหลือเพียงโครงกระดูกอยู่บนหอสูง นอกหอเรือนเกิดริ้วคลื่นน้ำลวดลายเล็กๆ มีเซียนยุคโบราณในนครที่เมฆม่วงเหนือศีรษะรวมตัวกันเป็นมงกุฎห้าขุนเขา และยิ่งมีหยกงามที่เหมาะสำหรับฝึกตนมากที่สุดของใต้หล้ามืดสลัวที่คล้ายจะเข้าใจเรื่องบางอย่างในฉับพลันทันที จึงปล่อยจิตหยินเดินทางไปยังห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง เซียนเหรินบ้างก็ส่งมอบแผ่นหยกคำเขียว บ้างก็ถ่ายทอดวิชาอมตะ
ทุกวันนี้เต๋าเหล่าเอ้อเป็นผู้นั่งบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิง
ลู่เฉินเจ้าลัทธิสามรับผิดชอบไปฟ้านอกฟ้า คอยรับมือกับเทวบุตรมารนอกโลกที่ฆ่าเท่าไรก็ไม่หมดไม่สิ้นทั้งหลาย
เพียงแต่ว่าลู่เฉินมักจะแอบดอดกลับมาที่ป๋ายอวี้จิงเป็นประจำก็เท่านั้น
เต๋าเหล่าเอ้อเองก็คร้านจะพูดอะไรมากความ ขนาดอาจารย์ยังไม่ว่าอะไร เขาที่เป็นศิษย์พี่พูดไปก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ อันที่จริงมีเพียงศิษย์พี่ใหญ่อยู่เท่านั้น ศิษย์น้องลู่เฉินถึงจะอยู่ในกฎเกณฑ์ได้บ้าง อีกทั้งกฎเกณฑ์ที่ยากนักกว่าเขาจะทำตามเหล่านั้น หาใช่เพราะตัวลู่เฉินเองรู้สึกว่ากฎเกณฑ์ทั้งหลายดีงาม แต่แค่เพราะเคารพในตัวศิษย์พี่ใหญ่ก็เท่านั้น
วันนี้ลู่เฉินกลับจากฟ้านอกฟ้ามายังจุดที่สูงที่สุดของป๋ายอวี้จิงอีกครั้ง สองนิ้วกักตัวเทวบุตรมารนอกโลกที่เล็กเท่าเมล็ดงาไว้ตนหนึ่ง ชำเลืองตามองกระบี่เซียนไร้ฝักด้านหลังศิษย์พี่แล้วยิ้มเอ่ย “หรือว่าจะสะพายกระบี่ออกเดินทางไกลไปยังใต้หล้าไพศาล? ป๋ายอวี้จิงจะทำอย่างไรล่ะ? อาจารย์ไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่นานแล้ว คงไม่ยอมแหกกฎเพราะท่านหรอก ในอนาคตเมื่อศิษย์พี่ใหญ่กลับมาป๋ายอวี้จิงยังอาจจะพอเป็นไปได้”
เต๋าเหล่าเอ้อเรือนกายสูงใหญ่ มีใบหน้าของชายวัยกลางคน ไม่ได้สนใจนิสัยจอมหาเรื่องของลู่เฉิน เพียงแค่ขมวดคิ้วถาม “ในอดีตป๋ายเหย่เคยมีใจมุ่งหาเต๋า เหตุใดเจ้าถึงไม่ลงมือ?”
กระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังเต๋าเหล่าเอ้อสั่นสะท้านเบาๆ คล้ายกำลังขานรับกับกระบี่เซียนไท่ป๋ายที่อยู่ห่างกันคนละใต้หล้าอยู่ไกลๆ
ลู่เฉินฟุบตัวลงบนราวรั้ว ยิ้มเอ่ย “ไม่ยินดีให้ป๋ายอวี้จิงมีเซียนน่าเบื่อเพิ่มมาอีกคน ไม่ยินดีให้บ้านเกิดมีคนที่ภาคภูมิใจที่สุดน้อยไปหนึ่งคน คำตอบนี้ของศิษย์น้อง ศิษย์พี่พอใจหรือไม่?”
เต๋าเหล่าเอ้อไม่เอ่ยอะไรอีก
ลู่เฉินเงียบไปพักใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็ด่าขำๆ ว่า “นักพรตซุนผู้นี้ใช้ไม่ได้เลย วันหน้าข้าจะไปด่าเขาที่หน้าประตูของอารามเสวียนตูใหญ่เอง”
ก่อนหน้านี้นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่มาปรากฏตัวอยู่นอกป๋ายอวี้จิงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แล้วก็ไม่มองมายังจุดสูงสุด เพียงแค่มองไปยังนครสูงแห่งหนึ่งของป๋ายอวี้จิงเท่านั้น จากนั้นทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้แล้วก็จากไป
‘โอ้โห ที่แท้ป๋ายอวี้จิงก็มีเซียนเหรินตัวจริงอยู่ด้วยแหะ’
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของใต้หล้าไพศาล
จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ นักพรตหนุ่มใบหน้าประดุจหยกคนหนึ่งยืนอยู่บนหอเด็ดดาว นิ้วมือในชายแขนเสื้อทำมุทราคิดคำนวณอยู่ในใจ
ผู้ที่ได้สวมชุดคลุมเต๋ามีเอกลักษณ์โดดเด่นสะดุดตาที่สุดของจวนเทียนซือ ชุดคลุมเต๋าที่มีไอเมฆหมอกสีเหลืองม่วงล้อมเวียนวน คือชุดขนนกชิงเซี่ยงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า ก็คือผู้สูงศักดิ์หวงจื่อ
นักพรตน้อยสะพายกระบี่คนหนึ่งโผล่มาปรากฏตัวอยู่บนหอเด็ดดาว นักพรตหนุ่มหันกลับไปคารวะ นักพรตน้อยกลับเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง เผชิญหน้ากับเทียนซือใหญ่คนปัจจุบันของภูเขามังกรพยัคฆ์ เขากลับใช้มือข้างเดียวทำมุทรากระบี่ ถือเป็นการคารวะกลับคืน
ใต้หล้าแห่งที่ห้า นครบินทะยาน
หนิงเหยายื่นนิ้วไปกดตรงหว่างคิ้ว
แจกันสมบัติทวีป
บนสะพานหินโค้งสีทอง สตรีร่างสูงใหญ่วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า นั่งอยู่บนสะพาน นางทัดผมสีนิลไปด้านหลังเบาๆ
ข้ารับใช้วิญญาณกระบี่?
แน่นอนว่าไม่ใช่
วิญญาณกระบี่เดิมทีก็เป็นวัตถุที่นางหล่อหลอมขึ้นมา หรือพูดให้ถูกก็คือ แต่ไหนแต่ไรมาวิญญาณกระบี่ก็คือนาง แต่นางกลับไม่เคยใช่วิญญาณกระบี่
นางไม่ยินดีให้ใครรู้เรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นต่อให้เป็นหยางเหล่าโถวที่ถอยออกจากสนามรบเป็นคนแรกสุดก็ยังเดาความจริงไม่ออก ด้วยความเป็นวิญญูชนผู้สุภาพของฉีจิ้งชุน ทำให้เขาไม่ยินดีอนุมานในเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่รู้ความจริงนี้เช่นกัน
มีเพียง ‘หลิวสือลิ่ว’ ที่ตอนนั้นยังอายุน้อยเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ถูกนางกระชากเข้ามาที่นี่ เขาถึงพอจะเดาเบาะแสบางอย่างได้ แต่กระนั้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นความจริงอะไร หลิวสือลิ่วถึงได้มีข้อข้องใจที่ว่า ‘ข้ารับใช้ผู้ถือกระบี่ตายไปแล้ว’
ตอนนั้นที่นางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินชิงตูรู้สถานะของนางอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อีกทั้งยังไม่รู้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้คิดอย่างไรกันแน่ จึงต้องทำแสร้งโง่ ร่วมมือกับนางหลอกเฉินผิงอัน ต่อให้นางเอ่ยไปว่าไปตายให้ไกลๆ เฉินชิงตูก็ยังได้แต่ยอมฝืนใจ เดินขยับออกห่างไปไกลกว่าเดิมจริงๆ
หากนางเป็นเพียงแค่หนึ่งในวิญญาณกระบี่ของสี่กระบี่เซียน ก็ไม่คู่ควรกับคำเรียกขานว่า ‘ผู้อาวุโส’ จากเฉินชิงตู
หนึ่งหมื่นปีก่อน หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดห้าท่านของสรวงสวรรค์ ผู้ถือกระบี่ก็คือผู้ที่พลังพิฆาตสูงส่งเหนือนอกฟ้า
ออกกรีฑาทัพไปทั่วสี่ทิศของใต้หล้า โครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความผิดและเผ่าปีศาจบนพื้นดิน กองกันอยู่ใต้คมกระบี่ของนางดั่งภูเขาลูกหนึ่ง
แม้แต่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลมากมายที่มีพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นหนึ่งในนั้น ล้วนถูกหนึ่งกระบี่ของนางฟันอย่างไม่ใส่ใจจนกลายเป็นเพียงเศษชิ้นส่วนของฟ้าดิน
ภายหลังเทพอัคคีบงการทูตอิ๋งฮว่อให้ร่วมมือกับเทพวารี ช่วยกันรวบรวมแก่นแห่งฟ้าดินสร้างกระบี่ขึ้นมาสี่เล่ม ล้วนเป็นกระบี่ที่สร้างเลียนแบบสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้
ต่อจากนั้นมาก็มีเวทกระบี่จากบนฟ้าหล่นลงสู่โลกมนุษย์ แบ่งแยกออกเป็นสี่สาย บ้างผลุบบ้างโผล่ ทอดยาวเป็นสาย นอกจากสายของเฉินชิงตูแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ยังมีสายของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ สายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าของอารามเสวียนตูใหญ่ แม้กระทั่งแดนพุทธะบงกชก็ยังมีอยู่หนึ่งสาย
กระบี่เซียนผุพังเล่มหนึ่งในนั้นที่ถูกเฉินชิงตูนำไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เหมาะจะให้ออกกระบี่อย่างเต็มแรงแล้วจริงๆ เป็นเหตุให้หมื่นปีที่ผ่านมา แท้จริงแล้วล้วนกำลังรอคอยให้เจ้าของปรากฎตัวอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายรอคอยอย่างยากลำบากมานานหมื่นปี ในที่สุดก็ถูกเฉินชิงตูก็มอบมันต่อให้หนิงเหยา หรือควรจะพูดว่าวิญญาณกระบี่เป็นฝ่ายหมายตาหนิงเหยาเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหนิงเหยาที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้วิ่งนำทุกคนไปบนวิถีกระบี่อย่างไม่เห็นฝุ่นเช่นนี้
ดังนั้นตอนที่หนิงเหยาไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู หมายจะเปิดทิพย์จักษุตรงหว่างคิ้วอย่างไม่เสียดายค่าตอบแทนเพื่อเรียกกระบี่เล่มนี้ออกมา นางถึงได้ลืมตามอง หมายจะมองดูว่าเวทกระบี่สายที่นางถ่ายทอดให้แก่เฉินชิงตูด้วยตัวเองนี้ หมื่นปีให้หลังมีใครเป็นผู้สืบทอด
ม้วนภาพแห่งกาลเวลาซึ่งเป็นภาพการปรึกษาริมลำคลองในอดีตที่ซิ่วไฉเฒ่าหยิบออกมา นางก็คือคนที่ยืนอยู่ไกลที่สุดเพียงลำพังคนนั้น
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดช่วงแรกเริ่มสุดนางถึงได้ยินดีถ่ายทอดวิชากระบี่ให้กับเผ่ามนุษย์ แล้วเหตุใดถึงยินดีที่จะยืนอยู่กับฝ่ายเดียวกับเผ่ามนุษย์ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ แต่สรุปแล้วก็คือในสายตาของนาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายในอดีตล้วนเป็นมดตัวเล็กเช่นเดียวกัน
ดังนั้นเมื่อสามพันปีก่อน ศึกสังหารมังกรที่เกิดขึ้นในถ้ำสวรรค์หลีจู ในสายตาของนางแล้วก็ยังคงน่าขำไม่ต่างจากการละเล่นของพวกเด็กๆ
เพราะนางไม่ใช่วิญญาณกระบี่
บนฟ้าล่างฟ้า
นางคือนายแห่งกระบี่