กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 729.1 ดอกหลีขาวเกินไป หมวกหัวเสือ
โจวมี่มหาสมุทรความรู้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างออกจากท่าเรือทางทิศเหนือสุดของใบถงทวีป ร่ายเวทวิชาอภินิหาร ทยอยไปหาเซอเยว่และเฝ่ยหราน คนหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ตามป่าเขาอย่างสบายอารมณ์ ต้องเสียเปรียบสองครั้งติดต่อกันทั้งตอนอยู่ต่างบ้านต่างเมืองและตอนอยู่บ้านเกิด แม่นางหน้ากลมที่สวมชุดผ้าฝ้ายจึงยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น เริ่มมานะเก็บรวบรวมและหล่อหลอมแสงจันทร์ของสถานที่ต่างๆ คนหนึ่งกำลังชมดวงจันทร์อยู่บนยอดเขาจ้าวผิงนอกนครเซิ่นจิ่งของต้าเฉวียน โจวมี่กักตัวหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้าทั้งสองคนมาอยู่ข้างกายตัวเองง่ายๆ ให้มาร่วมชมสิ่งปลูกสร้างที่จำแลงมาจากกายธรรมและต้นอู๋ถงต้นหนึ่งที่ร่างจริงหลบซ่อนอยู่ด้านหลังร่วมกันกับเขา
ซิ่วหู่ฉุยชานเชี่ยวชาญเรื่องการไม่เอาชนะคะคานกับคนอื่นในจุดที่แข็งแกร่งที่สุด แต่จะชอบชดเชยข้อด้อยให้สมบูรณ์ครบถ้วนเสียก่อน แล้วค่อยสำแดงศักยภาพในส่วนข้อดีของตนให้ถึงขีดสุด นี่จึงทำให้การช่วงชิงของแจกันสมบัติทวีป ไม่ว่าโจวมี่จะใช้กลอุบาย ใช้วิธีการอย่างไรก็ล้วนมีความหมายไม่มาก จึงได้แต่ใช้การโจมตีต่อต้านการโจมตีเท่านั้น
เฝ่ยหรานและเซอเยว่ต่างก็คารวะอาจารย์โจว
โจวมี่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็มองไปทางเฝ่ยหราน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในที่สุดก็ตัดใจยกเอาชื่อของศิษย์พี่เชี่ยอวิ้นมาใช้ได้แล้วสินะ”
เฝ่ยหรานกล่าว “ทำให้อาจารย์โจวเห็นเรื่องตลกแล้ว หลังจากนี้เฝ่ยหรานยินดีเป็นฝ่ายไปขอรับความผิดจากกระโจมอู้จื่อด้วยตัวเอง แลกเปลี่ยนผลประโยชน์โดยอิงจากคุณความชอบทางการสู้รบน้อยใหญ่ หากของตัวเฝ่ยหรานเองมีไม่พอ ถ้าอย่างนั้นก็ขอยืมเอาจากศิษย์พี่”
ทุกวันนี้เมืองหลวงของต้าเฉวียนถือว่ายังปลอดภัยชั่วคราว ไม่ใช่ว่าค่ายกลขุนเขาสายน้ำของนครเซิ่นจิ่งยากจะเขย่าคลอนถึงเพียงใด ไม่ใช่ว่ากองทัพชายแดนต้าเฉวียนที่รวบมารวมกันอยู่ในนครยากจะโจมตีเพียงใด แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้หลังจากเฝ่ยหรานออกมาจากท่าเรือใบท้อแล้วก็พลันเกิดความคิดบรรเจิดขึ้นมาในฉับพลัน เขาถึงขั้นส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังกระโจมอู้จื่อ ขอให้เอานครเซิ่นจิ่งของต้าเฉวียนมาเป็นพื้นที่อิทธิพลใหม่ล่าสุดของเขาในใบถงทวีป อีกทั้งเฝ่ยหรานต้องได้ครอบครองนครแห่งนี้เพียงลำพัง ถึงขั้นไม่ใช่กระโจมกุ่ยโหย่วที่เฝ่ยหรานอยู่ที่ต้องการสถานที่แห่งนี้ นี่จึงเกิดความขัดแย้งอย่างใหญ่หลวงกับกระโจมอู้จื่อที่ปักหลักอยู่ในนครเก่าหนันฉี ตำแหน่งหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ยังไม่ถึงขั้นทำให้กระโจมทัพทุกแห่งกริ่งเกรง สุดท้ายการที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตีกันก็เพราะเฝ่ยหรานใช้ประโยคหนึ่งโน้มน้าวอีกฝ่ายได้สำเร็จ
‘เชี่ยอวิ้นคือศิษย์พี่ของข้า’
เฝ่ยหรานไม่ต้องพูดว่าจะเอาคุณความชอบทางการสู้รบของศิษย์พี่เชี่ยอวิ้นมาแลกเปลี่ยนกับนครเซิ่นจิ่ง ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนหลายคนของกระโจมอู้จื้อก็ปิดปากจากไปอย่างเงียบเชียบแล้ว ไม่ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตอะไรไว้แม้แต่คำเดียว
ผู้ฝึกกระบี่จวินทานของกระโจมเจี่ยเซินคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของปีศาจใหญ่หย่างจื่อ อวี่ซื่อก็ยิ่งถูกปีศาจใหญ่เฟยเฟยเรียกด้วยความเคารพว่าคุณชาย บวกกับที่เฝ่ยหรานกับเชี่ยอวิ้นมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความลับระดับต้นๆ ของกระโจมเจี่ยจื่อ
อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง การใช้เหตุผลเป็นเรื่องที่สบายที่สุด
เพียงแต่ว่าในเมื่ออาจารย์โจวเอาเรื่องนี้มาพูดหยอกล้อ แน่นอนว่าเฝ่ยหรานก็ยินดีจะเปลี่ยนวิธีการใช้เหตุผลอย่างใหม่
การที่บอกว่าอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างใช้เหตุผลได้ง่ายที่สุด แน่นอนว่าเป็นเพราะกฎเกณฑ์นั้นตื้นเขินและชัดเจน เหตุผลมีการแบ่งเล็กใหญ่ ถูกผิดใช่ไม่ใช่ล้วนถูกกลบทับไปได้
โจวมี่โบกมือ เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้เฝ่ยหรานไม่เข้าใจ “เรื่องเล็กน้อย วันหน้าข้าจะช่วยคิดบัญชีแทนเจ้าเอง อย่าว่าแต่นครเซิ่นจิ่งแห่งหนึ่งเลย ต่อให้เป็นตลอดทั้งราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าเฝ่ยหรานสมควรได้รับ”
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนที่อยู่ในใบถงทวีป ก่อนหน้านี้แทบทุกคนต่างก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฟ้าอำนวยในหนึ่งทวีป
โชคดีที่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือกริ่งเกรงเท่าใดนัก กลับกันยังทำใจสบายได้หลายส่วน
ภาคกลางของใบถงทวีปปรากฏสิ่งปลูกสร้างโอฬารที่ตอนแรกควรปรากฏกลับไม่ปรากฏ ตอนหลังไม่ควรปรากฎดันปรากฎออกมา ก็คือหนึ่งในเก้าหอพิทักษ์เมืองที่ศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อเป็นผู้สร้างขึ้น หอสยบปีศาจ
วัตถุที่ใช้สยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะของใบถงทวีป
หอสยบปีศาจแห่งนี้วาดอาณาเขตวงกลมครอบคลุมขุนเขาสายน้ำพันลี้ โจวมี่กับเซอเยว่และเฝ่ยหรานยืนอยู่นอกอาณาเขตพอดี โจวมี่ยื่นนิ้วออกมาประกบกันแล้วดันลงไปบนปราการกั้นขวางของค่ายกลอาคมที่ผนึกฟ้าดินแห่งนั้นเอาไว้ ริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นมา เป็นเหตุให้ทัศนียภาพของอาณาเขตพันลี้เริ่มโยกคลอนตามไปด้วย ในฐานะผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ เฝ่ยหรานและเซอเยว่พลันรู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนถูกมหามรรคากดทับเหนือศีรษะ แต่กลับไม่ใช่เพราะเจี่ยเซิงผู้นี้ไม่ใช่เผ่าปีศาจ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ต่อให้โจวมี่จะยังไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปในอาณาเขตของหอสยบปีศาจ ริ้วคลื่นกาลเวลาแก้วใสเจ็ดสีที่กระเพื่อมขึ้นมานั้นกลับทำให้ภาพปรากฎการณ์ของฟ้าดินคล้ายกลายเป็นสิ่งของที่จับต้องได้จริง พากันมารวมตัวอยู่ตรงนิ้วของโจวมี่อย่างต่อเนื่อง พลานุภาพมากหรือน้อย แค่ดูจากการที่เฝ่ยหรานและเซอเยว่ต้องก้าวถอยไปหลายก้าวก็รู้ได้แล้ว นี่ยังเป็นเพราะค่ายกลของหอสยบปีศาจแห่งนี้ถูกโจวมี่สยบเอาไว้ตลอดเวลาอีกด้วย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าทั้งเฝ่ยหรานและเซอเยว่คงได้แต่ต้องถอยไปให้พ้นจากที่แห่งนี้โดยเร็วแล้ว
โจวมี่เก็บนิ้วทั้งสองมา ภาพเหตุการณ์ผิดปกติของตราผนึกก็ค่อยๆ สลายหายไป
เขาแหงนหน้าขึ้นมอง เอ่ยกับเซอเยว่ว่า “เจ้าอารามดอกบัวนั้นต้องตายอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าตายเร็วไปหน่อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองคือ ‘ร่างเดิมของดวงจันทร์’? ดังนั้นทางฝั่งของภูเขาทัวเยว่ถึงได้มองเจ้าต่างไปจากผู้อื่นมาโดยตลอด ซินจวงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพบุรุษใหญ่ที่อยู่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาทัวเยว่ ในอดีตมักจะไปเยี่ยมหาเจ้าที่ดวงจันทร์บ่อยๆ ทว่านางกลับเย็นชาต่อเจ้าอารามดอกบัวที่ขอบเขตสูงกว่าเจ้ามากนักมาโดยตลอด เพราะร่างจริงของซินจวงในอดีตเคยเป็นเทพหญิงที่รดน้ำตัดกิ่งกุ้ยอยู่ในตำหนักดวงจันทร์ ดังนั้นซินจวงย่อมไม่เห็นเจ้าอารามดอกบัวอยู่ในสายตา”
เซอเยว่เอ่ย “เคยคาดเดาและเคยคิดมาก่อน แต่ไม่เคยกล้าแน่ใจ”
โจวมี่พลันยิ้มเอ่ย “ขอให้ท่านชูมือหนุนแผ่นฟ้า มีคนกี่มากน้อยมองดูดาย”
ในใจมีแผนการมากนับพัน ในอกอัดถ่านน้ำแข็งหมื่นก้อน เย็นแต่กลับร้อนลวกใจ เผาไหม้ตำราอริยะปราชญ์ในหัวใจ
เซอเยว่ฟังแล้วก็แสร้งทำเป็นว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน
เฝ่ยหรานถาม “หอสยบปีศาจแห่งนี้ อาจารย์โจวสามารถทำลายได้หรือไม่?”
โจวมี่เอ่ย “ได้น่ะได้ แต่ได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น แต่เมื่อเทียบกับหอพิทักษ์เมืองที่เป็นแค่ชั้นวางดอกไม้ในทักษินาตยทวีปแห่งนั้นแล้ว ก็ทั้งเกะกะสายตาแล้วก็ทำให้ไม่สะดวกจริงๆ”
เฝ่ยหรานเลื่อมใสและนับถืออาจารย์โจวที่มาจากใต้หล้าไพศาลผู้นี้จากใจจริง ในอดีตเฝ่ยหรานเคยมาขอศึกษาเล่าเรียนอยู่ข้างกายโจวมี่นานหลายปี เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้เป็นอาจารย์และศิษย์กันในนามก็เท่านั้น ก่อนจะจากลา โจวมี่เคยยิ้มเอ่ยกับเฝ่ยหรานว่า ตำราอริยะปราชญ์พวกนั้นอ่านแค่ครึ่งเล่มก็พอ น้อยไปก็มิอาจรองรับอริยะปราชญ์ได้ มากไปก็คืออริยะปราชญ์ที่แท้จริง ครึ่งเล่มกำลังดี ได้ประโยชน์จากทั้งสองทาง
โจวมี่มองม่านฟ้าคล้ายกำลังรอคอยอะไรอยู่
จิตแห่งกระบี่ของเฝ่ยหรานพลันสั่นไหว เตรียมจะขยับออกห่างโจวมี่ตามจิตใต้สำนึก
เพียงแต่ว่านาทีถัดมาเฝ่ยหรานก็รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเซอเยว่หายไปไหนแล้ว
โจวมี่สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ ตรงปากชายแขนเสื้อข้างหนึ่ง แสงจันทร์สีเงินยวงสาดส่องเรืองรอง โจวมี่มองไปยังดวงจันทร์ของใต้หล้าไพศาลดวงนั้นแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน”
ตราผนึกขุนเขาสายน้ำสามแห่งของฝูเหยาทวีป ท่าไม้ตายที่แท้จริงนอกจากล้อมฆ่าป๋ายเหย่แล้ว ยังเป็นวิชาเลิศล้ำค้ำฟ้าของโจวมี่ที่ฝืนกักแม่น้ำแห่งกาลเวลาของทวีปแห่งนั้น ให้มันกลายเป็นทะเลสาบผืนหนึ่งที่แทบจะหยุดนิ่ง
โจวมี่พลันใช้เสียงในใจพูดกับเฝ่ยหราน “ศิษย์พี่ของเจ้าต้องการให้ข้านำความมาบอกต่อเจ้า เรื่องอย่างการรับลูกศิษย์แทนอาจารย์นี้ เขาทำได้ดีมากแล้ว วันหน้าก็ต้องอยู่ที่เจ้าแล้ว”
สีหน้าของเฝ่ยหรานเฉยชา จ้องมหาสมุทรความรู้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นี้เขม็ง
ร่างของโจวมี่กลับหายวับไปไม่เหลือเงา
……
แสงกระบี่เส้นหนึ่งแหวกผ่าม่านฟ้าจากใต้หล้ามืดสลัวไปยังใต้หล้าไพศาล
เซียนบนโลกทะยานลมยากที่ความเร็วจะเหนือกว่ากระบี่บิน นี่คือหลักการทั่วไป และเต้าจ้างที่เป็นหนึ่งในสี่กระบี่เซียน การเดินทางไกลครั้งนี้แน่นอนว่าต้องเร็วยิ่งกว่า
ตรงจุดที่สูงที่สุดของป๋ายอวี้จิง ลู่เฉินจากไปแล้วหวนกลับมา นั่งแปะลงบนราวรั้ว มองไปยังศิษย์พี่รองที่ไม่ฟังคำแนะนำด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
เต๋าเหล่าเอ้อขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างไม่สบอารมณ์ ถามว่า “ทำไม?”
ลู่เฉินยกสองมือขึ้นจับประคองกวานดอกบัวที่เป็นสัญลักษณ์ของสถานะเจ้าลัทธิบนศีรษะซึ่งเอียงน้อยๆ “ไม่กลัวว่าจะมีจุดจบเหมือนกระบี่ไท่ป๋ายหรอกหรือ? ไร้เทียมทานที่แท้จริงคือไร้เทียมทานที่แท้จริง ชื่อเสียงอันไพเราะไม่เคยถดถอยมาแปดพันปี หรือว่าจะต้องถูกศิษย์พี่โยนทิ้งไปด้วยตัวเอง? ต่อให้ป๋ายเหย่จะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่มากแค่ไหนก็ต้องให้ป๋ายเหย่มีชีวิตรอดไปเสียก่อนถึงจะสามารถชดใช้คืนน้ำใจที่ใหญ่เทียมฟ้านี้ได้ ข้าว่าหมดหวัง การค้าครั้งนี้ของศิษย์พี่ช่างทำให้ศิษย์น้องมึนงงยิ่งนัก ขอทราบเหตุผลที่ศิษย์พี่มอบกระบี่ไปให้หน่อยเถอะ?”
หากไม่มีกระบี่เซียนเต้าจ้างที่เหมาะมืออย่างมากเล่มนั้น ตำแหน่งผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของศิษย์พี่ก็ไม่แน่ว่าอาจหล่นไปอยู่ที่บ้านคนอื่นแล้ว
เต๋าเหล่าเอ้อย้อนถาม “เอาเทวบุตรมารนอกโลกไปซ่อนไว้ในเมล็ดพันธ์เต๋าของเจียงอวิ๋นเซิง การกระทำที่เป็นการละเมิดกฎเช่นนี้ของศิษย์น้องต้องมีเหตุผลไหม?”
ลู่เฉินเอ่ยด้วยสีหน้าจนใจ “แน่นอนว่าต้องมี เพียงแต่รู้ว่าศิษย์พี่คร้านจะฟัง ศิษย์น้องเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดีถึงได้ไม่ยินดีจะพูดถึง”
เต๋าเหล่าเอ้อเอ่ย “ข้าโยนมันไปไว้ที่ใต้หล้าไพศาลก็ไม่มีเหตุผลจริงๆ นั่นแหละ คิดคำนวณไปมา พยายามให้การกระทำเหมือนการไม่กระทำ เหนื่อยหรือไม่ ประโยคนี้ข้าอยากพูดกับเจ้ามาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าไม่ชอบฟังความเห็นของคนอื่น ข้าที่เป็นศิษย์พี่ เมื่อก่อนก็คร้านจะพูดกับเจ้าให้มากความเหมือนกัน”
ลู่เฉินหันหน้าไปมองห้านครสิบสองหอเรือนที่มีไอเซียนล่องลอย แล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ศิษย์พี่ทำอะไรไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล คาดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าแม้วิถีของข้ากับของศิษย์พี่จะแตกต่างกัน แต่กลับยังคงยอมรับในความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันและกันได้”
ในอดีตสามเจ้าลัทธิของป๋ายอวี้จิง อันที่จริงความสัมพันธ์นั้นลุ่มลึกอย่างมาก ดูจากสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้าในระยะเวลาหนึ่งร้อยปีที่คนทั้งสามต่างปกครองป๋ายอวี้จิงก็มากพอจะมองออกถึงมหามรรคาสามเส้นที่แตกต่างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งลู่เฉินกับเต๋าเหล่าเอ้อผู้เป็นศิษย์พี่ที่ยิ่งทำให้ผู้ฝึกตนตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัวรู้สึกมึนงงไม่เข้าใจ พลิกผันไม่แน่นอนจนยากจะจับจุดได้
เมื่อเป็นช่วงเวลาร้อยปีที่เต๋าเหล่าเอ้อนั่งบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิง ร้อยปีนี้ใต้หล้าก็ต้องเชื่อฟังกฎของป๋ายอวี้จิงอย่างว่าง่าย ผู้ที่ไม่ยอมรับพันธนาการมากที่สุด ผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำของอารามเสวียนตูใหญ่ที่ตอนนั้นเป็นผู้รวบรวมสายเต๋าไว้นับไม่ถ้วน เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุด ผลกลับกลายเป็นว่าถูกเต๋าเหล่าเอ้อถามกระบี่ด้วยตัวเอง มรรคาจึงสลายหายไปจากฟ้าดินนับแต่นั้น และป๋ายอวี้จิงกับอารามเสวียนตูใหญ่ก็ผูกปมแค้นกันอย่างจริงจังด้วยเหตุนี้
มาถึงคราวที่ลู่เฉินเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ เวลาร้อยปีในใต้หล้าผู้คนต่างก็เดินไปบนเส้นทางของตัวเอง บ้างรวมตัวบ้างแยกย้าย ความวุ่นวายความสงบสุขล้วนเกิดขึ้นได้ไม่มีอะไรแน่นอน เส้นสายซับซ้อน พัวพันกันเป็นปมยุ่งเหยิง ส่วนลู่เฉินกับอารามเสวียนตูใหญ่แห่งนั้น หรือตำหนักสุ้ยฉูพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋านอกเหนือจากระบบสามสายของป๋ายอวี้จิง อันที่จริงความสัมพันธ์ควันธูปล้วนไม่เลว ลู่เฉินมักจะไปท่องเที่ยวอยู่ที่นั่นเสมอ พูดถึงฟ้ากล่าวถึงดินอย่างกำเริบเสิบสาน ดื่มสุราชมทิวทัศน์หาความสุขใส่ตัว แค่เรื่องเดียวที่ไม่ทำคือประลองมรรคกถา เล่าลือกันว่าเจ้าตำหนักสุ้ยฉูปิดด่านนานหลายปี รวมไปถึง ‘เอ้อสือเอ้อ’ (ยี่สิบสอง) หนึ่งในตัวสำรองสิบคนของหลายใต้หล้าที่ถึงกับสามารถผูกสมัครเป็นคู่รักเทพเซียนกับผู้ฝึกตนหญิงบรรพจารย์ผู้บุกเบิกขุนเขาขอบเขตบินทะยานจากสำนักที่เป็นศัตรูคู่แค้นกันได้ อันที่จริงนี่ล้วนมีความเกี่ยวพันที่แนบแน่นกับเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงผู้ที่มีอิสระไร้กังวลที่สุดท่านนี้
กระทั่งเจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิงกลับมาอีกครั้ง สถานการณ์ที่ซ่อนแฝงอยู่ในใต้หล้าถึงมีลางว่าจะเป็นดั่งหินที่ผุดหลังน้ำลด นักพรตเต๋าในระบบมากมาย ชนชั้นสูงของราชวงศ์และจวนตระกูลเซียนทั้งหลายต่างก็ได้พักผ่อน สร้างความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ให้กับตัวเอง
กลับเป็นศิษย์น้องอย่างพวกเขาสองคนที่ต่างก็มีความสัมพันธ์สนิทสนมกลมเกลียวกับลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋าที่รับศิษย์แทนอาจารย์อย่างมาก ก่อนที่ลู่เฉินจะบินทะยานจากใต้หล้าบ้านเกิดมายังป๋ายอวี้จิงก็ได้จัดอันดับศิษย์พี่เจ้าลัทธิใหญ่ในอนาคตให้เป็นเจินเหรินผู้ยิ่งใหญ่นับแต่โบราณกาลเหมือนกับมรรคาจารย์เต๋าไว้ก่อนแล้ว ถึงขั้นที่ว่าก่อนที่ลู่เฉินจะนั่งเรือออกทะเลยังตั้งใจไปยังซากปรักเทียนสุ่ยโบราณที่หล่นร่วงอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาโดยเฉพาะมารอบหนึ่ง เพราะที่นั่นในอดีตมรรคาจารย์เต๋าขี่วัวดำผ่านด่าน มีคนกล้าแต่งตำราขึ้นมา ถึงได้ทิ้งถ้อยคำห้าพันอักษรไว้ให้กับโลกยุคหลัง และคนผู้นี้ก็คือลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋า เจินเหรินยุคโบราณที่ขนาดลู่เฉินก็ยังต้องเอ่ยชื่นชมคำหนึ่งว่า ‘ปรากฎการณ์ฟ้าภูมิศาสตร์ เงยหน้าพิศมองก้มหน้าสังเกตการณ์ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เห็นแจ่มกระจ่าง’
พูดง่ายๆ ก็คือลู่เฉินรู้สึกว่ามรรคกถาของศิษย์พี่ใหญ่สูงส่งอย่างมาก มหามรรคาใกล้เคียงกับเต๋า ทว่าในสายตาของผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้ามืดสลัว ลู่เฉินกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมรับในตัวเต๋าเหล่าเอ้อที่บอกว่าตัวเองคือ ‘บุ๋นมีอันดับหนึ่ง บู๊ไร้อันดับสอง’
ลู่เฉินหลับตาลง ใช้เวทลับมองขุนเขาสายน้ำผ่านสายตาของลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่ง รับสัมผัสกับการไหลเวียนของโชคชะตาในใต้หล้าไพศาลครู่หนึ่ง พอลืมตาขึ้นก็เอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย ยิ้มเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่จ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่ที่เย่อหยิ่งผู้นั้นส่งกระบี่ไปเร็วกว่าศิษย์พี่ก้าวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะต้องกลายเป็นเรื่องตลกที่ไม่เล็กอีกเรื่องแล้ว”
เต๋าเหล่าเอ้อหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันว่ากระบี่เซียนของใครจะเข้าไปในฝูเหยาทวีปได้ก่อนกัน”
นักพรตร่างสูงใหญ่ยกชายแขนเสื้อขึ้นโบก กลิ่นอายเต๋ามืดสลัวลุ่มลึกที่พลังอำนาจไพศาลขุมหนึ่งประหนึ่งธาราสีเงินที่พาดแขวนอยู่บนท้องฟ้าก็ไล่ตามกระบี่เซียนเล่มนั้นไปอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร แหวกผ่าม่านฟ้าไปอีกครั้ง
ลู่เฉินอดไม่ไหวหันหน้ามาถาม “ศิษย์พี่จะต้องชิงอันดับก่อนหลังด้วยหรือ?”
เต๋าเหล่าเอ้อย้อนถาม “จะต้องให้ข้ายกอาจารย์ออกมาพูดใช่ไหม เจ้าถึงจะยอมกลับไปฟ้านอกฟ้าแต่โดยดี?”
ลู่เฉินลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ทะยานลมอย่างเอ้อระเหย จากไปอย่างเนิบนาบ แล้วจู่ๆ ก็พูดกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “เฒ่าจันทราที่ผูกด้ายแดงอย่างข้าทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมกว่าใครจริงๆ”
——