กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 730.3 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังเต็มไปด้วยอันตรายรายล้อม หากไม่เป็นเพราะมีเซียนกระบี่นอกเหนือจากป๋ายเหย่ออกกระบี่ขัดขวาง เกรงว่าอวี๋เสวียนคงต้องถูกเด็กหญิงมัดผมแกละคนหนึ่งต่อยให้ร่วงลงมายังโลกมนุษย์แล้ว
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าโจวมี่ผู้นั้นไม่รู้ร่ายใช้วิธีการอะไร ถึงสามารถปิดฟ้าข้ามทะเล เอาดวงจิตเม็ดหนึ่งฝังมาไว้ในยันต์ได้ แล้วก็คอยติดตามเขามาตลอดทางจนมาถึงที่นี่ แม้กระทั่งอวี๋เสวียนเองก็ต้องรอให้ร่างลดลงพื้นก่อนถึงอาศัยสัญชาตญาณทำให้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ ‘ทุบไหที่แตกให้แหลก’ ไปเลย ยินดีทำลายยันต์ที่เหลืออยู่ซึ่งเป็นวัตถุที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาให้แตกสลายไปสิ้น ดีกว่ายอมให้เรื่องไม่คาดฝันหนึ่งในหมื่นนั้นเกิดขึ้น และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการกระทำนี้ของฝูลู่อวี๋เสวียนถือว่าเดิมพันถูกต้อง
โจวมี่ถึงขั้นคร้านจะเก็บเอาดวงจิตที่ใช้แสงจันทร์แห่งชะตาชีวิตของเซอเยว่ช่วยอำพรางกลับมาด้วยซ้ำ เลือกที่จะสลายหายไปพร้อมกับยันต์สีทองแผ่นนั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกปรมาจารย์มหาปราชญ์กักตัวไป
นอกซากปรักตำหนักดวงจันทร์แห่งนั้น ฝูลู่อวี๋เสวียนพลันนั่งแปะลงบนพื้น ในมือถือฝักกระบี่ไท่ป๋ายที่ป๋ายเหย่กำชับไว้ว่าต้องเอาไปคืนให้กับอารามเสวียนตูใหญ่ ผู้เฒ่าพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ท่านย่ามันเถอะ จะไม่เป็นวีรบุรุษอีกแล้ว”
เพียงแต่ไม่นานผู้เฒ่าก็ลูบหนวดยิ้ม “ช่างแม่งกับขอบเขตสิบสี่มันเถอะ ข้าผู้อาวุโสสะใจนัก!”
ก้มหน้าลงมอง บนหนวดเคราสีขาวหิมะมีคราบเลือดติดเกรอะ ลูบหนวดเหมือนบิดหนวดเสียมากกว่า จึงเริ่มก่นด่าเจ้าสุนัขเจี่ยเซิงอีกครั้ง
ด่าจบอวี๋เสวียนกำลังจะลุกขึ้นยืน ไปอยู่ให้ห่างสถานที่อันตรายแห่งนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีกระดาษหนังสือหน้าหนึ่งปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า พลิ้วร่วงลงมาเบื้องหน้าอวี๋เสวียน
ผู้เฒ่าเอื้อมมือไปคว้า ร่างทั้งร่างก็ถูกกระชากพาไปไกล ราวกับว่าฝูลู่อวี๋เสวียนจะถูกหนังสือหน้าหนึ่งพาไปยังธารดาราอันยิ่งใหญ่ไพศาลนั้น
ด้านบนมีบทกลอน ‘กลุ่มดวงดาวพร่างพราวในทางช้างเผือก ดุจกรูเกลื่อนจากอ้อมกอดแห่งมหาสมุทร’
รวมไปถึงประโยคหนึ่งที่อยู่ด้านข้างคล้ายเป็นคำอธิบายว่า ‘ฝูลู่อวี๋เสวียน ผสานมรรคาที่นี่’
อวี๋เสวียนยืนอยู่บนยันต์ที่พลันขยายใหญ่เหมือนเรือกลวง คล้ายกำลังเดินทางไกลอยู่บนมหามรรคา ดุจเซียนล่องลอยอยู่บนมหาสมุทรดวงดาว
อวี๋เสวียนกราบคำนับตามพิธีการของลัทธิเต๋า
ในทะเลสาบหัวใจมีริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นมา “อวี๋เสวียนเที่ยงตรงยิ่งใหญ่ไพศาลนัก”
อวี๋เสวียนหัวเราะฮ่าๆ “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว”
ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ โจวมี่คลายตราผนึกฟ้าดินเล็กออก เหยียบย่างเข้าไปยังนกในกรงที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม
โจวมี่หลุดหัวเราะพรืด มือกระบี่สองคนราวกับว่าอยู่กันคนละขอบฟ้า ต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเอง
หลิวชาลุกขึ้นยืนก่อน ฝ่าตราผนึกฟ้าดินของนกในกรงเล่มนั้นกลับคืนไปยังทักษินาตยทวีปอีกครั้ง ฟังจากความหมายของโจวมี่ก็คือ ในเมื่อได้สามทวีปมาแล้ว ต่อจากนี้ก็ต้องให้ผู้รอบรู้คนนั้นอยู่ไม่สุขช่วงบั้นปลายบ้างแล้ว พยายามยึดเอาทักษินาตยทวีปและบุรพแจกันสมบัติทวีปมาให้ได้ในเวลาเดียวกัน สนามรบของนาตยทวีปที่เป็นหนึ่งในนั้นจะยกให้กับหลิวชา ให้เขาถามกระบี่แก่เฉินฉุนอันผู้เดียว เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องสนใจ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เฒ่าตาบอดสังหารไม่ง่ายสินะ?”
โจวมี่กวาดตามองไปรอบด้าน พยักหน้ารับ “ฆ่าได้ยากกว่าใต้เท้าอิ่นกวานอยู่สักหน่อย”
เฉินผิงอันโยนกาเหล้าในมือใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ถามว่า “สังหารป๋ายเหย่ได้อย่างไร?”
โจวมี่ตอบไม่ตรงคำถาม “เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับไม่เคยเห็นป๋ายเหย่ออกกระบี่ ช่างน่าเสียดายนัก”
เฉินผิงอันเอ่ย “วันหน้าป๋ายเหย่สามารถดูข้าออกกระบี่ได้”
โจวมี่หัวเราะ ประโยคนี้ของอิ่นกวานหนุ่ม ฟังดูแล้วมีพลังองอาจทะยานเข้าไปถึงชั้นเมฆ คนธรรมดาฟังแล้วก็มีแต่จะคิดว่าอิ่นกวานหนุ่มตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร แม้แต่ป๋ายเหย่ก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่โจวมี่กลับรู้ว่า นี่คือเหตุผลข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันบัณฑิตแห่งใต้หล้าไพศาลพูดกับเจี่ยเซิงไพศาล
เรื่องน่าเสียดายมักจะทำให้คนผิดหวังเสมอ
แต่ข้าก็จะยังทำในเรื่องที่ไม่ทำให้คนอื่นผิดหวัง
โจวมี่มองสุนัขไร้บ้านที่ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าเขาพูดจาใหญ่โตอย่างไร้ยางอายหรือควรบอกว่าเขามีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ดีตัวนี้ เขาถึงกับมีน้ำอดน้ำทนกับอีกฝ่ายมากเป็นพิเศษ จึงเอ่ยเนิบช้าว่า “นั่นก็เพราะคนคนหนึ่งไม่เคยผิดหวังอย่างแท้จริงมาก่อน”
เฉินผิงอันหรี่ดวงตาทั้งคู่ลง น้ำเสียงของเขาก็เนิบช้าเช่นเดียวกัน “เคยมีเด็กหญิงคนหนึ่งระหว่างที่เดินทางลี้ภัยหนีเอาชีวิตรอด ได้เห็นกับตาตัวเองว่ามารดาแท้ๆ ของตนแอบสามีกับบุตรสาวกินหมั่นโถว เด็กน้อยเพียงแค่มองภาพนั้นอย่างเฉยชา เจ้าว่านางผิดหวังหรือไม่ สิ้นหวังหรือไม่? ก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน สามารถเปลี่ยนได้ เป็นบัณฑิตแล้วร้ายกาจนักหรือ? ความผิดหวังจะต้องใหญ่กว่าคนอื่นหรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”
โจวมี่ส่ายหน้า “เหตุผลเป็นเหตุผลที่ดี แต่ยังเล็กไปหน่อย”
อิ่นกวานหนุ่มพลันคลี่ยิ้ม “นั่นมันก็แน่อยู่แล้ว ผู้เยาว์อายุน้อย ความรู้ตื้นเขิน ไหนเลยจะสามารถเปรียบเทียบกับ เหตุ ผล ใหญ่ ของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ได้”
โจวมี่เอาสองมือไพล่หลัง “สรุปแล้วต้องสังหารตัวเองไปกี่มากน้อยกันแน่ ถึงจะยอมรับชะตาอย่างแท้จริง แล้วค่อยเปลี่ยนฟ้าผลัดดินไปทีละก้าว”
สีหน้าเฉินผิงอันไร้อารมณ์
ร่างของโจวมี่หายวับไปแล้ว แม้แต่นกในกรงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงการมาเยือนและการจากไปของคนผู้นี้
เฉินผิงอันคีบยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น ยืนยันให้แน่ใจว่าร่างของตนอยู่ในฟ้าดินของใครกันแน่
โจวมีมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ยิ้มเอ่ยว่า “ขี้ขลาดขนาดนี้ เป็นอิ่นกวานได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันเก็บยันต์ลงไป
โจวมี่กล่าว “คาดหวังปราณโชติช่วงของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบของเจ้ามาก”
เฉินผิงอันยังคงไม่เอ่ยอะไร
กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่นอกฟ้าดินสองแห่ง วิญญาณวีรบุรุษเซียนกระบี่ที่ในอดีตเคยเดินออกมาจากม้วนภาพวาดเริ่มจัดขบวนรบ สามารถลดทอนตบะของโจวมี่ได้มากน้อยแค่ไหนก็แค่นั้น
โจวมี่ยิ้มกล่าว “โอสถทองแตกแล้วแตกอีก ถึงเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้ แล้วก่อกำเนิดล่ะ? ไม่สู้ใช้การถดถอยของขอบเขตผู้ฝึกลมปราณมาแลกเปลี่ยนเป็นขอบเขตปลายทางของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไหมเล่า?”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หากไม่ได้จริงๆ ก็ทุ่มกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนี้ทิ้งไปก็แล้วกัน
นี่ก็คือท่าไม้ตายสุดท้ายของเฉินผิงอันแล้ว เอาชีวิตหนึ่งชีวิตและกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งมาแลกเปลี่ยนกับมหามรรคาของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่ง อันที่จริงมูลค่าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งยังคงสูงมาก การค้าครั้งนี้ไม่คุ้มค่า แต่กลับน่าสนใจอย่างถึงที่สุด ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่ง ใครเล่าจะยินดีเอามหามรรคามาแลกเปลี่ยน? คาดว่าหลงจวินคงเป็นคนที่สละทิ้งได้มากที่สุดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังคอยพยายามหยั่งเชิงให้แน่ใจมาโดยตลอดว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้ทิ้งวิธีการรับมือไว้เบื้องหลังจริงหรือไม่
ดูเหมือนว่าโจวมี่จะกำลังยืนยันให้แน่ใจว่าการตัดสินใจของอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้น้อยหรือใหญ่เพียงใด
สุดท้ายร่างของโจวมี่ก็หายวับไป ถอนตราผนึกฟ้าดินออก จากนั้นฝ่านกในกรงออกไป
ก่อนจะกลับไปยังใบถงทวีป โจวมี่ถึงขั้นใช้ปราณกระบี่แกะสลักสองคำว่า ‘ป๋ายเหย่’ เอาไว้บนหัวกำแพงเมือง
ไม่เพียงเท่านี้ โจวมี่ยังคลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำของกระโจมเจี่ยจื่อออก ทำให้อิ่นกวานหนุ่มได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีกครั้ง
เฉินผิงอันปรากฏตัวอยู่ริมหน้าผา ฝั่งตรงข้ามก็คือหลีเจิน พอหลงจวินตายไป กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนั้นก็เหลือแค่หลีเจินที่เป็นร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่คนเดียวแล้ว
สบตากันอยู่ไกลๆ
หลีเจินสีหน้าซับซ้อน กึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
เฉินผิงอันถาม “ได้กินขี้แล้วอารมณ์ดีขนาดนี้เลยหรือ?”
หลีเจินถาม “แบ่งให้เจ้าหน่อยไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เอามาสิ”
หลีเจินอึ้งค้าง ก่อนจะถามอย่างสงสัย “เฉินผิงอัน สมองเจ้ามีปัญหาตั้งแต่เด็กเลยใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าว “หมาหิวไม่กลัวโดนตี เจ้านับว่าเป็นไก่ในฝูงหงส์”
หลีเจินชำเลืองตามองพื้นดินทางทิศใต้ที่อาณาเขตกว้างขวาง แล้วค่อยหันหน้าไปมองประตูใหญ่ของใต้หล้าไพศาลที่อยู่ทางทิศเหนือ สุดท้ายถอนสายตากลับ มองมายังเฉินผิงอัน เอ่ยว่า “ไปล่ะ”
เฉินผิงอันเอ่ย “หลีเจินคือหลีเจิน กวนจ้าวคือกวนจ้าว หลีเจินคือกวนจ้าว กวนจ้าวคือหลีเจิน มีอะไรสำคัญนักหรือ? คนตรงหน้าคือใคร แค่นี้ยังไม่เข้าใจ แล้วเจ้าจะไปไหนได้?”
หลีเจินอึ้งตะลึง มารดามันเถอะ ใต้เท้าอิ่นกวานพูดจาภาษาคนได้ด้วยหรือนี่?!
เฉินผิงอันเอ่ยอีก “เจ้าฟังภาษาคนเข้าใจแล้วหรือ?”
หลีเจินกุมหมัดแล้วเขย่าอย่างแรง ถือว่าเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ก่อนเป็นครั้งแรก
เฉินผิงอันพลันนั่งลงไปบนหน้าผา
หลีเจินเองก็ทำเช่นเดียวกัน เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “รอให้ข้าไปแล้ว หลีเจินกวนจ้าวก็ล้วนไม่ใช่แล้ว เฉินชิงตูตายแล้ว หลงจวินตายแล้ว ล้วนตายกันหมดแล้ว”
ประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือแม้กระทั่งปฏิทินเหลืองของผู้ฝึกกระบี่ทั้งเล่ม นับแต่นี้จะแบ่งหนึ่งออกเป็นสอง เมื่อเทียบกับบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ใช้กระบี่ฟันกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ยังเด็ดขาดมากยิ่งกว่า
เฉินผิงอันไม่เอ่ยคำใด หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมา โยนออกไปเบาๆ แล้วค่อยใช้ปราณกระบี่กระแทกมันให้แตก
เหล้าทุกหยดในกาล้วนสาดลงบนพื้น
เซ่นไหว้ผู้ฝึกกระบี่หลงจวินเมื่อหมื่นปีก่อนที่ร่วมกับเพื่อนรักสองคนไปถามกระบี่แก่ภูเขาทัวเยว่
……
สกุลอวี้แผ่นดินกลางร่วมมือกับสกุลหลิวธวัลทวีป ฝ่ายหนึ่งออกแรงออกกำลังคน อีกฝ่ายหนึ่งออกเงิน จากนั้นเผาผลาญโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของอาณาเขตขุนเขาเขียวน้ำใสของราชวงศ์เสวียนมี่แห่งหนึ่ง เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณในรัศมีร้อยลี้แห้งขอด สุดท้ายจึงสร้างประตูใหญ่ที่ข้ามจากทิศเหนือของเกราะทองทวีปมาถึงที่แห่งนี้ขึ้นชั่วคราว แน่นอนว่าหากคิดจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จยังต้องมีคนออกกระบี่ ซึ่งก็คือเซียนกระบี่ที่เคยแกะสลักตัวอักษรซึ่งมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่าง ฉีถิงจี้
ทุกวันนี้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีข่าวลือเกี่ยวกับเซียนกระบี่ผู้อาวุโสจากต่างถิ่นท่านนี้มากมายดุจหน่อไม้ที่โผล่ขึ้นหลังฝนฤดูใบไม้ผลิ รายงานขุนเขาสายน้ำต่างสายแทบทั้งหมดล้วนพูดถึงฉีถิงจี้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาผู้นี้ไม่มากก็น้อย รายงานทุกฉบับแทบไม่เคยปฏิเสธเรื่องที่ว่า หากไม่มีฉีถิงจี้ออกกระบี่สังหารปีศาจ ฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีปก็มีแต่จะถูกข้าศึกยึดครองเร็วกว่านี้
ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ในสำนักศึกษาโมโหไม่น้อย จึงไปหาตาเฒ่าอวี้ที่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตก ขอเหล้ามาดื่มเล็กน้อย แล้วก็ถือโอกาสไปดูด้วยว่าตาเฒ่าอวี้มีของอะไรที่พอจะเอามาใช้ประโยชน์ได้บ้างหรือไม่
ส่วนเผยเฉียนก็พาพี่หญิงเป่าผิงไปพบพี่หญิงไจ้ซี อวี้เจวี้ยนฟู
ผู้ฝึกกระบี่สองคนอย่างจินเจินเมิ่งและจูเหมยออกมาจากสนามรบของเกราะทองทวีปเร็วก่อนใคร ถอยมายังประตูใหญ่ทางทิศเหนือ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนอย่างอวี้เจวี้ยนฟูและเผยเฉียนกลับถอยออกมาช้ายิ่งกว่า
สุดท้ายเหลือแค่เฉาสือคนเดียวที่ยังคงอยู่ที่ทิศเหนือของเกราะทองทวีป
การถามหมัดสี่ครั้งที่เผยเฉียนจะถามต่อเฉาสือจึงได้แต่วางพักไว้ก่อนชั่วคราว เรื่องราวแบ่งเล็กใหญ่ มีเร่งด่วนมีล่าช้า สำหรับเรื่องนี้เผยเฉียนเข้าใจอย่างชัดเจน
สุดท้ายคนทั้งสี่ก็กลับมายังตระกูลอวี้ด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าหลินจวินปี้ก็จะอยู่ใกล้ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้หลินจวินปี้เดินทางจากราชวงศ์เส้าหยวนมาถึงราชวงศ์เสวียนมี่ อยู่ที่เมืองหลวงมาครึ่งเดือนกว่าแล้ว เพียงแต่ว่าหลินจวินปี้ออกจากบ้านมาครั้งนี้ไม่ได้ปล่อยข่าวใดๆ ให้คนนอกรับรู้ หากพวกอวี้เจวี้ยนฟูสามคนไม่ได้กลับมายังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หลินจวินปี้อยู่ต่ออีกครึ่งเดือนก็จะกลับไปยังเส้าหยวน
สกุลอวี้คือตระกูลใหญ่ชั้นสูงที่อยู่ระดับบนสุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แตกกิ่งก้านสาขาไปกว้างไกล ทำเนียบวงศ์ตระกูลมีมากมายหลายหีบ และอวี้เจวี้ยนฟูเองก็เป็นทายาทหญิงที่ถูกฝากความหวังไว้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นในอดีตก็ไม่มีทางหมั้นหมายกับ ‘สกุลไหวฉีหลิน’
หลินจวินปี้ จินเจินเมิ่ง จูเหมย คนทั้งสามคนนี้เป็นทั้งผู้ฝึกกระบี่ แล้วก็ยังเป็นทั้งคนของราชวงศ์เส้าหยวน ทุกวันนี้ความสัมพันธ์จึงดีเยี่ยม สนิทสนมกันอย่างมาก
ทุกวันนี้พักอาศัยอยู่ที่จวนสกุลอวี้ที่เป็น ‘ไท่ซ่างหวงของราชวงศ์เสวียนมี่’
อวี้เจวี้ยนฟูทำหน้าที่เป็นเฒ่าจันทรามือสมัครเล่นอีกครั้ง นางลากเอาตัวอวี้ชิงชิงสตรีในตระกูลที่อายุเท่ากันให้มาเล่นหมากล้อมกับหลินจวินปี้
อวี้เจวี้ยนฟูมองสองคน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าจับคู่ได้ถูกต้อง เป็นคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ หากไม่ให้กำเนิดเด็กน้อยผิวขาวอมชมพูเนื้อเนียนละเอียดดุจหยกกลุ่มใหญ่ก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ
ส่วนสตรีชุดแดงที่ว่ากันว่ามาจากสำนักศึกษาซานหยาผู้นั้น อวี้เจวี้ยนฟูเพียงแค่ปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาทในทุกๆ ด้าน แค่นี้เท่านั้น นางกับเผยเฉียนคือสหายที่ร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมความทุกข์ยากมาด้วยกัน หลี่เป่าผิงกลับเป็นแค่สหายของสหายเท่านั้น เรื่องของการสานความสัมพันธ์กับผู้คนเป็นเรื่องที่อวี้เจวี้ยนฟูไม่ถนัดมาโดยตลอด
อวี้เจวี้ยนฟูพาคนทั้งกลุ่มมายังศาลาอิ่งป่าย สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปของสกุลอวี้ โต๊ะหยกขาวในศาลาเป็นกระดานหมากไปในตัว มีม้านั่งหินแค่สองตัว บนโต๊ะวางโถเก็บเม็ดหมากไว้สองใบ คนที่เล่นหมากล้อมนั่งลงประจำตำแหน่ง คนอื่นๆ ที่เหลือได้แต่ยืนดู ข้อนี้ต้องพิถีพิถันอย่างมาก แน่นอนว่ารอบศาลามีม้านั่งยาวล้อมรั้วเอาไว้ให้นั่ง เพียงแต่ว่าห่างจากกระดานหมากมาค่อนข้างไกลก็เท่านั้น
ในฐานะบรรพบุรุษสกุลอวี้ที่เป็นเสาค้ำยันมหาสมุทรของตระกูลใหญ่ ตอนเด็กหนุ่มเคยเป็นเด็กอัจฉริยะ ได้รับคำเรียกขานว่า ‘เทพผู้องอาจสง่างาม อายุน้อยมีปณิธานยิ่งใหญ่ ใฝ่เรียนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อ่านตำรามากมายหลากหลาย’ ศาลาอิ่งป่ายแห่งนี้ก็คือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่อวี้พ่านสุ่ยบรรพบุรุษสกุลอวี้สร้างขึ้นกับมือตัวเอง เพียงแต่ว่าเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน สถานที่แห่งนี้ถูกอวี้พ่านสุ่ยปิดตายไว้นานถึงสามร้อยปีเต็ม เพียงแค่เพื่อเอาไว้เล่นหมากเซียนที่ในอดีตไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีปรากฏในอนาคต
มีคนหนึ่งร้อยหกสิบคนทยอยกันมานั่งลงวางเม็ดหมาก ทว่าทุกคนสามารถวางหมากได้แค่ตาเดียวเท่านั้น ส่วนจะได้ถือเม็ดหมากสีขาวหรือเม็ดหมากสีดำก็ต้องขึ้นอยู่กับดวงแล้ว
หมากเม็ดดำได้วางก่อนเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ไร้ใดเปรียบ กระทั่งแม่น้ำลำคลองไหลตรงเป็นแนวดิ่ง กลางกระดานแตกพ่าย สถานการณ์ของหมากสีขาวพลิกกลับมาดีเยี่ยม กระทั่งปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีขาวเข้ามาในศาลา คีบเม็ดหมากสีดำวางลงบนกระดาน จากนั้นก็เอ่ยประโยคหนึ่งว่าไม่ต้องเล่นแล้ว
ทุกคนพอเข้ามาในศาลาแล้วก็กวาดตามองไปรอบด้าน ทัศนียภาพแปลกใหม่ราวกับอยู่ในถ้ำสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง ต้นป่ายสีขาวเรียงราย ว่ากันว่าเป็นต้นป่ายโบราณที่ทุกต้นมีมูลค่าควรเมือง ถูกย้ายจากจวนเซียนที่มีชื่อว่านครจิ่นกวานเอามาปลูกที่นี่
ต้นไผ่มาจากภูเขาชิงเสิน ต้นป่ายมาจากนครจิ่นกวาน