กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 731.2 ทุกเรื่องเตรียมการไว้เรียบร้อย ขาดแค่ลมหิมะ
มีคนถามมาจากที่สูง “อะไรน่ะ บนพื้นมีเงินให้เก็บหรือ?”
โจวหมี่ลี่กระโจนเข้าใส่เงินเทพเซียนเหมือนเสือโหยเจอลูกแกะก่อน จากนั้นก็พลันหัวเราะออกมา ที่แท้เผยเฉียนก็มานั่งอยู่บนหัวกำแพงเรือน หมี่ลี่น้อยรีบกำเงินเกล็ดหิมะเอาไว้ แล้วดีดตัวด้วยท่าปลาไนกระโดดหงายท้อง กำลังจะพูดขอความดีความชอบ เผยเฉียนก็ใช้สองนิ้วคีบเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งส่ายเบาๆ ถามหน้าเคร่ง “เมื่อครู่ใครเอาเงินขว้างใส่ข้า หมี่ลี่น้อยเจ้าเห็นหรือไม่ว่าเป็นใคร?”
โจวหมี่ลี่ส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่รู้ๆ ไม่เห็นเลยนะ ฟ้าดินเป็นพยาน หากเป็นพี่หญิงหน่วนซู่เดินผ่านทางมาแล้วเก็บเงินได้ล่ะ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ เมื่อครู่ข้ายืนงีบหลับอยู่ตรงหน้าประตูตลอดเวลา นี่ก็ไม่ใช่เพราะว่าเดินละเมอไปนอนหลับบนพื้นก็ยังไม่รู้ตัวหรอกหรือ”
เผยเฉียนถาม “พี่หญิงหน่วนซู่จะทิ้งของส่งเดชหรือ?”
โจวหมี่ลี่รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “จิ่งชิง จิ่งชิง! อาจจะเป็นจิ่งชิง เขาบอกว่าตัวเองมองเห็นเงินทองเป็นดั่งอึและดินมากที่สุด…ต้องเป็นจิ่งชิงที่กินเกาลัดคั่วของเจ้าเผยเฉียนไปมาก แต่รู้สึกไม่ดีที่จะจ่ายเงินให้เจ้า ก็เลยแอบเอาเงินมามอบให้แน่เลย เฮ้อ จิ่งชิงเองก็หวังดีนะ แล้วก็ต้องโทษที่ข้าเฝ้าประตูได้ไม่ดีพอ…”
เผยเฉียนกระโดดลงมาจากหัวกำแพง พาหมี่ลี่น้อยกลับไปที่เรือนไม้ไผ่อีกครั้ง ไปนั่งด้วยกันตรงริมหน้าผา สุดท้ายแม่นางน้อยชุดดำง่วงมากแล้วจริงๆ จึงนอนฟุบอยู่บนขาของหญิงสาวแล้วหลับสนิทไป
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวพุงปลา ตอนแรกก็เป็นจุดแสงเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารก่อน จากนั้นก็พลันสว่างจ้า
ตอนนั้นหลังจากที่เผยเฉียนจากไป จูเหลี่ยนที่ได้มีดตัดกระดาษไม้ไผ่เหลืองมาก็รีบไปที่ห้องบัญชีมารอบหนึ่งทันที เขาไปหาเหวยเหวินหลง ร่วมกันประเมินราคาข้าวของที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อมีดตัดกระดาษเล่มนั้นของเผยเฉียน เพียงแต่ว่ามีสมบัติอาคมบนภูเขาบางส่วนที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด มีตราผนึกหนาแน่น ถึงอย่างไรขอบเขตของเหวยเหวินหลงก็ไม่สูง จึงไม่แน่ใจในเรื่องระดับขั้นและราคา กังวลว่าร้านผ้าห่อบุญที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวจะไม่ทันระวังขายไปในราคาถูก จากนั้นถูกคนนอกของบนภูเขามาเก็บตกเอาของดีไปได้ ต่อให้สุดท้ายภูเขาลั่วพั่วจะเลือกเก็บรักษาไว้ในบ้านตัวเอง ทว่าจะเอาแต่ปล่อยให้ไม่รู้ระดับความล้ำค่าของพวกมัน วางพวกมันเอาไว้ให้กินแต่ฝุ่นก็คงไม่ได้ นี่จะทำให้จิตแห่งมรรคาของเหวยเหวินหลงไม่มั่นคง หมื่นเรื่องหมื่นสรรพสิ่งต้องมีราคาที่แน่ชัดถึงจะทำให้เหวยเหวินหลงสบายใจได้ ส่วนข้อที่ว่าจะปล่อยผ่านมือเอาออกไปขายให้ได้กำไร หรือจะเก็บไว้รอให้ราคาสูงหรือราคาเทียมฟ้าก่อนค่อยขาย กลับไม่ใช่เรื่องที่สำคัญนัก
เหวยเหวินหลงมีความสุขกับขั้นตอนการหาเงินเป็นที่สุด
ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงได้แต่รบกวนให้สหายฉางมิ่งมาที่นี่อีกครั้ง ‘บรรพจารย์ผู้คุมกฎ’ ตัวจริงของภูเขาลั่วพั่วท่านนี้ วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเงินทองและโชคด้านทรัพย์สินของนางเรียกว่าร้ายกาจจนไร้เหตุผลจริงๆ
ฉางมิ่งช่วยตรวจสอบและเสริมในส่วนที่ขาดให้กับเหวยเหวินหลง ประเมินราคาของสมบัติหนักในการโจมตีสามชิ้นที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาวุธวิเศษระดับสูงใหม่อีกครั้ง แต่ว่าก็ยังมีวัตถุบนภูเขาอีกหลายชิ้นที่ฉางมิ่งไม่กล้ายืนยันในราคาที่แท้จริง
สุดท้ายฉางมิ่งให้ราคาบนภูเขาแก่ของทั้งหมดหกสิบเก้าชิ้น เป็นราคาที่สูงเทียมฟ้า
ต้องใช้เงินฝนธัญพืชมาคิดคำนวณ อีกทั้งยังมีคำว่าพันพ่วงมาด้วย
เป็นเหตุให้ฉางมิ่งยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ว่ากันไปตามเรื่องตามสถานการณ์ เหตุการณ์ที่หอบูชากระบี่จดความผิดพลาดเล็กๆ เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องจดให้เป็นคุณความชอบใหญ่ของเผยเฉียน ในด้านการหาเงินของภูเขาลั่วพั่ว หากดูจากตอนนี้ นอกจากนายท่านแล้วก็เป็นเผยเฉียนนี่แหละที่ทุ่มเทมากที่สุด”
จูเหลี่ยนถูมือยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของคุณชายบ้านข้านี่นะ”
จากนั้นจูเหลี่ยนก็ถามว่า “ไม่สู้ให้ข้าเรียกพี่เว่ยกับพี่หมี่มายืนยันให้แน่ใจอีกสักหน่อยดีไหม? ราคารวมที่สหายฉางมิ่งประเมินไว้ต้องไม่ผิดแน่นอน อย่างมากสุดก็คงจะเป็นความต่างแค่ประมาณร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช แต่หากให้แยกเป็นรายชิ้นกลับยังคงมีความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ หากแน่ใจได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจทำให้มีรายรับเพิ่มมาอีกสองสามร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืชก็เป็นได้”
เพราะถึงอย่างไรการประเมินราคาของสหายฉางมิ่งก็เป็นแค่การประเมินราคาคร่าวๆ ของวัตถุเจ็ดสิบกว่าชิ้น ทว่าการค้าขายบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มาจากสำนักอักษรจง ยิ่งเป็นคนอายุน้อย แต่ละคนก็ยิ่งมีเงินบนมือมากไม่แพ้กัน ยามจับจ่ายมักมือเติบใจป้ำ ดูแค่ว่าถูกใจตัวเองหรือไม่
ในเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับการเพิ่มโชคด้านเงินทองให้กับภูเขาลั่วพั่ว อารมณ์ของฉางมิ่งจึงไม่เลว เอ่ยสัพยอกว่า “เจ้านี่ช่างรักและเอ็นดูเผยเฉียนจริงๆ”
จูเหลี่ยนระมัดระวังตัวเช่นนี้ นอกจากเพื่อให้ภูเขาลั่วพั่วหาเงินได้มากกว่าเดิมแล้ว สืบสาวราวเรื่องกันจริงๆ กลับยังเป็นเพราะไม่ยินดีจะให้เผยเฉียนต้องเสียเปรียบแม้แต่น้อย
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
ครู่หนึ่งต่อมา นอกจากผู้ดูแลใหญ่ บรรพจารย์ผู้คุมกฎและนักบัญชีของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ยังมีอีกสองคนที่มาที่นี่ เซียนกระบี่หมี่คนกันเอง กับเว่ยซานจวินที่หนักเบาเอาสู้ เรียกเมื่อไหร่ก็มาเมื่อนั้น ไม่เคยโอดครวญว่าลำบากยามที่ต้องมาเยือนภูเขาบ้านคนอื่น
เว่ยป้อตรวจสอบวัตถุวิเศษบนภูเขาจำนวนมากไปทีละชิ้น มีสองชิ้นในนั้นที่เว่ยป้อค่อนข้างสนใจ คือลูกกลิ้งหินที่ลักษณะแปลกประหลาด กับผ้าทรงเหลี่ยมที่ยิ่งไม่สะดุดตาผืนหนึ่ง
เว่ยป้อยิ้มบางๆ อยู่ตลอด บอกว่าในเมื่อจับคู่กันแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ควรมองพวกมันเป็นสมบัติอาคมสองชิ้น ของสองชิ้นแบ่งกันแกะสลักเป็นคำว่า ‘จินฝ่าเฉา’ และ ‘ซือจื๋อฟาง’ คืออักษรเก่าแก่ชนิดหนึ่งที่หายสาบสูญไปจากใต้หล้าไพศาลนานแล้ว บวกกับที่พื้นที่มงคลดอกบัวบ้านเกิดของจูเหลี่ยนในอดีต ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่เคยมีประเพณี ‘ประลองชา’ หากไม่เป็นเช่นนี้ จูเหลี่ยนย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขาเว่ยป้อมาเก็บตกของดีได้แน่นอน เพราะเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวพันกับสายลมบุปผาหิมะจันทรา (เปรียบเปรยถึงเรื่องโรแมนติก) ซึ่งมีพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาดเป็นหนึ่งในนั้น จูเหลี่ยนต่างหากถึงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง
พอเหวยเหวินหลงรู้เรื่องวงในเรื่องนี้แล้วก็รีบมองไปทางจูเหลี่ยนทันที ไม่ต้องให้เหวยเหวินหลงพูดบอกความคิดในใจ จูเหลี่ยนก็เอาสองมือไพล่หลังไว้รอก่อนแล้ว ดูท่าจะคิดคำพูดมาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว จึงพูดโพล่งออกไปทันที “สองข้างของลูกกลิ้งบดใบชา ข้าจะเป็นคนเพิ่มตัวอักษรสองประโยคลงไปเอง”
“เสียงบดกังวานเปี่ยมพลัง ทุกอย่างล้วนมีวิธีการ คนแข็งกระด้างยังต้องเบามือ นั่นคือจินฝ่าเฉา” (จินฝ่าเฉาคือชื่อเรียกที่บดใบชาชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ)
“เสียงพิณดังก้อง สี่ขุนเขาปิดล้อม คนอ่อนแอมาเยือนที่นี่ล้วนปลอดภัย ยิ้มรับลมวสันต์พร้อมกับท่าน”
“ส่วนผ้าทรงสี่เหลี่ยมผืนนี้ ข้าเป็นคนคิดตัวอักษรเองแล้วกัน ให้อาจารย์ชุยเขียนด้วยอักษรแบบหวัดก็ได้แล้ว กลางหุบเขาร้อนระอุ พัดขนนกผ้าอ่อนนุ่ม ไม้เขียวร่มเย็น เก้าอี้ไม้ไผ่หลับสนิท ชายแขนเสื้อแดงแต้มโฉมบาง ชาใสกลืนกล่อมลม ธารไหลรินลมโชยพัดใบหน้า ดวงจันทร์ขับไล่ดาราหล่นเต็มบ่า เมฆขาวหนาเรือขวางท่า สกุณาโบยบินเสียงขลุ่ยดังหน้าขุนเขา ขุนเขาดีสายน้ำดีชาดีจิตใจดีหนึ่งคู่คน”
เหวยเหวินหลงพยักหน้า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ของทั้งสองชิ้นจะไม่ขายแยก แต่ละชิ้นไม่เพียงแต่มีราคาของสมบัติวิเศษ ราคานั้นยังต้องเพิ่มเป็นอีกเท่าตัวถึงจะถือว่ายุติธรรม”
หมี่อวี้ยืนอึ้งเป็นไก่ไม้อยู่ด้านข้าง
มารดามันเถอะ หาเงินกันวิธีนี้ได้ด้วยหรือ? แล้วความรู้ใจกันของพวกเจ้านี่มาจากไหน? หรือว่าข้าไม่ได้มาที่ภูเขาลั่วพั่วพร้อมกับน้องเหวินหลง?
โชคดีที่คืนนี้เซียนกระบี่หมี่ไม่ได้มาเสียเที่ยว เขายกระดับสมบัติอาคมเก่าสองชิ้นที่แต่เดิมถูกลดระดับขั้นให้เป็นวัตถุวิเศษระดับสูงให้ขยับขึ้นเป็นระดับสมบัติอาคมชั้นเลิศอย่างแท้จริง
หนึ่งในนั้นคือกระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่งที่สองข้างของตัวกระบี่แยกกันแกะสลักคำว่า ‘ซี่เหมย’ (คิ้วเล็กเรียว) และ ‘จันทร์ทรงกลด’ เคยเป็นกระบี่ประจำตัวของรักของหวงของเซียนกระบี่เผ่าปีศาจใต้หล้าเปลี่ยวร้างคนหนึ่ง ภายหลังพอตบะสูงขึ้นจึงกลายมาเป็นดั่งซี่โครงไก่ จึงส่งมอบต่อให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดเวทกระบี่ สุดท้ายถูกเปลี่ยนมือไปอย่างต่อเนื่อง ไปอยู่ในมือของคนอื่นจึงสูญเสียคำกล่าวที่ว่าการสืบทอดอย่างเป็นระบบไป เป็นเหตุให้จนถึงทุกวันนี้แม้แต่ฝักกระบี่ก็ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของกระบี่ยาวที่ไม่ได้มีชื่อเสียงด้านพลังพิฆาตมหาศาลเล่มนี้ เล่าลือกันว่าแสงกระบี่ดั่งพระจันทร์ทรงกลดสามารถรวมตัวกันขึ้นมาเป็นข้ารับใช้ถือกระบี่หุ่นเชิดที่ชื่อว่า ‘ซี่เหมย’ ได้คนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือน้ำเสียงของสตรีล้วน ‘คัดลอกสำเนา’ มาจากเซียนกระบี่หญิงคนหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พอปรากฎตัวบนโลกก็จะมีพลังการต่อสู้เท่าเทียมกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง สำหรับเจ้าของที่เป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้ว หุ่นเชิดสตรีในระดับนี้ แน่นอนว่ามีไว้แค่ชื่นชมให้บันเทิงเริงใจเท่านั้น แต่สำหรับผู้ฝึกตนเซียนดิน หากจับคู่เข่นฆ่ากับศัตรูขึ้นมา เท่ากับว่ามีผู้ฝึกกระบี่ที่พลังการรบเท่าเทียมกับโอสถทองคนหนึ่งเพิ่มมา อีกทั้งยังไม่กลัวตายแม้แต่น้อย แล้วยังสามารถ ‘สละร่างไปเกิดใหม่’ เป็นสาวใช้ประจำตัวได้หลายครั้ง นั่นจึงไม่ต่างจากกลยุทธ์การวางหมากแบบไร้เหตุผลและการวางหมากแบบแบ่งแพ้ชนะ
หมี่อวี้ถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว ควงสะบัดกระบวนท่ากระบี่ มืออีกข้างประกบสองนิ้วมือ กักแสงจันทร์นอกหน้าต่างส่วนหนึ่งมาไว้ที่ปลายนิ้วก่อน จากนั้นก็ดันไปที่ด้ามกระบี่เบาๆ แล้วจึงใช้แสงจันทร์และปราณกระบี่ร่วมกัน ‘ชำระล้างกระบี่’
แสงกระบี่กับแสงจันทร์ไหลรินสาดเทลงพื้นไปพร้อมกัน พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นสตรีคิ้วเรียวยาวผู้หนึ่ง นางยืนสะโอดสะองอยู่ตรงหน้าทุกคน บนร่างของนางสวมชุดสีขาวหิมะที่เต็มไปด้วยไอน้ำและประกายแสงเมฆเรืองรอง
ใบหน้าเย็นชา ดวงตาสองข้างดูเหม่อลอยเล็กน้อย สุดท้ายมองไปทางหมี่อวี้แล้วยอบตัวคำนับด้วยท่าทางแข็งทื่อ
เมื่อหมี่อวี้เก็บปราณกระบี่ทั้งหมดมา ร่างของสตรีก็หายวับไป กลับเข้าไปในกระบี่ยาวอีกครั้ง
หมี่อวี้วางกระบี่ยาวไว้บนโต๊ะ หยิบชุดคลุมอาคมเก่าขาดที่เดิมทีไร้ประกายแสงตัวหนึ่งขึ้นมา เอาไปวางไว้ใกล้กับหน้าต่าง หมี่อวี้สะบัดชุดคลุมอาคมเบาๆ ทันใดนั้นสีทองกับสีเขียวก็เปล่งประกายตัดสลับกันประหนึ่งดวงตาบนหางนกยูงรำแพน ภายใต้แสงจันทร์อ่อนจางที่สาดส่องลงมาก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นประกายแสงระยิบระยับ
จากนั้นหมี่อวี้ก็พูดเปิดเผยความลับสวรรค์ บอกว่าชุดคลุมอาคมตัวนี้ระดับขั้นถูกทำลายไปก็จริง แต่กลับใช้วิธี ‘อวิ๋นฮุยเค่อซือ (อวิ๋นฮุยคือชื่อกองทัพสมัยโบราณ เค่อซือเป็นชื่อเรียกของวิธีการทอผ้าชั้นสูงชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ) ข้ามตรงตัดนอน (คือขั้นตอนหนึ่งในการทอผ้าแบบเค่อซือ ส่วนใหญ่มักจะใช้ไหมดิบมาทอเป็นเส้นแนวตรง ไหมสุกทอเป็นเส้นแนวนอน)’ ซึ่งเป็นวิชาก้นกรุของนครจินชุ่ยสำนักเบื้องล่างของใต้หล้าเปลี่ยวร้างถักทอขึ้นมาอย่างประณีตตั้งใจ และรากฐานในการหยัดยืนของนครจินชุ่ยก็คือการสร้างชุดคลุมมังกรตัวนั้นให้กับปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หย่างจื่อ เป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพร ถึงได้ทำให้นครจินชุ่ยที่มีผู้ฝึกตนหญิงอยู่มากมายไม่ถูกปีศาจใหญ่จำนวนมากรุกรานอย่างกำเริบเสิบสาน
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “หากเอาไปวางไว้ใต้ต้นกำเนิดแสงอย่างพวกแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ จุดที่สองสีอย่างสีทองและสีมรกตตัดกันจะโปร่งแสง เกิดเป็นริ้วคลื่นพลิ้วไสว ประหนึ่งลายคลื่นน้ำ สีลายน้ำของตอนกลางวันและตอนกลางคืนที่ส่องออกมาจากชุดคลุมอาคมก็จะมีความต่างกันไปอีก ถูกเรียกขานว่าเป็น ‘เส้นทางน้ำแบ่งหยินหยาง’ เส้นทางน้ำยามราตรี สายน้ำเดี๋ยวไหลแรงเดี๋ยวไหลช้า เส้นทางน้ำยามทิวา แสงอรุณใสกระจ่าง สามารถทำให้ผู้ฝึกลมปราณบางส่วนที่ฝึกวิชาลับนอกรีตซึ่งไม่สะดวกจะเจอกับแสงตะวันเจิดจ้าสามารถเปลี่ยนมาเป็นฝึกตนได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ดังนั้นจวนไช่เฉวี่ยของอุตรกุรุทวีปจึงมีจุดที่คล้ายคลึงกับนครจินชุ่ย นั่นคือรากฐานในการหยัดยืนล้วนเป็นชุดคลุมอาคม”
เหวยเหวินหลงถามหยั่งเชิงเว่ยซานจวินที่อยู่ด้านข้าง “เสมียนขุนนางแห่งโลกมืดอย่างพวกเทพอภิบาลเมือง วิญญาณวีรบุรุษศาลบุ๋นบู๊ทั้งหลาย หากสวมชุดคลุมอาคมนี้ก็ไม่ใช่ว่าสามารถใช้ ‘เรือนกายมนุษย์’ ออกมาลาดตระเวนโลกสว่างภายใต้แสงแดดสาดส่องได้อย่างเปิดเผยหรอกหรือ?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “แน่นอนว่าย่อมได้ เพียงแต่พวกเรามิได้ครอบครองตราผนึกเวทลับที่แท้จริงของนครจินชุ่ย จึงยากที่จะเย็บชุดคลุมอาคมนครจินชุ่ยที่แท้จริงออกมาได้ นอกจากเทพท่องทิวาที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนยามกลางวันแล้ว พวกขุนนางเสมียนน้อยใหญ่อื่นๆ ของศาลเทพอภิบาลเมืองหรือศาลบุ๋นบู๊ทั้งหลายหากสวมชุดคลุมอาคมนี้ไว้บนร่าง ประสิทธิผลกลับจะไม่ชัดเจนนัก”
เหวยเหวินหลงพยักหน้า ความคิดแล่นอย่างว่องไว ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “จุดที่ล้ำค่ามากที่สุดยังคงเป็นวิชาการทอแบบเค่อซือตั้งนอนที่ซ่อนอยู่ในชุดคลุมอาคมชุดนี้ ต่อให้จะไม่สามารถเกี่ยวพันไปถึงรากฐานมหามรรคาในการเย็บทอชุดคลุมอาคมของนครจินชุ่ยได้ แต่ขอแค่เกี่ยวข้องเล็กน้อยก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องเส้นทางการจำหน่ายแล้ว ต่อให้จะได้ประสิทธิผลน้อยนิดอย่างที่เว่ยซานจวินบอก ทว่าทุกครั้งที่กลางวันกับกลางคืนสลับกัน ต่อให้เทพท่องราตรีจะออกมาจากที่ว่าการได้ก่อนเวลาแค่หนึ่งเค่อก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี ในมือมีเงินเหลือ ใช้สิ่งนี้มาโอ้อวดกับเพื่อนร่วมงาน ก็เป็นเรื่องที่งดงามเช่นกัน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ คำพูดของเหวยเหวินหลงก็ติดๆ ขัดๆ เล็กน้อย
อาณาเขตของขุนเขาเหนือ บางทีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอาจจะยังถือว่าพอถูไถ ไม่ว่าจะจนจริงหรือแกล้งจน ในทางส่วนตัวแล้วก็ยังกล้าที่จะแอบร้องทุกข์กับพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากอยู่สองสามคำ
ทว่าตลอดทั้งทิศเหนือของต้าหลี สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำน้อยใหญ่ล้วนเป็นขุนนางใต้อาณัติของภูเขาพีอวิ๋น ใครจะยังกล้าพูดว่าในมือตัวเองมีเงินเหลือ? นี่คิดจะยื่นไม้ส่งไปให้ภูเขาพีอวิ๋นเพื่อขอไปดื่มสุราเลิศรสในงานเลี้ยงท่องราตรีของเว่ยซานจวินหรือ? ประเด็นสำคัญคือแต่ละตนน่าสงสารนัก แม้แต่จะร้องไห้คร่ำครวญก็ยังไม่กล้า
เหวยเหวินหลงจึงได้แต่เปลี่ยนคำพูดอย่างฉับไว “พวกเราสามารถทำการค้ากับจวนไช่เฉวี่ยได้ มิตรภาพส่วนมิตรภาพ การค้าส่วนการค้า พวกเราเอาชุดคลุมอาคม ‘บรรพบุรุษ’ ของพวกเราตัวนี้กับเวทคาถาการถักทอของนครจินชุ่ยหนึ่งบทให้พวกเขาแล้วขอแบ่งส่วนแบ่ง สามารถขอกำไรสามส่วนมาจากจวนไช่เฉวี่ยได้ วิชาการถักทอวิชานี้ ในเมื่อเป็นพวกเราที่แกะออกมาได้ คิดจะเก็บซ่อนไว้ก็คงซ่อนไม่อยู่ ไม่นานต้องถูกคนนอกเลียนแบบแน่นอน ดังนั้นจวนไช่เฉวี่ยต้องทำออกมารวดเดียวนับร้อยนับพันชิ้น แล้วค่อยให้สำนักพีหมา ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงหรือไม่ก็สำนักกระบี่ไท่ฮุยมาช่วยขาย ถึงเวลานั้นตระกูลเซียนแห่งอื่นซื้อไปสองสามตัวเพื่อแกะเอาวิธีการตัดเย็บ ทำเลียนแบบพวกเรา หากเป็นภูเขาลูกเล็ก พวกเรากับจวนไช่เฉวี่ยคิดจะขวางคงขวางไม่อยู่ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องตัดเส้นทางการทำเงินของผู้อื่น ถือเสียว่าเป็นการสะสมความสัมพันธ์ควันธูปที่ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีแก่ใจก็แล้วกัน ทว่าจวนตระกูลเซียนที่ทำกิจการยิ่งใหญ่อย่างพวกสำนักฉงหลินของอุตรกุรุทวีปนั้น หากคิดจะขายชุดคลุมประเภทนี้อย่างเปิดเผย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องชั่งน้ำหนักยามที่กองกำลังหลายฝ่ายของพวกเราไปทวงหนี้พร้อมกันให้ดี”
——