กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 732.3 แหงนหน้าหัวเราะดังก้องฟ้า ยังจะพูดอะไรได้อีก
แจกันสมบัติทวีป ชุยฉานถือประคองป๋ายอวี้จิงจำลองไว้บนฝ่ามือ ส่วนร่างจริงของชุยฉานวันนี้กลับแหกกฎไม่ไปสอนหนังสือ แต่มารับรองต้อนรับคนรู้จักคุ้นเคยสองคน
สหายเก่าสองคนต่างก็ไม่ได้ใช้ร่างจริงข้ามทวีปเดินทางไกลมาถึงที่นี่ วิธีการบนภูเขามีมากมาย ยิ่งเป็นเวทคาถาที่ลี้ลับมากเท่าไรก็ยิ่งกินเงินมากเท่านั้น แต่ไม่จำเป็นให้ชุยฉานต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้แล้ว
เมื่อชุยฉานเผยตัวบนโลกมนุษย์ เดินอยู่ริมลำน้ำใหญ่เส้นนั้น เศรษฐีร่างอ้วนฉุคนหนึ่งกับชายวัยกลางคนที่สวมชุดเรียบง่ายคนหนึ่งก็เดินเล่นริมน้ำขนาบซ้ายขวาไปพร้อมกับราชครูต้าหลีท่านนี้
คนผู้หนึ่งคือหลิวจวี้เป่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีป อีกคนหนึ่งคืออวี้พ่านสุ่ยไท่ซ่างหวงของราชวงศ์เสวียนมี่แผ่นดินกลาง มีใครบ้างที่เสียดายเงินเทพเซียน
อวี้พ่านสุ่ยที่ตอนอยู่ในห้องหนังสือของตระกูลทำให้หลินจวินปี้คนหนุ่มเด็กรุ่นหลังปวดหัวอย่างถึงที่สุด เวลานี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาเอ่ยคำประจบ “น้องชุยช่างมีฝีมือยิ่งใหญ่ ช่างมีฝีมือยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนฟ้าผลัดดินจริงๆ เรื่องดีงามสามเรื่องในไพศาลไหนเลยจะเพียงพอ ต้องเพิ่มเรื่องนี้เข้าไปอีกเรื่อง”
หลิวจวี้เป่ากลับไม่ได้หน้าหนาอย่างอวี้พ่านสุ่ย แค่มองไปทางสายน้ำของลำน้ำใหญ่ ยากที่จะปกปิดสีหน้าชื่นชมได้
เพียงแต่ว่าสิ่งที่หลิวจวี้เป่าเห็นอยู่ในสายตากลับไม่ใช่กระแสน้ำไหลรินของลำน้ำใหญ่ แต่เป็นเงินเทพเซียนที่ไหลมาเทมาไม่ขาดสาย ขอแค่คนคนหนึ่งมีความสามารถมากพอก็เหมือนอยู่ตรงปากทางลำน้ำใหญ่ไหลเข้ามหาสมุทรแล้วเปิดถุงเงินใบใหญ่อ้ากว้างเอาไว้
ชุยฉานยิ้มถาม “ตาเฒ่าอวี้ ทุกวันนี้ฝีมือเล่นหมากล้อมเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
อวี้พ่านสุ่ยบ่นว่า “รู้ดีแต่ยังถาม ก็ยังแข็งแกร่งอยู่เหมือนเดิมน่ะสิ”
ฝีมือการเล่นหมากล้อมของอวี้พานสุ่ยสูงส่งเพียงใด หากใช้คำกล่าวของชุยฉานในปีนั้นก็คือตอนที่ตาเฒ่าอวี้เก็บเม็ดหมากใช้เวลามากกว่าตอนวางเม็ดหมากมากนัก
นิสัยยามเล่นหมากล้อมเผด็จการ ลงมือเด็ดขาดเฉียบไว บุกรุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นจึงวางเม็ดมากอย่างรวดเร็ว แพ้ก็เร็ว น้อยครั้งนักที่ชุยฉานจะยินดีสิ้นเปลืองเวลากับคนที่ฝีมือเล่นหมากล้อมย่ำแย่เช่นนี้ ทว่าอวี้พ่านสุ่ยกลับเป็นข้อยกเว้น แน่นอนว่าคำว่าเล่นหมากล้อมของเขา เม็ดหมากที่วางส่วนใหญ่ล้วนอยู่นอกกระดาน อีกทั้งทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ และต่างก็มีความสุขที่จะทำเช่นนั้น ศึกตรีจตุ สายเหวินเซิ่งแพ้อนาถ ชุยฉานหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน ทรยศออกจากสายบุ๋น กลายเป็นหมาไร้บ้านที่ใครเห็นก็ร้องจะทุบตี ทว่าครานั้นที่อยู่ในราชวงศ์ต้าเฉิงซึ่งดูคล้ายว่าจะเจริญรุ่งเรือง ชุยฉานเล่นหมากล้อมกับอวี้พ่านสุ่ยในศาลอิ่งป่ายพลางเปิดโปงถึงสถานการณ์ของความพ่ายแพ้เสื่อมโทรมภายใต้กลุ่มบุปผาห้อมล้อมให้ตาเฒ่าอวี้ฟังไปด้วย และหลังจากหมากกระดานนั้นเล่นจบ ตาเฒ่าอวี้ที่ถือหมากค้างไม่แน่ใจว่าจะวางอย่างไรถึงได้ตัดสินใจผลัดเปลี่ยนราชวงศ์
ชุยฉานมีดีอยู่อย่างหนึ่ง เป็นจุดที่ทำให้อวี้พ่านสุ่ยนับถือเลื่อมใสมากที่สุด เพราะเขาแตกต่างจากบัณฑิตทั่วไปบนโลก ขอแค่เป็นเรื่องที่รู้ว่ามีข้อเสียมากมาย แต่กลับยังมิอาจแก้ไขคลี่คลายได้ ชุยฉานก็จะปล่อยให้มันเน่าอยู่ในท้องไปแต่โดยดี จะไม่แสร้งพูดจาล้ำลึกแฝงความนัยเด็ดขาด พูดง่ายๆ ก็คือชุยฉานจะทำแค่เรื่องที่ตัวเองมีความสามารถให้ทำได้ กล้าทำ ยอมทำ ทำได้ ดังนั้นตอนนั้นที่ชุยฉานออกมาจากตระกูลอวี้ นอกจากผลแพ้ชนะบนกระดานหมากที่ไม่ต้องสงสัยแล้ว ยังทิ้งสมุดเล่มหนึ่งที่เขียนรายละเอียดการเปลี่ยนราชวงศ์ผลัดยุคสมัยให้กับตระกูลอวี้ บอกแค่ว่าพยายามช่วยตาเฒ่าอวี้เรียบเรียงเส้นสายกลยุทธของทั้งสองฝ่ายให้ได้มากที่สุด จะได้ใช้สิ่งนี้มาเป็นหลักฐานพิสูจน์กันและกัน
ตอนนั้นอวี้พ่านสุ่ยเดินมาส่งถึงด้านล่างขั้นบันไดของศาลา เพียงแค่ถามประโยคเดียวว่า ‘ซิ่วหู่ต้องการสิ่งใด?’
ชุยฉานตอบ ‘วันหน้าข้าขอยืมเงินจากตระกูลอวี้ เจ้าอวี้พ่านสุ่ยห้ามทำตัวเลอะเลือน ให้ได้มากเท่าไรก็เท่านั้น ได้กำไรมากหรือน้อยยังบอกได้ยาก แต่ย่อมไม่มีทางขาดทุนแน่นอน’
อวี้พ่านสุ่ยที่ขึ้นชื่อเรื่องฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกผู้นี้ ในด้านการพลิกแพลงสถานการณ์และกุศโลบายแผนการ กลับเป็นดั่งสำลีซ่อนเข็ม อายุแค่สามสิบปีก็ได้เป็นราชครูของราชวงศ์ต้าเฉิงแล้ว ก่อนและหลังก็ได้ประคับประคองฮ่องเต้หุ่นเชิดหลายพระองค์ มีคำเรียกขานอันไพเราะว่าศาสตร์แห่งการพิฆาตมังกร เกี่ยวกับ ‘อ้วนอวี้’ ผู้นี้ บนภูเขาและล่างภูเขาของใต้หล้าไพศาลมีทั้งคนชมและคนด่าอยู่ตลอดเวลา ในบรรดานั้นมีเรื่องลับๆ ของสาวงามในวังหลวงที่เล่าลือกันไปแพร่หลายมากที่สุด เขากับเกร็ดพงศาวดารกลุ่มบุปผางามที่เจียงซ่างเจินเขียนขึ้นเองกับมือ ทั้งยังควักเงินจ้างโรงพิมพ์เองตอนอยู่ในอุตรกุรุทวีป ถูกเรียกขานให้เป็นคู่ตำราเรื่องราวอันงดงามบนภูเขา
ชุยฉานหันหน้าไปถามหลิวจวี้เป่า “พี่หลิวยังคงไม่ยินดีจะลงเดิมพันอย่างเต็มที่หรือ?”
หลิวจวี้เป่าเอ่ย “หาเงินไม่อาศัยการเดิมพัน นี่คือกฎบรรพบุรุษอันดับหนึ่งในบ้านของสกุลหลิว เงินสองก้อนที่สกุลหลิวทยอยให้ต้าหลียืมไม่ถือว่าน้อยแล้ว”
เงินฝนธัญพืช หมื่น ก่อนหลังสองครั้ง ครั้งละร้อยหมื่น (ล้าน)
ชุยฉานยิ้มเอ่ย “เดิมพัน? พี่หลิวดูแคลนการพิทักษ์เมืองของแจกันสมบัติทวีปข้า หรือว่าดูแคลนการโจมตีของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกันแน่?”
หลิวจวี้เป่าคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
คบค้าสมาคมกับซิ่วหู่ผู้นี้ อย่าได้ทะเลาะกับอีกฝ่ายเด็ดขาด เพราะน่าเบื่อที่สุด
ส่วนเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปอย่างหลิวจวี้เป่าท่านนี้ ในมือได้ครอบครองพื้นที่มงคลหานซูแห่งหนึ่ง คอยดูแลต้นกำเนิดของเงินเกล็ดหิมะทุกเหรียญในใต้หล้า ขนาดศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางยังยอมรับในผลประโยชน์ส่วนหนึ่งจากสกุลหลิว
เคยลงนามในสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งสองฝ่ายที่ทำสัญญากันคือหลี่เซิ่งกับหลิวจวี้เป่า
ส่วนเหมืองเงินเกล็ดหิมะแห่งนั้น ปริมาณแร่ที่สะสมอยู่ด้านในยังคงน่าตกตะลึง สำนักคำนวณและบรรพจารย์สำนักหยินหยางเคยร่วมกันตรวจสอบและคิดคำนวณ ใช้เวลานานหลายปี คำตอบที่ได้ในท้ายที่สุดทำให้หลิวจวี้เป่าพึงพอใจอย่างมาก
นั่นก็หมายความว่าสกุลหลิวธวัลทวีปไม่เพียงมีเงินในปัจจุบันนี้ ในอนาคตก็ยังจะมีเงินอย่างมาก ดังนั้นสกุลหลิวธวัลทวีปจึงได้รับคำชื่นชมที่ว่า ‘นั่งกินภูเขาไม่โล่ง’
แม้แต่อาจารย์ฟ่านบรรพบุรุษของสำนักการค้าท่านนั้นก็ยังบอกว่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวมีเงินจริงๆ
ในบรรดาผู้ถวายงานสกุลหลิว ผู้ฝึกยุทธมีเพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกงธวัลทวีป ในฐานะบุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธของทวีป ลำดับรายชื่อของผู้ถวายงานกลับอยู่อันดับที่สามเท่านั้น สำนักคำนวณมีบรรพจารย์ทั้งหมดสามท่าน สองท่านในนั้นล้วนเป็นผู้ถวายงานของสกุลหลิวธวัลทวีป
ชุยฉานถาม “เซี่ยซงฮวาไม่ยอมเป็นแม้กระทั่งเค่อชิงที่แขวนชื่อไว้ในสกุลหลิวหรือ?”
หลิวจวี้เป่ายอมรับเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา พยักหน้ายิ้มเอ่ย “เรื่องของเงินทอง ถึงอย่างไรก็ไม่อาจพิชิตใจคนได้ทั้งหมด เป็นแบบนี้ถึงจะดี ดังนั้นข้าจึงนับถือเซียนกระบี่หญิงผู้นั้นจากใจจริง”
ทุกวันนี้บรรพจารย์ท่านหนึ่งของสกุลหลิวกำลังพยายามพูดโน้มน้าวเซียนกระบี่หญิงเซี่ยซงฮวาอย่างยากลำบาก ให้นางมารับหน้าที่เป็นเค่อชิงของตระกูล เพราะหากคิดจะเชื้อเชิญให้นางมาเป็นผู้ถวายงานคงเป็นเรื่องที่เพ้อฝันไปแล้ว เซี่ยซงฮวาไม่มีความรู้สึกที่ดีใดๆ ต่อธวัลทวีปที่เป็นบ้านเกิด กับสกุลหลิวที่โอ้อวดเรื่องเงินทองก็ยิ่งมีภาพจำที่ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด
ดังนั้นขอแค่เซี่ยซงฮวาพยักหน้าตอบตกลง ชั่วชีวิตนี้นางไม่เพียงแต่ไม่ต้องไปเยือนจวนหลิวตามพิธี ยิ่งไม่ต้องให้เซี่ยเค่อชิงทำเรื่องใดๆ การประชุมในศาลบรรพจารย์ เซี่ยซงฮวาไม่ต้องมาเข้าร่วมก็ได้ แต่ขอแค่ฝากความมาบอกก็ล้วนได้ผลเหมือนกัน นอกจากนี้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเซี่ยซงฮวาอย่างจวี่สิงและเฉามู่ ก่อนจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน เกี่ยวกับเรื่องของการเลี้ยงกระบี่และการหลอมวัตถุ วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินและเงินเทพเซียนทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ สกุลหลิวธวัลทวีปจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้เซี่ยซงฮวาก็ยังไม่ยอมตอบตกลง ตั้งแต่ต้นจนจบนางเอ่ยกับบรรพจารย์สกุลหลิวประโยคเดียวว่า ‘หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่หน้าจวนหยวนโหรวของภูเขาห้อยหัว ที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้ก็คือการถามกระบี่’
แน่นอนว่าสกุลหลิวธวัลทวีปไม่ได้ขาดเซียนกระบี่มาเฝ้าพิทักษ์จริงๆ เพียงแต่เจ้าประมุขสกุลหลิวธวัลทวีปป่าวประกาศออกมาแล้วว่า ผู้อาวุโสในตระกูลท่านนั้นต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จให้จงได้ อีกทั้งยังต้องพูดจาดีๆ ต้องมีมารยาทและเคารพนอบน้อมต่อเซียนกระบี่เซี่ย ไม่อย่างนั้นเมื่อกลับมาถึงศาลบรรพจารย์ เขาหลิวจวี้เป่าก็จะไม่พูดคุยดีๆ แล้ว
ชุยฉานยิ้มกล่าว “กิจการส่วนกิจการ พี่หลิวไม่ยินดีจะลงเดิมพันมากเพื่อได้กำไรมากก็ไม่เป็นไร เงินที่ยืมไปก่อนหน้านี้ทั้งต้นและดอก จะคืนให้สกุลหลิวโดยไม่ขาดไปแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว นอกจากนี้แล้วข้าสามารถทำให้เซี่ยซงฮวาผู้นั้นมาเป็นผู้ถวายงานสกุลหลิวได้ ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณพี่หลิวที่ยินดีเอาเงินมาให้ยืม”
แล้วนับประสาอะไรกับที่หลิวจวี้เป่าไม่ใช่คนลืมกำพืดตัวเอง ลำพังเพื่อแค่เรื่องโชคชะตาบู๊และโชคชะตาวิถีกระบี่ของธวัลทวีปก็ได้จ่ายเงินอย่างลับๆ ไปนับไม่ถ้วน ชุยฉานล้วนเห็นอยู่ในสายตา
คนที่มีเงินในใต้หล้านี้ ไปๆ มาๆ ไม่ว่าเป็นคนเก่าหรือคนใหม่ ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนนั่งอยู่ในตำแหน่งของคนมีเงิน ถ้าอย่างนั้นตามหลักแล้วใครควรจะมีเงิน ก็คือความรู้ที่ยิ่งใหญ่แล้ว
เรื่องราวในใต้หล้า วกวนอ้อมค้อม ก็ยังหนีไม่พ้นการคบค้าสมาคมระหว่างคนกับคนหรอกหรือ
หลิวจวี้เป่าเอ่ย “ต่อจากนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะถอนเส้นแนวรบกลับแล้ว ต่อให้โจวมี่จะเอากองกำลังการรบชั้นยอดส่วนใหญ่โยกย้ายไปที่ทักษินาตยทวีป แจกันสมบัติทวีปก็ยังกระอักกระอ่วนมากอยู่ดี”
ชุยฉานหัวเราะเสียงเย็นชา “รวมยุง?” (ภาษาจีนคือจวี้เหวิน หมายถึงยุงหลายๆ ตัวรวมกันทำให้เกิดเสียงดัง เปรียบเปรยว่าคนหลายคนรุมพูดใส่ร้ายคนคนหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ตามมาจะร้ายแรงมาก)
หลิวจวี้เป่าพูดไม่ออกทันใด
‘อ้วนอวี้’ ที่ยืนอยู่ด้านข้างซึ่งขึ้นชื่อเรียกความใจใหญ่ ได้ยินคำกล่าวนี้ก็ยังหนังตากระตุก ต้องรีบตบอกระงับความตกใจของตัวเอง
ราชวงศ์ต้าหลีทุ่มเทกำลังสร้างประเทศให้เจริญรุ่งเรืองมาร้อยกว่าปี กำลังทรัพย์ที่สะสมไว้ในท้องพระคลังของแคว้น บวกกับทรัพย์สมบัติส่วนตัวของฮ่องเต้สกุลซ่ง อันที่จริงเมื่อเทียบกับราชวงศ์ใหญ่ทั่วไปของแผ่นดินกลางก็ถือว่าอุดมสมบูรณ์มากแล้ว ทว่าก่อนที่กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีจะกรีฑาทัพลงใต้ อันที่จริงลำพังเพียงแค่สร้างป๋ายอวี้จิงจำลองรวมไปถึงประคับประคองการเดินทางลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว นอกจากนี้เรือกระบี่ที่จัดขบวนลอยอยู่กลางอากาศอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร เรือข้ามฟากขุนเขาที่โยกย้ายกองกำลังทหารอยู่เหนือเมฆราวกับเดินอยู่บนพื้นที่ราบ เสื้อเกราะยันต์ที่วัดตัวกองทัพม้าเหล็กสร้างให้ ‘ทั้งคนและม้าล้วนสวมเกราะ’ อาวุธโจมตีเมือง กลไกที่ใช้ในการเฝ้าพิทักษ์เมือง คันธนูและลูกธนูที่สร้างขึ้นด้วยวิธีการลับซึ่งใช้รับมือกับผู้ฝึกตนบนภูเขา การสร้างจุดศูนย์กลางค่ายกลของแนวรบเลียบมหาสมุทรหลายเส้น…วัตถุบนภูเขามากมายที่กินเงินนับไม่ถ้วนเช่นนี้ ต่อให้ต้าหลีมีภูเขาเงินภูเขาทองหลายลูกก็ยังต้องถูกควักเอาทรัพย์สมบัติออกไปจนเกลี้ยงนานแล้ว จะทำอย่างไร?
ยืมเงิน
ซิ่วหู่ชุยฉานยืมเงินจากอาจารย์ฟ่านสำนักการค้า ยืมเงินจากอวี้พ่านสุ่ย ยืมเงินจากสกุลหลิวธวัลทวีป ยืมเงินจากจวี้จื่อสำนักโม่ และยืมเงินจากเมธีร้อยสำนักอย่างลับๆ
อีกส่วนหนึ่งอาศัยการกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี หนึ่งทวีปก็คือหนึ่งแคว้น จัดการกับผลประโยชน์มหาศาลที่ได้มาจากขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปอย่างต่อเนื่อง เอามาใช้หนี้ส่วนหนึ่ง
นอกจากนี้แล้วชุยฉานยัง ‘เบิกล่วงหน้า’ มาอีกก้อนใหญ่ แน่นอนว่ามาจากใบถงทวีปที่ทั้งแคว้นล่มสลาย ราชวงศ์ล่างภูเขาและสำนักบนภูเขาแทบจะถูกทำลายทิ้งทั้งหมด!
หลิวจวี้เป่ากลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ไม่ชวนให้สบายอารมณ์เอาเสียเลย”
ชุยฉานหันหน้ามายิ้มเอ่ย “เซี่ยซงฮวาเป็นฝ่ายมาขอร้องที่จะเป็นผู้ถวายงานสกุลหลิวด้วยตัวเอง เจ้าหักใจขัดขวางได้ลงคอหรือ? ชักสีหน้าไม่จำคน เจ้าคิดจะหยอกล้อเซียนกระบี่หญิงที่นิสัยเจ้าอารมณ์คนหนึ่งหรือไร?”
หลิวจวี้เป่าเอ่ยอย่างระอาใจ “เจ้ามันอำมหิต”
อวี้พ่านสุ่ยเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น “ได้เห็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวสะอึกอึ้ง ช่างทำให้คนอารมณ์ดีเสียจริง ดีๆๆ ลำพังเพียงแค่การกระทำนี้ของซิ่วหู่ ข้าก็จะเอาท้องพระคลังแคว้นเสวียนมี่ออกมาอีกครึ่งหนึ่ง!”
ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า จะขอบคุณก็ขอบคุณโอกาสหาเงินที่เทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวมอบให้แก่สกุลอวี้เถอะ”
อวี้พ่านสุ่ยจุ๊ปากพูด “ใต้หล้านี้คนที่ยืมเงินได้แปลกใหม่ไม่เหมือนใครเช่นนี้ก็มีแค่ซิ่วหู่คนเดียวจริงๆ แล้ว!”
หลิวจวี้เป่าพลันหยุดเดิน เอ่ยว่า “ข้าแค่มั่นใจในเรื่องหนึ่ง เจ้าชุยฉานได้เหลือทางถอยไว้ให้ตัวเองหรือไม่ ข้าจะลงเดิมพัน ตั้งแต่ตอนนี้เลย!”
อวี้พ่านสุ่ยหยุดเดินตามไปด้วย เงี่ยหูรอฟัง นี่คือเรื่องหนึ่งที่เจ้าประมุขสกุลอวี้อย่างเขาอยากจะรู้คำตอบอย่างมาก หากแน่ใจได้ อย่าว่าแต่ท้องพระคลังที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งของราชวงศ์เสวียนมี่เลย ต่อให้อวี้พ่านสุ่ยต้องรื้อค้นแคว้นใต้อาณัติสิบหกแห่ง ก็ยังจะต้องร่วมกับซิ่วหู่และเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวสร้างวีรกรรมนี้ให้สำเร็จให้จงได้ กล้าต่อต้าน? รังเกียจว่าเขตอิทธิพลของราชวงศ์เสวียนมี่ข้าไม่ใหญ่พอหรือไร?
ชุยฉานกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “ใจคนแตกต่าง ทำให้พวกเจ้าผิดหวังแล้ว”
ความนัยในคำพูดนี้ก็คือ มนุษย์ไร้ทางให้ถอย ใจมีที่ให้วางอย่างสงบ แค่นี้เท่านั้น
ชุยฉานวางแผนกับเรื่องราวและบุคคล กับโชคชะตาแคว้นและสถานการณ์ใหญ่ไว้มากมาย แต่ไม่มีทางเป็นคนประเภทที่อาศัยแค่ว่ามีกลอุบายจึงใช้วิธีการต่ำช้าอย่างแน่นอน
หลิวจวี้เป่าขยี้ซีกหน้าแรงๆ จากนั้นก็สบถด่าคำหยาบคายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน สุดท้ายจ้องเป๋งไปที่ซิ่วหู่ “หากสกุลหลิวลงเดิมพันก้อนใหญ่ สรุปแล้วจะสามารถหาเงินจากขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปนั่นได้หรือไม่ ประเด็นสำคัญคือเงินที่ได้มาจะร้อนลวกมือหรือไม่ ถึงอย่างไรเจ้าก็ควรจะบอกกล่าวกันหน่อยกระมัง?!”
อวี้พ่านสุ่ยพึมพำเบาๆ “เจ้าคนหูหนวก ซิ่วหู่ก็พูดอยู่ตลอดว่าสามารถหากำไรได้ไม่ใช่หรือ ยังจะต้องให้ถูกด่าถึงจะพอใจ น้องชุยมีมาดองอาจสมกับเป็นวีรบุรุษเช่นนี้ หากมีใจคิดอยากจะหาเงินจริงๆ ธวัลทวีปก็อย่าว่าแต่เสียคำว่า ‘อุตร’ ไปเลย เจ้าหลิวจวี้เป่าก็ต้องเสียยศเทพเจ้าแห่งโชคลาภเงินทองไปด้วย”
ชุยฉานมองหลิวจวี้เป่า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สามารถช่วยสหายหาเงินได้ เป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างยิ่งในชีวิต”
หลิวจวี้เป่าสีหน้าซับซ้อน ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ชุยฉานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตีมือกับอีกฝ่ายเบาๆ
หลิวจวี้เป่าถอนวิชาอภินิหารออก เรือนกายหายวับไป ทิ้งไว้ประโยคหนึ่งว่า “มีเงินค่อนข้างเยอะ”
อวี้พ่านสุ่ยกลับยังไม่ได้จากไป เดินเล่นเลียบลำน้ำไปเป็นเพื่อนชุยฉานต่ออีกระยะทางหนึ่ง กระทั่งมองเห็นศาลของลำน้ำใหญ่แห่งนั้นอยู่ไกลๆ อวี้พ่านสุ่ยถึงได้หยุดเดิน เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ว่าคนอื่นจะยอมรับหรือไม่ แต่ข้าตัดใจให้โลกมนุษย์สูญเสียซิ่วหู่ไปไม่ได้”
ชุยฉานยิ้มกล่าว “ยังดี”
อวี้พ่านสุ่ยถอนหายใจหนึ่งที ร่างวูบหายไป
ชุยฉานนั่งลงบนริมตลิ่งลำน้ำใหญ่ หันหน้าไปมองประตูใหญ่ของลำนี้ฉีตู้ที่อยู่ห่างไปไกลแวบหนึ่ง ถอนสายตากลับมา ใบหน้าประดับยิ้ม ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่จอนผมสองข้างเป็นสีขาวดอกเลาพึมพำเบาๆ “ยังจะพูดอะไรได้อีกเล่า”
——