กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 734.3 ผู้ถือกระบี่
น่าเสียดายก็แต่รถเลื่อนยังคงหยุดนิ่งไม่ขยับ ผู้ฝึกตนหญิงพวกนั้นกลับตาเป็นประกายวาววับ ถึงกับเงียบเสียงในทันใด จ้องเขม็งมาที่อิ่นกวานหนุ่มในม้วนภาพขุนเขาสายน้ำบนฝ่ามือเขม็ง กระซิบกระซาบกันเบาๆ ราวกับว่ากำลังวิพากษ์วิจารณ์ใต้เท้าอิ่นกวานที่ชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้น
ลมและน้ำพลิกเปลี่ยนกลับฝั่ง เมื่อก่อนมีเพียงเฉินผิงอันที่ทำให้หลงจวินและหลีเจินสะอิดสะเอียนได้ ตอนนี้กลับดีนัก โดนกรรมตามสนองแล้ว
พายุลมกรดระลอกหนึ่งพัดผ่านหัวกำแพงเมือง ชุดคลุมสีแดงสดสะดุดตาจึงพลิ้วสะบัดไปตามลมอีกครั้ง
เผ่าปีศาจที่เดินทางไกลมาชมทัศนียภาพที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ทยอยกันเดินทางมาอย่างไม่ขาดสาย รวมกันได้กลุ่มใหญ่ปนกันมั่วซั่ว ปีศาจใหญ่ที่มาตายบนหัวกำแพงเมืองอย่างแท้จริงกลับมีน้อยลงเรื่อยๆ
เฉินผิงอันเหมือนคนหลับสนิท สองมือทับซ้อนกันไว้บนหน้าท้อง ลมหายใจทอดยาว ด้านหลังสะพายดาบแคบพิฆาตไว้หนึ่งเล่ม เพียงแต่ว่าดาบแคบถูกชุดคลุมอาคมกว้างใหญ่บดบังไว้จนมิด
ความคิดแต่ละอย่างของเฉินผิงอันล่องลอยไปไกล บ้างก็ตัดสลับกันผ่านไป บ้างก็เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน บ้างก็ชนปะทะกันเอง วุ่นวายอลหม่าน และเฉินผิงอันก็ไม่จงใจไปควบคุมพวกมัน
คือความเท่าเทียม ไม่มีสูงต่ำ ในใจไร้เรื่องให้กังวล ไร้ความกังวลก็ไร้ศัตรู ไร้ความหวาดเกรง อยู่ห่างไกลจากความเพ้อฝันที่กลับตาลปัตร
อริยะลัทธิขงจื๊อที่นั่งพิทักษ์อยู่บนหัวกำแพงเมืองเคยเอ่ยกับคนอื่นว่า เขากำลังคิดถึงการช่วงชิงกันของความปรารถนาและหลักธรรมชาติแห่งสวรรค์ เพียงแต่ยังคิดหาคำตอบไม่ได้ ทว่าก็รู้สึกด้วยว่าต่อให้มีข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงก็ยังไม่ค่อยเหมาะเท่าใด
วัตถุบนภูเขาที่วางขายในถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีนั้นดีจริงๆ ก็แค่ราคาสูงไปสักหน่อย
ตอนที่พวกเยว่ชิง หมี่ฮู่รบตาย นครบินทะยานได้จากไปไกลแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่เดินทางไกลเหล่านั้นไม่เคยได้เห็นการออกกระบี่ครั้งสุดท้ายในชีวิตของเซียนกระบี่ใหญ่สองท่านนี้
เซียนกระบี่ใหญ่ทั้งสองท่าน ตัวสำรองสิบคนบนยอดเขาของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นึกจะจากไปก็จากไปทั้งอย่างนั้น ไม่มีคำบอกกล่าวไม่มีคำทักทาย ไม่ได้ทิ้งถ้อยคำห้าวเหิมไว้แม้แต่ครึ่งคำ
มารดามันเถอะ หากแม้แต่ข้าผู้อาวุโสก็ยังต้องมาตายอยู่ที่นี่ สุดท้ายใครจะเป็นคนบอกเล่าแก่คนบนโลกว่าเซียนกระบี่อย่างพวกเจ้าสรุปแล้วเป็นเซียนกระบี่อย่างไรกันแน่ เป็นวีรบุรุษปราบโจรที่ไม่ถูกบันทึกลงในตำราอย่างไร?!
มารดามันเถอะ พวกเจ้ากลับมามีชีวิตให้ข้าผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้ ข้าผู้อาวุโสจะถามกระบี่ คนเดียวถามกระบี่ต่อเซียนกระบี่อย่างพวกเจ้าทั้งกลุ่ม เยว่ชิง หมี่ฮู่ ซุนจวี้เฉวียน เกาขุย เถาเหวินอะไรนั่นล้วนมากันให้หมด มาได้กี่คนก็เท่านั้น หากข้าผู้อาวุโสขมวดคิ้วสักนิดก็จะใช้แซ่ตามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเลย!
นอกจากเซียนกระบี่แล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่ใช่เซียนกระบี่ คนที่อายุมาก คนที่อายุน้อย กายดับมรรคาสลายมากยิ่งกว่า อยู่บนสนามรบ ตายบนสนามรบ
ข้ายังไม่เคยไปเยือนภูเขาไท่ผิง แล้วก็ยังไม่เคยเห็นเมืองเซิ่นจิ่งยามหิมะตกกับตา ไม่รู้ว่ามันจะเป็นดินแดนแก้วใสในโลกมนุษย์เช่นไรกันแน่
หนึ่งในอริยะสามลัทธิที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าคือเจ้านครของนครเสินเซียวแห่งป๋ายอวี้จิงใต้หล้ามืดสลัว ไม่รู้ว่าผู้ฝึกกระบี่ที่เดินทางไกลไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวอย่างพวกต่งถ่านดำและพวกเจ้าอ้วนเยี่ยนจะได้ไปเยือนที่นั่นหรือไม่
ไม่รู้ว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงที่สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะผู้นั้น ห้าความฝันจะเป็นเช่นไร วัตถุเจ็ดชิ้นที่เกิดจากการแสดงออกของมหามรรคาจะเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้ได้เห็นเสื้อเกราะน้ำค้างหวานบนร่างเซอเยว่ไปแล้ว ยามอยู่บนร่างของนางก็เหมือนนางสวมอาภรณ์เจ็ดสี ยากนักที่จะไม่จินตนาการไปถึงเซียนกระบี่หญิงที่ชอบนั่งโล้ชิงช้าอยู่บนหัวกำแพงเมืองในปีนั้นอย่างโจวเฉิง ‘ชีไฉ่’ (เจ็ดสี) กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของนางก็มีแสงกระบี่เจ็ดสีเหมือนกัน ราวกับว่าคนคนเดียวได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเจ็ดเล่ม ความเสียดายเช่นนี้ช่างมีมากมายเหลือเกิน
หลิวไฉ ลู่ไถ
เป็นผู้ฝึกลมปราณแต่กลับกลัวความสูง และยังมีเรือนกายที่ลี้ลับมหัศจรรย์นั่นอีก ในฐานะที่ลู่ไถเป็นลูกหลานสกุลลู่ ตบะและขอบเขตกลับไม่สูง แม้จะบอกว่าสมบัติอาคมบนร่างของลู่ไถมีเยอะมากจนพอจะกำจัดข้อกังขามากมายไปได้ แต่ลู่ไถไม่มีผู้ปกป้องมรรคาอยู่ข้างกายก็กล้าเดินทางไกลข้ามทวีปมายังแจกันสมบัติทวีป ภูเขาห้อยหัวและใบถงทวีป แรกเริ่มสุดทั้งสองฝ่ายพบเจอกันบนเกาะกุ้ยฮวาเรือข้ามฟากตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่า ภายหลังตอนอยู่ในเรือนชุนฟานเฉินผิงอันได้ไหว้วานให้เหวยเหวินหลงพลิกเปิดบันทึกการขึ้นเรือช่วงสามสิบปีล่าสุดให้เป็นการส่วนตัว ระหว่างนั้นลู่ไถไม่เคยได้ขึ้นเรือมาก่อน เขาไปขึ้นเรือที่เกาะกุ้ยฮวานครมังกรเฒ่าจริงๆ แต่ลู่ไถกลับไม่เคยพูดเรื่องที่ตนไปท่องเที่ยวที่แจกันสมบัติทวีป ทว่าตอนนั้นเฉินผิงอันไม่เชื่อใจสกุลลู่สำนักหยินหยางแผ่นดินกลาง หาใช่ลู่ไถไม่ ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันได้มองลู่ไถเป็นสหายที่แท้จริงเหมือนวิญญูชนจงขุยมาตั้งนานแล้ว
ทว่าที่ป้อมอินทรีบิน เฉินผิงอันเคยรู้สึกประหลาดใจเพราะได้พบเจอคนผู้หนึ่งโดยบังเอิญ ลู่ไถเคยบอกว่าตัวเองมีอาจารย์สองคน ภายหลังลู่ไถถึงขั้นสามารถสิงร่างของสตรีคนหนึ่งได้ บอกเป็นนัยอย่างลับๆ ว่าตนเองได้อยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งแล้ว ตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า ในฐานะหนึ่งในขอบเขตสิบสี่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ มีกฎเกณฑ์เข้มงวดอย่างมาก ดังนั้นหากลู่ไถอาศัยแค่ตัวเองคนเดียวต้องไม่มีทางมีความสามารถไปทำลายกฎของพื้นที่มงคลดอกบัวได้อย่างแน่นอน ด้วยสถานะและประวัติความเป็นมาของเจ้าอารามผู้เฒ่าแล้ว เขาย่อมไม่มีทางเห็นแก่หน้าสกุลลู่แผ่นดินกลางมากขนาดนี้เป็นแน่
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแม่นางหน้ากลมที่สวมชุดผ้าฝ้ายซึ่งมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ในครานั้นก็คือหนึ่งในหมื่นนั้น คือหลิวไฉ
ดังนั้นเซอเยว่ถึงได้สงสัย หลังจากสอบถามแล้วว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงมั่นใจว่าตนไม่ใช่หลิวไฉ นางถึงได้มีโทสะ
เฉินผิงอันไม่ได้เดือดดาลที่ลู่ไถคือ ‘หนึ่ง’ นั้น แต่โมโหที่ลู่ไฉค่อยๆ กลายมาเป็นผู้บงการหลักที่อยู่เบื้องหลัง
เฉินผิงอันถึงขั้นเคยนึกถึงความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างเช่นวันหน้าหากมีโอกาสได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ลู่ไถจะถือถังหูลู่ไว้ในมือ ยิ้มตาหยีเดินมาหาตนหรือไม่
จะทำอย่างไร? ได้แต่รอคอยเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรได้อีก
ความยากลำบากที่ต้องเผชิญมาหลายปีหลังอายุสี่ขวบและความสิ้นหวังในชีวิตที่จู่ๆ ก็มาเยือนกะทันหัน ทำให้เด็กหนุ่มดื้อรั้นที่เดิมทีเคยชินกับการไม่มีอะไรสักอย่าง ต่อให้มีอะไรก็ยังรู้สึกว่าไม่มีทางรั้งไว้ได้อยู่ คล้ายจะกลายมาเป็นคนอีกคนหนึ่งไปโดยธรรมชาติ มหามรรคาไม่ควรเล็กแค่นี้ เดินอยู่ในใต้หล้า ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่เจอหลุมแล้วจะอ้อมผ่านไปได้…
เฉินผิงอันที่หลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดพลันลืมตาขึ้น ชายแขนเสื้อพลิกตลบ พริบตาเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าผาของหัวกำแพงเมือง
มีผู้ฝึกกระบี่กลุ่มหนึ่งที่ไม่อยู่ในอันดับร้อยเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างทยอยกันขึ้นมาบนหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม ส่วนใหญ่เป็นคนอายุน้อย พอขึ้นมาแล้วก็เริ่มตั้งใจหลอมกระบี่
เพียงแต่ว่าไม่มีหลงจวินเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมือง แล้วยังไม่มีตราผนึกขุนเขาสายน้ำของกระโจมเจี่ยจื่อ ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่ร้อยกว่าคนจึงอยู่ห่างจากริมหน้าผาไปไกลมาก หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกใครบางคนใช้กระบี่ตัดหัวได้ง่ายๆ
เมื่อผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจอายุน้อยได้รับปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์เป็นกลุ่มๆ ไปแล้ว อิ่นกวานหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดก็แค่เอาสองมือยันดาบ ยืนอยู่ริมหน้าผา ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังฝั่งตรงข้าม ยืนนิ่งไม่ขยับ
ผู้มีพรสวรรค์บนวิถีกระบี่ที่หน้าตาอ่อนเยาว์ อายุก็อ่อนเยาว์พวกนั้น ก่อนจะขี่กระบี่ไปยังใต้หล้าไพศาลได้เปลี่ยนแปลงวิถีการโคจรกระบี่เล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง สุดท้ายแสยะยิ้มกว้างให้กับอิ่นกวานหนุ่ม
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางทิศใต้
จุดที่ห่างไปไกลมากพลันมีแสงรุ้งเส้นหนึ่งสาดยิงมาถึงแล้วหยุดชะงักในฉับพลัน ก่อนจะพลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมือง คือผู้เฒ่าร่างผอมแห้งหน้าตาผอมตอบสวมชุดของลัทธิเต๋า ด้านนอกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมอีกหนึ่งตัว ตรงเอวห้อยขลุ่ยหยกสีเขียวเหมือนสีไม้ไผ่ เปล่งปลั่งแวววาวราวจะคั้นน้ำได้ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นของมีราคาที่พอจะมีอายุอยู่บ้าง
ผู้เฒ่ากวาดตามองไปรอบด้าน ไม่เห็นเงาร่างของคนหนุ่ม แต่กลับพอจะมีเบาะแสให้สืบเสาะอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าร่องรอยนั้นเคลื่อนที่ไม่หยุดนิ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะยิ้มถามด้วยภาษาทางการของใต้หล้าไพศาล “อิ่นกวานอยู่ที่ไหน?”
เฉินผิงอันค่อยๆ ปรากฏตัวบนหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันโดยมีเส้นทางระหว่างกำแพงเส้นหนึ่งกั้นขวาง ยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโสมองดูแล้วบุคลิกท่าทางดี สวมชุดอาคมแล้วยังสวมเสื้อคลุม เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าหล่อเหลาเป็นสันเป็นมุม มาดแห่งเซียนช่างน่าเกรงขาม มาอยู่ที่นี่แทนหลงจวินหรือ?”
ผู้เฒ่าไม่ถือสาคำพูดเหน็บแนมของอีกฝ่าย ยิ้มส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าผู้เฒ่ามีนามแฝงว่า ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ มานานหลายปี เพราะในอดีตอยากไปบ้านเกิดของเจ้าเพื่อพบกับลู่ฝ่าเหยียนอย่างมาก ส่วนชื่อจริงของข้าผู้เฒ่า ก็บังเอิญนัก แกะสลักอยู่บนร่างของเจ้าพอดี”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงของคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “หากกล่าวเช่นนี้ ผู้อาวุโสก็ค่อนข้างแก่แล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่อาจเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคาให้กับเชี่ยอวิ้นได้”
“ใต้เท้าอิ่นกวานมีความรู้มากมายหลากหลาย อีกทั้งยังมีเชาวน์ปฎิภานจริงๆ”
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “เพียงแต่ว่าบทกวีทั้งหลายของใต้เท้าอิ่นกวานสัมผัสไม่คล้องจอง เรื่องของฉันทลักษณ์ก็ยิ่งยากจะอธิบายให้เข้าใจในคำเดียว ทำให้ข้าผู้เฒ่าที่เคยได้ยินมารู้สึกกลัดกลุ้มจริงๆ”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “เคยไปถึงขอบเขตสิบสี่?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันพยักหน้าตาม “ใช้ได้ก็ใช้ได้อยู่หรอก หากข้ามีอายุได้เท่าผู้อาวุโส อย่างมากสุดก็คงได้แค่ขอบเขตยี่สิบแปดเท่านั้น”
อาจารย์ของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เชี่ยอวิ้นและเฝ่ยหรานผู้นี้หัวเราะร่า “อายุน้อยๆ ก็มีชีวิตเหมือนเด็กรับใช้ของเหย้าหวังเหย่ (นักพรตมีชื่อเสียงคนหนึ่งในสมัยโบราณของจีนที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์) แล้ว มีความสามารถให้พูดจาเหลวไหลได้หลายประโยคจริงๆ”
เฉินผิงอันพูดด้วยท่าทางขึงขัง “หากผู้อาวุโสยังพูดจาประชดประชันกันเช่นนี้ ก็อย่าโทษว่าผู้เยาว์เปิดปากด่าคนล่ะ”
ทั้งสองฝ่ายคล้ายโอภาปราศรัยกัน
แต่หากเปลี่ยนไปอยู่สถานที่แห่งอื่น ขอแค่ไม่ใช่หัวกำแพงเมืองที่ผสานมรรคาแห่งนี้ เกรงว่าเวลานี้เฉินผิงอันหากไม่ถูกอีกฝ่ายตบวิญญาณแหลกสลายก็คงต้องอยู่ไม่สู้ตายแล้ว
เฉินผิงอันในตอนนี้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่เคยเป็นขอบเขตสิบสี่มาก่อน ไม่อาจสู้ได้เลยจริงๆ
ผู้เฒ่าถาม “อยากรู้หรือไม่ว่าถ้อยคำสุดท้ายที่ผู้ฝึกกระบี่หลงจวินทิ้งไว้ยามเผชิญหน้ากับกระบี่นั้นของเฉินชิงตูคืออะไร?”
เฉินผิงอันพูดอย่างปลงอนิจจัง “ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก เกินครึ่งก็คงเป็นคำด่าล่ะสิ? โจรเฒ่าหลงจวินเชี่ยวชาญในเรื่องนี้อยู่บ้างจริงๆ หลายปีมานี้ข้าได้ความรู้จากหลงจวินมาไม่น้อย ความทุกข์ยากก็กินมาจนเต็มกลืนเช่นกัน”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ผิดแล้ว คือสี่คำว่า ‘หลงจวินรับกระบี่’”
เฉินผิงอันถอนหายใจ เป็นเช่นนี้จริงเสียด้วย
ถ้าอย่างนั้นบัญชีเก่าก็หายกันแล้ว
ผู้เฒ่าถาม “เพราะอะไร?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ก็เพราะข้ายืนอยู่ที่นี่มาหลายปี ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์แต่ละตนมาเยือนแล้วก็จากไป ข้าก็ยังอยู่ที่นี่”
“อวิ๋นชิงลูกศิษย์ของข้าตายด้วยมือเจ้า? ตายแล้วก็ตายไปเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยพูดโน้มน้าวให้เฒ่าหูหนวกทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้”
ผู้เฒ่าพลันเอ่ยว่า “อวิ๋นชิงมีของตกทอดทิ้งไว้บ้างหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นขลุ่ยไม้ไผ่อาวุธกึ่งเซียนที่มีชื่อว่า ‘เจ๋อเซียนเหริน’?”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ
ขลุ่ยไม้ไผ่เลานั้นของอวิ๋นชิง นอกจากคำว่าเจ๋อเซียนเหรินแล้วยังมีตัวอักษรเล็กๆ อีกบรรทัดหนึ่ง ทั้งตัวอักษรทั้งถ้อยคำล้วนงดงามยิ่ง ‘เคยอนุมัติคำสั่งลมน้ำค้างมาหลายครั้ง’
ทุกวันนี้หลงจวินตายไปแล้ว วัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อมองดูเหมือนสามารถเอามาใช้ได้ตามใจชอบ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันกลับยิ่งไม่มีความคิดเช่นนั้นเลย
ส่วนผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนที่ในอดีตเคยถูกกักขังอยู่ในคุกได้แก่อวิ๋นชิง ชิงชิว เมิ่งโผ จู๋เจี๋ย โหวฉางจวิน มีเพียงอวิ๋นชิงเท่านั้นที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันยังถึงขั้นไปพูดคุยเล่นกับอวิ๋นชิงอยู่บ่อยๆ
เฉินผิงอันชำเลืองตามองขลุ่ยไม้ไผ่ตรงเอวของปีศาจใหญ่ร่างผอมแห้งท่วงท่าสง่างาม ตัวอักษรเล็กเจ็ดตัวขนาดค่อนข้างใหญ่ เป็นคำว่า ขึ้นฉ่ายฉีโจวไม่ต้องการสุรา
ลักษณะของมันคล้ายคลึงกับขลุ่ยไม้ไผ่ของอวิ๋นชิง นอกจากนี้ยังมีตัวอักษรแบบหวัดสลักเป็นคำว่า น้ำมรกตฟ้าครามงามเลิศล้ำ ขลุ่ยเก่าความทุกข์ใหม่ไผ่ใกล้แตก
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็โพล่งถามขึ้นว่า “ทุกวันนี้เจ้าถือเป็นจิตหยางเดินทางไกลของ…โจวมี่หรือ? เคยเป็นขอบเขตสิบสี่ ต้องตกต่ำถึงขั้นนี้ด้วยหรือ? น่าสมเพชไปหน่อยหรือไม่ บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ผู้นั้นของพวกเจ้าไม่คิดจะจัดการหน่อยหรือ?”
หากเปลี่ยนเป็นถามว่า ‘เจ้ามีความเกี่ยวข้องอะไรกับโจวมี่’ คงไม่ต้องหวังว่าจะได้คำตอบใดๆ
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “อาจารย์โจวพูดถูกจริงเสียด้วย ต้องอ่านหนังสือให้มากจริงๆ”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ชอบชมตัวเองขนาดนี้เชียวหรือ อาจารย์โจวเจ้ามาเรียนจากข้าไหมล่ะ? กราบไหว้อาจารย์หรือยัง?”
ถึงอย่างไรก็มั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือหนึ่งในร่างจำแลงของโจวมี่
เฉินผิงอันพูดอีกว่า “ทุกวันนี้จิตแห่งมรรคาของข้าแค่แตะโดนก็แหลกสลาย เพราะสถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นนี้ ข้ายอมรับชะตากรรม ต่อให้เรื่องใหญ่จะเลวร้ายแค่ไหนก็กดทับข้าให้ตายไม่ได้ ดังนั้นก่อนหน้านี้เจ้าจึงจงใจคลายตราผนึก ปล่อยให้ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจวิ่งพล่านกันไปทั่ว เพราะจะได้ฉวยโอกาสครั้งใดที่ข้าดื่มเหล้าหยิบของทำลายวัตถุจื่อชื่อของข้าให้แตก? หรือไม่ก็มาเพราะหวังปิ่นหยกด้ามนั้นของข้า?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม น่าเสียดายที่เจ้าหมอนี่ค่อนข้างจะระมัดระวังตัว
จิตหยางกายนอกกายของโจวมี่คือป๋ายอิ๋งราชาบนบัลลังก์ ฝึกตนบนมหามรรคาด้วยตัวเอง เดินทีละก้าวจนได้เลื่อนขึ้นมานั่งบนบัลลังก์ แต่จิตหยินกลับผสานรวมเนื้อหนังมังสาของขอบเขตสิบสี่ผู้นี้ เพียงแต่ว่าวิชาเลิศล้ำค้ำฟ้าที่คล้ายกับผลัดฟ้าเปลี่ยนตะวันเช่นนี้ บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใดๆ แค่มองดูดายอยู่เฉยๆ ดังนั้นโจวมี่จึงใช้วิธีการที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเคยชินกันที่สุดอย่างการช่วงชิงมาเป็นของตัวเอง
มองอิ่นกวานหนุ่มที่ดูเหมือนว่าใกล้จะอายุสี่สิบปีตรงหน้าผู้นี้ สองนิ้วที่อยู่ในชายแขนเสื้อของโจวมี่พลันทำมุทรา สกัดกั้นฟ้าดินก่อน จากนั้นจึงขับเคลื่อนแม่น้ำแห่งกาลเวลาบนหัวกำแพงเมือง พลางเอ่ยเนิบช้าว่า “เฉินผิงอัน ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ผู้สวมเกราะยังคงเป็นหลีเจิน แต่ผู้ถือกระบี่สามารถเปลี่ยนจากเฝ่ยหรานมาเป็นเจ้า”
อิ่นกวานหนุ่มกระโดดผลุงแล้วถ่มน้ำลาย สบถด่าดังลั่น “แม่งเอ๊ย เจ้าแม่งร้ายกาจขนาดนี้เชียว ทำไมไม่ไปต่อสู้กับปรมาจารย์มหาปราชญ์ มรรคาจารย์เต๋า ศาสดาพุทธเลยเล่า?!”
โจวมี่หัวเราะ กาลเวลาไหลย้อนกลับ เก็บเอาคำพูดประโยคนั้นกลับคืนมา ผลคือเฉินผิงอันกลับยิ้มเอ่ยว่า “เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าต้องด่าคนไปแน่นอน”
ต่อให้เป็นโจวมี่ก็ยังเริ่มรำคาญเขา จึงร่ายวิชาอภินิหารอีกครั้ง ทำให้แม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาบนหัวกำแพงครึ่งหนึ่งไหลทวนกระแส เปลี่ยนไปเป็นภาพตอนที่ตนเพิ่งจะปรากฏตัว ทั้งสองฝ่ายเพิ่งได้พบกันครั้งแรก
คราวนี้เฉินผิงอันเพียงแค่ขมวดคิ้วมุ่น คล้ายกับว่าสับสนไม่เข้าใจ แต่เบาะแสก็ยังพอจะมีให้สืบเสาะ นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงของฟ้าอำนวยเล็กน้อยบนหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม รวมไปถึงกระแสไหลรินของลมปราณของผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจคนหนึ่ง ในเรื่องของการแบ่งสมาธิไปใช้กับหลายๆ เรื่อง บวกกับที่เฉินผิงอันเคยท่องไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาหลายครั้ง จึงมั่นใจว่าคนที่อยู่ข้างกายผู้นี้ต้องเล่นตุกติกมาก่อนแน่นอน
ก่อนที่ร่างของโจวมี่จะหายไป เพียงแค่ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “น่าสงสารฝักกระบี่เล่มหนึ่ง”