กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 739.3 รับคนและธรรมชาติเป็นครูให้ได้มากที่สุด
ในเมื่อถูกโจวมี่เปิดโปงแล้ว เฝ่ยหรานก็ไม่ปิดบังอีก เขาเอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนัก “ในสายตาของข้า หลี่เซิ่งแห่งลัทธิขงจื๊อผู้นี้ต่างหากถึงจะเป็นบุคคลที่ทำให้ข้านับถือได้มากที่สุดในบรรดาอริยะทุกคนของสามลัทธิ เพราะเขาหวังให้หมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดิน หวังให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดใช้การจ่ายค่าตอบแทนที่น้อยที่สุดมามีชีวิตอยู่รอดในใต้หล้าไพศาล สืบดำรงเผ่าพันธุ์ แสวงหาอิสระเสรี ฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูง ได้รับอิสระมากกว่าเดิม อยู่ในกฎเกณฑ์ ตอบสนองความดิบเถื่อนในระดับที่พอเหมาะ สันดานของมนุษย์ก็จะเริ่มค่อยๆ เอนเอียงเข้าหาความบริสุทธิ์ สุดท้ายใกล้เคียงกับนิสัยของเทพ แต่กลับไม่ใช่เทพ สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรักความรู้สึก แสงตะเกียงในโลกมนุษย์จะค่อยๆ ขยับขึ้นสู่ด้านบน ค่อยๆ ลอยขึ้นสูง ผู้แข็งแกร่งปกป้องผู้อ่อนแอ เป็นผู้นำให้กับผู้อ่อนแอ หลี่เซิ่งหวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถเดินออกมาจาก ‘หนึ่ง’ ที่มีอยู่แล้วซึ่งไม่เคยลดไม่เคยเพิ่มนั้นได้สำเร็จ”
สุดท้ายเฝ่ยหรานประสานสายตามองจ้องโจวมี่ตรงๆ “ข้าไม่เคยรู้สึกว่าเจ้าโจวมี่จะทำได้ดีกว่าหลี่เซิ่ง”
โจวมี่ยิ้มถาม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางทำได้ดีกว่า ถ้าอย่างนั้นเหตุใดถึงไม่เปลี่ยนเส้นทาง เดินไปให้สูงยิ่งกว่าเดิม? หรือไม่ก็ทุบทำลายให้แหลกแล้วค่อยสร้างขึ้นมาใหม่ เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แบบนั้นจะไม่ยิ่งสมบูรณ์แบบกว่าหรอกหรือ? มีดทื่อๆ เล่มหนึ่งเถือสังหารอยู่นานหมื่นปี คนตายไปอย่างไร้เหตุไร้ผล ความอาฆาตแค้นที่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นมา ผีร้ายวิญญาณอาฆาตที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิด ผู้ฝึกตนแต่ละคนที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร และยังมีเทวบุตรมารนอกโลกที่ก่อกำเนิดขึ้นมาไม่จบสิ้น ฆ่าทิ้งอย่างไรก็ไม่มีวันหมด ก็แค่ว่าคนบนโลกไม่รู้เรื่องพวกนี้เท่านั้น อันที่จริงเมื่อเทียบกับการยกมือตวัดมีดลงอย่างฉับไว คนตายกลับจะมีมากกว่า และจะยิ่งยุ่งยากมากกว่าด้วย”
โจวมี่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ทำมือต่างมีดสับลงหนึ่งที “มีดเร็วตัดปมเชือกยุ่งเหยิง เชือกยุ่งเหยิงล้วนขาดวิ่น ฟ้าดินกลับคืนสู่ความใสสว่างอีกครั้ง”
เฝ่ยหรานกัดฟันพูด “เล่าลือกันว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์รู้สึกว่าหากคนพันคนบนโลกล้วนมีโฉมหน้าดุจเดียวกัน ก็คือความเห็นแก่ตัวที่ใหญ่หลวงที่สุด”
โจวมี่เก็บมือกลับมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จงอาศัยความสามารถมาพูดโน้มน้าวข้า ข้าอยู่ที่นี่สามารถตอบตกลงเจ้าเรื่องหนึ่งก่อนได้ เฝ่ยหรานสามารถเป็นทั้งหลี่เซิ่งคนใหม่ ขณะเดียวกันก็จะได้เป็นป๋ายเจ๋อคนใหม่ด้วย การปฏิบัติต่อเผ่ามนุษย์ของใต้หล้าไพศาลและเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มีเจ้าเป็นผู้ให้ความเสมอภาค เพราะในอนาคตกฎเกณฑ์ของฟ้าดินจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เจ้าเฝ่ยหรานจะได้ครอบครองอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในการตัดสินใจ นอกจากกรอบใหญ่ๆ ที่ข้ากำหนดไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว เส้นสายทุกเส้น รายละเอียดทุกอย่างที่แตกแขนงไปต่อจากนี้ ล้วนมีเจ้าเฝ่ยหรานเป็นผู้ตัดสินใจคนเดียว ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเด็ดขาด”
เจ้าเฝ่ยหรานเลื่อมใสหลี่เซิ่งจากใจจริงไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าจะคว้าโอกาสตรงหน้าที่เพียงแค่เอื้อมมือก็ได้มาครอง กลายมาเป็นหลี่เซิ่งเสียเองหรือไม่?
เฝ่ยหรานยอมสละชีวิตอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องเอ่ยประโยคหนึ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจมานานให้จงได้ “ข้าไม่เชื่อใจโจวมี่ที่ ‘ถามทางได้แล้วสังหารคนตัดต้นไม้ผู้บอกทางทิ้ง’ แม้แต่นิดเดียว!”
โจวมี่ยิ้มอย่างรู้ทัน “แค่คอยดูไปก็พอแล้ว”
ในประวัติยุคโบราณ หลี่เซิ่งเป็นผู้กำหนดพิธีการของปรากฎการณ์ท้องฟ้าและพื้นดิน สร้างเครื่องมือการวัดทั้งห้า สังเกตการณ์ท้องฟ้าเพื่อสร้างปฏิทิน ทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ หล่อกระถางสร้างตัวอักษร เป็นผู้ริเริ่มตำราบันทึกเหตุการณ์ประจำปีตามเทศกาลและเดือน คือผู้ริเริ่มอารยธรรมของเผ่ามนุษย์
หลี่เซิ่งที่ป๋ายเจ๋อเรียกอย่างให้ความเคารพว่า ‘อาจารย์น้อย’ กำหนดมาตรฐานการวัดความยาว ความจุและน้ำหนักอย่างมีหลักฐาน มีร่องรอยให้สืบเสาะเป็นครั้งแรก วัดความสั้นยาว วัดขนาดเล็กใหญ่ วัดน้ำหนักหนักเบา นอกจากนี้ยังยืนยันในเรื่องของการกำหนดเวลา การสังเกตการณ์สี่ทิศของฟ้าดิน ใช้วิธี ‘กอบ’ มาวัดน้ำหนักของขุนเขามหาสมุทรและวัดความยาวของแม่น้ำแห่งกาลเวลา คำนวณจำนวนมากน้อยของปราณวิญญาณในฟ้าดิน กำหนดแผนภูมิสวรรค์ ช่วงเวลา สิบสองเดือนและยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาล
คนที่วัดความสั้นยาวต้องห้ามผิดพลาดแม้แต่เสี้ยวเดียว แต่งตั้งห้าอำนาจ มอบภาชนะห้าชิ้นให้กับคนห้าคน สามคนในนั้นก็คือบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของสำนักหยินหยาง สำนักคำนวณและสำนักภูมิศาสตร์ซึ่งอยู่ในเมธีร้อยสำนัก สร้างเงินเหรียญทองแดงและเงินเกล็ดหิมะเหรียญแรกของโลกมนุษย์ขึ้นมากับมือตัวเอง ฟ้ากลายเป็นปรากฎการณ์ ดินเป็นรูปร่าง คนเป็นโชคชะตา ฟ้าดินคนต่างก็ได้มีชะตาเป็นของตัวเอง ต่างคนต่างเดินบนเส้นทางของตัวเอง ซานไฉ (ฟ้าดินคน) มารวมกันเป็นหนึ่ง กฎแห่งธรรมชาติผสานกลมกลืน เล็กใหญ่ สั้นยาว หนักเบา สูงต่ำ มืดสว่าง ชีวิตลมปราณ คำศัพท์ที่เดิมทีล่องลอยจับต้องไม่ได้เหล่านี้ เมื่อมาอยู่ในมือของหลี่เซิ่งก็ล้วนกลายเป็นของที่จับต้องได้จริงซึ่งจำแลงออกมาจากมหามรรคา
ดังนั้นในศาลบุ๋น หลี่เซิ่งถึงได้ถูกเรียกขานอย่างขำขันว่าเป็นนักบัญชีใหญ่ แล้วก็มีอริยะผู้มีเทวรูปคนหนึ่งในนั้นถูกเรียกขานว่านักบัญชีน้อย สิ่งที่หามาได้ล้วนเป็นทรัพย์สินเงินทองที่แท้จริง เชี่ยวชาญในด้านนี้ ไม่ยอมให้สำนักการค้าช่วงชิงชื่อเสียงอันงดงามไปได้ก่อน
โจวมี่เดินทางท่องเที่ยวไปในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ถกปัญหากับบรรพบุรุษใหญ่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ภูเขาทัวเยว่นานพันปี ทั้งสองฝ่ายอนุมานความเป็นไปได้นับพันนับหมื่น เรื่องหนึ่งในนั้นที่โจวมี่เรียกร้องก็คือฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ หมื่นสรรพสิ่งตกอยู่ในความมืดมน หยินหยางไม่มีใครแบ่ง ไร้ความรู้ไร้ความเข้าใจ มรรคาไร้ที่พึ่ง นั่นต่างหากถึงจะเป็นช่วงเวลาที่กฎเกณฑ์และอารยธรรมล่มสลาย คนไร้ความสามารถอยู่ในตำแหน่งสูงที่แท้จริง สุดท้ายให้โจวมี่เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์พิธีการของฟ้าดินเสียใหม่ สร้างแผนภูมิสวรรค์กำหนดวันเวลาใหม่อีกครั้ง ภายใต้การบดขยี้ของมหามรรคาระดับนี้จะหอบรวมทุกเรื่องราวเข้าไว้ด้วยกัน ใจคนจะขึ้นๆ ลงๆ คำที่ว่ามหาสมุทรกลายเป็นผืนนาอะไรนั่นล้วนไม่มีค่าพอให้พูดถึงแม้แต่นิดเดียว
คนทั้งสามกินข้าวกับปลากุ้ยตุ๋นด้วยกันเรียบร้อยแล้ว โจวมี่ก็วางชามและตะเกียบลง อยู่ดีๆ ก็ยิ้มเอ่ยอย่างไร้สาเหตุ “เรื่องราวที่ซุกซ่อนมา เมื่อถูกเปิดเผยย่อมโผบินรวดเร็ว เรื่องราวที่ค้นพบเร็วเกินไป ส่วนใหญ่ก็มักจะจบลงอย่างว่องไวเสมอ”
เมื่อบัณฑิตลัทธิขงจื๊อชุดเขียวที่หลงเหลือเพียงดวงจิตเสี้ยวหนึ่งยิ้มถามว่า ‘เจี่ยเซิงอยู่ที่ใด’
โจวมี่ก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยว่า “โจวมี่อยู่ที่นี่”
โจวมี่พูดพึมพำกับตัวเอง “ควรจะทำอะไรบ้างแล้วจริงๆ จะได้สั่งสอนให้บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลรู้เสียบ้างว่าอะไรคือ…”
พูดได้แค่ครึ่งเดียว โจวมี่ที่ลุกขึ้นยืนก็หันมายิ้มมองเฝ่ยหรานและเซอเยว่
เซอเยว่เอ่ย “รู้ว่าเทพเซียนตีกันของขอบเขตสิบสี่นั้นพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร ฟ้าคว่ำแผ่นดินหงายขนาดไหน?”
เฝ่ยหรานชำเลืองตามองตราประทับที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยเสียงแผ่วว่า “อ่านหนังสือย่อมมีประโยชน์”
สามลัทธิเมธีร้อยสำนัก มีตำราที่เก็บสะสมไว้สามล้านเล่ม
ปีศาจใหญ่ป๋ายอิ๋งที่อยู่ในฝูเหยาทวีป และ ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ อาจารย์ผู้มีพระคุณของเชี่ยอวิ้นที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างหดย่อพื้นที่แทบจะเวลาเดียวกัน มายังท่าเรือใบท้อของใบถงทวีป เหยียบอยู่บนผิวน้ำ
โจวมี่ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ผสานมรรคากับปีศาจใหญ่โครงกระดูกป๋ายอิ๋งก่อน จากนั้นจึงเดินเข้าหาผู้เฒ่าชุดเขียวที่ตรงเอวห้อยขลุ่ยไม้ไผ่หนึ่งเลา สามฝ่ายรวมเป็นหนึ่ง ถึงกลายเป็น ‘เจี่ยเซิง’ ตัวจริง คือมหาสมุทรความรู้โจวมี่ที่แท้จริง
ในอดีตไพศาลมีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง เกิดมาก็ฉลาดหลักแหลมหัวไว เรียนตำราตอนวัยเยาว์ อ่านหนังสือได้ทีละหลายบรรทัด อะไรที่ผ่านตาล้วนไม่เคยลืม อ่านตำราคัดตัวอักษรทั้งกลางวันกลางคืนอย่างลืมกินลืมนอน เป็นเหตุให้ร่างผ่ายผอมราวโครงกระดูก หลักจากป่วยหนักครั้งหนึ่งแล้วหายดีก็เริ่มหันไปฝึกตน เพียงแค่หวังให้มีอายุขัยยืนยาวกว่าเดิม สามารถอ่านหนังสือได้มากกว่าเดิม จะได้ใช้ชีวิตที่มีจำกัดไปแสวงหาความรู้ที่ไร้ขีดจำกัด ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเริ่มตั้งปณิธานภูเขาตำราอยู่ในใจ ตอนที่ฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูง ข้างกายไม่มีผู้ถ่ายทอดมรรคา ข้างมือไม่มีตำราลับตระกูลเซียนตามความหมายที่แท้จริง เพียงแค่อาศัยตำราของสามลัทธิและร้อยสำนักที่ในใจตัวเองจำได้ ดึงเอาแก่นความรู้มาจากมหาสมุทรตำราอันกว้างใหญ่ไพศาล นำถ้อยคำกระจัดกระจายขาดๆ หายๆ มาประติดประต่อกันจนกลายเป็นตำราลับในการฝึกตนเล่มหนึ่ง เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียวตอนอยู่ในขอบเขตรั้งคนของผู้ฝึกลมปราณ เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ หลังจากนั้นก็จำแลงมหาสมุทรความรู้อันไร้ที่สิ้นสุดขึ้นมาในใจ ใช้จิตหยินออกเดินทางไกลแบ่งสมาธิไปจมจ่อมอยู่กับมัน ความคิดโลดแล่นไร้ขีดจำกัด จิตใจล่องลอยไปไกลอย่างเสรี นับแต่นั้นมาท่ามกลางชีวิตของการเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อและการฝึกตน ก็ได้เริ่มทยอยกวาดเก็บตำรามาอย่างกำเริบเสิบสาน สืบเสาะซักถามถึงเป้าประสงค์พื้นฐานความรู้ของร้อยสำนัก ขยับขยายฟ้าดินของมหาสมุทรความรู้ในใจอย่างต่อเนื่อง ใช้ความรู้ของลัทธิขงจื๊อเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ แต่กลับใช้วิชาลับ ‘จักรวาลคือเตาหลอม ดวงตะวันจันทราคือแสงไฟ’ ของลัทธิเต๋ามาเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน หวนคืนสู่ธรรมชาติความจริง จากนั้นก็หันไปตั้งใจศึกษาสิบหกนิมิตของลัทธิพุทธ สุดท้ายเลือกนิมิตกระดูกขาวซึ่งเป็นหนึ่งในนั้น ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน ครั้นจึงใช้ความรู้ที่หลากหลายในใจมาผสานมรรคาเป็นขอบเขตสิบสี่ กลืนกินควบรวมอาจารย์ผู้มีพระคุณของเชี่ยอวิ้นอย่างลับๆ
ทุกวันนี้บัลลังก์ราชาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีการเพิ่มใหม่ หลังจากศึกของฝูเหยาทวีปผ่านพ้นไป อันที่จริงบัลลังก์ราชาหน้าเก่าๆ ทั้งหลายเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว
ผู้เฒ่าชุดเทาที่ประชันเวทคาถากับภูเขาสุ้ยซานอยู่ไกลๆ ไม่หยุดพักที่ร่องเจียวหลง บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่
เซียวสวิ้นผู้ฝึกกระบี่ที่ยกบัลลังก์ราชาของตนขึ้นสูงเป็นอันดับที่สองโดยพลการ โจวมี่มหาสมุทรความรู้ที่ไม่ถือสาเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย มือกระบี่หลิวชา
หย่างจื่อที่ไปยังน่านน้ำมหาสมุทรของทักษินาตยทวีป นางต้องรับมือกับหอสยบปีศาจแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ภาคกลางของทวีป ส่วนเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ที่บนบ่าแบกตะวันจันทรานั้นก็มอบให้หลิวชาเป็นคนจัดการ
เฟยเฟยยังคงอยู่บนสนามรบที่ตั้งอยู่ระหว่างแจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีป
หนิวเตาที่สูญเสียการพันธนาการจากเกราะทองเฝ้าพิทักษ์เกราะทองทวีป
ปีศาจใหญ่อู่เยว่และเจ้าคนที่ถือทวนยาว ใช้โครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงมาเป็นบัลลังก์ราขา ล้วนอยู่ที่สนามรบของทักษินาตยทวีปกันทั้งหมด
รวมไปถึงหยวนโซ่วที่รับผิดชอบคอยเล่นงานสำนักกุยหยกและเจียงซ่างเจิน ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนนี้ก็คือ ‘น้องชายคนเล็กของบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาแห่งภูเขาตะวันเที่ยง’ บนภูเขาไฉ่จือที่ชุยตงซานกับฉุนชิงพูดถึง
นอกจากนี้เจ้าอารามดอกบัว หวงหลวน เหย้าเจี่ย เชี่ยอวิ้น ป๋ายอิ๋ง และยังมี ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ ที่เป็นขอบเขตสิบสี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ต่างก็ถูกโจวมี่ ‘ผสานมรรคา’ ไปหมดแล้ว
ในระหว่างนี้อันที่จริงยังมีเผ่ามนุษย์ขอบเขตบินทะยานของเกราะทองทวีปอีกคนหนึ่งอย่าง หวานเหยียนเหล่าจิ่ง
ต้องรู้ว่าป๋ายอิ๋งปีศาจบนบัลลังก์ที่เป็นกายหยางจิตนอกกายของโจวมี่ ระยะเวลาหลายพันปีที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ได้หล่อหลอมผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจให้เป็นหุ่นเชิดไปอีกนับไม่ถ้วน
หนอนหนังสือเฒ่าที่หิวโหยไม่รู้จักอิ่ม? มหาสมุทรความรู้โจวมี่ก็ดี เจี่ยเซิงแห่งไพศาลก็ช่าง กินแล้วกินอีก แต่ท้องก็ยังร้องโครกครากอย่างน่ากลัวไม่เลิกเลยจริงๆ
พอโจวมี่จากไป
เซอเยว่ก็วางชามและตะเกียบลงบนโต๊ะตัวเล็ก นั่งขัดสมาธิ พ่นลมหายใจยาวเหยียด
เฝ่ยหรานยิ้มเอ่ย “เจ้าก็รู้จักกลัวเหมือนกันหรือ?”
เซอเยว่กลอกตามองบน “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย ให้แกล้งเป็นทำว่าไม่กลัว ไม่มีปัญหา แต่จะให้ไม่กลัวจริงๆ ทำไม่ได้หรอก”
เจียงซ่างเฉิน เฉินผิงอัน บวกกับอาจารย์โจวผู้นี้ พวกบัณฑิตเส็งเคร็ง ล้วนน่ากลัวกันทุกคน
เฝ่ยหรานไม่อาจตอบโต้กลับได้จริงๆ
เซอเยว่พลันถามว่า “ข้าวตระกูลเซียน ปลากุ้ยตุ๋น น้ำแกงปลากินกับข้าว รสชาติเป็นอย่างไร?”
เฝ่ยหรานเอ่ยอย่างระอาใจ “ไม่เลว”
เมื่อครู่นี้เขามีอารมณ์กินข้าวดื่มน้ำแกงเสียที่ไหน
พูดถึงแค่เรื่องที่ได้เห็นอาจารย์ผู้มีพระคุณกับตาตัวเอง จะให้เขาเฝ่ยหรานคิดเช่นไร? ยังจะเกลียดแค้นโจวมี่อีกได้อย่างไร? อาจารย์กลายเป็นโจวมี่ไปแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่แม้แต่ศิษย์พี่เชี่ยอวิ้นก็ยังกลายเป็นโจวมี่ไปแล้วด้วย ในความเป็นจริงแล้วหากในอนาคตสถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว โจวมี่ก็สามารถคืนอาจารย์และศิษย์พี่มาให้เฝ่ยหรานได้อย่างสมบูรณ์ แต่เฝ่ยหรานก็ยังไม่กล้าแน่ใจว่า เฝ่ยหรานในอนาคตจะกลายเป็นใครกันแน่ จนกระทั่งบัดนี้เฝ่ยหรานถึงพอจะเข้าใจในความน่าเศร้าของเจ้าหลีเจินผู้นั้นขึ้นมาบ้างแล้ว
เซอเยว่รู้สึกเสียดายเล็กน้อย “จะดีจะชั่วก็เคยเรียนหนังสือมาก่อน ไม่มีถ้อยคำน่าฟังที่สุภาพไพเราะบ้างเลยหรือ”
เฝ่ยหรานเอนตัวนอนอยู่บนหัวเรือ ราวกับว่าชีวิตของเขาไม่เคยทดท้อทอดอาลัย ห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรงเท่าตอนนี้มาก่อน
เซอเยว่กล่าว “อย่าไปคิดมาก กินดื่มอิ่มหนำก็จะเดินได้ไกลขึ้น”
เฝ่ยหรานเอ่ย “อิจฉาเจ้านัก”
เฝ่ยหรานลุกขึ้นนั่ง สวมหน้ากากที่เริ่มคุ้นเคยบ้างแล้วลงบนใบหน้าอีกครั้ง เซอเยว่แค่ปรายตามองมาเห็นก็เดือดดาลอย่างหนัก “คายน้ำชา ข้าวแล้วก็น้ำแกงปลาออกมาให้หมด!”
เฝ่ยหรานคิดจะทะยานลมขึ้นไปกลางอากาศ ด้วยต้องการเห็นศึกใหญ่นั้นกับตา
การจับคู่เข่นฆ่าที่มีความเป็นได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นของยอดเขา…ขอบเขตสิบสี่
ทว่าเพียงชั่วพริบตาทั้งเฝ่ยหรานและเซอเยว่ต่างก็ร่างขึงเกร็งแทบจะเวลาเดียวกัน ไม่เพียงแค่เพราะโจวมี่ที่จากไปแล้วหวนกลับคืนมายืนอยู่ข้างกายเฝ่ยหราน แต่ยังเป็นเพราะอีกฝั่งหนึ่งของหัวเรือยังมีปัญญาชนชุดเขียวแปลกหน้าคนหนึ่งเพิ่มมาด้วย
จากนั้นบัณฑิตทั้งสองคนก็แบ่งกันเอาเฝ่ยหรานและเซอเยว่เก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อของตัวเอง
โจวมี่ยิ้มเอ่ย “มาฉกชิงของของข้าไปต่อหน้าต่อตา ตายไปแล้วก็ยังฟื้นกลับมาได้”
ปัญญาชนชุดเขียวกล่าว “อ่านตำรามาถ้วนทั่ว แต่ล้วนอ่านผิดแผกผิดทาง คิดว่าตัวเองตั้งใจเป็นหนึ่งรู้ซึ้งถึงแก่น ในอริยะนอกราชา ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนคนหนึ่งฉลาดเกินไปก็ไม่ค่อยดี”
โจวมี่พูดเสนอ “เจ้าหักใจเสียแจกันสมบัติทวีปครึ่งหนึ่งไปไม่ได้ ข้าตัดใจเสียใบถงทวีปครึ่งหนึ่งไปไม่ลง ไม่สู้เปลี่ยนสถานที่ดีไหม? อ้อ ลืมไป ฉีจิ้งชุนในตอนนี้ ความคิดบังเกิดในจิตใจเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากแล้ว”
ฟ้าดินสับเปลี่ยน คนทั้งสองมาอยู่ในมหาสมุทรตำราที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง
โจวมี่เอ่ย “พยายามรับเอาคนและธรรมชาติมาเป็นครูให้ได้มากที่สุด”
ปัญญาชนชุดเขียวร้องอ้อหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเอ่ยประโยคหนึ่งกับเจ้าแทนปราชญ์ผู้ล่วงลับทั้งหลาย เรื่องของแม่..เถอะ”
ดังนั้นนาทีถัดมา คนทั้งสองจึงย้อนกลับมาที่หัวเรืออีกครั้ง