กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 740.1 ลมวสันต์ภาคภูมิใจ
ดูเหมือนว่าโจวมี่จะวางแผนมาไว้นานแล้ว นอกจากตำแหน่งหัวเรือที่คนทั้งสองยืนอยู่ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ฟ้าดินทั้งหมดนอกจากนั้น แม้แต่ท่าเรือใบท้อที่เป็นท่าเรือเดียวกัน ราชวงศ์ต้าเฉวียนอันเป็นที่ตั้งของท่าเรือใบท้อ ใบถงทวีป ใต้หล้าไพศาล กลับเหมือนกลายมาเป็นพื้นที่ว่างเปล่าเวิ้งว้างในห้วงจักรวาล มีเพียงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศดั่งตะเกียงสองดวง สาดแสงส่องลงมาเบื้องล่าง ประหนึ่งมีเรือกลวงลำหนึ่งกับเซียนสองคนที่พร้อมใจกันมาก้าวเดินอยู่บนความว่างเปล่า ย่างเท้าก้าวเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ดำรงอยู่มายาวนานพร้อมกัน
ภาพโคมม้าวิ่งแต่ละภาพแปรเปลี่ยนไปบนท่าเรือไม่หยุดนิ่ง สาดประกายแสงแก้วใสเจ็ดสีที่มีเฉพาะบนม้วนภาพแห่งกาลเวลาเท่านั้น ส่องลงบนร่างของบัณฑิตสองคนที่ยืนคุมเชิงกัน จนร่างพวกเขาเกิดประกายเรืองรอง มองดูคล้ายเทพบรรพกาลสองตนที่เงียบงันไร้ความรู้สึก
ฉีจิ้งชุนยืนอยู่บนหัวเรือด้านหนึ่งของเรือที่ลอยตัวอยู่ กวาดตามองไปรอบด้าน มองม้วนภาพแห่งกาลเวลามากมายที่ปรากฎวูบขึ้นแล้วพลันจางหายไป ปัญญาชนชุดเขียวท่านนี้ อันที่จริงตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ออกเดินทางไกลไม่บ่อยนัก ถือว่าเป็นคนที่เคยเดินผ่านขุนเขาสายน้ำมาน้อยที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่ง ตอนยังเยาว์มาขอเล่าเรียน ตอนเป็นเด็กหนุ่มศึกษาหาความรู้ ภายหลังก็แค่ออกไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนศิษย์พี่จั่วโย่วที่คิดอยากจะหันไปฝึกกระบี่ จึงได้ไปเที่ยวที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมารอบหนึ่ง แต่ก็แค่เวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี อันที่จริงยังไม่เคยไปสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงสักเท่าไรด้วยซ้ำ หลังจากนั้นสายบุ๋นก็เจอกับหายนะครั้งใหญ่ สุดท้ายชุยฉานซิ่วหู่ที่ทรยศออกจากสายเหวินเซิ่งได้เลือกแจกันสมบัติทวีป กลายไปเป็นราชครูของต้าหลี ส่วนฉีจิ้งชุนที่ดูเหมือนว่าพอกลายเป็นศัตรูกับชุยฉานแล้วก็ใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน พาลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อสองคนของสายบุ๋นอย่างเหมาเสี่ยวตงและหม่าจานเดินทางไปแจกันสมบัติทวีปด้วยกันสามคน ก่อตั้งสำนักศึกษาซานหยาที่ติดหนึ่งในอันดับเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อขึ้นในเมืองหลวงราชวงศ์ต้าหลี คอยงัดข้อปัดแข้งปัดขาชุยฉานทุกเรื่อง ต่อจากนั้นฉีจิ้งชุนก็ได้รับหน้าที่เป็นอริยะผู้เฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจูเป็นเวลาหกสิบปี
โจวมี่เองก็มองประเมินรอบด้านอยู่เช่นกัน คอยจับสังเกตการแสดงออกของมหามรรคาและการเผยความลับสวรรค์ที่เล็กน้อยทั้งหลาย เพียงไม่นานโจวมี่ก็ค้นพบเบาะแส ในช่องว่างของม้วนภาพแห่งกาลเวลาเหล่านั้นมีภาพเหตุการณ์ประหลาดเล็กๆ เหมือนแสงดาว ดุจเปลวเทียนที่ส่ายไหว ต่อให้เปลวเทียนจะจากไปไกลแล้วแต่ก็ยังมีเศษเสี้ยวแสงสว่างน้อยนิดหลงเหลืออยู่ที่เดิม สุดท้ายเชื่อมโยงต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นเส้นทางที่ชัดเจนเส้นหนึ่ง เหมือนกับท้องน้ำที่รองรับกระแสน้ำแห่งกาลเวลาเอาไว้ หากเอาไปไว้ในภูเขาสายน้ำที่แท้จริงของใบถงทวีป เส้นทางสายนี้ก็จะมีจุดเริ่มต้นที่สำนักฝูจี ถนนเรียกสวรรค์ ป้อมอินทรีบินตระกูลหวน ยาวจากตะวันตกจรดตะวันออก จุดเชื่อมโยงระหว่างแคว้นเป่ยจิ้นกับต้าเฉวียน ศาลเทพวารีลำคลองม่ายเหอ ท่าเรือใบท้อ ยอดเขาจ้าวผิง ท่าเรือยอดเขาเทียนแจว๋ของทางเหนือ จากใต้ไปเหนือ ระหว่างนั้นยังมีที่ตั้งเดิมของอารามกวานเต๋าที่เป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนถ่ายที่สำคัญที่สุด
แม้โจวมี่จะสงสัยว่าเหตุใดฉีจิ้งชุนถึงไม่ปิดบังแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงพูดโพล่งเผยความลับไปโดยตรง “เส้นทางไปใบถงทวีปที่เฉินผิงอันเคยเดินทางผ่านเส้นนี้ก็คือไฟ ‘สมอเรือ’ ที่ศิษย์พี่ชุยฉานช่วยเลือกให้เจ้า? ดังนั้นจึงไม่กลัววิธีบังคับแม่น้ำกาลเวลาที่ข้าใช้เล่นงานป๋ายเหย่ขอบเขตสิบสี่ตอนอยู่ที่ฝูเหยาทวีปก่อนหน้านี้เลยสักนิด? ซึ่งก็หมายความว่าทุกวันนี้ในใจของเจ้าฉีจิ้งชุนมีความคิดอยู่มากมาย ความคิดใหญ่อย่างหนึ่งก็คือเฉินผิงอันศิษย์น้องของเจ้า? ดูท่าศิษย์น้องสองคนอย่างพวกเจ้าก็คงไม่เคยทำให้ศิษย์พี่สองคนผิดหวังเลยสินะ ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวความคิดจิตใจถึงได้หมกมุ่นคล้ายไม่ตั้งใจแต่ก็คล้ายจะเจตนา ราวกับว่ากำลังร่วมท่องภูเขาสายน้ำกับใครบางคนอยู่ บัณฑิตที่สุดท้ายแล้วกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งพวกเจ้าคนนี้ คาดว่าตัวเขาเองก็คงตระหนักไม่ได้ว่า ตำราที่ตัวเองเขียนขึ้นมาเป็นเล่มแรกในชีวิตก็คือบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนี้ บังเอิญยิ่งนัก มันกลับขานรับอยู่กับการเดินทางไกลมาเยือนใบถงทวีปของเจ้าฉีจิ้งชุนในวันนี้พอดี”
ฉีจิ้งชุนไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ยังคงเอาแต่มองม้วนภาพแห่งกาลเวลาอยู่ทางฝั่งนั้น
โจวมี่ไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของฉีจิ้งชุน เกินครึ่งน่าจะเป็นแผนการของซิ่วหู่ผู้นั้นมากกว่า เพราะชุยฉานทำอะไรคาดหวังในผลประโยชน์มากกว่า
มิน่าเล่าพอฉีจิ้งชุนผู้นี้ปรากฎตัวก็กล้าเลือกสนามรบเป็นใบถงทวีปทันที หนึ่งคือคิดคำนวณได้ถึงฟ้าดินใหญ่ซึ่งเป็นของในกระเป๋าของเขาโจวมี่ได้ก่อนแล้ว เพราะทางถอยล้วนมีศิษย์พี่อย่างชุยฉานและศิษย์น้องอย่างเฉินผิงอันร่วมแรงกันปูไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ทางถอยเส้นนี้ทั้งเหมือนเด็กๆ เล่นสนุกกันแล้ววางกิ่งไม้สองกิ่งไว้บนพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ คนจากไปไกลแล้วแต่กิ่งไม้กลับยังอยู่
แล้วก็เหมือนแอ่งน้ำเล็กๆ บนเส้นทางดินโคลนในตรอกเก่าโทรมที่มีคนเดินผ่านแล้วเอาหินก้อนแล้วก้อนเล่ามาวางปูไว้
ฉีจิ้งชุนในตอนนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด ทั้งไม่มีเรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสา แล้วก็ไม่มีจิตวิญญาณที่แท้จริง แม้ว่าจะเป็นคนไร้ขอบเขตที่ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งจับต้องได้จริงล้วนว่างเปล่าล่องลอย แต่กลับมีตบะขอบเขตสิบสี่
ดังนั้นฉีจิ้งชุนจึงไม่สามารถแบ่งสมาธิไปสร้างความคิดใดๆ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการทำลายขอบเขตที่ลี้ลับมหัศจรรย์นี้ลงด้วยตัวเอง พูดง่ายๆ ก็คือฉีจิ้งชุนได้วาดพื้นที่เป็นกรงขังให้กับตัวเองนานแล้ว ตอนนี้หลงเหลืออยู่เพียงแค่ความคิดไม่กี่อย่างที่จะเรียกว่าเป็นความศรัทธาก็ได้ นอกจากนี้ทุกอย่างล้วนถูกทำลายไปสิ้น กลายมาเป็นหุ่นเชิด หลายปีที่ผ่านมานี้ ฉีจิ้งชุนกักตัวเองอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาช่วงหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ความทุกข์ทรมานระหว่างนี้ จะมีสักกี่คนบนโลกที่เข้าใจ มีไม่เกินหนึ่งมือนับอย่างแน่นอน บรรพจารย์สามลัทธิ ชุยฉาน โจวมี่ ขอบเขตสิบสี่นอกจากนี้ ต่อให้ตบะเพียงพอ แต่ถึงอย่างไรความเข้าใจที่มีต่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาก็ไม่ทะลุปรุโปร่งเท่าพวกเขาห้าคน
ดังนั้นอันที่จริงจึงง่ายที่ฉีจิ้งชุนจะตอบไม่ตรงคำถาม พูดเองเออเอง ทุกอย่างล้วนมีเพียงความคิดไม่กี่อย่างที่หลงเหลืออยู่เป็นหลักในการหยัดยืน หากมีความคิดใดเพิ่มเข้ามา ตบะของฉีจิ้งชุนก็จะได้รับความเสียหาย
เป็นเหตุให้การเข่นฆ่าของทั้งสองฝ่ายต่อจากนี้จะไม่เหมือนกับของป๋ายเหย่ที่ใช้บทกวีในใจผสานมรรคา หากป๋ายเหย่ที่พกกระบี่มีบทกวีในใจให้ใช้ไม่หมดสิ้น ตบะก็จะอยู่บนยอดเขาตลอดเวลา ทว่าขอบเขตสิบสี่ของฉีจิ้งชุนที่อยู่ตรงหน้านี้กลับมีแต่ยิ่งนานก็จะยิ่ง ‘ลงจากเขา’
ขนาดฉีจิ้งชุนยังไม่รีบร้อน โจวมี่ก็ยิ่งไม่คิดจะทำอะไร
โจวมี่พลันยิ้มเอ่ยว่า “รู้ที่พึ่งของเจ้าแล้ว ถ้ำสวรรค์หลีจูที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากเจ้าฉีจิ้งชุนมาตลอดหกสิบปี เคยฟูมฟักให้กำเนิดคนจิ๋วควันธูปร่างทองที่โชคชะตาบุ๋นบู๊ผสานกลมกลืนกัน เพียงแต่การเลือกของเจ้าไม่ค่อยดีสักเท่าไร เหตุใดไม่เลือกเทวรูปดินเผาในสุสานเทพเซียนที่เหมาะสมยิ่งกว่านี้ล่ะ ดันมาเลือกองค์ที่เสียหายหนักหนายิ่งกว่าองค์นี้แทน? ผลกรรม? เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่? หรือว่าแค่ถูกชะตาเท่านั้น?”
เป็นดั่งคำว่าคำพูดเอ่ยจากปากคาถาติดตามของอริยะเช่นเดียวกัน หลังจากถูกโจวมี่พูดเปิดโปงความลับสวรรค์ ด้านหลังของฉีจิ้งชุนก็มีกายธรรมวิชาลับตนหนึ่งปรากฎขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ เป็นเทพสวมเสื้อเกราะห้าสีที่เทวรูปลงสีเต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่าง ร่างทองปริแตกแทบไม่เหลือสภาพดี แต่บนมวยผมกลับปักปิ่นหยก เสื้อเกราะเป็นชิ้นเหมือนเกล็ดปลาที่ร้อยเรียงต่อกัน ริมขอบของเสื้อเกราะประดับด้วยไข่มุกสองเส้น เม็ดไข่มุกที่ร้อยเรียงกันกลมเต็มแวววาว โชคชะตาขุนเขาสายน้ำที่เกิดจากการรวมตัวกันของคนจิ๋วสีทอง ฉีจิ้งชุนใช้วิชาที่บุกเบิกวิถีทางแบบใหม่ ทำให้มาถึงขอบเขตที่สามารถประกอบจิตวิญญาณให้กลับมาสมบูรณ์เต็มดังเดิมได้ชั่วคราว จากนั้นก็ใช้เทวรูปหลิงกวานของลัทธิเต๋าตนหนึ่งมาเป็นที่พักพิง ก่อนจะนำจิตแห่งพุทธมาสร้างความมั่นคงให้กับ ‘จิตวิญญาณ’ สุดท้ายผสานรวมกับภาษาธรรมประโยคที่ว่า ‘แม้แสงสว่างจะดับสิ้น แต่ตะเกียงยังคงอยู่’
นี่ก็คือฟ้าคนรวมเป็นหนึ่งที่บัณฑิตลัทธิขงจื๊อไล่ตามแสวงหาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แล้วก็เป็นการหลุดพ้นจากอุปาทาน ตัดขาดจากความคิดอันสับสน อยู่ในอรจิษมตีภูมิ (ภูมิที่สี่ของทศภูมิหรือโพธิสัตว์ทศภูมิ เป็นคติว่าด้วยลำดับการบรรลุธรรมของพระโพธิสัตว์ ในภูมินี้พระโพธิสัตว์มีปัญญาเรืองรอง หลุดพ้นจากการยึดติด ประกาศภูมิรู้ชัด อีกทั้งยังมีความเพียรในการบำเพ็ญธรรม (สมาธิ) ภูมินี้มีวิริยะบารมีเป็นใหญ่) อันเป็นภูมิที่สี่ของลัทธิพุทธ และยิ่งเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าเหยียบย่ำลงบนความว่างเปล่าเฝ้ารักษาความเงียบสงบ เรือกลวง (เรือกลวงหมายถึงเรือที่ไม่มีคน เปรียบเปรยถึงหัวใจที่กว้างขวาง ในทางลัทธิเต๋าคือให้มองตัวเองว่าไม่มีตัวตน เมื่อเราไม่มองตัวเองว่ามีตัวตน ไม่ว่าคนอื่นจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็ทำร้ายเราไม่ได้) ว่างเปล่าสว่างไสวของลัทธิเต๋า
ฉีจิ้งชุนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของโจวมี่ ก้มหน้าลงมองเส้นทางที่เมื่อเทียบกับฟ้าดินกว้างใหญ่แล้วก็ถือว่าเล็กบางอย่างมากเส้นนั้น หรือควรจะเป็นพูดว่าเป็นเส้นทางหัวใจช่วงหนึ่งจากเมื่อครั้งที่เฉินผิงอันมาท่องเที่ยวใบถงทวีปในอดีต ฉีจิ้งชุนทำการอนุมานไม่เท่าไรก็ค้นพบว่าเด็กหนุ่มที่ในอดีตสะพายกระบี่ออกเดินทางจากบ้านเกิดแล้วได้หวนกลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้งคนนั้น มีเส้นทางหัวใจที่บางครั้งก็มีความสุข เป็นการจับมือกับสหายสนิทออกเที่ยวชมขุนเขาสายน้ำยิ่งใหญ่งดงามไปด้วยกัน บางครั้งก็เสียใจ เหมือนตอนอยู่บนถนนเส้นเล็กในตรอกของป้อมอินทรีบิน แล้วต้องมองส่งเด็กๆ ส่วนหนึ่งออกเดินทางไกลกับตาตัวเอง บางครั้งก็เป็นความฮึกเหิมของเด็กหนุ่มที่หาได้ยาก ยกตัวอย่างเช่นตอนอยู่ในจวนเทพวารีลำคลองม่ายเหอที่อาจารย์น้อยพูดถึงเรื่องลำดับขั้นตอน พอพูดจบก็เมาพับไป…
ปัญญาชนชุดเขียวที่เดิมทีไม่ควรมีความคิดอย่างอื่นบังเกิดขึ้นกลับคลี่ยิ้มบางๆ “ตะเกียงในใจเมื่อถูกจุด เส้นทางกลางคืนก็เหมือนกลางวัน ฟ้าดินเยียบเย็น ต้นไม้สองข้างทางกลับเขียวขจีอยู่ตลอด ศิษย์น้องเล็กได้อ่านตำราไปไม่น้อยเลยจริงๆ”
ฉีจิ้งชุนฝืนทำลายสภาพจิตใจตอนนี้ซึ่งในบางระดับถือว่าเป็นความจริงใจอันซื่อสัตย์ของตน พึมพำว่า “อาจารย์ยุ่งเกินไป ชุยฉานอำมหิตเกินไป จั่วโย่วดื้อดึงเกินไป อายุน้อยเกินไป ภาระหนักเกินไป ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีศิษย์น้องเล็กที่ต้องเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจเช่นนี้บ้าง”
ฉีจิ้งชุนไม่คิดจะมองโจวมี่ “ทั้งดีใจและทั้งประหลาดใจใช่หรือไม่ที่ข้าทำลายตบะตัวเองเช่นนี้ สอนให้เจ้ารู้ว่าอะไรที่เรียกว่ามุ่งมั่นลึกซึ้งถึงแก่น แต่ข้ากลับเป็นฝ่ายถอยออกไปจากขอบเขตนี้เอง บัณฑิตเช่นเจ้า อย่าว่าแต่ทำได้เลย แม้แต่เข้าใจก็ยังไม่เข้าใจ รู้ว่าเจ้าไม่เชื่อ ข้อนี้เจ้าเหมือนกับชุยตงซานตอนที่เพิ่งไปถึงถ้ำสวรรค์หลีจูในปีนั้นอย่างมาก แต่เจ้าก็อย่าได้รู้สึกว่าตัวเองกับซิ่วหู่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน เจ้าไม่คู่ควร ต่อให้ชุยฉานจะหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนอย่างไรก็ยังเป็นลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่ง และก็ยังเป็นบัณฑิตของไพศาล”
โจวมี่ยิ้มกล่าว “ไม่ใช่การโต้วาทีของสามลัทธิเสียหน่อย ไม่คิดจะประชันฝีปากกับเจ้าหรอก”
ฉีจิ้งชุนเพียงยิ้มรับ เขายกชายแขนเสื้อขึ้นมาก่อน บนดบังดวงตะวันใหญ่ที่เป็นจิตธรรมของโจวมี่เอาไว้ ข้าไม่เห็นก็ย่อมไม่มีอยู่ในฟ้าดิน เจ้าโจวมี่ที่เป็นเจ้าของฟ้าดินแห่งนี้ไม่ใช่คนตัดสินใจอีกต่อไป
จากนั้นจึงประกบสองนิ้ว ฉีจิ้งชุนเหมือนคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาจากโถเก็บเม็ดหมากฟ้าดิน เดิมทีคือม่านราตรีของท้องฟ้าเวิ้งว้างที่มีตะวันจันทราส่องสว่าง ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่ดวงจันทร์เท่านั้น มหาสมุทรตำรากว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดผืนหนึ่งถูกบีบให้เผยกาย แสงจันทร์สาดสะท้อนผืนน้ำ เม็ดหมากสีขาวหิมะเม็ดหนึ่งมารวมตัวกันที่ปลายนิ้วของฉีจิ้งชุนอย่างรวดเร็ว คล้ายกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งที่ถูกคนแกว่งส่ายเบาๆ ผิวน้ำของมหาสมุทรตำราอันกว้างไกลพลันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทเหมือนสีหมึกในชั่วพริบตา
ฉีจิ้งชุนปล่อยนิ้ว หมากสีขาวลอยอยู่กลางอากาศแล้วบดบังดวงจันทร์เอาไว้ ฉีจิ้งชุนหันไปคีบหมากสีดำเม็ดหนึ่งขึ้นมา เป็นเหตุให้ภาพบรรยากาศฟ้าดินที่เดิมทีเหมือนบ่อน้ำหมึกกลับคืนมาพบเจอแสงสว่างอีกครั้ง กลายเป็นภาพที่เหลือแต่แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดพื้นหิมะให้ขาวโพลน
ฉีจิ้งชุนเอ่ยว่า “จงแตก”
เม็ดหมากสีขาวดำที่ลอยอยู่ข้างกายเขากระทบกันเบาๆ แล้วแตกโพล๊ะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ตราผนึกฟ้าดินสองแห่งที่โจวมี่จัดวางไว้อย่างเงียบเชียบก่อนหน้านี้จึงถูกทลายลง สลายไปอย่างไร้ร่องรอยนับแต่นี้
โจวมี่ขมวดคิ้วน้อยๆ สะบัดชายแขนเสื้อ เขาเองก็ยื่นสองนิ้วออกมาเช่นกัน ปลายนิ้วแยกออกไปรับตัวอักษรสีขาวดำสองตัวที่เขียนขึ้นง่ายๆ เป็นชื่อจริงของปีศาจใหญ่สองชื่อที่เกิดจากการจำแลงมหามรรคาในทะเลสาบหัวใจของโจวมี่ ก็คือชื่อจริงของเจ้าอารามดอกบัวและเหย้าเจี่ยแห่งบัลลังก์ราชา
โจวมี่ก็แก้แค้นเอาคืนเช่นกัน เขาส่ายหน้า “สำนักศึกษาซานหยา (หน้าผา) ? ชื่อนี้ตั้งได้ไม่ดี อสนีผ่าหน้าผาให้ปริแตก ผลกรรมโทษทัณฑ์หล่นลงบนหัว จนเจ้าฉีจิ้งชุนไม่มีที่ให้หลบเลี่ยง”
ฉีจิ้งชุนขยับหลบ ผลกรรมแห่งมหามรรคาก็จะทำให้ตลอดทั้งถ้ำสวรรค์หลีจูติดร่างแหไปด้วย แล้วยังเดือดร้อนไปถึงโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของแจกันสมบัติทวีปทั้งแห่ง ถ้าอย่างนั้นราชวงศ์ต้าหลีที่ทุกวันนี้หนึ่งแคว้นคือหนึ่งทวีป โชคชะตาบุ๋นบู๊ก็จะลดน้อยลงไปสามถึงสี่ส่วน และป่านนี้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็น่าจะอยู่ใกล้กับเมืองหลวงแห่งที่สองแล้ว ไม่ใช่ถูกขวางให้หยุดชะงักอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาใต้ แต่ซิ่วหูกลับไม่ค่อยถือสาเรื่องนี้นัก ก็หนีไม่พ้นว่าต้องหดรวบแนวเส้นรบกลับมา เป็นเหตุให้ขบวนทัพป้องกันทวีปยิ่งกระชับแน่นเข้ามา สุดท้ายจัดวางกำลังทัพไว้สองฝากฝั่งของลำน้ำใหญ่ในภาคกลางที่เกินครึ่งน่าจะต้องถูกเปลี่ยนชื่อ เฝ้าพิทักษ์เมืองหลวงแห่งที่สองไว้ให้ได้อย่างแน่นหนา หากเป็นเช่นนี้ความเสียหายของใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะน้อยยิ่งกว่าเดิม แต่กลับทำให้โจวมี่รู้สึกยุ่งยากมากกว่าเก่า
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะออกคำสั่งแก่คนโบราณ สั่งเทพและผีให้ขยี้หน้าผา”
ตอนที่โจวมี่พูดขาดคำ ความว่างเปล่าของฟ้าดินรอบด้านก็มีภาพขุนเขาสายน้ำของแจกันสมบัติทวีปที่เป็นลายเส้นขาวดำปรากฏขึ้นมาก่อน ตามมาด้วยสำนักศึกษาซานยาตอนที่ยังไม่ย้ายไปอยู่ต้าสุย และโรงเรียนในเมืองเล็กที่ตั้งอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู
สถานที่ทั้งสามแห่งนี้ล้วนเป็นภาพมายาทางจิตธรรมของโจวมี่ แต่กลับมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นความจริงในทะเลสาบหัวใจของฉีจิ้งชุนขอบเขตสิบสี่
วิชาอภินิหารที่จับต้องไม่ได้จริงแม้แต่น้อยเช่นนี้ ไม่ว่าเอาไปใช้กับใครล้วนถือว่าเปลืองกำลังเปล่า มีเพียงใช้รับมือกับฉีจิ้งชุนในเวลานี้ที่กลับกลายเป็นว่าได้ผลที่สุด
กากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลหลายตนยกเท้ากระทืบขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป เพียงชั่วพริบตาก็จมดิน ฝนกระหน่ำซัดเทเข้าใส่สำนักศึกษาซานหยา กลบทับเสียงท่องตำราดังกังวานใส ถ้ำสวรรค์เล็กที่รวมตัวกันขึ้นเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งถูกทัณฑ์สวรรค์บดขยี้จนปริแตก
ฉีจิ้งชุนปล่อยให้โจวมี่ร่ายวิชาอภินิหารพิฆาตความจริงสามอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจ ยิ้มเอ่ยว่า “มหาสมุทรความรู้โจวมี่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างอ่านหนังสือมาไม่น้อย ตำราสะสมสามล้านเล่ม ฟ้าดินเล็กใหญ่…อืม หอหมื่นฉบับ ฟ้าดินกลับมีแค่สามร้อยแห่ง”
โจวมี่พยักหน้ารับ “ไม่ถือว่าเป็นความสามารถอะไร ก็แค่อดคิดถึงเรื่องราวในวันวานไม่ได้”
ฉีจิ้งชุนยิ้มถาม “เป็นแมลงวันไร้หัวที่พุ่งชนสะเปะสะปะไปทั่วแบบนี้น่ะหรือ? ตัดใจเรียกใช้วิธีการก้นกรุไม่ลง ไม่ยินดีให้ข้าได้เห็นภาพลักษณ์ของศิษย์น้องในใจของเจ้า หรือกังวลว่าจะมีใครวางแผนการที่ลึกล้ำยาวไกลยิ่งกว่า?”
โจวมี่ยิ้มตอบ “ไม่ใช่อาจารย์กับนักเรียนในโรงเรียนเสียหน่อยที่พอลูกศิษย์ถามแล้วอาจารย์จะไขข้อข้องใจให้”
ตามหลักแล้วโจวมี่สัมผัสได้ถึงเส้นทางตะเกียงหัวใจเส้นนั้นแล้ว คนแรกที่จะฆ่าทิ้งก็น่าจะเป็นอิ่นกวานหนุ่มแห่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่
และโจวมี่ที่อาศัยการสังเกตการณ์ การสนทนาและการท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่าที่หลีเจินมีต่อหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็หันกลับมาตรวจสอบหลีเจินกับ ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ ภาพเหตุการณ์ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาสองเส้นที่หนึ่งเห็นไกลๆ หนึ่งเห็นใกล้ๆ ความเข้าใจที่มีต่อเฉินผิงอันย่อมไม่ถือว่าตื้นเขิน แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังรวมลูกศิษย์ผู้สืบทอดของโจวมี่อย่างผู้ฝึกกระบี่หลิวป๋ายอีกคน ตอนนั้นที่กระโจมเจี่ยจื่อสร้างตราผนึกขุนเขาสายน้ำ เดิมทีก็เป็นฝีมือของ ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ หรือควรจะบอกว่าเป็นของโจวมี่อยู่แล้ว อิ่นกวานหนุ่มไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ทว่าโจวมี่กลับมองเห็นเขาอย่างปรุโปร่งไร้อุปสรรค ทุกการกระทำ ทุกคำพูด ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่การเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจก็ยังไม่หลุดรอดสายตาของเขาไป
เพียงแต่ว่าความบกพร่องหนึ่งเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือคนหนุ่มคนนั้น ไม่รู้ว่าจับผลัดจับผลูโชคดีหรือเพราะมีนิสัยระมัดระวังรอบคอบมาจนเคยชินแล้ว ถึงทำให้โจวมี่ไม่อาจหาทางเข้าห้องประตูหัวใจของอีกฝ่ายได้พบ ไม่อย่างนั้นจุดที่จิตหยินของโจวมี่ซึ่งออกเดินทางไกลจะไปพักเท้าก็คือทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน ใช้ฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของอิ่นกวานหนุ่มมาช่วยโจวมี่ตัดขาดฟ้าดินใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ช้าก็เร็ว ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ ก็จะกลายไปเป็นเฉินผิงอันคนใหม่