กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 742.1 สหายเฉินผู้นั้นของข้า
ตอนนั้นลู่เฉินเป็นแขกอยู่บนภูเขาฝูหรงท่ามกลางค่ำคืนที่มีหิมะตก นั่งชมหิมะอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่นอกประตู ใต้ชายคาของกระท่อมมีหมาแก่ตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ บางครั้ง ‘ลู่เฉิน’ ที่นอนอยู่บนพื้นก็จะเงยหน้ามองลู่เฉินที่นั่งอยู่
ลู่เฉินมองหมาแก่ตัวนั้นแวบหนึ่งแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “หรือว่าโจวจื่อกำลังมองข้าอยู่อีกแล้ว?”
แขกใหญ่กว่าเจ้าบ้าน เป็นเหตุให้ลู่ไถที่เป็นเจ้าของบ้านต้องระเห็จไปยังหอชมทัศนียภาพบนยอดเขา หยิบเตียงสีขาวหิมะตัวหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ อีกมือหนึ่งถือแก้วเหล้าตระกูลเซียนที่มีชื่อว่าป๋ายหลัว ชื่อเสียงทัดเทียมกับจอกน้ำพุสุรา อีกมือหนึ่งถือไม้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะด้ามยาวสีทอง ดื่มเหล้าพลางใช้ไม้ปัดหิมะเบาๆ ไปด้วย
เอนตัวนอนตะแคงอยู่บนเตียงหยกขาว ข้อศอกยันอยู่บนหมอนกระเบื้องสีขาว เจ๋อเซียนอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเคียงข้างจอกป๋ายหลัวของข้า
ลู่ไถเมามายจนตาปรือ ใช้ไม้ปัดฝุ่นหางกวางปัดหิมะใหญ่เท่าขนห่านทิ้งไปนับไม่ถ้วน ชูจอกพูดเสียงดังกังวาน “คนตัวใหญ่เท่ายอดเขา ความสามารถสูงจึงจะทำให้หวั่นไหว”
น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวล ลู่ไถวางไม้ปัดฝุ่นหางกวางและแก้วเหล้าลง นั่งขัดสมาธิ สองมือสอดกันอยู่ในชายแขนเสื้อ พึมพำเสียงแผ่ว “ไม่มีใครเคียงข้างข้า”
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนกำลังรับรองแขกผู้มีเกียรติอยู่ในภูเขาฝูหรง บวกกับลูกศิษย์คนสุดท้ายอีกคนที่ยังออกเดินทางไกลอยู่ในยุทธภพ เด็กหนุ่มถูกลู่ไถตั้งชื่อในทำเนียบขุนเขาสายน้ำว่า ‘จิ้นจือ’ มีชื่อไร้แซ่
ลู่ไถมอบกระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งให้กับเด็กชาย ใช้ดาบแกะสลักตัวอักษรบรรจงแบบเล็กสองตัวว่า ‘เซี่ยตุย’
ตอนที่เด็กคนนั้นจับกระบี่เป็นครั้งแรก ลู่ไถก็หัวเราะเสียงดังบอกกับลูกศิษย์ว่า เจ้าจะต้องกลายเป็นเซียนกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่
นอกจากลู่ไถจะถ่ายทอดคาถาลัทธิเต๋าบทหนึ่งและกระบวนท่าหมัดสองสามอย่างให้กับลูกศิษย์คนสุดท้ายผู้นี้แล้ว อย่างอื่นก็ไม่เคยสอนอีก แค่โยนตำรากระบี่ให้เด็กชายไปรวดเดียวสามสิบสองเล่ม
อันที่จริงลู่ไถอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวมานานหลายปีขนาดนี้ นิสัยนับว่ายังรักอิสระ อะไรที่เรียกว่าเจ้าลัทธิมาร อะไรที่บอกว่าบุคคลอันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงกระเดื่องไปทั่วหล้า ล้วนเป็นการเล่นสนุกเท่านั้น ดังนั้นขอบเขตในทุกวันนี้ถึงได้เป็นขอบเขตก่อกำเนิด และยังเป็นขอบเขตที่ลู่ไถฝ่าทะลุไปตามโอกาสหลังจากที่พื้นที่มงคลบินทะยานมาถึงใต้หล้ามืดสลัวแล้วชักนำให้เกิดภาพปรากฎการณ์ฟ้าดินอีกด้วย ไม่อย่างนั้นหากอิงตามความยินดีของตัวลู่ไถเอง ถึงอย่างไรอวี๋เจินอี้ก็ไม่อยู่แล้ว เขาที่เป็นโอสถทองเทพเซียนพสุธาก็ยังสามารถเป็นต่อไปได้อีกหลายปี
เรื่องที่เก็บมาใส่ใจอย่างจริงจังมีแค่สองเรื่อง ร่วมมือกับอาจารย์จ้งชิวถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เฉาฉิงหล่าง ต่อมาก็คือเรื่องที่ตั้งใจคัดสรรเลือกรับลูกศิษย์คนสุดท้าย สอนให้เขาฝึกกระบี่
ลู่ไถอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงแบฝ่ามือมองขุนเขาสายน้ำ ดูสภาพการณ์ของอวี๋เจินอี้ เหตุการณ์บนภูเขาฝูหรงปรากฎอยู่ในสายตาจนหมดสิ้น ทุกครั้งที่ความคิดของลู่ไถพุ่งไปถึง ขุนเขาสายน้ำก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นอยู่ในสายตา ขอแค่ลู่ไถรวบรวมสมาธิเล็กน้อย ต่อให้ร่องรอยการทับถมของหิมะบนราวรั้วของสะพานไม้เลียบหน้าผาในบางจุดก็ยังปรากฏชัดเจนอยู่ในสายตา คนธรรมดาล่างภูเขามีอายุได้แค่ร้อยปี ใครบ้างจะไม่อิจฉาเทพเซียนบนเมฆา
ก่อกำเนิดทั่วไปร่ายวิชาอภินิหารเช่นนี้จะต้องเผาผลาญปราณวิญญาณและพลังจิตไปมากมาย อีกทั้งยังง่ายที่จะก่อให้เกิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนที่แอบลอบมองขอบเขตไม่ต่ำก็ง่ายที่จะสืบสาวเบาะแสตามมาพบตัว เพียงแต่ว่าลู่ไถมีชาติกำเนิดจากสกุลลู่สำนักหยินหยางของแผ่นดินกลาง เรียนรู้วิชามาอย่างหลากหลาย วิชาคานอกรีตต่างๆ อันที่จริงลู่ไถก็รู้เยอะมาก เพียงแต่ว่าในอดีตไม่ใคร่ยินดีเป็นฝ่ายไปเรียนรู้ก็เท่านั้น เมื่อคนคนหนึ่งความรู้สูงพอแล้ว ก็ง่ายที่จะเกิดใจเกียจคร้าน กลับกลายเป็นขยันบากบั่นสู้คนที่รู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้
ฝึกวรยุทธ เรียนหนังสือ ฝึกตน อวี๋เจินอี้ที่ทำทุกอย่างนี้ได้อย่างราบรื่นมาตลอดชีวิต คาดว่าคงไม่เคยทุลักทุเลเช่นนี้มาก่อน
เจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงผู้นั้นคล้ายคนขุดหลุมแล้วไม่ยอมกลบฝัง โยนอวี๋เจินอี้ไปให้กับผู้เยาว์สามคนที่ขอบเขตไม่ต่ำทั้งอย่างนั้น
ดังนั้นก่อนจะถึงค่ำคืนหิมะตกนี้ ตรงสะพานไม้ อวี๋เจินอี้ที่ขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณถูกกดไว้ที่ถ้ำสถิตจึงต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสามคนที่ความคิดแตกต่างกันไปเพียงลำพัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวนอินเด็กหนุ่มที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นั้นที่ทำให้อวี๋เจินอี้กริ่งเกรงเป็นที่สุด
เถาเสียหยางผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเพิ่งจะเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล หวงซ่างเจินเหรินผู้ปกป้องแคว้นหนันเยวี่ยน โอสถทองที่เรียกลมก็ได้ลมเรียกฝนก็ได้ฝน
หันกลับมามองอวี๋เจินอี้ ในฐานะบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีตตามหลังติงอิง ทุกวันนี้ในฐานะผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวกลับเหลือเพียงแค่เรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลเท่านั้น เพียงแต่หันไปฝึกตนเกือบสามสิบปี จึงเคยชินกับการร่ายวิชาอภินิหารของบนภูเขาแล้ว คิดจะสังหารผู้ฝึกยุทธล่างภูเขาสักคน หมัดเท้าย่อมงุ่มง่ามไปบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
อวี๋เจินอี้ไม่มีทางยินดีเข่นฆ่าสังหารกับสามคนนั้นในเวลาเช่นนี้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นการเข่นฆ่าที่ไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อยอีกด้วย ประเด็นสำคัญคือเจ้าลัทธิสามที่เหมือนเป็นคนพันหน้าผู้นั้นย่อมไม่สนใจในความเป็นตายของเขาอวี๋เจินอี้ ส่วนเจ้าลู่ไถผู้นั้นก็ยิ่งไม่มีทางถือสาหากในเวลานี้บนภูเขาฝูหรงจะมีศพที่ไม่จำเป็นต้องฝังกลบเพิ่มขึ้นมาอีกศพหนึ่ง
เพื่อรอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปให้ได้ ก็เรียกได้ว่าอวี๋เจินอี้เค้นสมองครุ่นคิดแทบล้มประดาตาย เขายืนพิงราวรั้ว ทำจิตใจให้สงบนิ่ง อันดับแรกก็พูดคุยทักทายกับหวงซ่างก่อน ชี้แนะช่องโหว่ด้านการฝึกตนบางอย่างให้กับอีกฝ่าย
ตบะขอบเขตหยกดิบของอวี๋เจินอี้ไม่มีอยู่แล้วก็จริง แต่สายตาเขากลับยังคงอยู่ เมื่อมองลงมาจากจุดที่สูงกว่า ผลได้ผลเสียบนเส้นทางการฝึกตนของหวงซ่าง เขาจึงเห็นอย่างปรุโปร่ง
จากนั้นจึงถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของสำนักตัวเองอย่างพรรคหูซานที่อยู่ในพื้นที่มงคลทุกวันนี้ หวงซ่างที่รับหน้าที่เป็นเจินเหรินพิทักษ์แคว้นหนันเยวี่ยน เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ให้ความเคารพอวี๋เจินอี้ที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนของลู่ไถ ถามอะไรก็ตอบอย่างนั้น ดูเหมือนจะช่วยถ่วงเวลาให้ไม่น้อย
แต่ความจริงคือหวงซ่างแอบใช้เสียงในใจเอ่ยกับเถาเสียหยางและหวนอินว่า “อวี๋เจินอี้สามารถสังหารได้”
เถาเสียหยางรวมเสียงให้เป็นเส้นยิ้มเอ่ยกับศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสอง “โชคชะตาบู๊เป็นของข้า ดังนั้นอวี๋เจินอี้ต้องตายด้วยน้ำมือของข้า นอกจากนี้แล้วโชควาสนาตระกูลเซียนทุกอย่าง สำหรับข้าแล้วยังสู้ซี่โครงไก่ไม่ได้ด้วยซ้ำ พวกเจ้าไปคิดบัญชีกันเอาเองได้เลย ตกลงกันไว้ก่อนว่า ใครกล้าทำลายเรื่องดีๆ ของข้า หลังจบเรื่องออกไปจากอาณาเขตที่พักของอาจารย์เมื่อไหร่ ข้าจะต้อง…ประลองฝีมือกับศิษย์น้องหวนเป็นการส่วนตัวสักรอบ”
หวนอินมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ ใช้เสียงในใจยิ้มถาม “ทำไมถึงไม่ไปหาเรื่องศิษย์พี่หวงล่ะ?”
เถาเสียหยางหัวเราะเสียงหยัน “หาเรื่องเขา เจ้าย่อมฉวยโอกาสเก็บตกผลประโยชน์ ไม่แน่ว่าอาจฆ่าพวกเราสองคนทิ้งพร้อมกันก็ได้ ถึงอย่างไรอาจารย์ก็รับลูกศิษย์คนสุดท้ายมาแล้ว ความเป็นความตายของพวกเราเขาย่อมไม่สนใจอีก ข้าตั้งใจสังหารเจ้า ราชครูหวงของพวกเรากลับไม่มีทางยื่นมือเข้าแทรกแน่ มีแต่จะดูดายอยู่เฉยๆ ทำหน้าที่เป็นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น คอยห่วงใยบ้านเมืองห่วงใยชาวประชาของเขาต่อไป”
หวนอินย้อนถาม “ศิษย์พี่คิดผิดแล้ว อันที่จริงตั้งแต่ต้นจนจบ อาจารย์ไม่เคยสนใจว่าพวกเราจะเป็นหรือตายมาก่อน ความหมายในการดำรงอยู่ของพวกเราก็เป็นแค่วิธีพิศมรรคาอย่างหนึ่งของอาจารย์เท่านั้น”
หวงซ่างรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “หวนอินคำพูดประโยคนี้ของเจ้าช่างอกตัญญูนัก ข้าจะรายงานอาจารย์ตามความจริง”
หวนอินหลุดหัวเราะพรืด “เจินเหรินใหญ่หวงอยากโดนด่าก็ตามใจเจ้า ถึงเวลานั้นจะถูกอาจารย์มองว่าโง่ก็อย่ามาโทษว่าศิษย์น้องไม่ได้เตือนเจ้าล่ะ”
ในความเป็นจริงแล้วนอกจากสามศิษย์พี่ศิษย์น้องจะ ‘พูดจากันอย่างตรงไปตรงมา’ แล้ว ในทางส่วนตัวก็แยกสนทนากันเองเป็นคู่ๆ ด้วย
กล่าวว่าพวกเขามีความคิดชั่วร้ายที่ต่างกันไปก็ถูกต้องแล้ว
โชคดีที่เดิมทีอวี๋เจินอี้ก็มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจริงแท้แน่นอน ก่อนจะเดินเหยียบลงบนเส้นทางของการฝึกตน เส้นทางวิถีวรยุทธเขาก็ได้เดินนำหน้าจ้งชิวไปก่อนแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณสมบัติของจ้งชิวสู้อวี๋เจินอี้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะจ้งชิวแบ่งสมาธิไปทำอย่างอื่นมากเกินไป ไปเป็นราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนอะไรนั่น ละโมบไม่รู้จักพอ คำว่าอริยะบุ๋นปรมาจารยบู๊ที่คนบนโลกกล่าวถึงอะไรนั่น อันที่จริงมีแต่จะถ่วงรั้งเส้นทางการเดินขึ้นสู่ที่สูงบนวิถีวรยุทธของจ้งชิวก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นศึกการต่อสู้ระหว่างสิบคนครานั้น ตอนที่อวี๋เจินอวี้กลายเป็นเซียนของล่างภูเขา อันที่จริงจ้งชิวก็ควรจะฝ่าทะลุคอขวดฟ้าดินที่มองไม่เห็นเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองไปแล้ว
แม้อวี๋เจินอี้จะไม่รู้ว่าสามคนนี้กำลังคุยอะไรกันอยู่ แต่กลับรู้ดีอยู่แก่ใจมานานแล้วว่าการต่อสู้อันเลวร้ายในวันนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่ามิอาจหลบเลี่ยงได้พ้น ถึงอย่างไรคนทั้งสามที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ใช่สหายรักในอดีตอย่างจ้งชิว
อวี๋เจินอี้สอบถามถึงสถานการณ์พรรคหูซานและในราชสำนักซงไล่จากหวงซ่าง รวมไปถึงเรื่องที่ศิษย์น้องเล็กของพวกเขาสามคนไปถามกระบี่ที่พรรคหูซาน ขณะเดียวกันนั้นอวี๋เจินอวี้ก็เอากวานดอกบัวในอ้อมอกที่เป็นหนึ่งในของแทนตัวของเจ้าลัทธิป๋ายอวี้จิงเก็บใส่ไว้วัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งที่อยู่ในชายแขนเสื้อ ขณะเดียวกันก็หยิบเอากวานเต๋าลักษณะคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน แต่กลับเป็นดอกบัวสีเงินออกมาสวมไว้บนศีรษะของตัวเอง
การกระทำนี้อวี๋เจินอี้ทำได้ว่องไวยิ่ง พร้อมกันนั้นกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังก็สั่นสะเทือนเบาๆ คล้ายสัมผัสได้ถึงจิตสังหารในใจของคนทั้งสาม ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้เถาเสียหยางที่เดิมทีเตรียมจะชักดาบออกจากฝักเปลี่ยนความคิดไปเล็กน้อย ไม่รีบร้อนลงมือตัดหัวของอีกฝ่าย ส่วนหวงซ่างที่สองมือซึ่งอยู่ในชายแขนเสื้อคีบเอายันต์สีทองออกมาสองแผ่นก็ไม่รีบร้อนร่ายเวทลับที่มีเฉพาะซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์เพื่อ‘แต้มนัยน์ตาใสกระจ่าง อสนีบาตคำรณ’ ให้กับแก่นของยันต์
แผ่นหนึ่งคือยันต์มังกรโปรยพิรุณ เกล็ดของเจียวหลงที่วาดเอาไว้เห็นเด่นชัด แม้กระทั่งหนวดของราชามังกรก็ยังชัดเจน
อีกแผ่นหนึ่งคือยันต์เลิกคิ้ว แต่กลับวาดเป็นกระบี่บินเล่มหนึ่ง ด้านในซ่อนปณิธานกระบี่เอาไว้อย่างเปี่ยมล้น พลังการพิฆาตเทียบเท่ากับกระบี่บินเล่มหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง
สังหารอวี๋เจินอี้ แน่นอนว่าหวงซ่างไม่คิดจะเหนียวต้นทุน ถึงอย่างไรก็ต้องได้กำไรกลับมาอยู่แล้ว
เถาเสียหยางน้ำลายสออยากได้กระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังอวี๋เจินอี้เล่มนั้น แม้ว่าจะเป็นวัตถุตระกูลเซียนบนภูเขา แต่หากปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธมีศาสตราวุธเหมาะมือเพิ่มมาอีกสักชิ้น ใครเล่าจะรังเกียจว่ามีมากเกินไป
เพียงแต่ว่าผลประโยชน์ที่แบ่งกันไว้ชั่วคราวคือเถาเสียหยางฆ่าคน ตัดหัวของอวี๋เจินอี้ หวนอินเอากระบี่ไป ส่วนหวงซ่างเอากวานเต๋าชิ้นนั้นไป
กระบี่ยาวที่อวี๋เจินอี้สะพายไว้ในตอนนี้คือกระบี่ยาวตกทอดที่อวี๋เจิ้นอี้ช่วงชิงมาได้จากการร่วมมือกับจ้งชิวสังหารเจ๋อเซียนในอดีต สองข้างของตัวกระบี่แบ่งออกเป็นแกะสลักเจ็ดคำว่า ‘ปรมาจารย์ใหญ่หนันหัวจ้งสุ่ย’ ‘ไม้ภูเขาจงใจเที่ยวอย่างเสรี’ กระบี่ยาวมีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคม ด้อยกว่ากวานเต๋าสีเงินชิ้นนั้น
หวงซ่างชำเลืองตามองกวานเต๋าบนศีรษะของหลัวเจินอี้ อยากครอบครองมันมานานมากแล้ว เพียงแต่เดิมทีหวงซ่างคิดว่าชีวิตนี้คงยากที่จะได้พบเห็นกวานเต๋าชิ้นนี้อีก ยิ่งไม่ต้องวาดฝันว่าจะเก็บมันมาไว้ในกระเป๋าเลย คิดไม่ถึงว่าโชควาสนาบนโลกใบนี้จะลี้ลับมหัศจรรย์จนเกินบรรยายถึงเพียงนี้ ตนไม่เพียงแต่ได้เห็นกวานเต๋ากับตาตัวเอง ยังมีโอกาสที่จะเอามันมาวางไว้บนศีรษะกับมือตัวเอง เพียงแต่พอคิดถึงตรงนี้หวงซ่างก็รีบเก็บความคิดกลับคืนมาทันใด ต่อให้ตนได้มาครองก็ควรจะมอบให้กับอาจารย์ถึงจะถูก ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นอาจารย์ที่อารมณ์ดีอาจมอบมันให้กับตนก็เป็นได้ แต่หากอาจารย์ไม่ยินดี หวงซ่างก็ไม่กล้าคิดเกินเลยแม้แต่น้อย ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งสามคน หวงซ่างถือว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์สำรวมตนที่สุดแล้ว แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นพวกมีนิสัยอำมหิตอะไร เพียงแต่ว่าเป็นราชครูมานานหลายปี ยิ่งนานจึงยิ่งตัดสินใจสังหารคนได้อย่างเด็ดขาด
กวานดอกบัวสีเงินชิ้นนี้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่มากในพื้นที่มงคลดอกบัว ในฐานะสมบัติหนักซึ่งเป็นโชควาสนาตระกูลเซียนที่ใหญ่ที่สุดของพื้นที่มงคล เจ้าของคนแรกสุดก็คือจูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธที่ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวสังหารคนเก้าคน ตอนที่จูเหลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มถูกขนานนามให้เป็นเจ๋อเซียน เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ กวานเต๋าชิ้นนี้ อันที่จริงช่วยเพิ่มเติมสีสันให้กับจูเหลี่ยนไม่น้อย จากนั้นตอนอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ก่อนที่ร่างจะตายดับ จูเหลี่ยนได้โยนมันให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หวังมาเก็บตกของดีโดยหลบซ่อนตัวอยู่ที่ริมขอบของสนามรบ คนผู้นั้นชื่อว่าติงอิง
รวบรวมลัทธิมารให้เป็นปึกแผ่น ใต้หล้าไร้ศัตรู จากนั้นค่อยยกตำแหน่งให้ผู้อื่น กลายเป็นเจ้าลัทธิไท่ซ่างของลัทธิมาร ตอนนั้นติงอิงอาศัยความกล้าหาญและโชควาสนาเก็บตกของดีที่ใหญ่เทียมฟ้ามาได้ทีเดียวสองชิ้นรวด หนึ่งคือหัวสวยๆ ของจูเหลี่ยน อีกหนึ่งก็คือกวานดอกบัวสีเงินชิ้นนี้ ทั้งได้รับโชคชะตาบู๊แล้วยังได้รับโชคแห่งเซียน รอกระทั่งติงอิงตายไป สุดท้ายมันก็มาอยู่ในมือของอวี๋เจินอี้ ดังนั้นกวานดอกบัวชิ้นนี้จึงแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์แทนตัวของบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าของพื้นที่มงคล
เรื่องที่หวนอินคิดก็คือทำอย่างไรถึงจะใช้วิชาลับวิถีผีที่อาจารย์ถ่ายทอดให้มาดึงจิตวิญญาณของอวี๋เจินอี้ออกมา แล้วเอามาหลอมเป็นหุ่นเชิดจิตหยิน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าข้างกายตนมีข้ารับใช้เซียนดินคนหนึ่งเพิ่มมา หวนอินยังคงชอบความรู้สึกที่ได้ควบคุมคนอื่น หมื่นเรื่องหมื่นสรรพสิ่งล้วนเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใยอยู่ในมือตนมากกว่า เขาจึงไม่ใคร่จะสนใจการเข่นฆ่าที่จริงจังมากนัก แน่นอนว่าหากต้องลงมือฉกชิงผลประโยชน์จริงๆ หวนอินก็ไม่มีทางทำตัวเลอะเลือนแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นการล้อมสังหารอวี๋เจินอี้ในวันนี้
อวี๋เจินอี้พลันขยับตัว ก้าวหนึ่งก้าวออกไปจากสะพานไม้ กระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังออกมาจากฝักด้วยตัวเอง พุ่งทะยานรวดเร็วราวกับสายฟ้า ขี่กระบี่เผ่นหนีไปไกลในทันที
“อวี๋เจินอี้ผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่ทันจะได้สู้ก็เผ่นหนีเสียแล้ว แพร่ออกไปคงไม่มีใครเชื่อ” เถาเสียหยางหัวเราะเสียงดังลั่นไม่หยุด หยิบเอายันต์ย่อพื้นที่ปึกหนึ่งที่อาจารย์มอบให้ออกมา แต่กลับพุ่งไปยังทิศทางที่ตรงกันข้ามกับอวี๋เจินอี้
หวงซ่างเรียกเรือยันต์ลำหนึ่งออกมา หวนอินทำมุทรากระบี่ รวบรวมแสงเรืองรองบนภูเขามาเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่ขี่กระบี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ร่วมกับศิษย์พี่อย่างหวงซ่างตามไปไล่ฆ่าอวี๋เจินอี้
ศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนปรึกษากันไว้เรียบร้อยนานแล้ว บนสนามรบทุกแห่งของวันนี้ล้วนต้องรับรองว่าจะต้องมีศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างน้อยสองคนร่วมแรงกันรับผิดชอบสังหารอวี๋เจินอี้ อีกคนหนึ่งคอยคุมหลังอยู่ไกลๆ จะไม่ยอมให้อวี๋เจินอี้มีโอกาสได้ฝ่าการโจมตีไปได้เด็ดขาด
การต่อสู้อันโหดเหี้ยมแต่ละจุดต่อจากนั้น ต่อให้ไม่มีขอบเขตหยกดิบ รายล้อมไปด้วยอันตรายมากแค่ไหน และตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมมากเท่าไร อวี๋เจินอี้กลับยังคงใช้เวทคาถาของผู้ฝึกตนที่มีมากมายนับไม่ถ้วน ใช้วิธีการฝ่าทางตันที่น่าเหลือเชื่อมาช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งให้ตัวเองได้ครั้งแล้วครั้งเล่า อวี๋เจินอี้ใช้ขอบเขตของผู้ฝึกยุทธเดินทางไกล บวกกับกระบี่ประจำกายหนึ่งเล่มและกวานเต๋าหนึ่งชิ้น สามารถหนีพ้นการล้อมโจมตีมาได้สำเร็จหลายสิบครั้ง พอหนีห่างไปไกลก็ถูกไล่ตามมาฆ่า ก่อนจะอำพรางลมปราณ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำที่เงียบสงบห่างไกลของภูเขาฝูหรง จากนั้นก็ถูกหวนอินตามหาเบาะแสมาพบ ร่วมมือกับหวงซ่างใช้เวทเปิดขุนเขาข้ามน้ำมาทำลายเวทอำพรางตาของเขา แล้วก็หนีไปอีก ทั้งรบทั้งถอย ตั้งแต่ต้นจนจบอวี๋เจินอี้ไม่เอ่ยอะไรสักคำ กลับเป็นเถาเสียหยางที่เปิดเผยความโหดเหี้ยมออกมาจนสิ้น ต่อสู้อย่างเต็มคราบ พอหาโอกาสพบก็ยอมที่จะใช้หนึ่งดาบแลกกับหนึ่งกระบี่ของอวี๋เจินอี้อย่างไม่เสียดาย