กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 744.3 ใต้หล้าระวังฟืนไฟ
ลู่จือพลันถามว่า “ป้ายสงบสุขปลอดภัยที่หยวนชิงสู่เขียนไว้ที่ร้านเหล้า รู้หรือไม่ว่าเขียนว่าอะไร?”
เส้าอวิ๋นเหยียนส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “เรื่องนี้ข้าไม่ได้สนใจจริงๆ”
ถัวเหยียนฮูหยินชำเลืองตามองเส้าอวิ๋นเหยียน นางคลี่ยิ้มหวานเอ่ยกับลู่จือว่า “ข้ารู้ คือประโยคที่ว่า ‘ใต้หล้าแห่งนี้รู้ว่าข้าหยวนชิงสู่คือเซียนกระบี่’”
ลู่จือจ้องถัวเหยียนฮูหยินเขม็ง “เจ้ารู้จริงๆ รึ?”
ความนัยในถ้อยคำประโยคนี้ของเซียนกระบี่ใหญ่หญิงท่านนี้ก็คือ รายงานขุนเขาสายน้ำที่ชวนให้คนหงุดหงิดใจอย่างถึงที่สุดเหล่านั้นจะมาทดแทนการออกกระบี่โดยไม่เสียดายว่าจะเป็นหรือตายของหยวนชิงสู่ที่ต่างบ้านต่างเมืองได้หรือ?!
ใบหน้าของถัวเหยียนฮูหยินเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ตอนนี้บ่าวจำได้แล้ว รู้จริงๆ เจ้าค่ะ”
คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดยาวสีขาวหิมะคนหนึ่งพลันปรากฎกาย มายืนอยู่ข้างกายลู่จือ เอ่ยว่า “หวงถงรบตายที่สนามรบขุนเขาใต้ของแจกันสมบัติทวีป”
ลู่จือที่การฝึกกระบี่ในชีวิตนี้น้อยครั้งนักที่จะมีอารมณ์กลัดกลุ้มกังวล เวลานี้กลับอดถอนหายใจไม่ได้ หันหน้ามองไปทางแจกันสมบัติทวีป
ฉีถิงจี้ยื่นมือไปคว้ารายงานขุนเขาสายน้ำที่ลอยตามลมไปไกลฉบับนั้นมาไว้ในมือ พลิกอ่านดูแล้วเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ที่ต่งซานเกิงดื่มเหล้าเลี้ยงส่งเป็นครั้งสุดท้าย ดูเหมือนว่าจะเป็นเซียนกระบี่ถงหวงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยผู้นี้”
ฉีถิงจี้เองก็โยนรายงานนั่นทิ้งไป สองมือไพล่หลัง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “รอดูเถอะ หากปล่อยให้โจวมี่สมใจปรารถนา ใต้หล้าไพศาลแพ้สงครามยังพูดได้ง่าย ทุกเรื่องล้วนไม่ต้องหวัง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก แต่หากรบชนะขึ้นมา พวกบัณฑิตครึ่งๆ กลางๆ ที่มีจำนวนไม่น้อยเหล่านี้ยังจะต้องด่าต่อไป แล้วก็มีแต่จะด่ามันปากมากเท่านั้น แต่ละคนพูดว่า ‘รู้แต่แรก’ ด้วยสีหน้ามีชีวิตชีวา ด่าว่าเฉินฉุนอันไม่ได้เรื่อง ถึงขั้นด่าว่าแจกันสมบัติทวีปมีคนตายมากเกินไป วิธีการของซิ่วหู่ไม่มีคุณธรรมแม้แต่น้อย”
ลู่จือเงียบงันไม่ต่อคำ
พวกเขามีหน้าพูด ข้าลู่จือไม่มีหูฟัง พวกเขาอารมณ์ดีก็พอแล้ว
……
ใต้หล้ามืดสลัว
หลิ่วชีเฉาจู่ยังไม่ได้จากไป อารามเสวียนตูใหญ่ก็มีแขกอีกสองท่านจับมือกันมาเยี่ยมเยือน หนึ่งคือหมาเข้าได้คนบางคนเข้าไม่ได้ อีกหนึ่งคือแขกหายากสมชื่ออย่างแท้จริง
นักพรตซุนพลันเอ่ยอย่างเดือดดาล “สุนัขลู่เฉินผู้นี้คือขนมหนังวัวจริงๆ” (ขนมหนังวัวภาษาจีนคือขนมหนิวผี หรือก็คือขนมคอเป็ดของบ้านเรา แต่ประโยคขนมหนังวัวในที่นี้ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่หน้าด้านไร้ยางอาย)
นักพรตหญิงชุนฮุยรู้สึกปวดหัวแปลบ
เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ยกับนางว่า “จ้านหราน เจ้าไปบอกกับเขาว่าข้าไม่อยู่ในอาราม กำลังกอดคอพูดคุยกับอาจารย์เขาอยู่ในป๋ายอวี้จิงอย่างถูกคอ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่เชื่อก็ให้เขาอาศัยความสามารถบุกเข้ามาในอารามเอง ให้มาประลองบทกวีกับป๋ายเซียน ประลองวลีถ้อยคำกับซูจื่อ หากเขาเอาชนะได้ ข้าที่กล้าเดิมพันก็กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ จะไปโขกหัวให้เขานอกป๋ายอวี้จิงสามที รับรองว่าดังยิ่งกว่าตีกลองสวรรค์เสียอีก ผินเต้าให้ความสำคัญกับหน้าตาเป็นที่สุด พูดคำไหนคำนั้น คนใต้หล้าล้วนรู้ดี น้ำลายหนึ่งหยดเท่ากับตะปูหนึ่งตัว ต่อให้เขาลู่เฉินนอนหมอบงัดขึ้นมาจากพื้นก็ยังงัดไม่ออก…”
ต่งฮว่าฝูเอ่ย “เจ้าอารามผู้เฒ่าพูดจาอะไรควรระวังแรงไฟไว้สักหน่อย ที่บ้านเกิดเคยมีคนบอกว่า คำพูดก็คือการออกกระบี่ ออกแรงมากเกินไปง่ายที่เอวจะยอก แล้วยังจะถูกปราณกระบี่กรีดกางเกงขาดด้วย”
นักพรตซุนถาม “อาเหลียงพูดหรือ? คำพูดของเจ้าชาติสุนัขผู้นี้มีนัยให้ขบคิดจริงๆ เสียด้วย”
ต่งฮว่าฝูอืมรับหนึ่งที
นักพรตผู้เฒ่าพลันลูบหนวดครุ่นคิดหนัก “หากมีแค่ลู่เฉินยังพูดง่าย ข้างกายเขายังมีผีทวงหนี้ที่ชอบใส่ร้ายคนอื่นติดตามมาด้วย แบบนี้ค่อนข้างจะยุ่งยากแล้ว”
ใต้หล้ามืดสลัว นอกจากป๋ายอวี้จิงแล้ว สำนักบนยอดเขาทั้งหลายอย่างอารามเสวียนตูใหญ่ ตำหนักสุ้ยฉูนี้ มีน้อยจนนับนิ้วได้
เจ้าตำหนักสุ้ยฉูอู๋ซวงเจี้ยง ปิดด่านครั้งสุดท้ายก็เงียบหายไปนานหลายปี ในที่สุดก็ออกจากด่าน
เนื่องจากไม่ถามเรื่องราวทางโลกมาหลายร้อยปี เป็นเหตุให้อู๋ซวงเจี้ยงหลุดออกจากลำดับสิบคนของใต้หล้ามืดสลัวที่เป็นอันดับใหม่ล่าสุด
ครั้งนี้อู๋ซวงเจี้ยงเก็บภาพบรรยากาศรอบกายเอาไว้ เป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนอารามเสวียนตูใหญ่ด้วยตัวเอง
นักพรตซุนต้องปวดหัวแน่อยู่แล้ว อู๋ซวงเจี้ยงผู้นี้นิสัยร้ายกาจไร้เหตุผลจนเกินกว่าเหตุ เวลาดีก็ดีใจหาย เวลาร้ายก็ร้ายสุดๆ
คนที่สามารถทำให้ซุนไหวจงรู้สึกปวดหัวได้มีอยู่ไม่มาก ยกตัวอย่างเช่นอย่างน้อยอีกฝ่ายก็สามารถสู้ได้ สู้ได้เก่ง ไม่อย่างนั้นเจ้าอารามผู้เฒ่าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคน ‘นิสัยดี’ ผู้นี้ ป่านนี้ก็คงสั่งสอนอีกฝ่ายไปนานแล้วว่าเป็นคนควรทำตัวอย่างไร
นักพรตซุนอดไม่ไหวถามว่า “จ้านหราน อาจารย์ของเจ้าคัดคัมภีร์หวงถิงร้อยรอบไปถึงไหนแล้ว?”
นักพรตหญิงชุนฮุยกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าอาราม ข้ายังไม่มีเวลาไปบอกเลยไม่ใช่หรือ?”
นักพรตซุนเดือดดาลอย่างหนัก “เป็นถึงขอบเขตเซียนเหรินผู้ยิ่งใหญ่ วันๆ กลับชอบเอาแต่จับเงินเหรียญทองแดง จับหญ้าซือฉ่าว (หญ้าที่เอาไว้ใช้ในการทำนาย) แล้วยังเชี่ยวชาญการทำนายฝันเป็นที่สุด เจ้าตำหนักอู๋อุตส่าห์เดินทางมาเยี่ยมเยือนก็ควรจะเตรียมของขวัญหนักไว้แต่เนิ่นๆ แค่นี้ยังคำนวณไม่ถึง ยังทำนายไม่แม่น? คนนอกไม่ได้พูดกันหรอกหรือว่าอาจารย์ของเจ้า ‘มีญาณสัมผัส ทำนายฟ้าดินแม่นยำ’ มาตั้งนานแล้วน่ะ? ยังกล้าบอกว่าคนที่สามารถอ่านกลุ่มคัมภีร์ระดับสูงได้ทะลุปรุโปร่งอย่างแท้จริง มีแค่สองคน เขาถือเป็นคนหนึ่งในนั้น โจวจื่อบวกกับลู่เฉินถึงจะถือว่าเป็นคนเดียว? ความสามารถไม่มาก คุยโวโอ้อวดไม่เบา นี่มันเสนียดชั่วร้ายจากไหนกัน ทำร้ายให้หลายปีมานี้ทุกครั้งที่ข้าได้เห็นศิษย์หลานอย่างเขาเหมือนเห็นศิษย์พี่ นึกอยากจะเป็นฝ่ายคารวะเขาก่อนเสียทุกครั้ง”
ชุนฮุยไร้คำพูดตอบโต้ ควรเคารพผู้สูงศักดิ์ ทั้งเพื่ออาจารย์ผู้มีพระคุณ และยิ่งเพื่อเจ้าอาราม นางจึงพูดอะไรมากไม่ได้ ก็ทนฟังไปแล้วกัน ไม่อย่างนั้นยังจะทำอย่างไรได้อีก อารามเต๋าบ้านตนก็มีขนบธรรมเนียมเช่นนี้เอง
ต้องรู้ว่าถ้อยคำสรรเสริญเยินยอไพเราะเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าอารามผู้เฒ่าท่านผู้อาวุโสเองทั้งนั้นที่เอาไปโม้ให้สหายบนภูเขาฟังส่งเดช อาจารย์ของนางชุนฮุยแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคนสำรวมระมัดระวัง ไหนเลยจะกล้าชมตัวเองเช่นนี้
ด้วย ‘ความหวังดี’ นี้ บรรพจารย์เจ้าอารามบ้านตนจึงช่วยคุยโว้โอ้อวดแทนผู้เยาว์บ้านตัวเอง ตอนนั้นพอชุนฮุยได้ยินอาจารย์เล่าให้ฟังก็เหงื่อหลั่งท่วมตัว
และบนเส้นทางการฝึกตนต่อจากนั้น ทุกครั้งที่อาจารย์ออกเดินทางไกลจะต้องพบเจออุปสรรคมากมายจริงดังคาด มีข่าวลือเล็กๆ บอกว่าลู่เฉินเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงบอกว่าจะต้องขอความรู้จากอาจารย์ของชุนฮุยให้จงได้ ดังนั้นจึงได้ตั้งใจจ้างให้คนมาคอยนั่งเฝ้าอยู่ในอาณาเขตของอารามเต๋าโดยเฉพาะ ขอแค่ผู้ถ่ายทอดมรรคาของชุนฮุยออกมาจากประตู ระหว่างเส้นทางของการเดินทางไกลก็จะต้องเจอคนมาจงใจหาเรื่องที่ไม่เล็กไม่ใหญ่อย่างแน่นอน
อาจารย์ผู้มีพระคุณของชุนฮุยเชี่ยวชาญการทำนายความฝันมากเป็นพิเศษ สถานที่ฝึกตนของเขาแขวนม้วนภาพไว้ภาพหนึ่ง เนื้อหาที่เขียนไว้ในม้วนภาพเป็นเรื่อง ‘ฝันร้าย’ ของจักรพรรดิ ขุนนาง ปัญญาชนและชาวบ้านทั่วไป นางเคยได้ยินอาจารย์เล่าให้ฟังถึงบัณฑิตนามว่าเจี่ยเซิงคนหนึ่งที่มาจากใต้หล้าไพศาล ตอนที่ชุนฮุยเด็กมากก็เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีความรู้ยิ่งใหญ่สักเท่าไร ไม่รู้ว่าเหตุใดอาจารย์ถึงให้ความสำคัญมากนัก ชุนฮุยรู้สึกแค่ว่าโอรสสวรรค์ฝันร้ายจึงฝึกตน หมอฝันร้ายจึงมาเป็นขุนนาง อันที่จริงก็สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีของใต้หล้ามืดสลัวอย่างมาก
น้ำเสียงหนึ่งถึงกับฝ่าตราผนึกขุนเขาสายน้ำหลายชั้นของอารามเต๋าเข้ามาดังในทะเลสาบหัวใจของทุกคน “เจ้าอารามซุนอยู่หรือไม่อยู่ ล้วนไม่มีปัญหา ข้ามาหาหลิ่วชีเฉาจู่”
นักพรตซุนหลุดหัวเราะพรืดหนึ่งที ไม่เห็นบุคคลอันดับห้าอยู่ในสายตาเลยจริงๆ ใช่ไหม
แต่หลิ่วชีกลับปฏิเสธไม่ให้นักพรตซุนกับซูจื่อออกไปนอกประตูด้วยกัน จึงได้แต่บอกลาจากไปพร้อมกับเฉาจู่ ไปพบเจ้าอารามตำหนักสุ้ยฉูท่านนั้น
อู๋ซวงเจี้ยงมีรูปโฉมเป็นชายวัยกลางคน หน้าตาธรรมดา แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ภาพบรรยากาศที่ปรากฎออกมาด้านนอกของเจ้าตำหนักผู้นี้ ด้านหลังมีกายธรรมที่สูงเท่าตัวคน เรือนกายล่องลอย ทับซ้อนกับร่างจริง แต่ก็มีความต่างเล็กน้อย นี่ยิ่งทำให้ภาพผิดปกตินี้เด่นชัด มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของกายธรรม รู้เพียงสวมชุดเทียนอีสีชาด ผูกผ้าคาดหัวสีม่วง ยืนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก
เห็นได้ชัดว่าอู๋ซวงเจี้ยงอยู่ในสถานการณ์เฉพาะตัวของคนที่เท้าข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในขอบเขตสิบสี่ในตำนานแล้ว แต่กลับยังไม่ได้เลื่อนสู่ขอบเขตนี้อย่างแท้จริง
ตามหลักแล้วเวลานี้อู๋ซวงเจี้ยงไม่ควรออกมาจากตำหนักสุ้ยฉู แต่ในเมื่ออู๋ซวงเจี้ยงมาแล้วก็ย่อมไม่มีทางเป็นเรื่องเล็กอย่างแน่นอน
ประสบการณ์การฝึกตนในชีวิตนี้ของอู๋ซวงเจี้ยงเต็มไปด้วยสีสันตระการตา
ดังนั้นในบรรดาคนสิบคนสำรองของคนรุ่นเยาว์ คนโชคดีที่แซ่อู๋เหมือนกันผู้นั้นถึงได้พึ่งใบบุญ มีคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘อู๋เล็กใหญ่’
อู๋ซวงเจี้ยงพบหน้าก็เอ่ยเข้าประเด็นทันที “ข้าต้องการยืมใช้สมุดชะตาครองคู่ครึ่งหนึ่งนั้นหน่อย”
เขารู้สถานที่ซ่อนตัวของคู่รักตัวเองแล้ว ครึ่งหนึ่งอาศัยการอนุมานของตัวเอง อีกครึ่งหนึ่งอาศัยข่าวที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยของภูเขาห้อยหัวนำกลับมา
นางเป็นทั้งจิตมารที่จำแลงมาจากความตั้งใจของคู่รักอู๋ซวงเจี้ยง แล้วก็เป็นทั้งเทวบุตรมารนอกโลกที่อู๋ซวงเจี้ยงซึ่งออกเดินทางไกลไปฟ้านอกฟ้าจับกักขังไว้ในทะเลสาบหัวใจด้วยตัวเอง อู๋ซวงเจี้ยงใช้วิชาอภินิหารเลิศล้ำเป็นเอกที่ผิดต่อหลักคุณธรรมใหญ่นี้มาทำให้คู่รัก ‘มีชีวิต’ อยู่ในใจของตัวเอง
แต่ในช่วงเวลาอันเป็นกุญแจสำคัญที่อู๋ซวงเจี้ยงปิดด่านเป็นตาย พยายามจะฝ่าทะลุขอบเขต ‘นาง’ ที่วางแผนมานานหลายปี ในที่สุดก็หาโอกาสพบแล้วฉวยจังหวะหลบหนีไป
สุดท้ายไปซ่อนตัวอยู่ในชายแขนเสื้อของนักพรตเต๋าคนหนึ่งของอารามเสวียนตูใหญ่ แล้วไปอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลด้วยกัน
ดังนั้นอู๋ซวงเจี้ยงจะมีความรู้สึกที่ดีหรือร้ายต่ออารามเสวียนตูใหญ่ แค่คิดก็พอจะรู้ได้
การที่เจ้าอารามผู้เฒ่ารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้ายามเผชิญหน้ากับอู๋ซวงเจี้ยง ไหนเลยจะไม่มีความรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะรวมอยู่ด้วย ส่วนเรื่องที่ลืมแท่นฝึกหมึกที่ยืมก็ไม่ได้ยืมไปนั้น นั่นเรียกว่าเป็นเรื่องได้หรือ? เจ้าตำหนักอู๋มือเติบใจป้ำ ตำหนักสุ้ยฉูได้ครอบครองถ้ำสวรรค์ใหญ่แห่งหนึ่ง ในมือยังกุมพื้นที่มงคลไว้อีกสองแห่ง จะขาดของเล่นแบบนี้หรือ?
ลู่เฉินที่อยู่ด้านข้างยกสองมือขึ้น “เรื่องในวันนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ยิ่งไม่คิดจะมีเอี่ยวด้วย”
เขากับอู๋ซวงเจี้ยงเป็นเพื่อนรักกัน แล้วก็สนิทสนมกับหลิ่วชีหลางเป็นอย่างดี ความสามารถในการจับคู่ยวนยางส่งเดชของลู่เฉินก็เรียนรู้มาจากเฉาหยวนฉ่ง
หลิ่วชีส่ายหน้าเอ่ย “เจ้าตำหนักอู๋น่าจะรู้ความจริง เหตุใดยังต้องทำให้คนอื่นลำบากใจ”
เพราะหากตอบตกลง ก็เท่ากับว่าเฉาจู่จะต้องกลายเป็นนักโทษของตำหนักสุ้ยฉู
หลิ่วชี คือขอบเขตบินทะยานที่แท้จริง
แต่สหายรักอย่างเฉาจู่กลับไม่ใช่ คือ ‘บินทะยานปลอม’ ที่เดิมทีมหามรรคาเสื่อมโทรมจนมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ก่อนที่เฉาจู่จะออกเดินทางไกล ขอบเขตที่แท้จริงได้หยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตหยกดิบมาโดยตลอด ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่ขอบเขตเซียนเหรินด้วยซ้ำ หลิ่วชีที่ได้รับสมุดชะตาครองคู่มาครึ่งหนึ่งจึงได้มอบมันให้กับสหายรักเพื่อให้ใช้ผสานรวมกับมหามรรคา เนื่องจากหลอมสมุดชะตาครองคู่ได้สำเร็จ เฉาจู่จึงได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนเหริน ร่างจริงจึงถูกหลิ่วชีเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ ใช้ภาพมายาในการบินทะยาน หลิ่วชีเปิดแหวกม่านฟ้า เฉาจู่ตามติดมาด้านหลัง จับมือกันบินทะยานมายังใต้หล้ามืดสลัว ไม่เพียงเท่านี้ พื้นที่มงคลสือไผแห่งนั้นก็ยิ่งเป็นสถานที่ฝึกตนที่หลิ่วชีสร้างไว้เพื่อสหายรักโดยเฉพาะ นี่ก็เพื่อให้เฉาจู่ได้ยืมใช้โชคชะตาบุ๋นมาเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานได้สำเร็จ
ทว่าความสามารถในการต่อยตีของหลิ่วชี ในบรรดาผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานหลายใต้หล้า ไม่ถือว่าต่ำเลยสักนิด ถึงขั้นยังพูดได้ว่าค่อนข้างสูง
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เข้าใจความลี้ลับของ ‘ขอบเขตรั้งคน’ อย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าคนบนโลกให้ความสำคัญกับความสามารถและบทความของหลิ่วชีหลางมากกว่า
หากหลิ่วชีสามารถหลอมสมุดชะตาครองคู่ครึ่งหนึ่งนั้นได้เอง ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจมีขอบเขตสิบสี่เพิ่มมาอีกคนหนึ่งสำหรับหลายใต้หล้าแล้วก็เป็นได้
การผสานมรรคาของขอบเขตสิบสี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ซูจื่อนั้นเป็นเพราะมีป๋ายเซียนนำอยู่เบื้องหน้ามาก่อนแล้ว มหามรรคาจึงขาดสะบั้นเพราะเหตุนี้ สุดท้ายหยุดอยู่ที่ขอบเขตบินทะยาน เพียงแต่ว่าซูจื่อมีนิสัยใจกว้างเปิดเผย มองได้กระจ่างก็เท่านั้น
อู๋ซวงเจี้ยงกล่าว “บอกแล้วว่า ‘ยืม’ ข้าไม่ใช่คนบางคนเสียหน่อยที่ชอบยืมแล้วไม่คืน”
วันนี้ไม่ทันระวัง พรุ่งนี้ไม่ยอมรับ วันมะรืนโยนความผิดให้คนอื่น พูดจาใส่ร้ายด่าสาดเสียเทเสีย
ในอดีตอู๋ซวงเจี้ยงเคยพูดจาจริงใจกับเจ้าอารามซุนครั้งหนึ่ง นักพรตเฒ่าโมโหหนัก กระทืบเท้าพูดอยู่ในตำหนักสุ้ยฉูว่าข้าเป็นคนแบบนั้นหรือ? จะดีจะชั่วก็เป็นถึงเจ้าอาราม พอจะมีมรรคกถาอยู่บ้าง พอจะมีชื่อเสียงอยู่เล็กน้อย เจ้าอย่าใส่ร้ายข้า ข้าคนนี้ทนการซ้อมตีได้ มีเพียงความอยุติธรรมเท่านั้นที่ทนรับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว…
อู๋ซวงเจี้ยงบอกว่าเจ้าต้องเป็นคนแบบนั้นแน่อยู่แล้ว
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงไปตีกันที่ฟ้านอกฟ้าอย่างดุเดือด เป็นเหตุให้โลกภายนอกพูดกันไปหลากหลาย พวกคนที่ชอบยุ่งกับเรื่องคนอื่นยังพูดไปว่าเป็นการช่วงชิงกันบนมหามรรคา แต่อันที่จริงสาเหตุไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น
หลิ่วชียังคงส่ายหน้า “ข้ากับหยวนฉ่งมาที่นี่ด้วยกัน แน่นอนว่าก็ต้องกลับบ้านเกิดไปพร้อมกัน”
สีหน้าของอู๋ซวงเจี้ยงเฉยชา “พวกเจ้ามา ไม่ได้ถามข้า พวกเจ้าจะจากไป ต้องถามข้าก่อน ฉวยโอกาสนี้เอามาชดเชยแก้ไขเรื่องมารยาท หากตีกันจนขวดไหของอารามเสวียนตูใหญ่แตกพังไปหมด ข้าจะเป็นคนชดใช้ให้เอง”
หลิ่วชียิ้มกล่าว “ในเมื่อเจ้าตำหนักอู๋ลุ่มหลงในรักขนาดนี้ สมุดชะตาครองคู่ครึ่งหนึ่งนี้ ข้าว่าคงไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว”
อู๋ซวงเจี้ยงกล่าว “เจ้าไม่ใช่คนตัดสินใจ”
จู่ๆ เฉาจู่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยู่ต่อก็ได้”
ลู่เฉินที่อยู่ด้านข้างทอดถอนใจด้วยเสียงแผ่วเบา “วิญญูชนบนโลกช่างน่าสงสารยิ่งนัก!”
ตรงหน้าประตู นักพรตซุนเพิ่งจะปรากฏกาย ข้างกายมีต่งฮว่าฝูที่เดิมทีควรจะฝึกกระบี่อยู่ในนครเสินเซียวของป๋ายอวี้จิงติดตามมาด้วย เจ้าอารามผู้เฒ่าทนเจ้าอู๋ซวงเจี้ยงผู้นี้ไม่ไหวจริงๆ คิดจะโอ้อวดบารมีก็ไปที่อื่นสิ อย่ามาส่งเสียงเอะอะอยู่ที่หน้าประตูบ้านข้า หากไม่ตีกันสักรอบคงไม่ได้แล้ว ลู่เฉินเองก็อยู่ที่นี่พอดีด้วย เดิมทีเจ้าหมอนี่ควรจะนั่งเฝ้าพิทักษ์อยู่นอกฟ้า ไม่ต้องให้เขาและอู๋ซวงเจี้ยงแหวกม่านฟ้าเองเลยด้วยซ้ำ สามารถประหยัดแรงไปได้บางส่วน
คิดไม่ถึงว่าลู่เฉินผู้นั้นจะยกมือขึ้น ใช้ความเร็วราวกับฟ้าผ่าไม่ทันได้ป้องหูโยนแกนม้วนภาพหนึ่งเข้าไปด้านในกำแพงสูงของอารามเต๋า พอโยนเสร็จก็ชักเท้าออกวิ่ง ไม่ลืมหันมาตะโกนว่า “ต่งถ่านดำ รีบกลับบ้านเร็วๆ ด้วยล่ะ วันหน้าหากข้านักพรตน้อยมีเวลาว่างจะสอนเจ้าวาดยันต์”
ต่งฮว่าฝูเอ่ย “ไม่เรียน”
ลู่เฉินหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
นักพรตซุนโบกมือ บอกเป็นนัยแก่ชุนฮุยที่อยู่ข้างกายว่าไม่ต้องตื่นเต้น ลู่เฉินผู้นั้นไม่ได้เล่นลูกไม้อะไร
นักพรตเฒ่าหยิบม้วนภาพนั้นมาจากมุมกำแพง คลายเชือกออก ม้วนภาพก็คลี่ออกด้วยตัวเอง
เจ้าอารามผู้เฒ่าด่าขำๆ ไปคำหนึ่ง
คือ ‘ภาพทำพิธีในเปลือกหอย’ ที่ไม่รู้ว่าลู่เฉินผู้นั้นไปคาบมาจากไหน
ต่งฮว่าฝูยืดคอยาวมาดู ตัวอักษรมีอยู่เยอะมาก เขาอ่านตามไปว่า “บนโลกมีคนจำนวนน้อยนิดที่ใช้ขอบเขตเล็กๆ ถึงขั้นประกอบพิธีการทางศาสนาพิธีใหญ่อยู่ในเปลือกหอย แล้วยังมีพ่อครัวใหญ่ยกอาหารอุดมสมบูรณ์ออกมาวางเต็มโต๊ะ เจ้าบ้านและแขกนั่งกันอยู่เต็มโถง ผู้ที่มองอยู่ด้านข้างก็อิ่มเอมใจไปด้วย…”
เด็กชายสวมหมวกหัวเสือคนหนึ่งยืนอยู่บนธรณีประตู เอาแต่มองมาทางอู๋ซวงเจี้ยง
อู๋ซวงเจี้ยงสบตากับอีกฝ่ายแล้วพลันคลี่ยิ้มกว้าง “หากในอนาคตป๋ายเหย่ยินดีไปเยือนใต้หล้าไพศาลกับข้า วันนี้สมุดชะตาครองคู่ครึ่งเล่มจะอยู่หรือจะไป ข้ายังไงก็ได้ รอได้ไหว”
ป๋ายเหย่พยักหน้ารับ “ตามใจ”
อู๋ซวงเจี้ยงพึมพำกับตัวเอง “ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงได้ชื่นชอบกวีของป๋ายเหย่ ดีขนาดนั้นจริงๆ หรือ? ข้าไม่เห็นจะรู้สึกแบบนั้นเลย”
——