กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 744.4 ใต้หล้าระวังฟืนไฟ
ปัญญาชนเคราดกสะพายหีบไม้ไผ่สวมรองเท้าสานคนหนึ่งยิ้มเอ่ย “สิ่งที่พวกเราชอบอาจไม่แน่เสมอไปว่าจะดี สิ่งที่เราไม่ชอบก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่ดี เจ้าตำหนักอู๋เห็นด้วยหรือไม่?”
อู๋ซวงเจี้ยงหน้าเปลี่ยนสี ไม่สร้างบรรยากาศตึงเครียดอีกต่อไป ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เหมือนกับนาง ข้าชื่นชมเลื่อมใสบทความของซูจื่อมานานหลายปีแล้ว”
ซูจื่อหัวเราะร่าพลางพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีจริงๆ”
นักพรตซุนพูดเสียงต่ำ “ป๋ายเหย่ ก่อนหน้านี้เฉาหยวนฉ่งเลื่อมใสเจ้า เวลานี้เจ้าตำหนักอู๋เลื่อมใสซูจื่อ ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าแพ้ไปครึ่งระดับกันล่ะ? เพราะถึงอย่างไรขอบเขตของเจ้าตำหนักอู๋ก็สูงกว่าเล็กน้อย”
ป๋ายเหย่เพียงแค่หมุนตัวเดินตรงดิ่งกลับไปยังสถานที่ฝึกตน
ส่วนอู๋ซวงเจี้ยงนั้นไปท่องม่านฟ้าอย่างสบายอุราพร้อมกับพวกซูจื่อสามคน
ซูจื่อเก็บสาวใช้เตี่ยนซูและเด็กรับใช้จั๋วอวี้กลับมา ส่วนหลิ่วชีก็ให้สหายรักอย่างเฉาจู่เข้ามาอยู่ในจักรวาลชายแขนเสื้อโดยตรง เห็นได้ชัดว่ายังคงไม่เชื่อใจเจ้าตำหนักอู๋ผู้นี้
บ่อน้ำด้านนอกกระท่อม
ป๋ายเหย่เดินเนิบช้าไปพร้อมกับเจ้าอารามผู้เฒ่า
ป๋ายเหย่เอ่ย “อันที่จริงเจ้าอารามไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้”
บ่อน้ำที่มีป่าท้อล้อมรอบ รวมไปถึงภูเขาลูกเล็กห่างไปไกลที่คล้ายจะเป็นสวนดอกไม้ภูเขาจำลองนั้น อันที่จริงล้วนเป็นขุนเขาสายน้ำขนาดจิ๋วที่นักพรตซุนร่ายวิชาอภินิหารออกมา น้ำลึกอย่างยิ่ง ภูเขาสูงอย่างมาก อีกทั้งกวางขาวตัวหนึ่งที่เกิดจากการจำแลงของกระบี่ยาวที่ดีมากเล่มหนึ่งก็คอยเฝ้าอยู่ตรงหน้าผาตลอดเวลา บนร่างของกวางขาวสวมชุดคลุมอาคมสีเขียว บ่อน้ำมีชื่อว่าบ่อดอกท้อ กระบี่ยาวสลักชื่อ ‘กวางขาว’ ชุดคลุมอาคมมีชื่อว่า ‘ชิงหยา’ (หน้าผาเขียว)
ราวกับว่าทั้งหมดนี้เพียงแค่เพื่อกลอนประโยคที่ว่า ‘ปล่อยกวางขาวเลี้ยงไว้ที่หน้าผาเขียว รอต้องเดินทางไกลค่อยขี่มันไปเยือนภูเขามีชื่อเสียง’
เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ยว่า “ฟ้าดินกว้างใหญ่ถึงเพียงใด ช่วงเวลาแห่งการฝึกตนยาวนานถึงเพียงใด คนที่ทำให้ผินเต้าเคารพนับถือได้มีอยู่ไม่มากแล้ว หากจะบอกว่ายังต้องเป็นเหมือนอู๋ซวงเจี้ยง เฉาหยวนฉ่งที่ต้อง ‘เลื่อมใส’ ใครบางคน แล้วจะมีได้สักกี่คน? ป๋ายเหย่ เจ้าไม่ต้องคิดมาก หากชอบก็เอาไป ไม่ชอบก็วางไว้ ถึงอย่างไรผินเต้าก็แค่มีใจเห็นแก่ตัว อยากให้โลกมนุษย์ใบนี้งดงามมากขึ้นก็เท่านั้น”
……
เรื่องที่ทำให้คนประหลาดใจคือวันนี้หร่วนซิ่วพาต่งกู่ สวีเสี่ยวเฉียวและเซี่ยหลิงออกมาจากภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกระบี่หลงเฉวียน มายังร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีด้วยกัน
หลังจากพบกับหลิวเสี้ยนหยางแล้ว จากนั้นต่งกู่กับสวีเสี่ยวเฉียวจะต้องไปที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวทันที นั่งเรือข้ามฟากของตำหนักฉางชุนย้อนกลับไปยังอาณาเขตขุนเขาเก่าของเมืองหลวงต้าหลี ส่วนเซี่ยหลิงนั้นต้องไปหาบรรพบุรุษบ้านตนอย่างเทียนจวินเซี่ยสือแห่งลัทธิเต๋าของอุตรกุรุทวีป
เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่กินข้าวด้วยกัน หร่วนฉงผู้เป็นอาจารย์เอ่ยเตือนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายประโยคหนึ่งว่า ต้าหลีเริ่มลงมือเตรียมการช่วยสำนักกระบี่หลงเฉวียนจัดตั้งสำนักเบื้องล่างแล้ว
นี่เมื่อเทียบกับการเป็นสำนักสำรองของภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นซึ่งจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีการหยั่งรากอย่างแท้จริงแล้ว สำนักกระบี่หลงเฉวียนเรียกได้ว่าเป็นที่รักของสกุลซ่งต้าหลีสมชื่ออย่างแท้จริง
ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวพร้อมกับเซี่ยหลิงทะยานลมพลิ้วกายลงบนพื้นด้วยกัน แต่หร่วนซิ่วกลับไม่ได้เผยตัว ต่งกู่บอกว่าศิษย์พี่หญิงไปผ่อนคลายอารมณ์ที่หน้าผาหิน อีกเดี๋ยวจะเดินมาที่นี่
บนทำเนียบสำนักที่กฎเกณฑ์เข้มงวด ต่งกู่คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของหร่วนฉง ไม่รู้ว่าเหตุใดชื่อของหร่วนซิ่วถึงไม่เคยถูกบันทึกเข้าไป แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียนต่างก็เคยชินที่จะมองหร่วนซิ่วเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ แน่นอนว่าเซี่ยหลิงชอบเรียกนางว่าพี่หญิงซิ่วซิ่ว ดังนั้นการบุกเบิกสำนักเบื้องล่างครั้งนี้ ต่งกู่สามคนต่างก็รู้สึกว่าอาจารย์ต้องการให้ศิษย์พี่หญิงไปทำหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง
หลิวเสี้ยนหยางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ กำลังอ่านรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่ง ทำเอาหลิวเสี้ยนหยางที่อ่านอยู่ถึงกับกลัดกลุ้ม ดังนั้นพอพวกต่งกู่มาถึงที่ร้าน หลิวเสี้ยนหยางจึงไม่ได้เงยหน้ามามอง เพียงแค่กวักมือบอกเป็นนัยให้พวกเขานั่งลงได้ตามสบาย ถึงอย่างไรก็เป็นเขตอิทธิพลของที่บ้านอยู่แล้ว พวกต่งกู่สามคนก็ไม่รู้สึกอะไร ด้วยนิสัยของหลิวเสี้ยนหยางที่แม้แต่กับอาจารย์ก็กล้าพูดจาชวนหัวไม่เป็นจริงเป็นจัง หากกระตือรือร้นมีมารยาทกับพวกเขาต้องเป็นเพราะเจ้าหมอนี่ผิดปกติแน่นอน
สวีเสี่ยวเฉียวชำเลืองตามองรายงานที่อยู่ในมือของหลิวเสี้ยนหยางแล้วกลั้นยิ้ม
ต่งกู่ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนศิษย์น้องเซี่ยหลิง “เจ้าอดทนเอาหน่อย อีกเดี๋ยวเสี้ยนหยางจะต้องหันมาระบายอารมณ์ใส่เจ้าแน่นอน”
พูดจบก็มาทันที หลิวเสี้ยนหยางเงยหน้าขึ้นมองศิษย์น้องเซี่ยที่ตอนเด็กหน้าตานับว่างดงามแล้วถามตาปริบๆ “เจ้าจ่ายเงินไปเท่าไร?”
เซี่ยหลิงอึ้งตะลึง
สวีเสี่ยวเฉียวอธิบายว่า “ถามว่าเจ้าจ่ายเงินเทพเซียนให้กับรายงานขุนเขาสายน้ำไปมากน้อยเท่าไรถึงได้เลื่อนมาติดอันดับ ศิษย์น้องหลิวจะได้จ่ายเงินให้บ้าง”
เซี่ยหลิงเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยตอบ นั่งลงบนม้านั่งไม้ไผ่ สองมือวางทับไว้บนหัวเข่าเบาๆ ใบหน้างดงามประหนึ่งหยก ท่วงท่าดุจเทพเซียน
อยู่ที่ถ้ำสวรรค์หลีจู คนหนุ่มที่เกิดและเติบโตมาในเมืองเล็ก ส่วนใหญ่ล้วนมีรูปโฉมที่ดี
น้ำและดินของพื้นที่หนึ่งหล่อเลี้ยงคนของพื้นที่หนึ่ง นอกจากเซี่ยหลิงแห่งตรอกเถาเย่แล้ว หลินโส่วอีคนเฝ้าศาลลำน้ำใหญ่ที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลผู้ตรวจการงานเตาเผา หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ ต่างก็ขึ้นชื่อว่ามีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ยังรวมไปถึงกู้ช่านแห่งตรอกหนีผิงที่กลับคืนมาบ้านเกิดรอบหนึ่งแต่กลับเดินทางจากไปไกลอีกครั้ง
แน่นอนว่ายังมีซ่งจี๋ซินที่ทุกวันนี้กลายเป็นอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ รวมไปถึงจ้าวเหยาบัณฑิตที่มาจากตระกูลใหญ่บนถนนฝูลวี่ ล้วนเป็นคนที่หล่อเหลารูปงามตั้งแต่ตอนเป็นเด็กหนุ่มทั้งสิ้น
ช่วงนี้แจกันสมบัติทวีปทำตามกระแสนิยม บนภูเขาจึงได้ประเมินคนรุ่นเยาว์สิบคนของบ้านตัวเองออกมา อายุต้องต่ำกว่าสี่สิบปีลงไป เซี่ยหลิงผู้ฝึกกระบี่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียนจึงได้เลื่อนติดอันดับด้วย
หลิวเสี้ยนหยางก้มหน้าลงอีกครั้ง สายตาเหม่อลอย ยังคงไม่ถอดใจ พลิกรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับนั้นกลับไปกลับมา สุดท้ายก็ยังหาชื่อของตัวเองไม่พบ จึงด่ามารดาไปคำหนึ่ง เพราะปีนี้เข้าเพิ่งอายุสี่สิบเอ็ดพอดี
หลิวเสี้ยนหยางแก่กว่าเฉินผิงอันสองปี ตอนเป็นเด็กหนุ่มเวลาบอกอายุกับใครมักจะชอบบอกอายุลวง (เป็นการนับอายุในสมัยก่อนจะนับอายุเกินจริงหนึ่งปี เมื่อเกิดมาจะนับเป็นหนึ่งขวบทันที) แต่ดูเหมือนว่าพออายุมากขึ้นก็ไม่พูดถึงอายุลวงแล้ว ชอบพูดถึงแค่อายุจริงเท่านั้น
หลวเสี้ยนหยางไม่ได้ถือสาชื่อเสียงจอมปลอมเลื่อนลอยพวกนี้สักเท่าไร แต่…ถือสามาก
ข้าผู้อาวุโสอาศัยความสามารถที่แท้จริงช่วงชิงตบะและขอบเขตมาได้อย่างยากลำบาก พวกเจ้าลืมตาบอดๆ ของตัวเองดูสิ อาศัยอะไรถึงมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องอายุที่มากกว่าแค่ปีสองปีนี้? ก่อนหน้านี้รายงานสองฉบับของสิบคนรุ่นเยาว์และตัวสำรองสิบคนของหลายใต้หล้ายังมีอันดับที่สิบเอ็ดได้เลย บวกนายท่านใหญ่หลิวไปอีกคนก็เป็นแค่เรื่องของการตวัดพู่กันไม่กี่ที เงินพวกเจ้าจะหายไปหรืออย่างไร
แต่ด้วยนิสัยเช่นนั้นของช่างหร่วน ต่อให้อายุของหลิวเสี้ยนหยางสอดคล้องก็คาดว่าคงจะยกสถานะผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าหลีออกมาช่วยกดข่มไว้ให้อย่างที่หาได้ยาก
หากเป็นเช่นนี้จริง หลิวเสี้ยนหยางกลับไม่ถือสาแม้แต่น้อย ช่างหร่วนอย่างอื่นนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องนิสัยใจคอนี้ไม่อาจหาข้อตำหนิได้เลยจริงๆ
เพราะถึงอย่างไรเวทกระบี่ที่หลิวเสี้ยนหยางฝึกก็ประหลาดเกิดไป อิงตามคำกล่าวของหร่วนฉงก็คือ ก่อนจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน เจ้าหลิวเสี้ยนหยางอย่าได้รีบร้อนสร้างชื่อเสียง นี่เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วต้องมีอยู่แล้ว ได้รับโชคช้าหน่อยกลับจะดียิ่งกว่า
จะว่าไปแล้วก็แปลก แม้ว่าหร่วนฉงจะมีทั้ง ‘บ้านเดิม’ อย่างศาลลมหิมะเป็นที่พึ่ง แล้วยังใช้สถานะอริยะสำนักการทหารมาครอบครองเก้าอี้อันดับหนึ่งของผู้ถวายงานต้าหลี แต่ในความเป็นจริงแล้วหร่วนฉงกลับมีขอบเขตแค่หยกดิบมาโดยตลอด ปีนั้นก่อนที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะกรีฑาทัพลงใต้ก็ยังไม่เท่าไร แต่ทุกวันนี้ยอดฝีมือที่หลบเร้นอำพรางกาย บุคคลยิ่งใหญ่บนยอดเขาของแจกันสมบัติทวีปพากันปรากฎตัวออกมาอย่างต่อเนื่องเหมือนหินผุดหลังน้ำลด แต่กลับแทบไม่มีใครสงสัยในตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของหร่วนฉง ฮ่องเต้สองพระองค์ของต้าหลี ราชครูชุยฉาน ขุนนางบุ๋นบู๊สำคัญอย่างเสาค้ำยันแคว้นและทูตผู้ตรวจการก็มีใจตรงกันในเรื่องนี้อย่างมาก ต่างก็ไม่มีใครมีความเห็นต่าง
ซานจวินเว่ยป้อ เจ้าขุนเขาและรองเจ้าขุนเขาทั้งหลายของสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาลูกนั้นของเฉินผิงอัน ทั่วทั้งภูเขาลั่วพั่วนับตั้งแต่พ่อครัวเฒ่าไปจนถึงเผยเฉียน ไม่ว่าใครที่พบเจอหร่วนฉงก็ยิ่งเกรงใจมีมารยาท อีกทั้งยังไม่ใช่การทำอย่างขอไปทีอีกด้วย โดยเฉพาะเฉินหลิงจวินผู้นั้นที่ทุกครั้งที่เจอหร่วนฉงก็แทบไม่ต่างจากหนูเจอแมว
หลิวเสี้ยนหยางเก็บรายงานลงไป หันหน้าไปมองเซี่ยหลิงผู้นั้นแล้วทอดถอนใจพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เซี่ยหลิง เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ กระบี่เร็วฝึกได้ง่าย กระบี่ช้าฝึกได้ยาก วันหน้าจะต้องยืนหยัดให้มากๆ เข้านะ”
เซี่ยหลิงพยักหน้ารับ เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ต่งกู่กับสวีเสี่ยวเฉียวมองหลิวเสี้ยนหยางที่รอยยิ้มมีเลศนัยก่อน จากนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนค่อยหันมาสบตากัน ต่างก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
หลิวเสี้ยนหยางมองสวีเสี่ยวเฉียว หัวเราะร่าถามว่า “ศิษย์พี่หญิงสวีคิดอะไรอยู่หรือ?”
สตรีที่ไม่มีนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายยิ้มกล่าว “น่าจะคิดตรงข้ามกับศิษย์น้องหลิวกระมัง”
หลิวเสี้ยนหยางถอนหายใจ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางเกียจคร้าน
ในอดีตสกุลสวี่นครลมเย็นได้ซื้อเตาเผามังกรแห่งหนึ่งไปจากมือของตระกูลหม่าตรอกซิ่งฮวา
และหลูเจิ้งฉุนที่ผูกบำเพ็ญเพียรเป็นคู่รักเทพเซียนร่วมกับเทพธิดาคนหนึ่งจากยอดเขาฉงจือ ช่วงก่อนหน้านี้ยังจงใจสวมผ้าแพรกลับบ้านเกิดมารอบหนึ่ง
แม้แต่ซ่งปันไฉผู้นั้นยังได้เป็นอ๋องเจ้าเมือง นี่จะถกเหตุผลกับใครได้
หร่วนซิ่วออกมาจากหน้าผาหิน เดินผ่านสะพานหินโค้ง ทอดฝีเท้าเดินเนิบนาบอยู่ริมลำคลอง เซี่ยหลิงรีบลุกขึ้นยืนทันที ไปคุยเล่นกับหร่วนซิ่วสองสามคำแล้วถึงได้เดินห่างออกไปสี่ห้าก้าว ทะยานลมออกเดินทางไกล
ระหว่างทางที่มาพี่หญิงซิ่วซิ่วได้ถ่ายทอดเวทกระบี่บทหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีประวัติความเป็นมาให้แก่เขาเป็นการส่วนตัว ทำให้เซี่ยหลิงอารมณ์ดีอย่างมาก
แม้ว่าพี่หญิงซิ่วซิ่วจะเฉยชาไม่สนใจทุกเรื่องทุกสิ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะปฏิบัติกับตนแตกต่างไปอยู่บ้าง
ในความเป็นจริงแล้วหร่วนซิ่วได้สอนเวทหลอมเรือนกายของเผ่าปีศาจยุคบรรพกาลให้กับต่งกู่ไปบทหนึ่ง และยิ่งสอนเวทสั่งเทพและคาถาหลอมกระบี่ให้กับสวีเสี่ยวเฉียวไปก่อนแล้ว
ส่วนทางฝ่ายของเซี่ยหลิงนี้ ระหว่างทางที่ทะยานลมมาหร่วนซิ่วก็แค่นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้โดยบังเอิญ รู้สึกว่าดูเหมือนตนจะลำเอียงเกินไปนักไม่ได้ ถึงได้สอนเวทกระบี่บทหนึ่งให้กับศิษย์น้องที่จิตใจสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า ระดับขั้นไม่สูง เพียงแต่ว่าค่อนข้างเหมาะสมกับการฝึกตนของเซี่ยหลิง
ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวก็บอกลาไปพร้อมกัน
หร่วนซิ่วไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่พวกนั้น แต่ไปหยิบม้านั่งตัวหนึ่งจากในห้องมานั่งลง เอ่ยเสียงเบาว่า “ยินดีด้วยที่เลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางเกาหัว “อยู่ดีไม่ว่าดี ฝ่าทะลุขอบเขตไร้เหตุผล”
อันที่จริงหร่วนซิ่วรู้ความจริง นี่เกี่ยวข้องกับอาจารย์ฉีท่านนั้น แต่นางกลับไม่ได้บอกหลิวเสี้ยนหยาง
หลิวเสี้ยนหยางยื่นเมล็ดแตงกำมือหนึ่งส่งให้ หร่วนซิ่วส่ายหน้า
หลิวเสี้ยนหยางจึงแทะเมล็ดแตงของตัวเองไป จู่ๆ ก็พูดชวนคุยขึ้นมาว่า “หากแม่น้ำแห่งกาลเวลาสามารถไหลย้อนกลับได้ แม่นางซิ่วซิ่วได้หวนกลับมายังถ้ำสวรรค์หลีจูใหม่อีกรอบ ชีวิตจะมีความสุขกว่านี้หรือไม่”
หร่วนซิ่วคิดแล้วก็ตอบว่า “ไม่เคยคิดเรื่องนี้”
สตรีชุดเขียวยังคงมัดผมหางม้าเหมือนอย่างที่เคยเป็น
ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว บางครั้งก็จะมัดเป็นหางม้าแล้วบิดผมเป็นเกลียว แต่โดยภาพรวมแล้วก็คือไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า
หร่วนซิ่วกล่าว “อันที่จริงจับปลาไม่ได้ยากขนาดนั้น”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มเอ่ย “สำหรับพวกเราแล้ว ตอนเป็นเด็กค่อนข้างยาก พอโตขึ้นมาก็ดีขึ้นหน่อย ข้ากับเฉินผิงอัน และยังมีเจ้าขี้มูกยืดน้อย อันที่จริงล้วนว่ายน้ำได้ไม่เลว”
หลิวเสี้ยนหยางพลันเอ่ยว่า “ซ่งปันไฉที่ปีนั้นถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบุตรนอกสมรสของผู้ตรวจการงานเตาเผา ชื่อซ่งจี๋ซินนี้ ดูเหมือนว่าซ่งอวี้จางจะเป็นคนตั้งให้?”
หร่วนซิ่วส่ายหน้า “ไม่รู้สิ”
ไม่เคยสนใจมาก่อน
หลิวเสี้ยนหยางใช้ปลายเท้าเขียนอักษร ‘ตี้’ ลงบนพื้น จากนั้นจึงเขียนอักษร ‘ซิน’ แล้วจึงพูดกับตัวเองว่า “หลายปีที่ไปขอศึกษาต่ออยู่ในทักษินาตยทวีป ข้าชอบถามเรื่องโน้นเรื่องนี้กับอาจารย์สวี่ที่เป็นคนต่างถิ่นเหมือนกัน อาจารย์สวี่ผู้นั้นค่อนข้างจะเชี่ยวชาญการอธิบายตัวอักษร ขอแค่เอาเหล้าไปขอความรู้ มีอะไรเขาก็ต้องบอกหมดอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงเรียนรู้มาอย่างผิวเผิน ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กล้าถาม เพราะนึกสนุก ก็เลยบอกให้อาจารย์สวี่ผู้ลึกลับช่วยอธิบายตัวอักษรทำนายชะตาชีวิตให้ ของข้า ของเฉินผิงอัน ของซ่งจี๋ซิน คิดไม่ถึงว่าอาจารย์สวี่ที่ไล่ตามเบาะแสที่ข้าให้จะอธิบายเสียยาวเหยียด ตอนนั้นข้าฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ก็เลยไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็ไม่คิดอะไรมาก”
ยกตัวอย่างเช่นอักษรคำว่าตี้ (帝) ที่หากแค่อธิบายไปตามรูปร่างของตัวอักษร ก็จะต้องทำให้คนรุ่นหลังรู้สึกสับสนมึนงงเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ดังนั้นอาจารย์สวี่จึงคิดหาวิธีใหม่ ใช้นิ้วจุ่มสุรา เขียนอักษรโจ่ว (帚) ออกมาก่อน อธิบายความหมายของตัวอักษรคำนี้ว่าคือฟืนที่ถูกมัดรวมกัน สุดท้ายค่อยขยับไปพูดเรื่องของการเซ่นบวงสรวง แล้วยังพูดถึงเรื่องการหลอมคันฉ่องอัคคีให้หลิวเสี้ยนหยางฟัง ความรู้ของอาจารย์สวี่ยิ่งใหญ่มาก แล้วยังเกี่ยวพันไปหลากหลาย หนึ่งในนั้นก็คือการพูดถึงบทลุ่นเหิง บอกว่าท่อนฟืนมารวมกัน หากมีคันฉ่องอัคคีอีกบาน อาศัยสิ่งนี้มาดึงไฟจากสวรรค์ ก็คือหนึ่งในพิธีเซ่นไหว้ที่มีกฎเกณฑ์สูงสุดซึ่งเผ่ามนุษย์ในยุคบรรพกาลใช้บวงสรวงแก่เทพเทวดาบนฟ้า
ดังนั้นในวันปิงอู่ (อักษรในแผนภูมิสวรรค์สามารถใช้ในการทำนายได้) ของเดือนห้า วันที่กลางวันยาวนานของใต้หล้ามาถึง ยามที่ปราณหยางโชติช่วงอย่างถึงที่สุด ต้องทำพิธีใหญ่ บวงสรวงแด่ดวงอาทิตย์ จนยามสายัณห์
ตอนนั้นอาจารย์สวี่ยิ้มเอ่ยกับหลิวเสี้ยนหยางว่า ตนมีสหายรักอยู่สองคน คนหนึ่งแซ่หวัง คนหนึ่งแซ่เจิ้ง ต่างก็เคยมีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ละคนต่างก็มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง ในอดีตยังเคยทะเลาะกันอย่างรุนแรง เพียงแต่ภายหลังตำราเล่มนั้นถูกจัดเป็นตำราต้องห้าม จึงไม่ได้แพร่หลายมากนัก
สุดท้ายอาจารย์สวี่บอกว่าปฏิทินเหลืองเก่าแก่พวกนี้ก็เป็นเพียงแค่ความรู้บนหน้ากระดาษยามที่บัณฑิตอยู่ว่างไม่มีอะไรทำเท่านั้น
หลิวเสี้ยนหยางถอนหายใจอยู่ในใจ
วันที่ห้าเดือนห้า หลิวเสี้ยนหยาง ซ่งจี๋ซิน
หลิวเสี้ยนหยางหันหน้ามากล่าว “เพราะว่าเป็นสหายของแม่นางซิ่วซิ่ว คำพูดบางอย่างข้าจึงไม่ขอพูดมาก ไม่อย่างนั้นอาจฟังเป็นคำกระแหนะกระแหน แม้แต่ข้าเองก็ยังรำคาญ”
หร่วนซิ่วส่ายหน้า “อันที่จริงไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นสหาย จะพูดมากหน่อยก็ช่วยไม่ได้”
หลิวเสี้ยนหยางเงียบไปพักใหญ่ “เริ่มคิดถึงวันเวลาของในอดีตขึ้นมาบ้างแล้ว”
หร่วนซิ่วนั่งอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นจากไป
กลับไปเดินบนสะพานหินโค้งที่เคยแขวนกระบี่โบราณอีกครั้ง หร่วนซิ่วนั่งลงบนสะพานหิน
ใต้ฝ่าเท้าก็คือลำคลองหลงซวีที่น้ำไหลริกๆ
ใต้หล้าในยุคบรรพกาล เผ่ามนุษย์เป็นดั่งมดปลวก อันที่จริงแต่ละคนที่อยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาก็ไม่ต่างจากปลาน้อยที่แหวกว่ายอยู่ในธารมรกต
สำหรับหร่วนซิ่วแล้ว ‘การจับปลาไม่ยาก’ จริงๆ คิดจะหุงทะเลต้มทะเลสาบ หลอมสังหารหมื่นสรรพสิ่งก็ทำได้ตลอดเวลา การช่วงชิงระหว่างไฟและน้ำในปีนั้น เป็น ‘หลี่หลิ่ว’ ที่พ่ายแพ้ไปในท้ายที่สุด
ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่หลิ่วไปพบหร่วนซิ่วบนภูเขาเสินซิ่ว ครั้งเดียวที่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันใน ‘ชีวิตนี้’ อันที่จริงก็ไม่ถือว่าสมัครสมานปรองดองสักเท่าไร หร่วนซิ่วยังบอกด้วยว่าหลี่หลิ่วไม่รู้จักวางตัวเป็นคน
หร่วนซิ่วเงียบงันไปนาน จู่ๆ ก็เงยหน้ามองม่านฟ้าด้วยสีหน้าเฉยชา “ไม่เจอกันนาน ผู้ถือกระบี่”
นางไม่เหมือนกับหลี่หลิ่วที่เกิดมาก็จำทุกอย่างได้ และวันหน้าก็มีแต่จะยิ่งไม่เหมือน
หร่วนซิ่วสะบัดข้อมือเบาๆ บนข้อมือมีมังกรเพลิงที่หลับสนิทตัวหนึ่งล้อมวนอยู่
วันที่ห้าเดือนห้า เลือกแม่น้ำตั้งใจหลอมคันฉ่องอัคคี ดึงเพลิงสวรรค์ หลอมห้าธาตุ สาดสะท้อนไปทั่วหล้า
ตีเกราะเคาะไม้บอกเวลา ลาดตระเวนยามค่ำคืน ก็เพื่อบอกเตือนแก่โลกมนุษย์ว่า อากาศแห้งข้าวของติดไฟได้ง่าย ระวังฟืนไฟ
มีประโยชน์หรือ?
——