กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 748.3 ถือเทียนออกเดินทางยามค่ำคืน
หวงหลินยืนอยู่บนหัวเรือ เผยร่างกายธรรมชุดลัทธิขงจื๊อสูงร้อยจั้ง ส่วนร่างจริงของหวงหลินนั้นใช้นิ้วมือต่างมีด กรีดฝ่ามือ ใช้เลือดสดแห่งชะตาชีวิตเป็นวัตถุดิบในการวาดตำราสีชาดของสายยันต์ ตอนที่หวงหลินเขียนตัวอักษรลงบนฝ่ามือ กายธรรมก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นสูง ตรงฝ่ามือมียันต์สีทองแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น หวงหลินสงบใจรวบรวมสมาธิเขียนตัวอักษรพลางเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ขุนนางเซียนสั่งการหกเทพ ออกคำสั่งกำราบเผ่าพันธุ์น้ำ”
ตรงกลางฝ่ามือของกายธรรมร้อยจั้ง อักษรใหญ่หลายสิบตัวบนยันต์ที่เป็นคาถาตามหลังคำพูดส่งประกายแสงสีทองไหลเวียนวน สาดส่องสะท้อนสี่ทิศ ไอเมฆหมอกสกปรกเหมือนถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง ในพื้นที่หลายลี้รอบด้านพลันกลายเป็นเหมือนหิมะที่หลอมละลายภายในเสี้ยววินาที
หวงหลินกรีดฝ่ามืออีกครั้ง เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ถือโองการโอรสสวรรค์ กักกันวัตถุในน้ำ!”
ตรงฝ่ามือของกายธรรมมีรัศมีทรงกลดสีขาวเป็นชั้นๆ แสงทองพลันเปล่งประกายเจิดจ้า ฝนกระหน่ำพลันเทลงมา ยิ่งเหมือนน้ำเดือดในหม้อใบใหญ่ที่หล่นลงมากลางลมหิมะ
ท่ามกลางภาพมายา หอเรือนหลังหนึ่งพังครืนลงมา เงาร่างใหญ่โตมโหฬารที่แอบซ่อนตัวอยู่เบื้องล่างพุ่งตัววูบเดียวก็หายวับไป
ผู้โดยสารคนหนึ่งที่เดินทางไกลข้ามทวีปเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “จะช่วยสหายหวงคุมหลังสังหารปีศาจเอง!”
เพียงแต่ว่าวิธีฝึกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ผู้นี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด เขาที่อยู่บนหอชมทัศนียภาพแห่งหนึ่งถึงขั้นมีพายุลมกรดผุดใต้ฝ่าเท้า สองมือทำมุทรากระบี่ แล้วถึงได้เป่าลมออกมาเบาๆ พ่นเม็ดกระบี่ที่ส่องประกายวิบวับเม็ดหนึ่งออกมา เม็ดกระบี่พุ่งออกไปอย่างว่องไว พอออกห่างจากเรือข้ามฟากไปได้ร้อยจั้ง เม็ดกระบี่ที่เดิมทีมีขนาดไม่เกินสามชุ่นกลับเปลี่ยนมาเป็นกระบี่ขนาดใหญ่ยักษ์สีดำสนิทที่สลักยันต์สีหมึกตระกูลเซียนเอาไว้ ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนั้นยังคงก้าวเดินว่องไวไม่หยุด สุดท้ายใต้เท้าเท้ากลายเป็นยันต์ค่ายกลเป่ยโต้ว และยิ่งมีปลาดำตัวหนึ่งดำผุดดำว่าย ผู้ฝึกกระบี่เหยียบอยู่บนแผ่นหลังของปลาดำ ยามที่มุทรากระบี่หล่นร่วงลงก็พึมพำว่า “คนบนภูเขาข้ามปลาขึ้นฟ้า ผู้มีความรู้เห็นค่าคนโง่เขลา สายฟ้าในมือโจมตีกระบี่อิงฟ้า ตรงดิ่งฟันผ่าปลาวาฬทะเลแหวก”
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่พุ่งตรงเข้าหาตำหนักและสายรุ้งขาวเล่มนั้นปล่อยแสงกระบี่แวววาว ลากสะบัดแม่ทัพเทพสวมห่มเกราะสีทององค์หนึ่งออกมา ในมือถือกระบี่ยักษ์สีหมึก แสงสายฟ้าตัดสลับ หนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์หนึ่งกระบี่บินพุ่งตรงไป พยายามจะฟันทั้งรุ้งขาวและตำหนักแห่งนั้นให้ผ่าออกพร้อมกัน
หลังการโจมตีครั้งหนึ่งผ่านไป เสียงประหนึ่งฟ้าคำราม ลมหอบเมฆม้วนตัว ลมปราณกระเพื่อมไหว แม้แต่เรือข้ามฟากก็ยังสั่นสะเทือนรุนแรงโยกคลอนไม่หยุดตามไปด้วย
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ยื่นมือไปประคองราวรั้ว รีบใช้จิตดึงกระบี่บินกลับมา คิดไม่ถึงว่าปราณสกปรกมืดฟ้ามัวดินขุมหนึ่งจะทะลักล้นออกมาอย่างบ้าคลั่ง ห่อหุ้มกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเอาไว้ เหมือนการตัดขาดฟ้าดิน ถึงขั้นสะบั้นการเชื่อมโยงระหว่างผู้ฝึกกระบี่กับวัตถุแห่งชะตาชีวิต ผู้ฝึกกระบี่หน้าซีดขาวไร้สีเลือด จิตใจสะเทือนไหวไม่หยุด หวงหลินรีบร่ายเวทอภินิหาร ช่วยผู้ฝึกกระบี่ตามหากระบี่บินที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยนั่น
เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักกำลังเท้าเบาๆ อยู่นานแล้ว เป็นเหตุให้ห้องทั้งสองด้านข้างสงบนิ่งมั่นคงเหมือนยามปกติ ไม่ถูกลมปราณขุมนั้นพุ่งมาชน
เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ของเรือข้ามฟากลำนี้ เส้นสายตาของเฉินผิงอันไม่ได้ตามหาเรือนกายใหญ่โตมโหฬารที่เป็นเวทอำพรางตานั้น แต่จับจ้องอยู่ที่ม่านฟ้ามุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหอเรือนมายาอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันยกมือข้างซ้ายขึ้น โคจรตราประทับอักษรน้ำ ห้าอสนีมารวมตัวกันจำแลงอยู่บนฝ่ามือ เฉินผิงอันไม่ได้เรียกเวทอสนีที่ครบถ้วนสมบูรณ์นี้ออกมาโดยตรง แต่เลือกที่จะใช้เวทวารีอสนีหนึ่งในนั้นมาชักนำฟ้าแลบฟ้าร้องให้เกิดฝนตก สยบพวกเผ่าพันธุ์น้ำทั้งหมดที่ก่อกวนอาละวาดอย่างเจียวใหญ่ งูพิษ หอยกาบพิษ ฯลฯ พร่างพรมโปรยพิรุณ ลมโหมคลื่นโถม ควบคุมจวนน้ำ
ข้อมือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันพลันบิดหมุน วารีอสนีที่รวมตัวกันมีขนาดใหญ่เท่าเม็ดไข่มุกก็พุ่งไปอย่างเร็วรี่ เทียบกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนดินคอขวดโอสถทองคนนั้นแล้วยังเหนือกว่าหนึ่งระดับ เป็นเหตุให้พวกผู้ฝึกตนบนเรือไฉ่อีไม่มีใครสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเล็กน้อยนี้ ดังนั้นรอกระทั่งวารีอสนีเปลี่ยนจากภาพบรรยากาศที่ไม่ชัดเจนจนกลายมาเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง แล้วค่อยส่งเสียงครืนครั่นประหนึ่งอสนีสะเทือนไหว ฟาดผ่าลงมาดั่งทัณฑ์สวรรค์ยิ่งใหญ่ ผู้คนบนเรือถึงได้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นวิชาอภินิหารของผู้ดูแลหวงหลิน
ขณะเดียวกันนั้นมือซ้ายของเฉินผิงอันก็รวบเวทอสนีขึ้นมาอีก มือขวารวมปราณเป็นกระบี่ แล้วเอามาผสานกันกลายเป็น ‘ยันต์ตัดรุ้ง’
วารีอสนีก่อนหน้านี้กระแทกลงบนที่ซ่อนตัวของหอยกาบยักษ์ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ถือเป็นการเคาะประตูบ้านตามมารยาทของคนเป็นแขก
ทว่ายันต์ตัดรุ้งที่เป็นการโจมตีตามหลังของขวัญทักทายนี้กลับมีพลานุภาพน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่ใต้ฝ่าเท้ามีพายุลมกรดโจมตีอย่างเต็มกำลัง ก็ยังได้แค่ทำให้สายรุ้งที่ลอยโค้งตัวอยู่เหนือตำหนักส่ายสะบัดเท่านั้น เมื่อยันต์กระบี่ตัดรุ้งที่เวทอสนีถูกปลุกเสกให้พลานุภาพยิ่งใหญ่กว่าเดิมนี้ปรากฏขึ้น ท่ามกลางหอเรือนมายาจึงคล้ายกับว่ามีแสงกระบี่เล็กบางเส้นหนึ่งที่กรีดผ่าฟ้าดินเล็กแล้วกรีดยาวลงมา ฟันรุ้งขาวพร้อมกับตำหนักตระกูลเซียนให้ขาดสะบั้น จากนั้นสายฟ้าก็พลันสาดประกาย ทั้งสองสิ่งจึงแตกสลายไปในทันที
คนยังไม่ทันไป
สายฟ้า ยันต์กระบี่ก็ทลายค่ายกลสำเร็จก่อนแล้ว
ฟ้าดินสว่างเจิดจ้า บรรยากาศเปลี่ยนใหม่ ไม่เหลือหอเรือนภาพมายาขัดขวางทางไปอีกแล้ว
หอยกาบยักษ์ผลุบหายเข้าไปในจุดลึกใต้ท้องทะเล พื้นผิวทะเลมีคลื่นลูกยักษ์โถมตัวน่าพรั่นพรึง ถูกลมปราณที่ซัดตลบสับสนชักนำ ต่อให้จะมีค่ายกลแห่งขุนเขาสายน้ำ เรือข้ามฟากไฉ่อีก็ยังโคลงเคลงไม่หยุด
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองตกตะลึงระคนยินดีอย่างถึงที่สุด ท่ามกลางเมฆหมอกเบาบางจุดหนึ่งเขาสัมผัสได้ถึงแสงกระบี่หนึ่งเสี้ยว จึงรีบใช้เสียงในใจบังคับกระบี่บินเล่มนั้นกลับเข้ามาบำรุงความอบอุ่นอยู่ในช่องโพรงลมปราณทันที
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อยก่อนกำหมัดเบาๆ เก็บมุทรากระบี่ครั้งใหม่กลับมา ล้มเลิกความคิดที่จะไล่ตามไปสังหารหอยกาบตัวใหญ่นั้น เพราะชงเชี่ยนเซียนเหรินจะต้องอยู่ระหว่างทางมุ่งหน้ามาที่นี่อย่างแน่นอน
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนั้นกุมหมัดเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “เกาอวิ๋นซู่ผู้ฝึกกระบี่แห่งเกราะทองทวีปขอบคุณผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่ช่วยเหลือ!”
เงียบสนิท ไร้เสียงใดๆ ตอบรับ
เกาอวิ๋นซู่จึงได้แต่คิดว่ายอดฝีมือเซียนกระบี่ท่านนั้นไม่ชอบการพูดจาปราศรัย รำคาญพิธีการยิบย่อยพวกนี้ จึงยิ่งรู้สึกนับถือมากกว่าเดิม
ในใจคิดว่าเซียนกระบี่ที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหางผู้นั้น ในเมื่อโดยสารเรือข้ามฟากของอูซุนหลันลำนี้ก็แสดงว่าต้องเป็นผู้อาวุโสของเกราะทองทวีปบ้านตนอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันปิดหน้าต่างลงแล้ว ฝึกหมัดเดินนิ่งอยู่ในห้องของตัวเองต่อไป
ทางฝั่งของเรือข้ามฟากไฉ่อีมีผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนชั้นดีหลายกามามอบให้ ตอนที่นางเคาะประตู สีหน้าค่อนข้างจะแปลกประหลาด
เห็นได้ชัดว่านางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ถวายงานหวงหลินถึงได้ปฏิบัติต่อผู้ฝึกตนใบถงทวีปที่รักตัวกลัวตายอย่างมีมารยาทเช่นนี้
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณนางคำหนึ่ง แล้วรับสุรามาอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นจึงถามอย่างใคร่รู้ว่า “ขอถามแม่นางสักหน่อย เหล้าหนึ่งการาคาขายปกติคือเท่าไร?”
ผู้ดูแลหวงหลินน่าจะสัมผัสได้ เพียงแต่ว่าไม่เอ่ยออกมาก็เท่านั้น
ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นคล้ายจะโมโหไม่เบา นางเค้นรอยยิ้มออกมา ย้อนถามว่า “ลูกค้าท่านรู้สึกว่าเรือข้ามฟากไฉ่อีจะขายเหล้าบ้านของตนหรือ?”
เฉินผิงอันวางเหล้าหมักตระกูลเซียนเหล่านั้นลงบนโต๊ะ ไม่เหมือนกับสุราที่ซื้อดื่มก่อนหน้านี้ สุราพวกนี้แปะกระดาษสีที่ทำด้วยกรรมวิธีลับของอูซุนหลัน หากฉีกออกแล้วนำไปขายต่อให้คนอื่น คาดว่าอาจจะมีราคามากกว่าตัวเหล้าหมักเองเสียอีก
เฉินผิงอันเดินนิ่งเสร็จแล้วก็เดินฝีเท้าแผ่วเบา ออกหมัดช้ามาก ไม่ทันรู้ตัวก็ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว หลังจากเฉินผิงอันลืมตาขึ้นก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับเด็กทั้งสองกลุ่ม จากนั้นจึงไปเปิดประตู เพียงไม่นานเด็กเก้าคนก็ทยอยกันเดินเข้ามาในห้อง
อวี๋ชิงจางถือหนังสือเล่มหนึ่งไว้ในมือ
เฮ้อเซียงถิงยืนเคียงบ่ากับอวี๋ชิงจาง
ซุนชุนหวังคล้ายว่าจะไม่เข้าพวก ตำแหน่งที่ยืนห่างจากทุกคนมาเล็กน้อยอย่างน่าขบคิด
เด็กสามคนนี้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเอ่ยอะไรกับเฉินผิงอันแม้แต่คำเดียว ในทางส่วนตัวพวกเขาก็เงียบขรึมพูดน้อยเช่นกัน
เฉินผิงอันพอจะเดาต้นสายปลายเหตุได้คร่าวๆ แล้วก็ไม่ยินดีจะซักไซ้ให้ได้คำตอบ
กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าทุกคนต่างก็มีความรู้สึกที่ดีต่ออิ่นกวาน อีกทั้งต่างคนต่างก็มีเหตุผล
เฉินผิงอันกล่าว “พวกเจ้าต่างก็มีวิถีกระบี่ที่ได้รับถ่ายทอดมา ข้าเป็นเพียงแค่ผู้ปกป้องมรรคาในนามเท่านั้น ไม่มีสถานะเป็นอาจารย์และศิษย์อะไร แต่ตอนที่ข้าอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนได้เปิดอ่านเวทกระบี่ที่ถ่ายทอดกันมาลับๆ อยู่ไม่น้อย สามารถช่วยชดเชยช่องโหว่ให้พวกเจ้าได้ ดังนั้นวันหน้าหากพวกเจ้าฝึกกระบี่แล้วมีข้อสงสัยก็มาถามข้าได้”
หางตาของเฉินผิงอันสังเกตเห็นว่ามีเด็กสองคนที่พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ โดยเฉพาะได้ยินคำว่า ‘คฤหาสน์หลบร้อน’ หว่างคิ้วก็คล้ายจะมีพยับเมฆมาบดบัง เฉินผิงอันได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รับรู้
เหอกูถามเบาๆ “อาจารย์เฉา ก่อนหน้านี้ตอนที่ผ่านภาพลวงตา ปราณกระบี่ที่เฉียบคมอย่างถึงที่สุดนั้น ใช่หรือไม่? ถูกหรือไม่?”
เหอกู ตัวสูงที่สุด ตรงเอวห้อยกระบี่สั้นที่ผ่านการหล่อหลอมมาอย่างดีเยี่ยมอย่าง ‘ตู๋ซูปี้’ (ทาสอ่านตำรา) น่าจะไม่ใช่วัตถุที่หอกระบี่เป็นผู้หลอม แต่ได้รับสืบทอดมาจากตระกูลหรือไม่ก็สำนัก อีกทั้งเหตุใดเหอกูถึงได้เป็นผู้รับถ่ายทอดกระบี่เล่มนี้ ความอาฆาตที่มีต่อใต้หล้าไพศาลย่อมไม่น้อยอย่างแน่นอน
อวี๋เสียหุยเอ่ยประโยคน่าฟังอย่างที่หาได้ยาก “อกสั่นขวัญผวา เคลิบเคลิ้มสาแก่ใจ”
เฉินผิงอันตอบทันทีว่า “ไม่ใช่”
ทั้งยันต์หมึกทั้งแม่ทัพเทพ ไม่กล้ารับอย่างบุ่มบ่าม
เหยาเสี่ยวเหยียนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เฉินผิงอันกล่าว “ไปถึงใบถงทวีป พอขึ้นฝั่งแล้ว หากมีเรื่องไม่คาดฝันที่ข้ารู้สึกว่าค่อนข้างรับมือได้ยาก พวกเจ้าต้องเข้าไปในอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กทันที ห้ามมีความลังเลใดๆ”
เฉิงเฉามู่พลันถามอย่างขลาดๆ ว่า “ข้าสามารถเรียนหมัดกับอาจารย์เฉาได้ไหม? รับรองว่าจะไม่ถ่วงรั้งการฝึกกระบี่เด็ดขาด!”
ป๋ายเสวียนที่ยืนเอาสองมือไพล่หลังเหลือกตามองบน พึมพำเบาๆ ว่า “สมกับเป็นสุนัขรับใช้ตัวน้อยจริงๆ อาจารย์เฉาเป็นวิชาอะไรก็วิ่งตุปัดตุเป๋ตามก้นเขาไปเรียนด้วย”
เด็กคนนี้ตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กปิ่นหยกขาวก็ชอบเรียกตัวเองกับคนอื่นว่าอิ่นกวานน้อยๆ
อิ่นกวานเฉินผิงอัน อิ่นกวานน้อยเฉินหลี่ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ได้แต่เป็นอิ่นกวานน้อยๆ แล้ว
เพียงแต่ว่าพอออกมาแล้วได้เจอกับอิ่นกวานตัวจริง ป๋ายเสวียนกลับไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้เลย
เฉินผิงอันยิ้มพยักหน้ากับเจ้าอ้วนน้อยเฉิงเฉาลู่ “แน่นอนว่าต้องได้ หลักการแห่งหมัดและหลักการแห่งกระบี่เชื่อมโยงถึงกัน ฝึกหมัดกับฝึกกระบี่แน่นอนว่าต้องมีเส้นแบ่ง แต่กลับไม่ได้เหมือนภูเขากับภูเขาไกลที่ไม่อาจได้พบหน้ากันตลอดกาล แต่เป็นความสัมพันธ์แบบภูเขาสูงสายน้ำยาวไกล ขอแค่หลักการทั้งสองอย่างเชื่อมโยงถึงกัน ก็คือสถานการณ์ดีเยี่ยมที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบเคียงคู่ กลับกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างส่งผลประโยชน์แก่กัน ยิ่งสามารถขัดเกลาเรือนกายและจิตวิญญาณได้ดี”
กล่าวมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็หยุดพูด เอ่ยกับคนอื่นๆ ว่า “กลับห้องไปฝึกกระบี่กันเถอะ ใครที่อยากฟังเรื่องการฝึกหมัดก็สามารถอยู่ต่อได้”
ผลคือเหลือแค่เฉิงเฉาลู่คนเดียวที่อยู่ต่อ
เฉินผิงอันบอกให้เจ้าอ้วนน้อยนั่งลง จุดตะเกียงดวงหนึ่งบนโต๊ะ เฉิงเฉาลู่เอ่ยเบาๆ ว่า “อาจารย์เฉา อันที่จริงเฮ้อเซียงถิงอยากฝึกหมัดยิ่งกว่าข้าเสียอีก เพียงแต่เขาวางศักดิ์ศรีไม่ลง…”
เฉินผิงอันโบกมือ ไม่ให้เฉิงเฉาลู่พูดเรื่องนี้ไปมากกว่านี้ ส่วนตัวเองเอ่ยหัวข้อก่อนหน้านี้ต่ออีกครั้ง “ปล่อยหมัดไปยังฟ้าดิน คือการเดินไปสู่ข้างนอก บำรุงปณิธานหมัดอยู่บนร่าง คือการเดินเข้าข้างใน ทั้งสองอย่างนี้จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้”
แม่นางน้อยคนหนึ่งเดินเร็วๆ ย้อนกลับมา เคาะประตูเบาๆ เฉิงเฉาลู่รีบวิ่งไปเปิดประตู คือน่าหลันอวี้เตี๋ย นางใช้ข้อศอกดันเจ้าอ้วนน้อยออก ตัวนางเป็นคนปิดประตูเอง แล้วถึงได้นั่งลงด้านข้าง หยิบกระดาษพู่กันออกมา นั่งตัวตรงอย่างสำรวม สายตาบอกเป็นนัยให้ใต้เท้าอิ่นกวานพูดต่อได้เลย เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วัตถุฟางชุ่นล้ำค่ามาก ทางที่สุดที่สุดควรพกติดกาย”
แม่นางน้อยรีบจดลงบนกระดาษทันที
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้สนใจนางอีก เพียงเอ่ยว่า “หากฝึกหมัดเพียงแค่ฝึกเส้นเอ็นกระดูกและเลือดเนื้อ ไม่ได้หลอมจิตบำรุงวิญญาณ ก็มีแต่จะกลายเป็นวิธีการชั้นต่ำที่ทำให้สูญเสียจิงชี่เสินของมนุษย์ไป ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไร ออกหมัดยิ่งหนักเท่านั้น ทุกครั้งจะต้องทำร้ายไปถึงพลังต้นกำเนิดจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ ง่ายที่จะทิ้งต้นตอของโรคเอาไว้ พอโรคร้ายสะสมมากเข้า ทุกครั้งทำร้ายศัตรูบาดเจ็บหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อย จะดำรงอยู่อย่างยาวนานได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีหมัดดุดันที่เอะอะก็ทำร้ายศัตรูจนถึงแก่ความตาย หากผู้ฝึกยุทธไม่รู้วิธีการที่ถูกต้องก็เหมือนกับเรียกเสนียดชั่วร้ายมาไว้บนร่าง เทพเซียนก็ยากจะช่วยเหลือได้ เรียนหมัดสังหารคน ถึงท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าต่อยให้ตัวเองตายไป”
“ดังนั้นที่บ้านเกิดของข้าจึงมีคำกล่าวสองอย่างว่า ‘ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ควรถ่ายทอดโอสถก่อน หากไม่มีเทียบยาก็ไม่ใช่การสืบทอดที่แท้จริง’ และ ‘จนเรียนวรยุทธรวยฝึกวรยุทธ คนหนึ่งฝึกวรยุทธเผาผลาญทรัพย์สินไปสามรุ่น’ ล้วนเป็นคำพูดเก่าแก่ที่แพร่หลายในยุทธภพล่างภูเขา แน่นอนว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง”
“เฉิงเฉาลู่หากเจ้าอยากเรียนวิชาหมัดจริงๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่ต้องเริ่มจากการเรียนเดินนิ่ง เรียนยืนนิ่งเสียก่อน มันค่อนข้างจะน่าเบื่อ หากวันใดรู้สึกว่าการฝึกหมัดจืดชืดเกินไปก็ไม่ต้องลำบากใจ กังวลว่าจะถูกข้าตำหนิ แค่หันไปตั้งใจฝึกกระบี่ก็พอ”
เฉิงเฉาลู่ฟังจนดวงตาสองข้างส่องประกายวาววับ ใบหน้าแดงก่ำ เอ่ยอย่างตื่นเต้นสุดขีด “อาจารย์เฉา ข้าจะต้องตั้งใจฝึกหมัดให้ดี ขอแค่มีความสามารถด้านวิชาหมัดได้สักเกือบครึ่งของอาจารย์เฉา ข้าก็พอใจมากแล้ว”
น่าหลันอวี้เตี๋ยส่ายหน้า พึมพำกับตัวเองว่า “ยาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหมือน”
แม่นางน้อยฉลาดมาก รีบพูดเสริมตามมาอีกคำหนึ่งทันที “เดิน”
เจ้าอ้วนน้อยทอดถอนใจ “ขึ้นสวรรค์”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
จากนั้นตลอดทางก็ราบรื่นไร้ปัญหา คลื่นลมสงบ เรือข้ามฟากไฉ่อีทะยานผ่านขุนเขาสายน้ำนับพันนับหมื่นบนพื้นดินมา เพียงแต่ว่าต่อให้จะก้มหน้าลงมองจากเรือข้ามฟากอยู่นานมาก โลกมนุษย์ก็ยังคงมีควันจากการปรุงอาหารให้เห็นน้อยนัก มีเพียงขุนเขาเขียวที่ยังไม่แก่ สายน้ำมรกตที่ยังคงไหลยาว นกบินคลอเคล้าพร้อมกับเมฆขาว
สุดท้ายท่ามกลางม่านราตรีของคืนหนึ่ง เรือข้ามฟากก็มาจอดอยู่ทางทิศใต้สุดของใบถงทวีป ที่ตั้งของท่าเรือตระกูลเซียนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ท่ามกลางซากปรักเคยเป็นอาณาเขตของจังหวัดอวี๋โจวเก่าของราชวงศ์ที่ล่มสลายแห่งหนึ่ง
ขุนเขาสายน้ำเก่าของอดีตแคว้น บนหัวกำแพงหญ้าฤดูใบไม้ผลิขึ้นรกครึ้ม
ปราชญ์ผู้ล่วงลับเคยกล่าวไว้ว่า คิดถึงเจ้าแต่ยากจะพานพบ ตัดใจไปอวี๋โจวอย่างอาลัยอาวรณ์
เฉินผิงอันเดินกลับจากหน้าต่างมานั่งข้างโต๊ะ เหม่อลอยมองแสงตะเกียงบนโต๊ะดวงนั้น
มนุษย์ธรรมดาไร้ความเป็นอมตะ เวลาร้อยปีในชีวิตสั้นถึงเพียงใด ควรถือเทียนออกเดินทางทุกราตรี
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นระลอก แม่นางน้อยที่อยู่ด้านนอกค่อนข้างจะลิงโลดเบิกบาน บอกว่าอาจารย์เฉา พวกเรามาถึงแล้ว ลงจากเรือได้แล้ว
เฉินผิงอันตอบรับหนึ่งคำ ลุกขึ้นยืน ปล่อยให้ตะเกียงดวงนั้นส่องแสงสว่างต่อไป เขายกมือขึ้น ร่ายเวทคาถา เอางอบไม้ไผ่สานอันหนึ่งมาสวมไว้บนศีรษะ
เปิดประตูออก พาเด็กๆ ลงจากเรือข้ามฟาก หันกลับไปมอง ดูเหมือนหวงหลินจะรอคอยการหันกลับมามองครั้งนี้ของเขาอยู่จึงรีบคลี่ยิ้มกุมหมัดอำลา เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ กุมหมัดคารวะกลับคืน
หลังจากเดินออกมาได้ช่วงระยะทางหนึ่ง เฉินผิงอันพลันทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นมือไปสัมผัสพื้นดิน จากนั้นกำดินขึ้นมาเบาๆ หนึ่งกำมือ เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เขาจะนำมันกลับบ้านเกิดด้วย