กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 749.3 ขุนเขาสายน้ำกลับมาบรรจบพบกันอีกครั้ง
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “อย่าพูดอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่อย่างนั้นต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็ไม่พอให้ใช้จ่าย เงินทองมีเพียงหล่นลงในมือของคนทำการค้าเท่านั้นถึงจะต้องย้ายบ้าน ต้องแวะเวียนไปตามบ้านหลังต่างๆ”
น่าหลันอวี้เตี๋ยกะพริบตาปริบๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะร่วมมือทำการค้ากับอาจารย์เฉา มอบเงินให้อาจารย์เฉาเป็นผู้ดูแล วันหน้าพอได้เงินก็ค่อยแบ่งส่วนแบ่งให้ข้าแล้วกัน”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ วางตะเกียบลง โบกมือ “อย่าเลยๆ”
ท่านย่าบรรพจารย์ น่าหลันไฉ่ฮ่วน?
ไม่รู้ว่านางที่ทุกวันนี้อยู่ในใต้หล้าไพศาลจะได้ก่อสำนักตั้งพรรคแล้วหรือยัง
แม่นางน้อยรู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย เฉินผิงอันจึงเอ่ยปลอบใจ “ไม่ต้องรีบร้อน วันหน้าหากมีงานที่หาเงินได้จริง ข้าค่อยบอกกับเจ้า”
ระหว่างที่กินอาหาร เฉินผิงอันก็คอยเงี่ยหูฟังคนนอกโต๊ะคุยกัน เพียงแต่ว่าน้อยนักที่พวกเขาจะคุยกันเรื่องบ้านเมือง ส่วนใหญ่เป็นการกระซิบกระซาบกันเรื่องเส้นทางหาเงินทองเสียมากกว่า
คนทั้งกลุ่มไปขึ้นเรือตระกูลเซียนที่ท่าหวงฮวาตรงเวลา เฉินผิงอันจัดการกับเด็กทั้งสองกลุ่มเรียบร้อยแล้วก็ไปนั่งนิ่งๆ อยู่ในห้องตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนจะปลด ‘งอบไม้ไผ่’ ลงแล้วเดินไปที่หัวเรือเพียงลำพัง
เพียงไม่นานป๋ายเสวียนก็ปรากฏตัว มาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ใช้เสียงในใจถามว่า “ทำไมถึงไม่ให้พวกเราหลบอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็ก เมื่อเป็นเช่นนี้อาจารย์เฉาก็จะกลับบ้านเกิดได้เร็วยิ่งกว่าเดิมไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันอธิบายอย่างอดทน “หากข้าเร่งเดินทางเพียงลำพัง ทะยานลมไปยังแจกันสมบัติทวีป ขอแค่เจอเรื่องไม่คาดฝันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ เอาแต่เดินเร็วๆ อยู่บนภูเขาก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไปถึงได้เร็ว ไปพร้อมกับเรือข้ามฟาก เรื่องไม่คาดฝันมีเยอะมาก ก็จะคอยหลบเลี่ยงเอาเอง เดินบนเส้นทางทะเล ปีศาจใหญ่ซ่อนตัวอยู่เยอะยิ่งกว่า ก็เหมือนอย่างหอยกาบใหญ่ตัวนั้น เดินบนเส้นทางบก แม้จะบอกว่าต้องเดินผ่านขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป ทว่ากลับมีความมั่นคงมากกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่ใบถงทวีปแห่งนี้ ข้าเองก็มีสหายอยู่ไม่น้อย ต้องไปพบหน้าพวกเขาสักหน่อย”
ป๋ายเสวียนพยักหน้า เขย่งปลายเท้าเอาสองมือจับราวรั้ว สีหน้ากลัดกลุ้มเป็นกังวลเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งก็เป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยว่า “อาจารย์เฉา กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของข้าธรรมดามาก ระดับขั้นไม่สูง ดังนั้นผู้อาวุโสจึงบอกว่าข้าคงประสบความสำเร็จได้ไม่สูงมากนัก อย่างมากสุดก็คือเซียนดิน เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดยังต้องอาศัยโชคมหาศาล นั่นยังอยู่ที่บ้านเกิดด้วย มาถึงที่นี่แล้ว ก็ไม่แน่ว่าชั่วชีวิตนี้อาจหยุดอยู่แค่ที่ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเท่านั้น”
เกี่ยวกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง เฉินผิงอันไม่ได้จงใจสอบถามเด็กๆ ทุกคน พวกเด็กๆ เองก็ไม่ได้พูดถึง
แต่เฉินผิงอันที่รับดูแลคฤหาสน์หลบร้อนด้วยสถานะของอิ่นกวาน ครานั้นที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่เคยได้ทำการประเมินกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ เพียงแต่ว่าใช้วิธีการคัดเลือก วัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ที่มีคุณประโยชน์มาก มีพลังพิฆาตมหาศาล ช่วยผู้ฝึกกระบี่ยามจับคู่เข่นฆ่าได้มาก ระดับขั้นกลับไม่สูงเท่ากระบี่บินที่แสดงฝีมือในสนามรบที่เหมาะสมได้
เด็กชายอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงเอาศีรษะโขกกับราวรั้วเบาๆ
เฉินผิงอันวางสองมือทับซ้อนกัน ฟุบตัวอยู่บนราว ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ฝึกตนคือเรื่องใต้ฝ่าเท้าในทุกๆ วัน หลายปีให้หลังจะยืนอยู่ที่ไหนก็เป็นเรื่องของอนาคต ในเมื่อถูกกำหนดมาแล้วว่าเป็นเรื่องที่ตอนนี้คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้วันหน้าค่อยกลัดกลุ้มใหม่ ถึงอย่างไรตอนนั้นก็ยังมีเหล้าให้ดื่ม ที่อาจารย์เฉาอย่างอื่นมีไม่มาก แต่สุรานั้นไม่มีทางขาดอย่างแน่นอน”
ป๋ายเสวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ข้ายังนึกว่าอาจารย์เฉาจะเอาถ้อยคำไพเราะมาปลอบใจคนเสียอีก”
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “คำพูดดีๆ ก็มี กระบุงใหญ่หลายกระบุงยังบรรจุได้ไม่หมดเลย”
ป๋ายเสวียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะทอดถอนใจเอ่ยว่า “มาคุยกับอาจารย์เฉาเป็นการส่วนตัว พอกลับไปคงจะเป็นเพื่อนกับพวกอวี้ชิงจางไม่ได้แล้วล่ะ”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ ไม่เอ่ยอะไร
ป๋ายเสวียนประหลาดใจ “อาจารย์เฉาไม่แปลกใจบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล “พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้ว ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มที่ต่อให้ต้องทุ่มด้วยชีวิตก็จะช่วยเซียนกระบี่ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจใหญ่ให้ได้ในปีนั้น ข้าขัดขวางไม่ยอมให้พวกเขาออกไป ค่อนข้างทำให้คนเสียใจ ข้าเดาว่าผู้ฝึกกระบี่ในกลุ่มนั้นก็น่าจะมีคนที่เป็นผู้อาวุโสหรือไม่ก็อาจารย์ของพวกอวี้ชิงจาง”
ป๋ายเสวียนยิ่งหลากใจมากกว่าเดิม “ท่านไม่รังเกียจที่พวกอวี้ชิงจางไม่รู้จักดีชั่วสักนิดเลยหรือ? คนโง่ก็ยังรู้ว่าท่านทำเพราะหวังดีต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่นะ”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ใครบอกว่าทำเรื่องดีแล้วจะไม่ทำให้คนเสียใจล่ะ? หลายๆ ครั้งกลับยิ่งทำให้คนเสียใจมากกว่าเดิม”
ป๋ายเสวียนส่ายหน้า “ถึงอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าพวกอวี้ชิงจางทำไม่ถูก”
เฉินผิงอันไม่ยินดีจะพูดเรื่องนี้ให้มากความ
ป๋ายเสวียนพึมพำกับตัวเองว่า “อาจารย์ของอาจารย์ข้าก็คือหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่กลุ่มนั้น หลังจากบรรพจารย์ตายไป อาจารย์ก็ไม่เคยพูดจาร้ายๆ ถึงใต้เท้าอิ่นกวานแม้แต่ครึ่งคำ แล้วก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ข้าเป็นอิ่นกวานน้อยๆ กลับยังชมว่าข้ามีปณิธานยิ่งใหญ่ด้วย”
เฉินผิงอันยื่นมือไปตบศีรษะเด็กชายเบาๆ “อาจารย์ของเจ้าร้ายกาจมาก”
ป๋ายเสวียนแหงนหน้ายิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าอาจารย์เฉาเจอกับเฉินหลี่ก็ปรึกษากับเขาหน่อยเถอะ ให้เขาเอาตำแหน่งอิ่นกวานน้อยมอบให้ข้าได้ไหม?”
เฉินผิงอันเอ่ย “เจอกันแล้วค่อยว่ากัน”
ป๋ายเสวียนบ่น “บัณฑิตทำอะไรไม่คล่องแคล่วฉับไว วกวนอ้อมค้อม เอาแต่พูดถ้อยคำคลุมเครือที่ได้ผลประโยชน์ไปหมดโดยไม่เสียเปรียบใดๆ”
เฉินผิงอันหันตัวมาหา พยักหน้า “ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ ต้องเปลี่ยนสักหน่อย ดังนั้นตอนนี้จะให้คำตอบแก่เจ้าเลยแล้วกัน ไม่ได้”
ป๋ายเสวียนเบิกตากว้าง ถอนหายใจ เอาสองมือไพล่หลัง เดินกลับไปยังที่พักเพียงลำพัง ทิ้งให้อาจารย์เฉาคนใจแคบขี้เหนียวยืนกินลมไปเพียงลำพัง
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศอุ่นขึ้นแต่ก็ยังหนาวเย็น ทว่าลมวสันต์กลับโชยเต็มภูเขาที่ตั้งอยู่บนพื้นดิน บุปผาประชันกันเบ่งบาน โลกมนุษย์ร่วมใจขอบคุณตงจวิน
คนชุดเขียว ห้อยดาบรัดน้ำเต้าบรรจุเหล้า ก้มหน้าลงมองพื้นดิน เนิ่นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับมา
เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตน ตอนนี้จะเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองแล้วหรือยัง? ถ้าอย่างนั้นตัวของนาง…จะสูงเท่าเหอกูแล้วหรือยัง?
เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ยิ้มจนตาหยี มุมปากตวัดโค้งขึ้น
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากไฉ่อี มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากเกราะทองทวีปที่เพิ่งออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ดวงตาเบิกกว้าง จิตใจสะท้านไหว เหม่อมองแสงกระบี่เฉียบคมที่สะบั้นยันต์รุ้ง เส้นยาวเส้นหนึ่งตวัดฟันลง หนึ่งกระบี่ของเซียนกระบี่ราวกับจะผ่าฟ้าแหวกดิน ไม่เห็นเงาร่างของเซียนกระบี่ เห็นเพียงแสงกระบี่พร่างพราว ราวกับว่านั่นคือภาพวาดที่งดงามที่สุดในโลกมนุษย์ ดังนั้นนับตั้งแต่นาทีนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนทั้งวิชายันต์ แล้วก็ทั้งฝึกกระบี่ด้วย ถ้าหาก ถ้าหากเกราะทองทวีปมีเซียนกระบี่เพิ่มขึ้นมาอีกคนเพราะตนเล่า
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่
ก็เหมือนอย่างเมื่อหลายปีก่อน ท่ามกลางสิ่งกีดขวางอำพรางตาในขุนเขาสายน้ำที่มีชุดแต่งงานสีแดงสดล่องลอยไปมา เว่ยจิ้นจากศาลลมหิมะก็ไม่รู้เช่นกันว่า ตอนนั้นแท้จริงแล้วมีเด็กหนุ่มรองเท้าสานคนหนึ่งเบิกตากว้าง เหม่อมองแสงกระบี่น่าครั่นคร้ามที่แหวกผ่าม่านฟ้าอย่างเหม่อลอย
เฉินผิงอันกลับเข้าไปในห้อง เขียนจดหมายลับหนึ่งฉบับ มอบให้กับห้องกระบี่ของเรือข้ามฟาก ให้พวกเขาช่วยส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังยอดเขาเสินจ้วนของสำนักกุยหยก
คนที่รับจดหมาย เจียงซ่างเจิน ผู้ที่ส่งจดหมายลงนามว่า เฉาโม่แห่งเมืองสุยเจี้ย
กระบี่บินส่งข่าวของบนภูเขา คนส่งจดหมายสามารถอำพรางตัว จงใจไม่เขียนถึงได้ ทว่านามและฉายาของคนรับจดหมายจะตกหล่นไปไม่ได้
แน่นอนว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องมีข้อยกเว้น ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนบนยอดเขาบางส่วนจะเขียนแค่ชื่อของตัวเอง ตวัดพู่กันเขียนว่านอกจากศาลบรรพจารย์อะไรอะไรแล้วผู้อื่นห้ามเปิด อันที่จริงทำแบบนี้จะใช้ได้ผลมากยิ่งกว่า
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจสายตาแปลกประหลาดของผู้ฝึกตนในห้องกระบี่พวกนั้น
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ตนตอนที่เพิ่งมาเยือนใบถงทวีปครั้งแรก แต่ละก้าวล้วนต้องเดินอย่างระมัดระวังอีกแล้ว
รอกระทั่งเฉินผิงอันจากไป ผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งของห้องกระบี่ถึงได้ถามอย่างระมัดระวังว่า “บุคคลยิ่งใหญ่?”
ผู้เฒ่าที่ดูแลห้องกระบี่ของเรือข้ามฟากหลุดหัวเราะพรืด “แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นนักต้มตุ๋น ไม่รู้จักเปลี่ยนลูกเล่นเสียบ้างเลย ข้าเคยเจอแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว อย่าไปสนใจคนแบบนี้เลย ข้ากล้ารับประกันเลยว่า จดหมายแบบนี้ไปถึงยอดเขาเสินจ้วนแล้วก็ต้องกินฝุ่นอยู่ในห้องเก็บเอกสารไปอีกหลายร้อยปี เมื่อก่อนมีคนผู้หนึ่งนั่งเรือข้ามฟากของยอดเขาเทียนแจว๋ จงใจจ่ายเงินเทพเซียนหลายเหรียญเพื่อส่งจดหมายให้กับเจ้าสำนักผู้เฒ่าสวิน ผลคือหลอกผู้ฝึกตนหญิงที่มีชาติกำเนิดจากเทียบวงศ์ตระกูลอย่างถูกต้องได้ถึงสองคน รองผู้ดูแลของห้องกระบี่ในเรือข้ามฟากคนหนึ่ง กับสตรีอีกคนหนึ่งที่คนผู้นั้นเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน หลังจบเรื่องพวกนางถึงได้รู้ว่าที่แท้เจ้าหมอนั่นก็คือผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย สุดท้ายกว่าจะจับตัวเจ้าหมอนั่นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างมากสุดก็ได้แต่ซ้อมเขาไปรอบหนึ่งเท่านั้น ทำอะไรเจ้าเด็กนั่นไปมากกว่านี้ก็ไม่ได้แล้ว เพราะหากจะพูดกันจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าชายหญิงสองฝ่ายเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจหรอกหรือ? ยังจะทำอย่างไรได้อีก เสียเปรียบก็ได้แต่เก็บเงียบเอาไว้ ถือเสียว่าเป็นบทเรียนก็เท่านั้น”
เด็กสาวคนหนึ่งของห้องกระบี่ฟังไปฟังมาก็หน้าแดงก่ำ มิน่าเล่าชายฉกรรจ์ชุดเขียวผู้นั้นถึงได้เอาแต่มองตน ที่แท้ก็เป็นพวกอันธพาลชั้นต่ำที่มีเจตนาชั่วช้านี่เอง
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “นี่ถือว่าตบะยังตื้นเขินแล้วนะ ยังมีคนที่ฝีมือสูงส่งยิ่งกว่านี้ แสร้งทำเป็นรัชทายาทที่ถูกถอดถอนตำแหน่ง ในห่อสัมภาระมีหยกลัญจกรสืบทอดของแคว้น มีชุดคลุมมังกรที่ล้วนแต่เป็นของปลอมซ่อนอยู่ จากนั้นก็ทำเหมือนไม่ทันระวังทำให้สตรีเห็นเข้าพอดี แล้วก็มีพวกที่ห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ตรงเอว เซียนกระบี่ลงจากภูเขา ต่อให้มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ต้องร่ายเวทอำพรางตา ถูกไหมล่ะ? ดังนั้นจึงมีคนที่เอาน้ำเต้าลูกเล็กผุๆ มาร่ายเวทน้ำใส่เข้าไปเล็กน้อย แล้วค่อยไปหาสถานที่ที่มีคนเยอะๆ อย่างหัวเรือดื่มเหล้าไม่หยุด”
คนหนุ่มเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “ดูเหมือนว่าไอ้หมอนั่นจะห้อยน้ำเต้าเล็กสีชาดไว้ลูกหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ดื่มเหล้านะ เกินครึ่งคงจะมองออกว่าท่านผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ด้วย ก็เลยไม่กล้าเล่นลูกไม้ชั้นต่ำพวกนั้น”
ผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ไอ้หมอนั่นยังอ่อนด้อยนัก มาเจอกับข้าก็มีแต่จะสร้างความอับอายขายหน้าให้ตัวเองเท่านั้น”
เด็กสาวยังรู้สึกหวาดผวาไม่คลาย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นทำอะไรลับๆ ล่อๆ จริง ช่างน่าเสียดายดวงตาคู่นั้นยิ่งนัก
รอกระทั่งเด็กสาวที่ยังผวาไม่หายไปทำงานของตัวเองด้วยความอับอายที่พานเป็นความโกรธ ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ดูแลห้องกระบี่ก็รีบหันไปส่งสายตาให้คนหนุ่มทันที ฝ่ายหลังยิ้มกว้าง กุมหมัดขอบคุณ ผู้เฒ่ายื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว คนหนุ่มส่ายนิ้วเดียว หมายถึงแค่เหล้าหนึ่งกา มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ส่วนข้อที่ว่าคนผู้นั้นจะรู้จักเจ้าสำนักเจียงแห่งสำนักกุยหยกจริงหรือไม่ อันที่จริงไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ถึงอย่างไรคนอย่างเจียงซ่างเจินผู้นั้น สหายของเขาก็มีแต่พวกที่อยู่สูงเกินใคร ไม่อาจไปทำความรู้จัก ยิ่งมิอาจปีนป่ายตีสนิท
คนหนุ่มพลันถามว่า “เมืองสุยเจี้ยอยู่ที่ไหนหรือ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ เกินครึ่งคงจะแกล้งอ้างถึงไปอย่างนั้นเอง”
คนหนุ่มเอ่ยหยอกล้อ “ก็ไม่รู้จักลงท้ายว่าเป็นภูเขาไท่ผิงหรือไม่ก็สำนักฝูจีเสียบ้าง”
ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็นชาหนึ่งที “หากกล้าเหยียบย่ำภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจีเช่นนี้ ข้าก็จะไล่จากเขาลงเรือไปทันทีเลย”
เด็กสาวคนนั้นพลันเงยหน้าขึ้น กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “สถานที่ตั้งเก่าของภูเขาไท่ผิงกลายเป็นสถานที่ไร้เจ้าของไปแล้ว เวลานี้ไม่ใช่ว่ามีคนมากมายกำลังช่วงชิงพื้นที่นั้นหรอกหรือ?”
ผู้เฒ่าทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ มีเพียงเสียงถอนหายใจยาวเหยียด
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้เดินจากไปไกลเท่าใดนัก
พอได้ยินประโยคสุดท้าย เขาก็หยุดเดิน สีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตามืดทะมึน
ในอดีตสำนักตระกูลเซียนที่ได้ครอบครองท่าเรือหวงฮวาได้ล่มสลายไปในสงครามแล้ว เหลือแต่ซากปรักอย่างสิ้นเชิง ภูเขาบรรพบุรุษก็ถูกเวทคาถาตระกูลเซียนถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง
แต่มือดาบชุดเขียวที่พาตัวถ่วงกลุ่มใหญ่เดินทางมาด้วย เขากับพวกเด็กๆ กลับประหลาดยิ่งนัก ต่างก็ไม่ได้ปรากฏตัวที่ท่าเรือหวงฮวา แล้วก็ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆ จะหายตัวไปกลางทาง เรือข้ามฟากรู้แค่ว่าก่อนที่เรือจะจอดเทียบท่า ชายวัยกลางคนผู้นั้นได้ย้อนกลับมาที่ห้องกระบี่ของเรืออีกรอบ ส่งจดหมายไปให้กับยอดเขาเสินจ้วนอีกหนึ่งฉบับ
ท่ามกลางค่ำคืนที่มีลมฟ้าลมฝน เฉินผิงอันปักปิ่นหยก ฝ่าตราผนึกของเรือข้ามฟากออกไปอย่างเงียบเชียบ ทะยานลมไปทางทิศเหนือเพียงลำพัง หลังจากทิ้งเรือข้ามฟากไว้ด้านหลังไกลหลายสิบลี้ก็เปลี่ยนจากทะยานลมมาเป็นขี่กระบี่ เสียงฟ้าคำรามอยู่บนนภากาศ สั่นสะเทือนใจคน ฟ้าดินเกิดภาพปรากฎการณ์ประหลาด เป็นเหตุให้ทุกคนที่อยู่บนเรือข้ามฟากด้านหลังตะลึงพรึงเพริด เรือข้ามฟากจำต้องรีบอ้อมผ่านไปทางอื่นอย่างร้อนรน
……
ในรัศมีร้อยลี้รอบท่าเรือชวีซาน ลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบเรียบ มีเพียงยอดเขาแห่งเดียวที่โผล่ตระหง่านขึ้นมา จึงสะดุดตามากเป็นพิเศษ บนยอดเขาแห่งนั้นมีหน้าผาราบเรียบแกะสลักเป็นกระดานหมากรุกกระดานหนึ่ง ตัวหมากสามสิบสองตัวใหญ่เหมือนเสาหิน น้ำหนักมากนับพันจิน มีผู้ฝึกตนสองคนยืนอยู่ตรงปลายสองด้านของกระดานหมาก กำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ ทุกครั้งที่ฝ่ายตรงข้ามกินหมากบนกระดานของตนได้ตัวหนึ่ง ก็จะต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ นี่คือการเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน
คนหนึ่งในนั้นคือบุรุษหนุ่มหล่อเหลา อายุแค่สองร้อยปี คือเซียนกระบี่ใหญ่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเกราะทองทวีป ฉายาคือ ‘สวีจวิน’ ชื่อจริงคือสวีเซี่ย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงกลายมาเป็นผู้ถวายงานของสกุลหลิวธวัลทวีปได้ ครั้งนี้ขี่กระบี่เดินทางมายังทิศใต้สุดของใบถงทวีปก็เพื่อปกป้องอ่างเก็บสมบัติใบใหม่แทนท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวของธวัลทวีป ยกตัวอย่างเช่นเรือข้ามฟากไฉ่อีลำนั้นก็คือเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่ที่อูซุนหลันเชื่อมาจากสุกลหลิว สกุลหลิวไม่เพียงแต่มอบเรือข้ามทวีปสำเร็จรูปลำหนึ่งให้ ราคายังนับว่าเป็นธรรม รายได้จากเรือข้ามฟากหลังจากนี้อีกห้าร้อยปีก็จะทำให้ผู้ฝึกตนของอูซุนหลันประหลาดใจเป็นทบทวีเช่นกัน
สำหรับใบถงทวีปแล้ว เซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งที่เคยส่งกระบี่นับร้อยนับพันครั้งบนสนามรบเกราะทองทวีป ก็คือมังกรข้ามแม่น้ำอย่างสมชื่อ
และกุญแจสำคัญที่ทำให้อารมณ์ของผู้ฝึกตนบนยอดเขาซับซ้อนอย่างแท้จริงก็คือสวีเซี่ยผู้นี้ คล้ายว่าจะเป็นคนกลุ่มเล็กที่ลุกผงาดขึ้นได้เพราะโชคชะตา
หวังจี้ที่เป็นงูเจ้าถิ่น ผู้ฝึกลมปราณในท้องถิ่นของใบถงทวีป ขอบเขตหยกดิบ เรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์แห่งไกวหยา มีอีกฉายาว่าจื๋อหลินโส่ว ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่ตอนที่เป็นเด็กหนุ่มก็ชอบพกกระบี่ออกเดินทางท่องเที่ยว ชอบศาสตร์แห่งการโจมตี รูปโฉมสง่างามคล้ายปัญญาชน แต่กลับมีฉายาบนภูเขาว่าเจียนจ่านกวาน (ขุนนางที่ทำหน้าที่ควบคุมและลงทัณฑ์โทษประหาร) ฝึกตนบนภูเขาสายมากแล้ว เป็นขุนนางมีอนาคตกว้างไกลมาสามสิบปี มีชาติกำเนิดจากขุนนางบุ๋นน้ำใส คนที่เขาเคยใช้กระบี่สังหารกับมือตัวเองก็มีตั้งแต่บ่าวชั่วร้าย เสมียนละโมบ ไปจนถึงโจรในยุทธภพ มีมากหลายสิบคน ภายหลังลาออกจากตำแหน่งมาใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ตอนที่ลงจากภูเขาก็กลายมาเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง สุดท้ายจึงกลายมาเป็นผู้ถวายงานของสำนักกุยหยก เป็นผู้ถวายงานประเภทที่มีเก้าอี้นั่งอยู่ในศาลบรรพจารย์ ทว่าก่อนหน้านี้หวังจี้ก็คือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของตลอดทั้งใบถงทวีปที่ด่าเจียงซ่างเจินมากที่สุด ไม่มีหนึ่งใน
ดังนั้นครั้งนี้หวังจี้ลงใต้มาเยือนท่าเรือชวีซานเขตอวี๋โจว ก็เพื่อช่วยสำนักกุยหยกด่าคน
——