กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 749.4 ขุนเขาสายน้ำกลับมาบรรจบพบกันอีกครั้ง
คนที่ช่วยเป็นกรรมการให้กับคนทั้งสองคือผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่มาผ่อนคลายอารมณ์ที่นี่ชั่วคราว ศิษย์น้องหญิงของชงเชี่ยนเซียนเหรินแห่งหลิวเสียทวีป หรือก็คือฮูหยินเจ้าของถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ เกิดมามีรูปโฉมงามเลิศล้ำ สวมกวานบุปผาหยกมรกต ชุดคลุมผ้าแพร เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น บุตรชายของนางคือหนึ่งในสิบตัวสำรองรุ่นเยาว์ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้อยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้า ดังนั้นพวกนางสองแม่ลูกจึงต้องรอเวลาอีกแปดสิบปีให้หลังถึงจะพบหน้ากันได้
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้นางก็จะต้องบ่นสามีว่าไม่ควรใจดำขนาดนี้ ถึงขนาดให้ลูกชายเดินทางไกลไปอยู่ใต้หล้าแห่งอื่น
หวังจี้โยนเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ถามว่า “เรือข้ามทวีปไม่กี่ลำของนครมังกรเฒ่า เมื่อไหร่จะมาถึงท่าเรือชวีซาน?”
สวีเซี่ยไม่ได้รับเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นมา แต่ปล่อยให้มันแหลกสลาย กลายเป็นปราณวิญญาณที่เข้มข้นขุมหนึ่ง ภูเขาสูงใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสามนี้ เดิมทีก็เป็นตราผนึกค่ายกลที่ผู้ฝึกตนสกุลหลิวตั้งใจสร้างขึ้นมา สามารถรองรับเอาปราณวิญญาณฟ้าดินและโชคชะตาขุนเขาสายน้ำจากสี่ด้านแปดทิศมาได้ สวีเซี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “มาถึงท่าเรือก็ย่อมได้เห็นเอง”
หวังจี้หัวเราะหยัน “ระวังลมแรงคลื่นสูง ปรับตัวเข้ากับน้ำดินไม่ได้ ไม่ว่าจะทางบกหรือทางน้ำก็เรือล่มได้ทั้งนั้น”
สวีเซี่ยสีหน้าไร้อารมณ์ “เรือล่ม? เจ้าสำนักเจียงของพวกเจ้าเป็นคนพลิกเรือให้คว่ำกระมัง เอาเป็นว่าขอแค่เรือล่มลำหนึ่งข้าก็จะไปถามกระบี่ที่ยอดเขาเสินจ้วน”
หวังจี้จุ๊ปากพูด “ฟังจากน้ำเสียงแล้ว คงคิดว่าจะชนะได้อย่างมั่นคงสินะ?”
สวีเซี่ยอธิบาย “แปดส่วนน่าจะแพ้ แต่ก็ไม่ถ่วงรั้งการถามกระบี่ของข้า”
หวังจี้กระทืบเท้าหนึ่งที กระเทือนให้หมากเม็ดหนึ่งร่วงลงบนมุมหนึ่งของกระดานหมาก ยกนิ้วโป้งให้กับสวีเซี่ย “ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่รู้จักกับฉีถิงจี้”
สวีเซี่ยเอ่ย “เจ้าเองก็รู้จักสวีเซี่ย ไม่แย่แล้ว”
หวังจี้หัวเราะอย่างฉุนๆ “หากเจ้าได้เจอกับเจียงซ่างเจิน ถ้าไม่ต่อสู้กันเอาเป็นเอาตายก็ต้องกลายเป็นเพื่อนหมาป่าสหายสุนัขของเขา ไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่นแล้ว”
ผู้ฝึกตนหญิงจากหลิวเสียทวีปผู้นั้นส่ายหน้า ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดจนถึงตอนนี้คนทั้งสองถึงยังไม่ตีกันสักที ทุกวันเอาแต่งัดข้อกันอยู่บนกระดานแล้วก็โต้ฝีปากกันอยู่แบบนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าแท้จริงแล้วทั้งสองฝ่ายถูกชะตากันมากนะ
สวีเซี่ยพลันถามว่า “สรุปแล้วเจียงซ่างเจินปิดด่านจริงๆ หรือว่าแสร้งปิดด่านกันแน่?”
หวังจี้ถอนหายใจ รู้สึกเสียใจอย่างที่หาได้ยาก “สวรรค์เท่านั้นที่รู้ ถึงอย่างไรการประชุมในศาลบรรพจารย์ครั้งสุดท้าย ท่าทางของเขาก็เหมือนคนเป็นโรค ร่อแร่ปางตาย ทำให้คนที่เห็นรู้สึกปวดใจนัก”
สวีเซี่ยชำเลืองตามองไปทางทิศเหนือ
ใบถงทวีปที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสกปรก จิตใจคนชั่วช้าแห่งนี้ เขาชื่นชอบไม่ลงเลยจริงๆ
รู้ว่าผิดแล้วยังไม่ยอมรับผิด ประหยัดแรงใจ
ยอมรับผิดแต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแก้ไข ประหยัดแรงกาย
ช่างประหยัดแรงกายแรงใจได้ดีจริงๆ ผลคือมีคนไม่น้อยที่มีชีวิตรอดมาได้จริงๆ ได้กลับคืนมายังแผงลอยใหญ่ที่เละเทะอย่างใต้หล้าไพศาลนี้อีกครั้ง แต่อันที่จริงไม่ได้ดีไปกว่าปีนั้นที่ตกอยู่ในกำมือของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสักเท่าไรเลย
พูดถึงแค่เรื่องเดียว ซากที่ตั้งเก่าของสำนักภูเขาไท่ผิง เนื่องจากใบถงทวีปไม่มีผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงอีกแม้แต่คนเดียว ทุกวันนี้มีกองกำลังบนภูเขากี่มากน้อยที่น้ำลายสออยากครอบครองพื้นที่นั้น? ไม่ว่าจะทางลับทางแจ้งก็ล้วนกระเหี้ยนกระหือรือกันเต็มที่
สำนักฝูจีดีกว่าเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ยังเหลือควันธูปอยู่บ้าง ต่อให้สถานการณ์จะง่อนแง่นแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของสำนักศึกษา พวกผู้ฝึกตนสำนักฝูจีที่ขอบเขตไม่สูง จำนวนน้อยนิดเหล่านั้นก็ยังถือว่าปกป้องภูเขาบรรพบุรุษของบ้านตนไว้ได้อย่างถูกต้องชอบธรรม ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าคิดจะมาแตะต้อง ตอนนี้เป็นเช่นนี้ ทว่าต่อจากนี้อีกสิบปีให้หลัง อีกร้อยปีให้หลังล่ะจะเป็นอย่างไร? แผนการมากมายที่ผู้ฝึกตนบนภูเขาซ่อนฝังไว้ยาวไกลพันลี้ ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่การใช้อำนาจช่วงชิงมาเท่านั้น สำนักศึกษาปกป้องได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม ไม่อาจปกป้องได้นานกว่านั้น รอกระทั่งเจ้าสำนักหนุ่มของสำนักฝูจีกลับคืนมาจากใต้หล้าใหม่เอี่ยม ไม่แน่ว่าศาลบรรพจารย์ของสำนักฝูจีอาจเหลือแค่เก้าอี้เจ้าสำนักที่เหมือนของประดับตกแต่งตัวเดียวเท่านั้น ต่อให้นั่งลงไปแล้ว สี่ด้านแปดทิศก็อาจจะเต็มไปด้วยป่ามีดอ่อน (มีดอ่อนเปรียบเปรยถึงวิธีทำร้ายคนอื่นแบบที่มองไม่เห็น ป่ามีดอ่อนก็คือมีวิธีที่ว่านี้อยู่รายล้อม มากมายเหมือนต้นไม้ในป่า)
สวีเซี่ยมีชาติกำเนิดมาจากลัทธิขงจื๊อ เพียงแต่ว่าไม่เคยไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาเกราะทองทวีปก็เท่านั้น หวังจี้ที่ลากสวีเซี่ยมาเล่นหมากรุกด้วยกันก็เป็นเช่นเดียวกัน
หวังจี้นั่งแปะลงไปบนตัวหมาก เอ่ยอย่างจนใจว่า “สิ่งที่เหมือนอำพรางไว้ที่สุด เหมือนว่าเล็กละเอียดที่สุด แท้จริงแล้วกลับชัดเจนที่สุด เป็นรูปธรรมมากที่สุด นี่จึงเป็นเหตุให้วิญญูชนต้องระมัดระวังตัวแม้ยามอยู่เพียงลำพัง คนที่ใช้หลักการเหตุผล ศึกษาหาความรู้อย่างเราๆ ตั้งใจกับคำว่าระมัดระวังยามอยู่ลำพังนี้ที่สุด ก้มหน้ามองเงาไม่ละอายต่อดิน เงยหน้าหลังคารั่วไม่ละอายต่อฟ้า”
สวีเซี่ยเอ่ยคล้อยตามหวังจี้อย่างที่หาได้ยาก เขาพยักหน้ากล่าวว่า “คนมองตัวเอง เหมือนเห็นไปถึงตับไตไส้พุง”
หวังจี้ถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง “รอให้สำนักศึกษาสร้างขึ้นมาใหม่ครบหมดแล้ว สถานการณ์จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
หวังจี้สะบัดชายแขนเสื้อ เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “คนบนภูเขาอย่างเรา ชีวิตมีความปลงอนิจจังมากมาย”
สตรีผู้นั้นเอ่ยถามว่า “เจ้าคนที่เขียนบทความโจมตีเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ ทุกวันนี้มีจุดจบเป็นอย่างไร?”
ศาลบุ๋นสั่งห้ามผลิตรายงานขุนเขาสายน้ำห้าปี แต่ระหว่างผู้ฝึกตนบนยอดเขาด้วยกัน แน่นอนว่าย่อมต้องมีวิธีการตระกูลเซียนในการส่งข่าวให้กันอย่างลับๆ
หวังจี้แค่นเสียงหยัน “ก็ไม่อย่างไร ชีวิตของเจ้าหมอนั่นดียิ่งนัก มีคนปกป้องมากมาย แต่ละคนต่างมองอีกฝ่ายเป็นจิตบุ๋น เป็นมโนธรรมแห่งสำนักขงจื๊อของหนึ่งทวีป แหกปากตะโกนเต็มที่มาหลายปีแล้ว ต้องการให้เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาทางการท่านนี้ไปเป็นเจ้าขุนเขาของหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา ไม่อย่างนั้นก็แสดงว่าสายบุ๋นใหญ่ๆ หลายสายในศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแอบร่วมมือกันผลักไสคนผู้นี้ จึงเรียกได้ว่านั่งตกปลาอยู่บนแท่นอย่างมั่นคง”
คนหนุ่มสาวอ่านบทความบทกวีของคนแก่บางคนแล้วรู้สึกว่าท่ามกลางบรรทัดตัวอักษรเต็มไปด้วยกลิ่นอายเสื่อมโทรม ส่วนพวกคนแก่บางคนมองคนหนุ่มสาวที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ความกระตือรือร้น บนใบหน้าก็จะมีรอยยิ้ม แต่สายตากลับมืดดำ มองอีกฝ่ายเป็นดั่งโจรกบฏ
เมื่อคนแก่คนหนึ่งใจแคบเหมือนไส้ไก่ ปิดประตูห้องหัวใจแต่กลับไม่รู้ตัว ถ้าอย่างนั้นความมีชีวิตชีวาบนร่างของคนหนุ่มสาว พื้นที่ว่างสำหรับการทำความผิดที่กาลเวลามอบให้กับคนรุ่นเยาว์ก็จะถูกพวกเขามองว่าเป็นการทำร้ายที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ต่อให้คนหนุ่มสาวไม่เอ่ยอะไรก็ยังคงเป็นความผิด
คนหนุ่มสาวไม่มีทางเข้าใจว่าเหตุใดพวกคนแก่ถึงได้ผิดหวังง่ายดายถึงเพียงนั้น
คนมีอายุกลับมองดูคนหนุ่มสาวที่เปลี่ยนจากมีความหวังเป็นผิดหวังด้วยสายตาเย็นชา
สงครามใหญ่ปิดฉากลง คนรุ่นเยาว์บนภูเขาตายกันไปมากมายเหลือเกิน
คนแก่หลายคนยังคงหัวเราะหยัน มองเห็นแล้ว เพียงแต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
สวีเซี่ยกระตุกมุมปาก เอ่ยเย้ยหยัน “ฟังหลิวจวี้เป่าเล่า เดิมทีบรรพจารย์สกุลอวี้อยากจะถอดถอนตำแหน่งเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาแห่งราชวงศ์ของคนผู้นี้ เพียงแต่ว่าเมื่อทำเช่นนี้กลับกลายเป็นว่ายากที่จะสั่นคลอนเขา กังวลว่าจะทำให้ระบบใหญ่ทั้งหลายซึ่งมีสายของหย่าเซิ่งเป็นหนึ่งในนั้นยากที่จะวางตัวเป็นคน แล้วนับประสาอะไรกับที่ถอดตำแหน่งเจ้าขุนเขาคนหนึ่งแล้วอย่างไร คนผู้นี้มีแต่จะยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจมากกว่าเดิม มโนธรรมในใจก็สงบสุขได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังรอคอยให้บรรพจารย์สกุลอวี้เล่นงานเขา แล้วค่อยช่วงชิงชื่อเสียงบริสุทธิ์ดีงามมาใหม่”
หวังจี้ชำเลืองตามองสวีเซี่ย วันนี้เจ้าหมอนี่พูดมากไม่เบา นับว่าเป็นเรื่องหายาก
สตรีจากหลิวเสียทวีปผู้นั้นทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง “วิถีทางโลกใบนี้ มักจะมีบางอย่างที่ผิดปกติอยู่เสมอ แต่ก็บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร”
สวีเซี่ยเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ใต้หล้าแห่งนี้ บัณฑิตอย่างซิ่วหู่มีน้อยเกินไปจริงๆ!”
หวังจี้กล่าวอย่างหม่นหมอง “ไม่ใช่ว่ามีน้อยเกินไป แต่ไม่มีแล้ว”
……
ซากปรักของภูเขาไท่ผิง
ตรงหน้าประตูภูเขาที่อยู่ในสภาพผุพัง ซุ้มประตูพังถล่มลงมานานแล้ว คนชุดเขียวผู้หนึ่งพลิ้วกายลงบนพื้น ฉีกหน้ากากออก กลับคืนมาสู่โฉมหน้าที่แท้จริง
เขาทรุดตัวลงนั่งยอง เอามือกดเศษหินก้อนหนึ่งไว้เบาๆ พอจะมองเห็นร่องรอยตัวอักษรบางส่วนได้อย่างเลือนราง
ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา เทเหล้าทิ้งหมดทั้งกา
หลังจากลุกขึ้นยืน เรือนกายของคนหนุ่มก็กลับมางองุ้มน้อยๆ อีกครั้ง ไม่ได้จงใจยืดเอวตรงอีกต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะออกหมัดหรือออกกระบี่ก็ล้วนเร็วกว่าเดิม
คนหนุ่มลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งทะยานลมมาจากจุดที่ห่างไปไกล ถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความระแวงป้องกัน “เจ้าคิดจะทำอะไร? ไหนตกลงกันไว้แล้วอย่างไรล่ะว่า ช่วงนี้ใครก็ห้ามเข้ามาในอาณาเขตของภูเขาบรรพบุรุษของภูเขาไท่ผิงทั้งนั้น?!”
บุรุษพกดาบชุดเขียวผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตกลง? ดูเหมือนว่าจะใช้ไม่ค่อยได้ผลกระมัง ถูกหรือไม่? ถ้าอย่างนั้นข้าจะเป็นคนมาเฝ้าที่นี่เองก็แล้วกัน”
ก็แค่เฝ้าประตูไม่ใช่หรือ? ข้าเฝ้าประตูมานานหลายปี ถนัดนักล่ะ
ลูกศิษย์สำนักศึกษาเห็นเพียงว่าแขกไม่ได้รับเชิญผู้นั้นยิ้มตาหยี รอยยิ้มมองดูเหมือนเจิดจ้าสดใส แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดกลับทำให้ตนรู้สึกขนพองสยองเกล้า เสียวสันหลังวาบ ถึงกับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
คนผู้นั้นไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่เดินไปข้างหน้าช้าๆ จากนั้นหันตัวกลับมานั่งลงบนขั้นบันได เขาหันหลังให้กับภูเขาไท่ผิง หันหน้าไปยังทิศไกล จากนั้นก็เริ่มหลับตาทำสมาธิ
คนผู้นั้นพลันถามว่า “อาณาเขตของภูเขาบรรพบุรุษกว้างกี่ร้อยลี้?”
สีหน้าของลูกศิษย์สำนักศึกษาหม่นหมอง “รัศมีสิบลี้”
ครู่หนึ่งต่อมาลูกศิษย์สำนักศึกษาที่ใคร่ครวญหาถ้อยคำเหมาะๆ อยู่ตลอดเวลาก็พลันตาลาย มองไม่เห็นเงาร่างที่ก่อนหน้านั้นนั่งอยู่อีกต่อไป แต่ภูเขาเล็กลูกหนึ่งที่ห่างไปไกลหลายสิบลี้อยู่ดีๆ ก็เหมือนถูกผ่าภูเขา ภูเขาลูกหนึ่งถูกผ่ากลางกลายเป็นหน้าผาสองด้าน
เมื่อครู่นี้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งขยับไปหนึ่งก้าว ดังนั้นจึงยืนอยู่ตรงจุดที่เปลี่ยนจากยอดเขามาเป็น ‘หน้าผา’ พอดี จากนั้นก็ยืนนิ่งไม่ขยับ เป็นการยืนนิ่งอย่าง ‘มั่นคงดุจภูผา’ ที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน
เพราะว่ามีฝ่ามือหนึ่งกดศีรษะเขาเอาไว้ คนผู้นั้นถามว่า “อยากตายอย่างไร? หากทางเลือกมีมากเกินไป ไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไร ข้าก็สามารถช่วยเลือกให้เจ้าได้”
ห้านิ้วงอเป็นตะขอ กักทั้งศีรษะและจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนั้นเอาไว้ “อย่าถ่วงเวลาในการตามหาคนถัดไปของข้า ข้าคนนี้ไม่ค่อยมีความอดทนมากนัก”
เพิ่งคิดจะปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกล ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็ร้องโหยหวนขึ้นมา ราวกับเผชิญความเจ็บปวดดั่งโดนหมื่นกระบี่คว้านหัวใจ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณสั่นสะเทือนไปพร้อมกันไม่หยุด คิดจะยอมอ่อนข้อขอร้องอีกฝ่าย จิตวิญญาณก็ถูกดึงออกมาเสียก่อน ถูกคนผู้นั้นเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เรือนกายจึงล้มตึงลงไป
อีกจุดหนึ่งมีเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ทะยานลมหลบหนีไปทันที พริบตาเดียวก็ขยับออกห่างมาสามสิบลี้ คิดไม่ถึงว่าจะเหมือนถูกคนกระชากให้หงายหลัง สุดท้ายกระแทกหล่นตรงจุดเดิม
คนหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่งสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มบางๆ ถามว่า “สวัสดี ข้าชื่อเฉินผิงอัน มาภูเขาไท่ผิงเพราะจะมาเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสที่เคยรู้จัก เจ้าคือผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาไท่ผิงรึ? หากไม่ใช่ล่ะก็ จุดจบอาจไม่ค่อยดีนัก”
ห่างไปร้อยกว่าลี้ ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำหัวเราะเสียงหยัน “สหาย การกระทำที่โหดเหี้ยมดุร้ายเช่นนี้ เกินไปหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง แต่กลับไม่ได้มองไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้น สายตาเบี่ยงไปด้านข้างประมาณสามสิบกว่าลี้ “หากคนอยู่ต่อ จะให้โอกาสเจ้าได้ส่งจดหมายกระบี่บินไปขอความช่วยเหลือ จำไว้ว่าอย่าให้เป็นขอบเขตหยกดิบกระดาษเปียกเช่นเดียวกับเจ้าล่ะ”
คนผู้นั้นไม่อำพรางร่องรอยอีกต่อไป แผดเสียงหัวเราะดังลั่น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีคนหนึ่ง
เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว หดย่อพื้นที่มาหยุดอยู่ข้างกายผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบคนนั้นโดยตรง “อารมณ์ดีขนาดนี้เชียวหรือ?”
ชั่วพริบตานั้นผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นถึงขอบเขตหยกดิบผู้ยิ่งใหญ่พลันหน้าซีดเผือด ความคิดแล่นโคจรเร็วจี๋ เซียนกระบี่? ฟ้าดินเล็ก?!
ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป หรืออาจไม่ถึงครึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่วันๆ เต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมแต่กลับทำอะไรไม่ได้ก็เห็นว่าคนผู้นั้นกระชากผมของสตรีคนหนึ่งมา จากนั้นก็โยนผู้ฝึกตนหญิงไว้นอกประตูภูเขา ร่างของอีกฝ่ายร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง ส่วนคนผู้นั้นย้อนกลับมาที่หน้าประตูภูเขา มานั่งที่เดิมต่ออีกครั้ง ใช้นิ้วมือดันดาบออกจากฝักเบาๆ ดาบแคบสีขาวหิมะก็ปักลงบนพื้นข้างใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นพอดี
เฉินผิงอันยิ้มถาม “อยากดื่มเหล้าหรือไม่?”
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อยกมือขึ้น ใช้หลังมือเช็ดหน้าผาก ส่ายหน้า เอ่ยเตือนเสียงเบา “เบื้องหลังยังมีเซียนเหรินอยู่อีกคน เกิดเรื่องเช่นนี้ เขาต้องรีบมาที่นี่แน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าจะรอเขา”
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อพลันเปลี่ยนใจ “ผู้อาวุโสให้เหล้าข้าสักกามาดื่มระงับความตกใจเถอะ”
เฉินผิงอันโยนเหล้ากาหนึ่งไปให้
บัณฑิตหนุ่มจากสำนักศึกษารับกาเหล้ามา ดื่มเหล้าอึกใหญ่ ก่อนจะหันหน้ามาเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ผู้อาวุโสไม่ดื่มหรือ?”
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเห็นเพียงว่าคนผู้นั้นส่ายหน้า จากนั้นค้อมเอวลง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มองไปยังทิศไกลด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือไม่ ถึงได้รู้สึกว่าบุรุษชุดเขียวที่ราวกับหล่นลงมาจากฟากฟ้าคนนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีความดีใจแม้แต่น้อย กลับกันยังเสียใจอย่างมาก
เสียใจอะไรกัน เพราะภูเขาไท่ผิงที่อยู่ด้านหลังนี่หรือ? แต่ภูเขาไท่ผิงว่างเปล่าไร้ผู้คนมานานตั้งกี่ปีแล้ว? เพราะว่ามาช้าเกินไป? แต่แบบนี้ก็ไม่ถูกนะ ต่อให้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนใบถงทวีป บ้านเกิดคือหลิวเสียทวีปที่อยู่ไกลที่สุด ต่อให้เป็นระยะทางยาวไกลแค่ไหนก็น่าจะได้ยินข่าวและมาถึงตั้งนานแล้ว
เฉินผิงอันถาม “สำนักศึกษาว่าอย่างไร?”
คนหนุ่มลัทธิขงจื๊อกล่าว “เจ้าขุนเขาคนใหม่ของพวกเราไม่อนุญาตให้ใครเข้ามายึดครองภูเขาไท่ผิง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยากมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า เงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับว่ากำลังให้คำมั่นสัญญากับภูเขาไท่ผิงด้านหลังที่ไม่มีคนอยู่มานานหลายปีแล้ว “มีข้าอยู่ก็ไม่ยากแล้ว เจียงซ่างเจินช่างเป็น…เศษสวะจริงๆ”
คนหนุ่มลัทธิขงจื๊อรับฟังด้วยอาการชาไปทั้งหนังศีรษะ ต้องรีบดื่มเหล้าทันใด
เฉินผิงอันเงยหน้ายิ้มถาม “ถูกหรือไม่ พี่โจวเฝย?”
เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานดังขึ้น จากนั้นบุรุษหล่อเหลาคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น จอนผมสองข้างออกเป็นสีดอกเลา ราวกับว่ารอยยิ้มบนใบหน้าเอาชนะสีหน้าเหนื่อยล้าได้ รูปโฉมของเขาจึงยิ่งคมคายมีเสน่ห์ เขาร้องโอ้โหอยู่หนึ่งที ก่อนพูดติดๆ กันว่าขอโทษทีๆ ที่แท้เท้าข้างหนึ่งของคนผู้นั้นก็เหยียบอยู่บนใบหน้าของผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบ คนหนุ่มลัทธิขงจื๊อที่ปากอ้าตาค้างเห็นเพียงว่าอดีตเจ้าสำนักกุยหยกที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้านานแล้วผู้นั้น แม้ปากจะบอกว่าขอโทษ แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะยกเท้าขึ้นเลย สุดท้ายประสานมือคารวะบุรุษที่อยู่ด้านหลังตัวเอง “ผู้ถวายงานโจวเฝย คารวะท่านเจ้าขุนเขา”
เฉินผิงอันไม่ได้ลุกขึ้น เพียงหยิบเหล้าออกมาสองกา โยนกาหนึ่งให้กับเจียงซ่างเจิน เงยหน้ามองเจียงซ่างเจินที่ทั้งคุ้นเคยและทั้งแปลกหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ลำบากแล้ว ยังได้พบกันอีก ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
“เจ้าขุนเขาเองก็จริงๆ เลย จดหมายฉบับที่สองแค่บอกว่าไม่ไปยอดเขาเสินจ้วนแล้ว โชคดีที่ข้าเป็นคนฉลาด รู้ว่าเจ้าต้องดิ่งมาที่นี่”
สุดท้ายเจียงซ่างเจินก็ยอมตัดใจยกเท้าขึ้นได้เสียที แต่ว่าใช้ปลายเท้าเตะผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นให้กลิ้งไปหลายจั้ง รับกาเหล้ามา นั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ชูกาเหล้าในมือขึ้นสูง ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี เพียงแต่น้ำเสียงที่พูดกลับไม่ดังนัก ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่น้องคนดี สักอึกไหม?”
กาเหล้าสองใบกระทบกันเบาๆ แล้วต่างคนก็ต่างดื่มกันไปเงียบๆ เช่นนี้
ยุทธภพไม่มีอะไรดี ก็มีแค่สุราที่นับว่ายังใช้ได้
——