กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 750.3 แสวงหาความจริงในฝัน เซียนเหรินป้อนหมัด
หากจะบอกว่าผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์อายุน้อยๆ คนหนึ่งยังมีเรื่องไม่คาดฝันมากเกินไป อาจจะตายก่อนวัยอันควรไประหว่างทางขึ้นเขา แต่อิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ที่มาพร้อมกับโชคย่อมไม่มีทางกายดับมรรคาสลายได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน เพราะคนมีเจตนาจำนวนไม่น้อยค้นพบแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเยาว์สิบคนหรือตัวสำรองสิบคน ตอนนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามีใครตายอยู่บนสนามรบ อย่างมากสุดก็แค่หายตัวไป ยกตัวอย่างเช่นเฝ่ยหราน ผู้นำร้อยเซียนกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง และยังมีจู๋เชี่ยที่สาดประกายแสงเจิดจ้าบนสนามรบทักษินาตยทวีป รวมไปถึงหม่าขู่เสวียนที่ต่อสู้เอาเป็นเอาตายอยู่ในแจกันสมบัติทวีป สวี่ป๋ายที่มีคำเรียกขานอันไพเราะว่า ‘เจียงไท่กงยามเป็นเด็กหนุ่ม’ และฉุนชิงที่มาจากภูเขาชิงเสิน ต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งแต่ละคนล้วนมีหวังบนมหามรรคาอย่างแท้จริง
ส่วนเฉาสือ ผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธของใต้หล้าไพศาลต่างก็ไม่มีใครมองเขาเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ไปตามจิตใต้สำนึกแล้ว
ก่อนที่รายงานขุนเขาสายน้ำจะถูกสั่งห้าม มีข่าวลือเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวพันไปถึงสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้า แต่สามารถโดดเด่นออกมาท่ามกลางข่าวลับของรายงานมากมาย ทำให้ผู้คนพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ก็เพราะการออกหมัดของเฉาสือ มีผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งนามเจิ้งเฉียนที่ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับศาลเหลยกงของธวัลทวีป แต่กลับไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเพ่ยอาเซียง ระหว่างที่นางเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตอนอยู่บนหัวกำแพงเมืองของเมืองหลงราชวงศ์ต้าตวน นางทยอยถามหมัดเฉาสือสี่ครั้ง ล้วนพ่ายแพ้ทุกครั้ง คนที่เป็นพยานมีไม่มาก นอกจากราชครูราชวงศ์ต้าตวน เทพีแห่งการต่อสู้เผยเปยแล้ว ก็มีแค่คู่พ่อลูกเทพแห่งโชคลาภหลิวจวี้เป่าและหลิวโยวโจวแห่งใบถงทวีปเท่านั้น
เพียงแต่ว่าเรื่องที่ชวนให้ยินดียังคงมีน้อยไป คนที่จากไปยังคงมีมากเกินไป ต่อให้เจียงซ่างเจินจะไม่ใช่คนที่ชอบกลัดกลุ้มและมองโลกในแง่ดีมากแค่ไหน เรื่องที่เขายากจะปล่อยวางได้ลงก็ยังคงมีมากมายอยู่ดี
วันนี้กว่าจะได้เจอเรื่องที่มีค่าพอให้เบิกบานใจ มีค่าพอให้ดื่มเหล้าอย่างสาแก่ใจติดต่อกันสามเรื่องไม่ใช่เรื่องง่าย
ได้กลับมาพบเจอกับสหายรักเฉินผิงอันอีกครั้ง คนทั้งสองต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ดี
เห็นเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วลงมือ ได้เห็นคนหนุ่มผู้นี้ไม่ได้ใช้เหตุผลมากมายขนาดนั้นกับตาตัวเอง
รวมไปถึงใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ช่าง…ต่อสู้ได้เก่งจริงๆ
เพียงแต่ว่าเรื่องบางเรื่อง ดูเหมือนว่าเขาเจียงซ่างเจินจะพูดไม่ได้ ยังคงต้องให้เฉินผิงอันไปฟังไปดู ไปรู้ด้วยตัวเอง
หมัดข้างหนึ่งของเจียงซ่างเจินวางอยู่บนหัวเข่า มือข้างหนึ่งตีหัวเข่าเบาๆ เอ่ยพูดเสียงแผ่ว
หลอมสกัดใจจอมยุทธเป็นกระจกโบราณ แสงสว่างส่องทะลุได้ปรุโปร่ง สาดประกายแสงเจิดจ้า สถานการณ์หมากหมื่นลี้แห่งแผ่นดิน วีรบุรุษผู้กล้ามีกี่มากน้อย
ลอบมองกระจกโบราณผอมบางยิ่ง ถือตำราพกมาตรวจสอบเหมย เคี้ยวดอกเหมยละเอียด ชื่อเสียงสง่างามนานพันปีดุจฝัน ยกจอกสุราเซ่นไหว้กาลเวลาหมื่นปี
เฉินผิงอันหยุดการกระทำลง หันหน้ามายิ้มเอ่ย “ไม่มีสัมผัสคล้องจอง เรื่องของฉันทลักษณ์ก็ยิ่งยากจะบรรยายให้กระจ่างในคำเดียว ทำให้คนฟังแล้วกลัดกลุ้มนัก”
เจียงซ่างเจินยกมือขึ้นกำเป็นหมัดแล้วโบกเบาๆ ยิ้มเอ่ย “วันหน้าข้าจะอ่านตำราให้มาก จะพยายามให้มากกว่านี้”
เฉินผิงอันถอยหลังไปหนึ่งก้าว กลับไปนั่งบนขั้นบันไดขั้นเดิมก่อนหน้านี้ ถามคำถามประหลาดข้อหนึ่ง “เจียงซ่างเจิน?”
ส่วนหันเจี้ยงซู่ผู้นั้น กว่าจะงัดหัวออกมาจากพื้นดินได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เวลานี้ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันพื้น กระอักเลือดไม่หยุด
หยางผู่ถอนหายใจหนึ่งที เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้อาวุโสก็คงต้องต่อสู้กับสำนักว่านเหยาอย่างไม่ตายไม่ยอมเลิกราแล้ว
หากไม่มีคนนอกมองอยู่ วันนี้หันเจี้ยงซู่ประสบหายนะเช่นนี้ ไม่แน่ว่ายังมีพื้นที่เหลือพอให้แก้ไขอยู่บ้าง
เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงเล่นสนุกกับโลกมนุษย์มาจนชิน ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไม่ยี่หระกับเรื่องใดในสังคม สหายที่คบหาก็ไม่เคยใช้ขอบเขตสูงต่ำมาตัดสิน ดังนั้นหยางผู่จึงคิดเพียงว่าผู้ถวายงานโจวเฝย คารวะเจ้าขุนเขาอะไรนั่น ล้วนเป็นเพียงการหยอกล้อระหว่างสหายเท่านั้น หรือว่าใต้หล้านี้มีภูเขาลูกหนึ่งที่สามารถทำให้เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงยินยอมพร้อมใจเป็นผู้ถวายงานจริงๆ? หากไม่ใช่คำล้อเล่น แล้วใครเล่าจะมีคุณสมบัติเอ่ยสัพยอกด้วยประโยคว่า ‘เจียงซ่างเจินคือเศษสวะจริงๆ’? เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในการกอบกู้ใบถงทวีปเชียวนะ แม้กระทั่งเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่พอสงครามใหญ่ปิดฉากลงแล้วก็ยังตั้งใจข้ามทวีปจากซากปรักของร่องเจียวหลงซึ่งเป็นสนามรบกลับคืนมายังยอดเขาเสินจ้วนอีกรอบโดยเฉพาะ
เจียงซ่างเจินมึนงง จึงหันมามองเฉินผิงอัน “ไม่อย่างนั้นข้าจะเป็นใครล่ะ? หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ปีนี้คือ?”
เจียงซ่างเจินยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะใช้เสียงในใจตอบว่า “มักรู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันไป ยังไม่ตื่นขึ้นมา”
เจียงซ่างเจินใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ทางฝ่ายของเมืองสุยเจี้ย เปลี่ยนปีรัชศกในปีเสินหลงที่สิบเจ็ด ทุกวันนี้คือรัชศกหยวนซีปีที่เก้า”
เฉินผิงอันลองคำนวณวันเวลาที่ตัวเองไปเยือนอุตรกุรุทวีปในปีนั้นแล้วต้องขมวดคิ้วมุ่น สามความฝัน ทุกฝันล้วนใช้เวลาฝันเกือบสองปีเลยหรือ? นับตั้งแต่เดินออกมาจากตราผนึกขุนเขาสายน้ำของถ้ำแห่งโชควาสนาเกาะหลูฮวา ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่ขุนเขาสายน้ำของกำแพงเมืองปราณกระบี่และแจกันสมบัติทวีปพลิกกลับ ชุยฉานปรากฏตัวบนหัวกำแพงเมือง มาพบหน้าตน จากนั้นก็เข้าสู่ความฝันอีกครั้งแล้วสะดุ้งตื่น อันที่จริงเวลาในใต้หล้าไพศาลได้ผ่านไปนานห้าปีแล้ว? ชุยฉานคิดจะทำอะไรกันแน่? ทำให้ตนพลาดอะไรไปมากกว่าเดิม กลับบ้านเกิดได้ช้ากว่าเดิม มีความหมายที่ใดกัน?
เฉินผิงอันมองเจียงซ่างเจินด้วยสีหน้าซับซ้อน คนตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่หนึ่งในความคิดของชุยฉานจริงๆ หรือ? ถึงอย่างไรความสามารถในการมองเห็นของคนผู้หนึ่งก็มีจำกัด หากเปลี่ยนมาเป็นตนเฉินผิงอันที่มีความสามารถและขอบเขตได้เหมือนกับชุยฉาน จากนั้นเรียนรู้คาถาเวทลับอีกสักสองบทที่เกี่ยวข้องกัน เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าตนเองสามารถลองทำเช่นนี้ดูได้ ยืนอยู่สูงมองได้ไกล เมื่อเฉินผิงอันก้มหน้าลงมองโลกมนุษย์ ในรัศมีหมื่นลี้ของขุนเขาสายน้ำใต้ฝ่าเท้าก็มองเห็นเป็นแค่ภาพลายเส้นขาวดำเหมือนสิ่งไร้ชีวิตเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ชุยฉานแบ่งความคิดจิตใจมาร่ายเวทอำพรางตาเพิ่ม แต่หากเฉินผิงอันมองระยะใกล้ คนไม่มาก มีน้อยเพียงหยิบมือ ชุยฉานก็สามารถลงสีให้กับบุคคลในภาพวาดได้ หรือไม่ก็ตั้งใจอีกหน่อย แต้มนัยน์ตาให้กับพวกเขา ทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาเหมือนจริง ต่อให้เฉินผิงอันจะอยู่ในตลาดของพวกชาวบ้าน เหมือนตอนที่อยู่บนเรือข้ามฟากไฉ่อีหรือตอนที่อยู่ท่าเรือชวีซานของเขตอวี๋โจว ผู้คนจอแจแออัด เดินสวนกันขวักไขว่ อย่างมากก็เป็นชุยฉานที่ตั้งใจให้ตนได้อยู่ในพื้นที่ส่วนหนึ่งซึ่งคล้ายคลึงกับพื้นที่มงคลกระดาษขาวเท่านั้น และการที่เฉินผิงอันสงสัยเจียงซ่างเจินที่อยู่ตรงหน้า เพราะมีความกังวลซ่อนแฝงที่ใหญ่กว่านั้น ปีนั้นตอนอยู่ในคุก ซวงเจี้ยงเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานแค่ไปเยือนจิตใจของเฉินผิงอันครั้งเดียวเท่านั้นก็สามารถอาศัยสิ่งนี้มาอนุมานเส้นสายที่สมเหตุสมผลได้นับร้อยนับพันเส้น
และชุยฉานนั้นก็เห็นได้ชัดว่าตบะขอบเขตบินทะยานลึกล้ำกว่าซวงเจี้ยง ซึ่งก็หมายความว่า ความจริงทุกเรื่องที่เฉินผิงอันรู้ เพียงแค่ความคิดเกิดขึ้น ‘เจียงซ่างเจิน’ ก็จะรับรู้ตามไปด้วย
ดังนั้นฝันนี้เป็นจริงหรือเท็จ แทบไม่อาจไขให้กระจ่างได้เลย
ตอนที่เจียงซ่างเจินยังไม่ได้ปรากฏตัว การสยบกำราบโดยธรรมชาติของใบถงทวีปและหอสยบปีศาจทำให้เฉินผิงอันสบายใจได้หลายส่วนแล้ว แต่เวลานี้กลับกลายเป็นว่าเขาเกิดเลื่อนลอยเคว้งคว้างขึ้นมาอีก เพราะเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าความรู้สึกทุกอย่าง หรือแม้กระทั่งการสั่นสะเทือนทางจิตวิญญาณ ริ้วคลื่นลมปราณ เมื่อหล่นอยู่ในมือของชุยฉานที่เชี่ยวชาญการมองใจคน เชียวชาญการวิเคราะห์จิตสำนึก ก็อาจกลายเป็นความเลื่อนลอย กลายเป็นภาพลวงตาที่ใกล้เคียงกับความจริงได้เช่นกัน นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกหงุดหงิดจนอดไม่ไหวต้องกรอกเหล้าเข้าปากคำใหญ่ มารดามันเถอะ หากรู้อย่างนี้แต่แรกก็ไม่ควรรับศิษย์พี่ศิษย์น้องอะไรแล้ว หากแบ่งแยกความสัมพันธ์ชัดเจน คนหนึ่งอิ่นกวาน คนหนึ่งราชครูต้าหลี คาดว่าชุยฉานก็คงจะไม่… ‘ปกป้องมรรคา’ เช่นนี้กระมัง? ต่างก็บอกกันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วถือเป็นบทเรียน ความทรงจำของสถานการณ์ถามใจในทะเลสาบซูเจี่ยนยังคงสดใหม่เหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน ตอนนี้กลับดีนัก ชุยฉานใช้วิธีการที่ใจดำอำมหิตกว่าเดิมแล้ว? เพื่ออะไร อาศัยอะไร มีใครเขาเป็นศิษย์พี่อย่างเจ้าชุยฉานบ้าง? หรือว่าจะให้ตนตรงดิ่งไปที่ศาลบุ๋นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไปพบอาจารย์ ไปพบหลี่เซิ่ง ไปพบปรมาจารย์มหาปราชญ์จริงๆ ถึงจะไขความฝัน พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ?
แต่หากเป็นความฝันที่สี่ เหตุใดชุยฉานถึงทำให้ตนเกิดข้อสงสัยเช่นนี้? หรือจะบอกว่านี่ก็อยู่ในแผนการของชุยฉานอยู่แล้ว?
นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันจำความได้ก็ไม่เคยมึนงงสับสนเท่านี้มาก่อน แม้จะเป็นยามที่ไม่เคยอ่านหนังสือ ไม่รู้จักตัวหนังสือ ก็ไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเลอะเลือน เรียนวิชาหมัด เรียนหนังสือ ออกเดินทางไกลหลายครั้ง ยิ่งยืนกรานในหลักการเหตุผลสามสี่ข้อ ดังนั้นต่อให้จะเดินอย่างโซซัดโซเซ ไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น แต่ไม่ว่าเรื่องราวทางโลกนอกกายจะเป็นดั่งลมฝนที่พัดกระหน่ำแค่ไหน ในใจก็ยังมั่นคงได้ตลอดเวลา ทว่าตอนนี้กลับดูเหมือนว่าหลักการเหตุผลทุกอย่างที่เชื่อมั่นไม่เคยคลางแคลง ไม่ว่าจะคัดลอกมาจากในตำรา หรือจะเป็นตัวเองที่คิดขึ้นมาได้ แล้วยังมีกระบี่บิน วิชาหมัด ยันต์ วัตถุแห่งชะตาชีวิตมากมายและฟ้าดินเล็กร่างกายตัวเอง ล้วนกลายเป็นหอเรือนกลางอากาศที่ค่อยๆ ลอยพ้นจากพื้นดิน เหมือนภาพหอเรือนมายาที่เรือข้ามฟากไปเจอโดยบังเอิญก่อนหน้านั้น บางทีเมื่อร้อยปีพันปีก่อนอาจเป็นความจริง จริงแท้แน่นอน แต่เมื่ออยู่ในสายตาของเฉินผิงอันกับผู้โดยสารเรือข้ามฟากกลับเป็นของปลอม เพราะว่าทุกคนได้มาอยู่บนท่าเรือแห่งใดแห่งหนึ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาตอนล่างแล้ว
เจียงซ่างเจินประหลาดใจยิ่งนัก จึงถามว่า “เฉินผิงอัน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ดูเหมือนว่า…แม้แต่ข้าเจ้าก็ยังไม่เชื่อใจ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ต่างก็บอกว่าสิ่งที่ได้ยินกับหูล้วนไม่จริง สิ่งที่เห็นกับตาต่างหากจึงจะเชื่อได้ ตอนนี้สภาพการณ์ของข้าค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน กลัวก็แต่จะถูกใบไม้บังตา ส่วนที่สายตามองไปเห็นล้วนเป็นสิ่งที่มีคนจงใจให้ข้าได้เห็น”
กับเจียงซ่างเจินนี้ เฉินผิงอันยังคงยินดีมองอีกฝ่ายเป็นเจียงซ่างเจิน ก็เหมือนอย่างที่ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือไม่ แต่พอได้ยินว่าภูเขาไท่ผิงประสบภัยเช่นนี้ เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ดิ่งมาที่นี่ทันที
เจียงซ่างเจินยิ่งจนใจมากกว่า “หรือว่าเจอกับเจ้านครจักรพรรดิขาว เจ้ากับเจิ้งจวีจงกำลังถามมรรคากัน? ไม่มีเหตุผลเลยนี่นา หลายปีมานี้ไอ้หมอนี่ที่อยู่ในฝูเหยาทวีปอยู่ในช่วงขาขึ้นรุ่งโรจน์นัก ถึงกับปั่นหัวเผ่าปีศาจสองกระโจมทัพของในทวีปเล่นอยู่ในกำมือของตน ทุกวันนี้เผ่าปีศาจที่อยู่ในฝูเหยาทวีปต่างก็ถูกเขาคนเดียววางแผนเล่นงานโต้กลับไปแล้วเกินครึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่เจิ้งจวีจงไม่มีเหตุผลให้ต้องมางัดข้อกับเจ้าอย่างเอาเป็นเอาตายกระมัง บอกตามตรง เจ้าไปมีเรื่องกับใคร ไม่ว่าจะใช่ขอบเขตบินทะยานหรือไม่ ข้าก็ล้วนสามารถลงมือช่วยเหลือได้ มีเพียงไปเจอกับเจิ้งจวีจงเท่านั้นที่ข้ามีใจแต่ไร้กำลังจริงๆ”
ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่สามารถทำให้เจียงซ่างเจินไม่กล้าไปมีเรื่องด้วยจากใจจริง มีไม่มากนัก เจิ้งจวีจงก็คือคนหนึ่งในนั้น อีกทั้งลำดับชื่อของเขายังอยู่ลำดับต้นๆ อีกด้วย
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่เจิ้งจวีจง”
เจียงซ่างเจินนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เฉินผิงอัน หากเจ้าเชื่อใจข้าก็ลองทำใจให้สงบสักครู่ พยายามรวบรวมความคิดทั้งหมดให้เป็นหนึ่ง จากนั้นข้าจะเขียนเรื่องเก่าๆ ลงบนกระดาษ ถึงเวลานั้นลองอ่านดูก็รู้แล้วว่าข้าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม แต่บอกไว้ก่อนว่า ทุกวันนี้ขอบเขตของข้าไม่ได้อยู่บนยอดเขาอะไรแล้ว หันอวี้ซู่คนหนึ่งไม่นับเป็นอะไรได้ แต่หากหันอวี้ซู่มาสองคนก็สามารถทำให้ข้าและเจ้าต้องดื่มสุราลงทัณฑ์หนึ่งกาได้แล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจเจ้า อีกอย่างทำอย่างนั้นก็ไม่มีความหมายด้วย”
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ “ดูท่าจะเป็นปัญหาที่ไม่เล็กเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นปัญหาทั้งหมด เพียงแต่ว่าในใจรู้สึกว่างโหวง มักจะรู้สึกว่าไม่อาจเหยียบลงบนพื้นได้อย่างมั่นคง ความรู้สึกเช่นนี้ข้าไม่เคยมีมาก่อน”
เฉินผิงอันกำลังกลัว กลัวว่าความรู้สึกของยามเป็นเด็กที่ต่อให้จะพยายามอย่างเต็มที่แค่ไหนก็ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเหนื่อยเปล่าจะกลับมาอีกครั้ง
หลังจากที่ฝึกหมัด โดยเฉพาะเมื่อกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ เดิมทีเฉินผิงอันรู้สึกว่าความรู้สึกน่ากลัวที่เหมือนคนจมน้ำหายใจไม่ออกเช่นนี้จะอยู่ห่างไกลจากตนไปเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ต้องเผชิญกับมันอีกแล้ว
เจียงซ่างเจินหลับตาลง ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะประกบสองนิ้วหมุนเบาๆ ห่างจากนอกขั้นบันไดไปไม่ไกล ปราณวิญญาณรวมตัวกันกลายเป็นวัตถุอย่างหนึ่งลักษณะคล้ายแท่นโม่ ขนาดใหญ่ประมาณปากบ่อ ลอยตัวอยู่นิ่งๆ
เจียงซ่างเจินใช้นิ้วบิดหมุนมันง่ายๆ อีกหนึ่งครั้งก็มีคนผู้หนึ่งที่เรือนกายพร่าเลือนโผล่ออกมา ส่วนสูงแค่ชุ่นกว่าๆ คล้ายกำลังตั้งท่าหมัดเตรียมจะถามหมัดกับแท่นโม่
จากนั้นเจียงซ่างเจินก็ใช้สองนิ้วสร้างแท่นโม่ขึ้นมาอีกหลายอัน สุดท้ายกลายเป็นลูกทรงกลมที่เกิดจากกับทับซ้อนกันของแท่นโม่นับร้อยนับพันอัน ก่อนจะประกบสองนิ้วปาดลงไปเบาๆ ด้านในนั้นก็มีคนจิ๋วที่สูงประมาณชุ่นกว่าเช่นเดียวกันปรากฎตัวขึ้นมา
เจียงซ่างเจินดีดนิ้วหนึ่งที แท่นโม่อันแรกเริ่มหมุนเคลื่อนที่ไปช้าๆ บดขยี้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้น ฝ่ายหลังจึงใช้สองหมัดถามมหามรรคา
อีกจุดหนึ่ง ผู้ฝึกลมปราณที่อยู่ในฟ้าดินแท่นโม่ใหญ่ก็ขยับตามไปด้วย หมุนไปพร้อมๆ กับฟ้าดินเล็กที่เกิดจากการประกอบกันจากเส้นแนวตั้งแนวนอนจำนวนนับไม่ถ้วนนั้น
เจียงซ่างเจินเอ่ยเนิบช้าว่า “ใช้สายตาของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมามองโลกใบนี้ กับใช้สายตาของผู้ฝึกตนมามองฟ้าดิน ไม่เหมือนกัน เฉินผิงอัน แม้ว่าหลังจากที่เจ้าสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาได้ใหม่ ไม่ว่าจะฝึกตนหรือฝึกฝนจิตใจล้วนไม่เคยเกียจคร้าน แต่ในสายตาของเจ้า เจ้ายิ่งมองตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธ ‘เต็มตัว’ มากเท่าไร ก็ยิ่งไม่อาจมองตัวเองเป็นผู้ฝึกตนขึ้นเขาอย่างเต็มตัวได้มากเท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าเจ้าไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะ และสำหรับเรื่องนี้เจ้าก็ไม่เคยมองเห็นเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ใช่หรือไม่? ไม่เพียงเท่านี้ เจ้ากลับยังเดินทวนกระแสคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนาอยู่ตลอด เมื่อเข้าใจสภาพจิตใจเช่นนี้ หลักการเหตุผลเช่นนี้แล้ว หันกลับมาย้อนดูอีกที จริงหรือเท็จ สำคัญด้วยหรือ? ฝันก็ดี ตื่นแล้วก็ช่าง ทำให้จิตใจของเจ้าไร้ที่พึ่งจริงหรือ? ฝันไปตื่นหนึ่งก็คือฝันไปตื่นหนึ่ง จะต้องกลัวอะไร?”
เฉินผิงอันขบคิดทุกถ้อยคำของเจียงซ่างเจินอย่างละเอียด ขณะเดียวกันสายตาก็เพ่งจ้องไปยังภาพเหตุการณ์สองจุดนั้น เนิ่นนานพักใหญ่จึงพยักหน้ารับอย่างโล่งอก “เข้าใจแล้ว”
เจียงซ่างเจินยกมือขึ้น กำเป็นหมัด กระดกนิ้วโป้งขึ้นชี้ไปยังภูเขาไท่ผิงที่อยู่ด้านหลังคนทั้งสอง ยิ้มเอ่ย “ลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่คือที่ไหน?”
เจียงซ่างเจินกำลังเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง (หรืออีกความนัยหนึ่งคือฝึกบำเพ็ญตนเป็นตัวข้าที่แท้จริง)
เฉินผิงอันยื่นมือไปกำมือของเจียงซ่างเจิน หัวเราะร่าเสียงดังสีหน้าสดใส “ใส่ร้ายพี่โจวเฝยเสียแล้ว เจียงซ่างเจินไม่ใช่เศษสวะ!”
เจียงซ่างเจินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าต้องขอบคุณเจ้านะเนี่ย”
หนึ่งเพราะคำพูดดีๆ ของเจ้าขุนเขาใหญ่เฉินไม่น่าฟังเลยจริงๆ นอกจากนี้ก็เพราะในที่สุดพี่หญิงเจี้ยงซู่ผู้นั้นก็รู้เสียทีว่าตนเป็นใคร ดวงตาเรียวยาวทอประกายน้ำคู่นั้นของนางถลึงกว้างจนแทบจะดันคิ้วไปหลังท้ายทอยแล้ว มารดาเถอะ ได้เห็นพี่เจียงบ้านเจ้าแล้วต้องดีใจขนาดนี้เชียวหรือ?
“คาดว่าหันอวี้ซู่คงกำลังเดินทางมา มีวิธีการที่ดีนัก เกินครึ่งการเรียกปิ่นปักผมออกมา เดิมทีก็เป็นการส่งข่าวอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจดหมายลับฉบับนั้นก็คงไม่ถึงขั้นกระชับสั้นได้ใจความจนถึงขั้นแม้แต่อดีตเจ้าสำนักเจียงก็ยังไม่พูดถึง”
เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาหนึ่งกา ยื่นส่งให้เจียงซ่างเจิน ชำเลืองตามองหันเจี้ยงซู่แล้วเอ่ยว่า “ในฐานะผู้ถวายงาน จะดีจะชั่วก็ช่วยเอาความรับผิดชอบออกมาหน่อย รับมือกับสตรีคนหนึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าถนัดพอดี ข้าไม่ได้ ทำไม่ได้เลยจริงๆ”