กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 751.3 สิบเอ็ดคนบนยอดเขาหมื่นปี
จิตหยินของหันอวี้ซู่เหยียบอยู่บนเมฆขาว ใช้กระบองเล็กตีฆ้องร่วมกับท่องมันตรา ทั้งสองอย่างนี้มีท่วงทำนองจังหวะจะโคน เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโบราณอันกว้างใหญ่ไพศาล “อ๋าวแห่งป่าเมฆ เซียนที่แท้จริงลงมาสยบกำราบ แสงเทียนสาดท้องนภา วาโยมีวิญญาณหอมรวยริน องค์เทพผู้สูงศักดิ์สำแดงพลานุภาพ…”
ระหว่างที่พูดก็มีสตรีคนหนึ่งผลุบโผล่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ดวงตาทั้งคู่ที่เป็นสีทองเปิดออก ก้าวเท้าเหยียบย่างลงบนความว่างเปล่ามาหยุดอยู่ข้างอวิ๋นตุน นางยื่นนิ้วออกมาแตะพื้นผิวของอวิ๋นอ๋าวเบาๆ ตามจังหวะเคาะตีของกระบองเล็กด้ามนั้น ราวกับว่าร้องรับไปตามหันอวี้ซู่
ในรัศมีหลายร้อยลี้รอบอาณาเขตของภูเขาไท่ผิง บนพื้นดินทุกหนทุกแห่งมีไอเมฆหมอกผุดลอย ประหนึ่งดินแดนเซียนท่ามกลางเมฆขาวบนโลกมนุษย์ ทะเลเมฆซัดตลบเกิดเป็นลูกคลื่นสีขาวหิมะถาโถม
ส่วนร่างจริงของหันอวี้ซู่ก็อ้าปากเป่าลมเบาๆ เซียนเหรินเป่าลมเมฆขาวบังเกิด ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตช่องหนึ่งมียันต์สีเขียวมรกตแผ่นหนึ่งที่แฝงโชคชะตาน้ำบริสุทธิ์ถึงขีดสุดพุ่งวาบออกมา
หันเจี้ยงซู่หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง
ท่านพ่อตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะสังหารคนผู้นี้แล้วหรือ?
ไม่อย่างนั้นไยต้องเรียกยันต์นี้ออกมา
นี่คือหนึ่งในหกยันต์ลับใหญ่ของพื้นที่มงคลสามภูเขา แม้ว่ายันต์นี้จะมีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบอยู่ในสำนักว่านเหยา แต่ผู้ฝึกตนทุกรุ่นมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง คนนอกต่อให้แอบเปิดตำราลับเล่มนั้นจนเปื่อย เรียนคาถาการฝึกตนสำเร็จ แต่ก็ยังไม่อาจหลอมยันต์นี้ออกมาได้
จุดที่สูงส่งและลี้ลับอย่างแท้จริงในสายของยันต์นั้นอยู่ที่ว่าใช้ยันต์ลับของตำราสีขาดมาหล่อหลอมฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ได้ นั่นถึงจะถือว่าเดินขึ้นสู่บนยอดเขาสูงอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นมียันต์อยู่ในมือ ต่อให้เวทคาถาสูงแค่ไหน พลานุภาพยิ่งใหญ่เท่าไร แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเพียงวัตถุนอกกายของผู้ฝึกตนเท่านั้น จำเป็นต้องทำให้เหมือนการแกะสลักตัวอักษรใหญ่ลงบนหน้าผา การหลอมยันต์ในความหมายที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ว่าโอสถทองเม็ดหนึ่งหรือจิตหยินก่อกำเนิดผสานรวมกัน ดั่งคำกล่าวในคำปู้ซวี (บทขับร้องสรรเสริญในลัทธิเต๋า) ของตระกูลเซียนที่กล่าวไว้ว่า ห้าขุนเขาล้วนเป็นกองกระดูกที่ทับถม สามขุนเขาเล็กเป็นก้อน ก้าวเดินทะยานสู่ชั้นเมฆ ถอดกลอนประตูสวรรค์ ก้มมองจากเบื้องสูงพลันบรรลุความลี้ลับที่แท้จริง
และหันอวี้ซู่เจ้าสำนักว่านเหยาที่คิดจะหลอมน้ำลายคำนี้ให้เป็นยันต์แม่น้ำ นอกจากจำเป็นต้องมียันต์วิเศษอันเป็นรากฐานแล้ว นอกจากนี้ยังต้องคอยปลุกเสกอย่างต่อเนื่อง นี่ไม่ใช่เรื่องดีที่เหนื่อยครั้งเดียวสบายไปตลอดชีวิตอะไร ทุกๆ หกสิบปีจะต้องไปเอาน้ำหนึ่งโต่วจากแม่น้ำ ทะเลสาบ ลำคลอง มหาสมุทรในช่วงต้นฤดูหนาวที่คืนสู่ปลายฤดูหนาวมา โดยห้ามขาดแม้แต่นิดเดียว เอามาวางไว้ในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตที่เก็บยันต์เอาไว้ จากนั้นจึงแกะสลักสี่คำว่า ‘เทพพิรุณรับคำสั่ง’ พอถึงต้นฤดูร้อนก็เอาออกมา อาศัยแสงตะวันแผดเผามาเผาน้ำรอบหนึ่ง มือซ้ายสร้างสายฟ้า ฝ่ามือเขียนคำว่ามังกรน้ำอักษรสายฟ้า มือขวาทำมุทราห้ามังกรสร้างพายุลมกรด จากนั้นเผายันต์วิชาน้ำหลายสิบแผ่นซึ่งมียันต์มหานทีไหลสะพัดเป็นหนึ่งในนั้น ดื่มน้ำหนึ่งโต่วให้หมด ราดรดลงบนจวนน้ำ สุดท้ายคอยขุดบ่อลึกบ่อหนึ่งในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกก็จะเชื่อมโยงเข้ากับสายน้ำของห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร เก้าแม่น้ำแปดลำคลองได้แล้ว ยามที่ถือยันต์นี้รับมือกับศัตรู แค่ต้องท่องมันตราพร้อมทำมุทรา ปรากกฎการณ์ฟ้าดินก็จะซัดโหมเหมือนน้ำของมหานทีไหลสะพัดทะลักพรั่งพรูไกลร้อยพันลี้ ประหนึ่งแม่น้ำไหลเชี่ยวกราก ใช้น้ำกลบทับภูเขา
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ “วิชาน้ำของยันต์ประเภทนี้สามารถย้ายมหาสมุทรเคลื่อนทะเลสาบขนส่งแม่น้ำลำคลอง น้ำลายหนึ่งคำก็ทำให้คนจมน้ำตาย คนโบราณไม่เคยหลอกลวงข้าจริงๆ”
สีหน้าของหันเจี้ยงซู่เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
เห็นเพียงว่าบิดาเกิดจิตคิดสังหารคนขึ้นมาจริงๆ ถึงได้เรียกยันต์บรรพบุรุษที่มีเพียงเจ้าสำนักเท่านั้นที่สามารถหลอมได้ออกมาอีกแผ่นหนึ่ง
หันอวี้ซู่ใช้มุทรากระบี่เขียนอักษรสองคำว่า ‘ไท่ซาน’ แบ่งสมาธิส่วนหนึ่งขยุ้มดินกำมือหนึ่งในช่องโพรงลมปราณ จากนั้นก็ท่องคาถาแล้วสาดดินออกไป ขุนเขาใหญ่พลันบังเกิดทันที
บนโลกมียันต์ขยุ้มดินกลายเป็นขุนเขามากมายหลายรูปแบบ ผู้ฝึกตนสายยันต์เกินครึ่งล้วนรู้จักยันต์ประเภทนี้ เพียงแต่ว่าไหนเลยจะมียันต์ที่ทัดเทียมกับยันต์ ‘ไท่ซาน’ นี้ได้ คาดว่ามีเพียงในปฏิทินเหลืองเก่าแก่ของสำนักใหญ่บางแห่งเท่านั้นที่ถึงจะมีการบันทึกถึง ‘ไท่ซาน’ เอาไว้ อีกทั้งนอกจากตระกูลเก่าแก่อย่างสกุลเจียงอวิ๋นหลินของแจกันสมบัติทวีปแล้ว ในบันทึกลับส่วนใหญ่ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางเขียนไว้อย่างละเอียด ไม่มีการอธิบายประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของภูเขานี้อย่างชัดเจน
ภูเขาห้อยกลับหัว ปลายยอดเขาชี้ลงด้านล่าง
รวมกับมหานทีไหลสะพัดก่อนหน้านั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศไม่ได้หล่นลงสู่พื้นดิน จึงกลายเป็นสถานการณ์ที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบพอดี
ทะเลเมฆที่อยู่เหนือพื้นดินถูกขุนเขาและสายน้ำที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าขับดันให้คล้ายว่าอยู่สูงบนม่านฟ้าพอดี
หันอวี้ซู่หลุบตาลงต่ำมองไป หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “เป็นขอบเขตหยกดิบหรือเซียนเหริน ฟ้าดินประกบรวมกลายเป็นมหาทัณฑ์สวรรค์ แค่ลองก็รู้ได้แล้ว”
เขาไม่เชื่อจริงๆ ว่าคนหนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาผู้นี้ อายุไม่ถึงครึ่งร้อยก็จะมีขอบเขตเท่ากับตนแล้ว
หากตัดสินใจที่จะลงมืออย่างเต็มกำลัง หันอวี้ซู่ก็ไม่เหลือความคิดวุ่นวายอะไรอีก นอกจากสร้างตราผนึกอันยิ่งใหญ่ที่พลานุภาพเท่าเทียมกับทัณฑ์สวรรค์ของขอบเขตหยกดิบแล้ว
ร่างจริงของหันอวี้ซู่ก็ยังหยิบยันต์กระดาษสีทองที่วาดภาพห้าขุนเขาอีกแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช้คาถากระบี่เขียนสองคำว่า ‘ห้าขุนเขา’ ลงไป อันที่จริงตัวกระดาษยันต์เองขาดแค่สองคำว่าแก่นยันต์เท่านั้น เขาใช้ดินห้าสีของขุนเขามาหลอมเป็นยันต์หมึกและชาดไว้แต่เนิ่นๆ อยู่ก่อนแล้ว หันอวี้ซู่โยนยันต์ออกไปยังม่านฟ้า ห้าขุนเขากลับหัวประหนึ่งกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตห้าเล่มที่ ‘ปลายกระบี่’ ชี้ตรงมายังกรงขังค่ายกลที่ล้อมกักคนหนุ่มผู้นั้นไว้บนพื้นดิน
หันเจี้ยงซู่เห็นว่าคนหนุ่มถูกกักอยู่ในฟ้าดินก่อน จากนั้นก็เห็นบิดาร่ายยันต์นี้ออกมา นางจึงคิดอยากจะลุกขึ้นยืน นึกไม่ถึงว่าเจียงซ่างเจินผู้นั้นจะไร้เหตุผลสิ้นดี ไม่รู้จักหนักเบาหรือผลได้ผลเสียเลยแม้แต่น้อย ใบหลิวปักตรึงเข้ามาในหว่างคิ้วของนางอีกครั้ง ลึกกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก เจ็บปวดจนหันเจี้ยงซู่ล้มแปะลงไปนั่งบนพื้นอีกครา จิตวิญญาณสั่นสะเทือนไม่หยุด กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ไร้เหตุผลป่าเถื่อนเช่นนี้เอง ต่อให้จะมีปณิธานมีปราณกระบี่หลงเหลืออยู่ไม่มากก็ยังทำร้ายฟ้าดินร่างกายมนุษย์ของผู้ฝึกตนได้ดีที่สุด!
หันเจี้ยงซู่เอ่ยอย่างเดือดดาล “เจียงซ่างเจิน ข้าแนะนำเจ้าว่าควรหยุดแต่พอสมควร อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก!”
เจียงซ่างเจินกะพริบตาปริบๆ สีหน้าลำบากใจ สองนิ้วคีบกาเหล้าแกว่งเบาๆ เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ได้คืบแล้วเอาศอก? พี่หญิงเจี้ยงซู่ดูแคลนน้องชายอย่างข้าผู้แซ่เจียงใช่ไหม?”
หันเจี้ยงซู่ไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย
หยางผู่ก็ยิ่งมึนงงสับสน
คำพูดของเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงแต่ละคำล้วนเต็มไปด้วยปริศนาธรรมทั้งสิ้นเลยนะ
หันอวี้ซู่หันหน้ามามองมาทางประตูภูเขา ยิ้มถามว่า “เจ้าสำนักเจียง สามารถปล่อยตัวบุตรสาวของข้าได้แล้วหรือไม่?”
เจียงซ่างเจินสะบัดชายแขนเสื้อ หยิบเอายันต์ปึกหนึ่งออกมา ใช้นิ้วแตะน้ำลายเล็กน้อย แล้วดึงยันต์สีทองแผ่นหนึ่งในนั้นออกมาชูขึ้นสูง ยิ้มเอ่ยกับหันอวี้ซู่ว่า “มอบให้เจ้า?”
ถึงกับเป็นยันต์ ‘ห้าขุนเขา’ ที่ขาดการแต้มนัยน์ตาให้แก่นยันต์เหมือนกัน
หันอวี้ซู่ส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ช่างเถิด สำนักว่านเหยาไม่ขาดยันต์ชนิดนี้”
เจียงซ่างเจินกล่าว “ข้าคือผู้ฝึกกระบี่ ตัวอักษรคำว่า ‘ห้าขุนเขา’ ที่ข้าเขียนย่อมมีค่ามากกว่ายันต์ที่เจ้าวาด ไม่ต้องการจริงๆ หรือ? ข้าไม่ขาดเงิน สำนักว่านเหยาและเจ้าสำนักหันขาดนี่นา แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าสำนักหันเจ้าเองก็อายุปูนนี้แล้ว แก่จนสายตาฟ้าฝางแล้ว ก่อนหน้านี้ก็อุตส่าห์พูดไปอย่างชัดเจนแล้วว่าเจ้าเกือบจะได้เป็นพ่อตาของข้า ด้วยความรักเดียวใจเดียวที่เป็นคติประจำใจบนภูเขาของข้าผู้แซ่เจียงแล้ว เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่าเหตุใดข้าถึงรีบรุดเดินทางมาโดยไม่สนความเหนื่อยยากเพียงเพื่อมาพบกับพี่หญิงเจี้ยงซู่?”
หันเจี้ยงซู่ทั้งโกรธทั้งอับอายจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หันอวี้ซู่ขมวดคิ้วน้อยๆ
หรือว่าจะไม่ใช่เจียงซ่างเจินที่ปลิ้นปล้อนสับปลับ ไม่ปฏิบัติตัวอย่างถูกทำนองคลองธรรมจริงๆ แต่เป็นเพราะในอดีตพื้นที่มงคลสามภูเขาเคยเกิดเรื่องสกปรกขึ้น? เหตุใดเจี้ยงซู่ถึงได้ไม่พูดถึง? หันอวี้ซู่พลันหลุดหัวเราะพรืด ในอดีตเคยได้ยินลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งเล่าให้ฟัง ดูเหมือนว่าเจี้ยงซู่เคยไล่ฆ่า ‘กุมารแจกทรัพย์’ ทุ่มทองพันชั่งคนหนึ่งอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุอยู่จริง แต่ว่าตอนนั้นในรายงานของสำนักว่านเหยา คนผู้นั้นคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักใบถงอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นหันอวี้ซู่จึงไม่คิดจะซักไซ้เอาเรื่อง สำนักใบถงในเวลานั้นเรียกได้ว่าเป็นดวงตะวันกลางนภา บรรพจารย์ตู้เม่าเป็นทั้งขอบเขตบินทะยานเพียงหนึ่งเดียวของใบถงทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีเรือกลืนกระบี่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสยบกำราบเซียนกระบี่ได้แต่กำเนิด
หันอวี้ซู่ถอนสายตากลับคืนมา สรุปก็คือเป็นบัญชีเละเทะอีกเรื่องหนึ่งนั่นเอง ตาไม่เห็นใจก็ไม่หงุดหงิด ขอแค่มาเจอกับเจียงซ่างเจินก็ต้องยุ่งยากเช่นนี้ โชคดีที่ทุกวันนี้เจ้าสำนักของสำนักกุยหยกคือเหวยอิ๋ง
หันเจี้ยงซู่เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ไหวถามว่า “โจรเฒ่าเจียง เหตุใดเจ้าถึงมียันต์นี้?!”
เจียงซ่างเจินกลอกตามองบน “เงินเยอะทั้งยังรูปงาม รักเดียวไม่เจ้าชู้ พูดถึงใคร?”
เจียงซ่างเจินหันหน้าไปถามลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษา “พี่น้องหยาง เจ้าคือวิญญูชนที่แท้จริง เจ้าลองว่ามาสิ”
หยางผู่รู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข จึงเอ่ยเสียงแผ่วว่า “หมายถึงเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียง?”
เจียงซ่างเจินยิ้มพลางยื่นยันต์สีทองแผ่นนั้นให้กับหยางผู่ “มอบให้พี่น้องหยางแล้ว ของขวัญเบาน้ำใจหนัก อย่าได้รังเกียจ หากรังเกียจจริงๆ ก็จะมอบให้เจ้าเพิ่มอีกสักหลายๆ แผ่น”
หยางผู่รีบส่ายหน้าทันใด “เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงมอบเหล้าให้ข้าสักกาดีกว่า”
เอาแต่ถือกาเหล้าว่างเปล่าแสร้งทำเป็นดื่มเหล้าอยู่อย่างนี้ หยางผู่ก็รู้สึกว่าออกจะเกินไปหน่อย นอกจากเซียนดินสองคนที่เป็นเทพทวารบาลอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือหากไม่ใช่หยกดิบก็เป็นเซียนเหริน ไม่ใช่เจ้าสำนักก็เป็นเจ้าขุนเขา หยางผู่เสแสร้งต่อไปไม่ได้จริงๆ
เจียงซ่างเจินหยิบเหล้าออกมาหนึ่งกา จากนั้นตบยันต์แปะลงไปบนกาเหล้าเบาๆ ก่อนจะโยนให้หยางผู่ “ดื่มให้หมดก่อนค่อยเอากาเหล้ากับยันต์คืนมาให้ข้าก็แล้วกัน”
หยางผู่รับกาเหล้าเอาไว้เพราะทำอะไรไปมากกว่านั้นไม่ได้แล้ว
หันเจี้ยงซู่หลุดหัวเราะพรืด “เจียงซ่างเจินช่างเป็นคนมือเติบใจกว้างจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้จักซื้อใจคน”
นางไม่ใช่หนอนหนังสือขอบเขตต่ำต้อยผู้นั้น นางรู้ดีถึงมูลค่าของยันต์ห้าขุนเขาใบหนึ่ง
ยันต์น้ำบนโลก ต่อให้เป็นยันต์น้ำลายนทีเชี่ยวกรากของหันอวี้ซู่ที่ถือเป็นยันต์วิเศษยันต์ลับลำดับหนึ่ง ขอแค่ไม่เรียกร้องเรื่องระดับขั้นมากเกินไปก็สามารถดึงเอาน้ำจากทุกหนทุกแห่งมาได้ แต่ยันต์ห้าขุนเขานี้ มีข้อเรียกร้องต่อระดับขั้นของดินภูเขาสูงมาก เพราะไม่ใช่ห้าขุนเขาของหนึ่งแคว้นทั่วไป แต่ต้องเป็นภูเขาเก่าแก่ห้าลูกซึ่งมีภูเขาไท่ซานเป็นหนึ่งในนั้น ผู้ฝึกตนสายยันต์รุ่นหลังหากไม่รู้ว่าไท่ซานคืออะไร นอกจากนั้นก็เป็นเพราะภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลางที่เป็นหนึ่งใน ‘ห้าขุนเขา’ ยุคบรรพกาลเช่นเดียวกัน จะมีผู้ฝึกตนสักกี่คนที่สามารถไปขอดินสักหนึ่งกำมือมาได้? ปัญหาใหญ่เทียมฟ้าที่แท้จริงถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่จงหนันซานที่ถูกก้อนเมฆบดบังผลุบๆ โผล่ๆ แต่เป็นภูเขาลูกนี้คือ ‘ภูเขาลวงตา’ ที่ล่องลอยดุจภาพมายา เมื่อเทียบกับภาพมายาที่เกิดขึ้นกลางทะเลแล้วยังอนุมานตามหาได้ยากยิ่งกว่า คิดจะเจอร่างจริงก็ยากยิ่งกว่ายาก ปัญหาที่ใหญ่กว่าการพบเจอภูเขาสุ้ยซาน ภูเขาจงหนันได้ยากก็คือตงซานหนึ่งในห้าขุนเขานั้นได้หายสาบสูญไปร้อยกว่าปีแล้ว ราวกับว่ามันหายวับไปจากฟ้าดินอย่างไรอย่างนั้น นี่เป็นเหตุโลกมนุษย์แทบไม่มีความเป็นไปได้ที่จะหลอมยันต์ห้าขุนเขาใหญ่ได้สำเร็จ ดังนั้นยันต์ห้าขุนเขาทุกแผ่นบนโลก ขอแค่เกี่ยวกับพันการซื้อขาย ราคาก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างถึงที่สุด
ว่ากันว่ามีเพียงบุคคลสำคัญสายยันต์ไม่กี่หยิบมือที่มีฝูลู่อวี๋เสวียนเป็นหนึ่งในนั้น บวกกับคลังยันต์หนึ่งในสิบหกคลังของสกุลหลิวธวัลทวีปเท่านั้นที่ยังพอจะมีเก็บเอาไว้ คาดว่าอย่างมากสุดก็มีแค่สามสิบแผ่นเท่านั้น ของที่มีน้อยย่อมล้ำค่า เดิมทีก็หายาก แต่ละแผ่นมูลค่าควรเมืองอยู่แล้ว ยันต์ห้าขุนเขาใหญ่ก็ยิ่งเป็นวัตถุที่ยากจะได้มาครอง อยู่บนยอดเขา ในระยะเวลาร้อยปีมูลค่าของยันต์นี้เพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่าตัว ตอนนี้ราคาถึงขั้นที่ว่า ‘ยันหนึ่งแผ่นสิบเหรียญฝนธัญพืชแล้ว’ น่าตะลึงพรึงเพริดนัก เพราะถึงอย่างไรทุกครั้งที่ผู้ฝึกตนใช้ไปหนึ่งแผ่น บนภูเขาก็มีน้อยลงหนึ่งแผ่น ราคาสูงเทียมฟ้าขนาดนี้ ยังมีผู้ฝึกตนอยากซื้อ แน่นอนว่าไม่ได้รังเกียจที่มีเงินมากไป แต่เป็นเพราะมูลค่าที่แท้จริงของยันต์ชนิดนี้นั้นอยู่ที่ ผู้ตนใหญ่ยอดเขาที่ฝึกวิชาดิน หวังว่าจะอาศัยมันมาคิดคำนวณอนุมานหาเบาะแสของไท่ซาน จงหนันซานและตงซานได้
เจียงซ่างเจินพลันพึมพำขึ้นมา “ประหลาดนัก”
ถูกกักตัวอยู่ท่ามกลางตราผนึกยันต์ของเซียนเหรินคนหนึ่ง สองมือของเฉินผิงอันค้ำอยู่บนด้ามดาบ คิดหาเจ็ดแปดวิธีในการรับมือ สุดท้ายกลับเลือกวิธีที่ไม่ค่อยระมัดระวังและไม่สอดคล้องกับนิสัยของเขามากที่สุด
ฝึกตนมานานหลายปี สะสมเงินอย่างยากลำบาก
ไม่มีสุราอะไรที่ข้าซื้อไม่ได้ ไม่มีกระบี่อะไรที่ข้าปล่อยออกไปไม่ได้
เฉินผิงอันปล่อยมือที่คลายด้ามดาบออก พลันสะบัดชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง ยันต์กระดาษสีเหลืองเหมือนแม่น้ำสายใหญ่สองสายที่ไหลพรั่งพรูออกมา ทั้งไม่ได้พยายามจะสลายตราผนึกของค่ายกลใหญ่ แล้วก็ไม่ได้ต้านทานขุนเขาบนม่านฟ้าที่กดทับอยู่เหนือหัว
ยันต์จำนวนนับพันพุ่งแนบติดพื้นดิน สุดท้ายหยุดลอยตัวนิ่ง มีเฉินผิงอันเป็นจุดศูนย์กลาง ก่อตัวกลายมาเป็นวงกลมขนาดใหญ่ที่ครอบรวมรัศมีหลายลี้ ขณะเดียวกันก็เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาอย่างเงียบเชียบ ดวงจันทร์ในบ่อ กระบี่แบ่งออกเป็นหลายพันเล่ม ช่วยแต้มนัยน์ตาให้กับยันต์
เฉินผิงอันหันหลังให้ภูเขาไท่ผิง เอ่ยเสียงเบาว่า “ยกกระบี่”
แสงกระบี่พร่างพราวเส้นหนึ่งผุดขึ้นจากพื้นดิน กระแทกชนทะเลเมฆและยันต์ไท่ซานให้แตกกระจุยกระจาย แสงกระบี่ทะยานทะลุผืนเมฆพุ่งตรงไปยังม่านฟ้า
หันเจี้ยงซู่หน้าซีดเผือด พูดเสียงสั่น “เป็นเซียนกระบี่…จริงๆ ด้วย”
เจียงซ่างเจินเงยหน้ามองภาพนั้น อันที่จริงนี่ไม่ใช่ภาพที่แปลกตาสำหรับเขา เพราะตอนที่อยู่อุตรกุรุทวีปเขาก็เคยโชคดีได้เห็นไปแล้วครั้งหนึ่ง รู้สึกเลื่อมใสจากใจจริง ดังนั้นตอนนั้นเขาเองก็เรียกใบหลิวสมบูรณ์แบบออกมาด้วย
เพียงแต่วันนี้มองใบหลิวที่เหลืออยู่ครึ่งใบ เจียงซ่างเจินที่จอนผมสองข้างเป็นสีขาวได้แต่วางกาเหล้าลง เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบเฉินผิงอัน จากนั้นหันหน้าไปมองภูเขาไท่ผิงที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน
บนยอดเขาที่แปลกประหลาดซึ่งอยู่จุดอื่นนั้น เฉินผิงอันเอาสองมือไพล่หลัง สาวเท้าเดินเนิบช้า สุดท้ายให้คำตอบอีกครั้ง “หมัดสูงกว่าเจ้าหนึ่งขอบเขต”
ฟ้าดินเงียบสงัด
ครู่หนึ่งต่อมา
ดวงจิตก็ถอยออกมาจากยอดเขา เฉินผิงอันยกดาบแคบพิฆาตที่อยู่บนพื้นขึ้นมา สอดดาบกลับเข้าฝัก จากนั้นก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็มาอยู่บนฟ้า ยิ้มเอ่ยกับหันอวี้ซู่ว่า “เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว ขอถามกระบี่กับสำนักว่านเหยา”
หันอวี้ซู่ประสานมือคารวะด้วยสีหน้าจริงใจ “สหายเฉินเวทกระบี่สูงส่งเทียมฟ้า ผู้เยาว์ล่วงเกินแล้ว”