กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 752.1 หมัดของขอบเขตสิบเอ็ด
สองมือของเจียงซ่างเจินกำเป็นหมัด หรี่ตาลงเอ่ยเสียงแผ่ว “ระวังตัวด้วย”
หันเจี้ยงซู่เห็นบิดาต้องยอมก้มหัวให้คนอื่น คือภาพอันน่าสังเวชที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดชีวิต ถึงขั้นเป็นเรื่องที่นางไม่อาจจินตนาการถึงได้เลย จิตวิญญาณของหันเจี้ยงซู่พลันแกว่งไกว แทบจะเกิดลางว่าจิตแห่งมรรคาเสียการควบคุม ยังคงเป็นริ้วคลื่นปราณกระบี่ที่ชักนำจากใบหลิวท่อนหนึ่งนั้นที่ทำให้นางฟื้นคืนสติได้ในฉับพลัน ฝืนกลืนเลือดสดคำหนึ่งลงคอ พลันยกมือขึ้นมากำใบหลิว ยอมชักนำจิตวิญญาณและวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุอย่างไม่เสียดาย ครั้นจึงใช้เวทลับกักกระบี่บินใบหลิวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้านี้เอาไว้ หันเจี้ยงซู่ถึงขั้นยอมตายแต่ก็ต้องขัดขวางไม่ให้เจียงซ่างเจินออกกระบี่ให้จงได้
ต่อให้จะประคับประคองตัวไว้ได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม หันเจี้ยงซู่ก็ยังคงไม่สนใจอยู่ดี
และในวินาทีที่หันอวี้ซู่แสร้งทำเป็นอ่อนข้อขอชีวิต ก้มหัวคารวะแบบลัทธิเต๋านั้นเอง เขาก็ปล่อยท่าไม้ตายที่แท้จริงออกมาทันที คือความสามารถก้นกรุวิชาหนึ่งที่ยกเอาค่ายกลปกป้องภูเขาของพื้นที่มงคลสามภูเขาออกมา
คือภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงซึ่งแขวนอยู่ในศาลบรรพจารย์สำนักว่านเหยามานานหลายพันปี อีกทั้งตามคำกล่าวของบิดา ภาพนี้เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ของสำนักว่านเหยาแล้วมีแต่จะยาวนานยิ่งกว่า
ปีนั้นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของสำนักว่านเหยายังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนตัดฟืน จับผลัดจับผลูฝ่าตราผนึกชั้นหนึ่งที่ง่อนแง่นใกล้คลายตัว บุกเข้าไปในพื้นที่มงคลสามภูเขาที่ไม่เคยมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลโดยบังเอิญ ท่ามกลางภูเขาบรรพบุรุษที่ในอนาคตถูกเขานำมาใช้ก่อสำนักตั้งพรรคก็ได้ค้นพบม้วนภาพที่เป็นอาวุธเซียนชิ้นนี้โดยบังเอิญ นับแต่นั้นก็ได้ก้าวเดินลงบนเส้นทางการฝึกตน อยู่ในพื้นที่มงคลสามภูเขาที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน ท่ามกลางเส้นทางของการเดินขึ้นสู่ที่สูงได้สกัดดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณเกือบครึ่งของพื้นที่มงคลมารวมตัวอยู่บนร่างของเขา แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดสุดท้ายบรรพจารย์ก็ยังปิดด่านล้มเหลว ในฐานะผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยาน ปณิธานอันเข้มข้นทั่วร่างและปราณวิญญาณที่มีมากมายนับไม่ถ้วนล้วนกลับคืนสู่พื้นที่มงคลทั้งหมด
ส่วนสรุปแล้วเป็นใครกันแน่ที่มีความกล้าหาญ มีฝีมือการวาดภาพและมีจิตวิญญาณอันเปี่ยมล้นจนสามารถวาดภาพห้าขุนเขาและเก้าแม่น้ำแปดลำคลองนี้ออกมาได้ ตรงช่วงล่างของภาพวาดได้ลงนามที่มิอาจสืบสาวหาหลักฐานไว้ว่า อาจารย์ซานซานจิ่วโหว
นอกฟ้าดินของม้วนภาพ หันเจี้ยงซู่หันหน้าเข้าหาประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิง หันหลังให้กับสองฝ่ายที่คุมเชิงกันอยู่บนสนามรบห่างไปไกล แต่ภาพเหตุการณ์ผิดปกติ ฟ้าพลิกดินตลบของที่แห่งนั้นราวกับภาพขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ภาพหนึ่งที่ถูกพับทบอย่างไม่ใส่ใจ เป็นเหตุให้ทั้งหันอวี้ซู่และเซียนกระบี่แปลกหน้าผู้นั้นต่างก็หายตัวไป ราวกับว่าได้เข้าไปในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งในเวลาเดียวกัน ตัดขาดฟ้าดิน สาบสูญไปนับแต่นี้
นี่ทำให้หันเจี้ยงซู่สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่แท้จริง การจับคู่เข่นฆ่ากันระหว่างผู้ฝึกตนเซียนเหรินและเซียนกระบี่พสุธาอันตรายถึงเพียงใด น่าเหลือเชื่อถึงเพียงใด บิดาของนางยามอยู่ในพื้นที่มงคลสามภูเขาแทบไม่เคยลงมือ จำนวนครั้งที่ประลองฝีมือกับสหายเก่าที่มาเยี่ยมเยียนก็นับนิ้วได้ อีกทั้งยังไม่เคยป่าวประกาศให้คนนอกรู้ และในฐานะที่หันอวี้ซู่คือผู้ฝึกลมปราณที่มีคุณสมบัติในการฝึกตนเป็นรองแค่บรรพจารย์บุกเบิกขุนเขาในประวัติศาสตร์ของสำนักว่านเหยา ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคย ‘บินทะยาน’ ไปท่องเที่ยวใต้หล้าไพศาลมาก่อน
เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “จักรวาลในชายแขนเสื้อนี้สะบัดได้อย่างตระการตานัก ต่อให้เป็นข้าที่อยู่ในสถานการณ์นั้นก็ต้องไม่ทันระวังผลุบเข้าไปในถ้ำสวรรค์กาเหล้าในมือของพ่อเจ้า ดูท่าเจ้าสำนักหันจะซ่อนตัวอยู่ก้นบึ้งของสระน้ำ ทำตัวเป็นตะพาบเฒ่าพันปีมานานหลายปี ได้เรียนรู้เวทคาถาชั้นสูงมาไม่น้อย ครั้งนี้ตัดใจยอมเปิดเผยโฉมหน้าก็เพราะคิดจะทำแผนการที่เดิมต้องลงมือหลายครั้งให้เสร็จสิ้นในครั้งเดียว มีการเตรียมความพร้อมมาก่อนจริงดังคาด และม้วนภาพดั้งเดิมของภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงนี้ เดิมทีก็ควรเอามารับมือกับเซียนเหรินคนอื่นที่เป็นศัตรูกับเขา”
เจียงซ่างเจินหัวเราะ ค้อมเอวไปหยิบกาเหล้าที่วางอยู่ข้างเท้าขึ้นมาจิบเหล้าหนึ่งคำ ไม่ได้มีท่าทีว่าจะออกกระบี่ทำลายตราผนึกฟ้าดินเลยแม้แต่น้อย ราวกับไม่คิดจะไปช่วยเหลือเฉินผิงอัน กลับกันสีหน้ายังเอื่อยเฉื่อย เอ่ยเนิบช้ากับหันเจี้ยงซู่ว่า “ข้าไม่ได้เตือนให้สหายระวังตัว ไม่มีความจำเป็น ข้าแค่เตือนตัวเองว่าเส้นทางของการฝึกตนอีกครึ่งชีวิตที่เหลือนี้จะต้องระมัดระวังผู้ฝึกตนอย่างหันอวี้ซู่เอาไว้ตลอดเวลา ตอนนี้ยังต้องเพิ่มหันเจี้ยงซู่ในอนาคตไปอีกคนหนึ่ง ข้าต้องยอมรับผิดกับเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าดูแคลนเจ้าเกินไป รอไปก่อนเถอะ พอลมมรสุมผ่านไปแล้ว ข้าจะเอาความอดทนครึ่งหนึ่งของยามที่คืนรองเท้าปักให้เจ้าในปีนั้นมาเล่นกับสำนักว่านเหยาของพวกเจ้าให้ดีๆ สักครา ใบถงทวีปต่อให้ไม่มีคนแก่ที่ดีๆ เหลืออยู่ ก็ยังคงไม่ได้หยัดยืนกันได้ง่ายขนาดนั้น”
หันเจี้ยงซู่เพียงแค่กำใบหลิวท่อนนั้นไว้แน่น กระบี่บินที่ปราณกระบี่ไหลรินด้วยตัวเองทำให้มือทั้งมือของนางถูกบาดเหวอะหวะจนกระดูกขาวโผล่ สภาพน่าสังเวชจนแทบมิอาจทนมองได้
“กระบี่จะจากไปจริงๆ เจ้าคิดว่าตัวเองจะจับไว้ได้อยู่หรือ?”
เจียงซ่างเจินขยับดวงจิตเล็กน้อยดึงเอาใบหลิวกลับมาลอยอยู่ตรงหน้าเขา ยื่นนิ้วไปดีดมันเบาๆ หนึ่งครั้งคล้ายรังเกียจที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้เปรอะเปื้อนเลือดสดๆ ของพี่หญิงเจี้ยงซู่ จึงไม่อยากแตะต้อง
หันเจี้ยงซู่พยายามใช้เวทลับเสียงในใจพูดคุยกับบิดา แต่น่าเสียดายที่ต้องเปลืองแรงเปล่า เขาลากเซียนกระบี่ผู้นั้นเข้าไปในอยู่ภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงด้วยกันจริงเสียด้วย
เพียงแต่ว่าหันเจี้ยงซู่ก็อดกังขาระคนกังวลไม่ได้ บิดาเป็นคนอดทนข่มกลั้นเสมอมา เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้คิดจะต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับเซียนกระบี่แปลกหน้าผู้หนึ่งที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับภูเขาไท่ผิง?
เจียงซ่างเจินพลันหันหน้ามาเอ่ย “หยางผู่ เจ้าคือบัณฑิต สอนประโยคเด็ดๆ ที่ข่มขู่คนได้ดีให้ข้าสักประโยคสิ”
หยางผู่มีสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก็ยังขบคิดอย่างตั้งใจ สุดท้ายพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถึงอย่างไรก็ผูกปมล่างคานแล้ว (เปรียบเปรยถึงการผูกปมแค้น) พอมีโอกาสก็ต้องค้นบ้านยึดทรัพย์ฟาดกระบองใส่ให้หนัก”
เจียงซ่างเจินเอ่ยสัพยอก “ใช้ได้นี่นา เติบโตมาในภูเขาหรือ?”
ไม่คิดว่าหยางผู่จะพยักหน้ารับอย่างเปิดเผย “ตอนเด็กถูกพวกโจรจับตัวไปบนภูเขา อยู่ในรังโจรนานเกินครึ่งเดือน เลยได้เรียนรู้คำพูดหยาบๆ มาบ้าง”
เจียงซ่างเจินรู้สึกประหลาดใจเป็นทบทวี “ใช้ได้ๆ รอดตายจากหายนะใหญ่ย่อมต้องมีโชคดีรออยู่ ข้าก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด พี่หยางผู่ วันหน้าเป็นนักปราชญ์วิญญูชนไปก่อนแล้วค่อยเป็นอริยะเป็นเจ้าขุนเขาอะไรนั่น ถึงเวลานั้นอย่าได้ตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร ดูแคลนข้ากับเจ้าขุนเขาเฉินเสียล่ะ”
หยางผู่เอ่ยอย่างจนใจ “เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงพูดล้อข้าเล่นแล้ว นอกจากนักปราชญ์ เรื่องอื่นๆ แม้แต่จะคิดข้าก็ยังไม่กล้าคิดเลย”
หากไม่เป็นเพราะการพบเจอกันโดยบังเอิญอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้หยางผู่รู้สึกเหมือนฝันไปในวันนี้ เขาก็คงไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่าที่แท้เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงจะเป็นคนที่น่าสนใจถึงเพียงนี้ พูดจาน่าฟัง เข้าถึงได้ง่าย
เจียงซ่างเจินหัวเราะ เขาเองก็อ่อนใจเหมือนกัน สาเหตุคงเป็นเพราะตนพูดจาเลื่อนเปื้อนเหลวไหลมาเยอะ อุตส่าห์พูดจาจากใจจริงสองสามคำกลับดันไม่มีคนเชื่อ สู้เจ้าขุนเขาเฉินไม่ได้จริงๆ
คาดว่านี่ก็คงเป็นสาเหตุที่เฉินผิงอันได้เป็นเจ้าขุนเขา ส่วนตนกลับเป็นได้แค่ผู้ถวายงานกระมัง? จะดีจะชั่วก็ควรช่วงชิงตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งมาให้ได้สินะ? ถึงอย่างไรใบถงทวีปก็เส็งเคร็งเต็มไปด้วยมลพิษสกปรกเช่นนี้แล้ว สำนักกุยหยกมีเหวยอิ๋งอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝัน เจ้าเด็กนี่เป็นเสือหน้ายิ้ม เดิมทีก็จิตใจอำมหิตไม่แพ้ตน ยิ่งเป็นผู้ที่ได้รวบรวมความสามารถของตนและตาเฒ่าสวินเอาไว้ บอกตามตรง เป็นฝ่ายยกตำแหน่งให้เหวยอิ๋ง เจียงซ่างเจินไม่มีความรู้สึกไม่ยินยอมใดๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่โลกภายนอกจินตนาการกันที่บอกว่าเหวยอิ๋งฉวยโอกาสที่เจียงซ่างเจินปิดด่านรักษาบาดแผล บีบให้เจ้าสำนักที่เพิ่งได้นั่งตำแหน่งไม่นานต้องลงจากตำแหน่งอะไรนั่นด้วย ส่วนสีหน้าหม่นหมองซีดเซียวหลังจากที่เจียงซ่างเจิน ‘ออกจากด่าน’ นั้น ก็แน่นอนว่าเป็นความตั้งใจของเจียงซ่างเจิน เหวยอิ๋งเป็นเด็กรุ่นหลังที่เฉลียวฉลาดยิ่ง ไม่จำเป็นต้องให้เอ่ยเตือนก็รู้ได้ด้วยตัวเอง วันหน้ายิ่งมีแต่จะช่วยดูแลพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียงมากขึ้น
ดังนั้นเจียงซ่างเจินจึงคิดว่าจะหาเหตุผลง่ายๆ สักข้อมาติดตามเฉินผิงอันกลับไปยังแจกันสมบัติทวีปด้วยกัน
ฝ่ายหยางผู่นั้นความคิดล่องลอยไปไกล ตอนเด็กที่อยู่ในรังโจรบนภูเขา นอกจากต้องโดนทุบตีซึ่งเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้แล้ว อันที่จริงชีวิตบนภูเขาก็ผ่านไปอย่างไม่เลวนัก ผลคือสุดท้ายพวกโจรรังเกียจที่เขากินเยอะเกินไป ไม่ว่าจะเป็นปลาหรือเนื้ออะไร ขอแค่ยกขึ้นโต๊ะ ถึงอย่างไรเป็นผีที่อิ่มตายก็ดีกว่าเป็นผีที่หิวโหยตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารมื้อแรก ตอนนั้นเด็กชายรู้สึกเหมือนได้กินอาหารวันปีใหม่จึงเอาแต่จ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน บวกกับที่ที่บ้านยากจนจริงๆ ไม่อาจเอาเงินมาไถ่ตัวเขาได้ พวกโจรจึงเอาถุงผ้าป่านครอบหัวเขาเอาไปโยนกลับที่เก่า มีโจรเฒ่าคนหนึ่งพอคลายเชือกออกก็เตะกระสอบผ้าป่านพูดหยอกล้อเด็กชายว่า ยากจนจนเกือบจะไม่เหลือชีวิตอยู่แล้ว ยังจะพูดเพ้อเจ้อเรื่องยศตำแหน่งอะไร อ่านหนังสือแค่ไม่กี่วันก็เสียสติแล้ว วันหน้าหากอ่านเพิ่มอีกสักสองสามเล่มจะไม่บอกว่าอยากเป็นนายท่านจวี่เหรินอะไรนั่นเลยหรือ
ผลคือถึงท้ายที่สุด หยางผู่ที่เดินออกจากโรงเรียนในชนบท ตอนอายุสิบแปดก็สอบติดจ้วงหยวน
ต่อให้มาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษา บางครั้งที่หยางผู่หวนนึกถึงช่วงเวลาตอนอยู่บนภูเขาก็ยังอดรู้สึกซาบซึ้งใจในคำพูดที่เอ่ยอย่างไม่ตั้งใจของโจรเฒ่าคนนั้นไม่ได้
เจียงซ่างเจินชี้ไปที่หันเจี้ยงซู่ “หยางผู่ วันหน้าเจ้าเป็นนักปราชญ์เป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาแล้วก็อย่าอวดฉลาดอย่างพวกเขาล่ะ”
หยางผู่ส่ายหน้า “เรียนรู้ไม่ได้หรอก”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็คิดใคร่ครวญให้มาก เอาไว้เป็นบทเรียนให้ระวังตน”
หยางผู่พยักหน้ารับ “แน่นอน เดิมทีการอ่านตำราก็สามารถไขข้อข้องใจได้อยู่แล้ว ใช้อดีตไขปัจจุบัน ใช้ไกลไขใกล้ ใช้เรื่องบนตำราไขคนนอกตำรา”
หันเจี้ยงซู่คิดจะทุ่มไหที่แตกให้แหลกมานานแล้ว จึงหันหน้าไปถ่มน้ำลายใส่ทางเจียงซ่างเจิน พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดูแคลน “เจ้าเจียงซ่างเจินจะดีได้สักเท่าไรกันเชียว?! ชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไปทั่วทุกหัวถนน พวกไร้ความรู้สึกแห่งสำนักกุยหยกที่มากรักหลายใจ นักฆ่าแห่งพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา คิดจริงๆ หรือว่ามีคุณความชอบทางการสู้รบยิ่งใหญ่ก็จะสามารถเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ กลายเป็นวีรบุรุษผู้กล้าได้จริงๆ? เอ่ยชมเจ้าต่อหน้าด้วยประโยคตามมารยาทไม่กี่คำก็คิดเป็นจริงเป็นจังแล้ว? ลับหลังคนอื่นพูดถึงเจ้าอย่างไร ต้องให้ข้าช่วย ‘ไขข้อข้องใจ’ ให้เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงไหม?”
เจียงซ่างเจินกลอกตามองบน ใช้ฝ่ามือต่างพัดตบน้ำลายของเทพธิดาไปไว้บนใบหน้าของเทพทวารบาลเซียนดินคนหนึ่ง เอ่ยตามไปอีกประโยคว่าสหายไม่ต้องขอบคุณข้า จากนั้นเจียงซ่างเจินก็ดีดนิ้วหนึ่งที โจมตีให้ร่างของหันเจี้ยงซู่ปลิวกระเด็นออกไป ทำให้นางสลบไปอย่างสิ้นเชิง
อันที่จริงเจียงซ่างเจินก็ประหลาดใจมากว่าเหตุใดอยู่ดีๆ หันอวี้ซู่ถึงเปลี่ยนสีหน้ากะทันหัน ภูเขาลั่วพั่วแห่งหนึ่งที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังในแจกันสมบัติทวีป หรือควรพูดว่าชื่อของเฉินผิงอันนี้ ตามหลักแล้วไม่ควรทำให้หันอวี้ซู่เกิดจิตสังหาร ไม่ตายไม่ยอมเลิกราขึ้นมาได้ ข่าวที่เฉินผิงอันทำหน้าที่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกวันนี้ในใต้หล้าไพศาลนอกจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแล้ว ผู้ฝึกตนที่รู้ก็มีไม่มาก หนึ่งเพราะกำแพงเมืองปราณกระบี่ตัดขาดข่าวสารกับโลกภายนอกมาตั้งนานแล้ว ภูเขาห้อยหัวและเรือข้ามทวีปก็ยังรู้แค่ว่าอิ่นกวานคนใหม่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่คือคนหนุ่มคนหนึ่งที่เฉินชิงตูฝากความหวังไว้มาก หลายปีมานี้มีข่าวเล็กๆ แพร่มาตามยอดเขาอย่างเงียบเชียบอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นถ้อยคำไพเราะที่คลุมเครือ อะไรที่บอกว่าผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ ความสามารถน่าตะลึง คุณสมบัติไล่ตามหนิงเหยาไปโดยตรง อยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวบนโลก ‘รู้หนังสือรู้หลักมารยาท’ คิดคำนวณเก่งอย่างมาก ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างเมตตา เคยปรากฏตัวที่เรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัวอยู่สองสามครั้ง บุคลิกยอดเยี่ยมมีมาดสง่างาม…
บวกกับที่เซียนกระบี่ของแต่ละทวีปที่กลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังใต้หล้าไพศาล หากไม่เป็นพวกที่ไม่ชอบพูดคุยเรื่องเก่าๆ กับสหายในบ้านเกิด บางคนที่พูดถึงเป็นครั้งคราวก็ล้วนจงใจเว้นเรื่องของใต้เท้าอิ่นกวานเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ราวกับมีข้อตกลงร่วมกันมาก่อน หรือไม่ก็เคยได้รับคำเตือนบางอย่างจากคฤหาสน์หลบร้อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน
คำกล่าวเดียวที่ค่อนข้างจะยืนยันได้ชัดเจน ยังคงเป็นคำกล่าวจากปากของลู่จือเซียนกระบี่ใหญ่คนท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ บอกว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นพูดคุยถูกคอกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเป็นที่สุด สามารถมองเขาเป็นผู้สืบทอดครึ่งตัวได้ อีกทั้งอิ่นกวานยังไม่ใช่คนต่างถิ่นอะไร แต่เป็นคนบ้านเดียวกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ไม่รู้เรื่องที่เฉินผิงอันคืออิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หันอวี้ซู่ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำตัวเป็นคนมุทะลุวู่วามที่ราวกับรักแต่หน้าตาไม่รักชีวิต ถึงกับต้องให้ทั้งสองฝ่ายแบ่งเป็นแบ่งตายกันเช่นนี้ ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้หันอวี้ซู่รู้ว่าเฉินผิงอันคืออิ่นกวาน ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลให้ต้องฉีกหน้าแตกหักกัน เอากิจการใหญ่พันปีของตลอดทั้งสำนักว่านเหยาไปลงเดิมพันเช่นนี้ หากชนะในการต่อสู้ พื้นที่มงคลสามภูเขาก็ยังมีจุดจบที่ต้องพ่ายแพ้ทั้งกระดานอยู่ดีไม่ใช่หรือ? พูดถึงแค่เขาเจียงซ่างเจิน วันหน้าจะยังเป็นมิตรกับสำนักว่านเหยาได้อย่างไร?
อันที่จริงเจียงซ่างเจินกำลังคิดคำนวณเวลาอยู่ในใจตลอด ขอแค่ผ่านช่วงเวลาที่คิดไว้ไปแล้วเฉินผิงอันยังคงไม่อาจหนีออกมาจากภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงรุ่นบรรพบุรุษนั้นได้ เขาก็จะออกกระบี่ช่วยเหลือคน
ส่วนข้อที่ว่าจะเผาผลาญตบะ อายุขัยจะลดทอนลงหรือไม่ ก็ไม่มีเวลามามัวสนใจแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ก็ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องคิดคำนวณผลได้ผลเสีย คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกขอแค่สะใจสบายอารมณ์ก็พอ เจียงซ่างเจินไม่ได้เพิ่งจะเป็นเช่นนี้เอาวันนี้ แต่เป็นแบบนี้มานานมากแล้ว
ก็เหมือนอย่างที่หันเจี้ยงซู่กล่าว เจียงซ่างเจินย่อมรู้ตัวดีว่าตนไม่อาจเป็นวีรบุรุษผู้กล้าอะไรได้ ชื่อเสียงฉาวโฉ่เละเทะ เป็นภมรที่ดอมดมบุปผาไปทั่ว ไม่ว่าไปที่ใดก็ก่อเรื่องที่นั่น ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาก็ยิ่งลงมืออย่างอำมหิตไร้ปราณี
ดีแต่จะเล่นสนุกอยู่ในโลกมนุษย์ ทรยศความจริงใจของคนนับไม่ถ้วน
ในฟ้าดินของม้วนภาพ
เฉินผิงอันและหันอวี้ซู่ต่างคนต่างก็ยังคงลอยตัวอยู่ที่เดิม แต่ห่างไปประมาณสามสิบก้าว กลับเป็นวิชาอภินิหารของเซียนเหรินผู้หนึ่งบวกกับฟ้าดินม้วนภาพ เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายคล้ายอยู่บนขอบฟ้าที่ใกล้กันในระยะประชิด
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน นอกจากตราผนึกยันต์ก่อนหน้านี้แล้วยังมีฟ้าดินกว้างใหญ่ของม้วนภาพลายเส้นขาวดำที่อาณาเขตกว้างขวางมากยิ่งกว่าคอยกักขังตนเอาไว้ อยู่ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำของม้วนภาพนี้ มีขุนเขาเก่าแก่ห้าแห่งตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าและดิน นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำน้ำลึกเก้าสายที่ไหลรินผ่านไปอย่างเงียบเชียบ รวมไปถึงลำคลองใหญ่ที่กระแสน้ำเดี๋ยวไหลเอื่อยเดี๋ยวไหลแรงแปรเปลี่ยนตลอดเวลาอีกแปดสาย ภาพบรรยากาศนับพันนับหมื่น เปี่ยมไปด้วยความหมายแห่งมรรคาอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้
เฉินผิงอันถอนหายใจ พูดอย่างมีโทสะเล็กน้อย “สหายหันทำอะไร? ก่อนหน้านี้สำนักว่านเหยารับรองแขกได้จริงใจพอแล้ว ข้าบอกว่าจะถามกระบี่ต่อสำนักว่านเหยาก็เป็นแค่คำพูดด้วยอารมณ์เท่านั้น เหตุใดสหายหันต้องถึงขั้นย้ายขุนเขาเคลื่อนสายน้ำ ยกเอาสำนักว่านเหยาครึ่งหนึ่งมาทรมาทรกรรม ยังไม่ทันได้ต่อสู้กันก็เผาผลาญเงินฝนธัญพืชไปร้อยกว่าเหรียญแล้ว ใครจะชดใช้ให้ได้? สหายหัน ฝีเท้าก้าวใหญ่เกินไป รอให้ฝุ่นผงกลบลงพื้น คิดจะเดินกลับไปทางเดิม หาบันไดลงให้ตัวเองอีกครั้ง ก็ไม่ใช่แค่ประโยคว่า ‘สหายเฉินมีเวทกระบี่สูงส่งเทียมฟ้า’ มาทำให้จบเรื่องกันไปได้แล้ว”
สีหน้าของหันอวี้ซู่มืดทะมึน คล้ายจะโมโหยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก “เฉินผิงอัน เจ้ามีตบะเช่นนี้ อันที่จริงเรื่องในวันนี้ เดิมทีสามารถปิดฉากลงดีๆ ได้”
เซียนเหรินท่านนี้ไม่จำเป็นต้องปล่อยจิตหยินเดินทางไกล ตัวอยู่ในฟ้าดินเล็กที่เขาเป็นผู้ควบคุม เทพหญิงที่ก่อนหน้านั้นซ่อนตัวอยู่ในเมฆหมอก เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลประเภทเทพเมฆา คือภาพลวงตาที่จำแลงมาจากมหามรรคาบางอย่าง เวลานี้ร่างกายของนางยิ่งมั่นคงและชัดเจนมากขึ้น ดวงตาสีทองทั้งคู่ยิ่งบริสุทธิ์เข้มข้น อวิ๋นตุนใหญ่เหมือนภูเขาลูกเล็ก ตัวนางเองก็เหมือนกายธรรมร่างทองของผู้ฝึกตนที่ถือกระบองเล็กตีอวิ๋นอ๋าว ชุดสีสันสดใสพลิ้วปลิวสะบัด ทุกครั้งที่ตีอวิ๋นตุนหนึ่งครั้ง ระหว่างฟ้าดินก็จะเกิดทะเลเมฆหนึ่งผืน สายฟ้าแลบแปลบปลาบคลอเสียงฟ้าร้องครืนครั่น มีเจียวหลงว่ายวนผลุบโผล่อยู่ด้านใน
แส้สายฟ้าสีทองเส้นหนึ่งพลันระเบิดออกมาจากในทะเลเมฆ พริบตาเดียวก็สับเปลี่ยนวิถีการโคจรหลายครั้ง พุ่งเข้าฟาดโบยใส่เฉินผิงอัน
——