กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 752.2 หมัดของขอบเขตสิบเอ็ด
เฉินผิงอันถึงขั้นไม่ได้ยื่นมือออกไป เพียงแค่ปล่อยให้ปณิธานหมัดไหลรินคล้ายมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งปกป้องอยู่รอบกาย กับเทพหญิงองค์นั้นก็ยิ่งเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลสองตนที่มาเจอกันอีกครั้งหลังเวลาผ่านไปหมื่นปี ใช้วิถีแห่งเทพรับมือกับวิถีแห่งเทพ
สายฟ้ากระแทกลงบนพายุหมัดก็พลันระเบิดแตกครืนครั่น ฝนห่าใหญ่สีทองตกลงมาข้างกายเฉินผิงอัน
เมฆสายฟ้าแต่ละก้อนพุ่งเข้ามาล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิงอัน คล้ายสร้างแท่นลงทัณฑ์ธรรมชาติแห่งหนึ่งขึ้นมา อวิ๋นอ๋าวมีทั้งสิ้นสิบสองอัน อวิ๋นตุนที่ซ่อนแฝงปณิธานที่แท้จริงของสายฟ้าก็มีสิบสองอัน จากนั้นในเมฆสายฟ้าสิบสองก้อนก็จะมีเส้นสีทองยาวหนึ่งเส้นที่คอยเชื่อมโยงพวกมันเข้ากับอวิ๋นอ๋าว
เฉินผิงอันทะยานลมลอยตัวอยู่กลางอากาศตลอดเวลา เขายืนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้สายฟ้าสีทองสิบสองเส้นฟาดตีลงมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นั้นตีอวิ๋นอ๋าวกระชั้นถี่รัวมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้แส้สายฟ้าสิบสองเส้นที่พุ่งออกไปจากเมฆสายฟ้ายิ่งนานก็ยิ่งเป็นเส้นตรง วิชาอภินิหารที่ร่ายออกมาไม่มีช่องว่างแม้แต่น้อย แต่เฉินผิงอันกลับยังคงยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน ปณิธานหมัดไหลทะลักกลายเป็นวงกลมสมบูรณ์แบบขนาดใหญ่ เหมือนร่างเขาอยู่กลางดวงจันทร์ดวงหนึ่ง
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “สหายหัน ไม่สู้ให้พี่หญิงท่านนี้กินให้อิ่มก่อนค่อยมาตีฆ้องดีหรือไม่?”
รัศมีหลายสิบลี้รอบกายเซียนกระบี่ชุดเขียว นอกจากสะพานสายฟ้าสิบสองเส้นที่เข้มข้นราวกับสายน้ำแล้ว นอกจากนี้ล้วนเป็นสายฟ้าแลบปลาบที่พอพุ่งชนแล้วแตกสลายก็กระจายไปทั่ว ถักทอกันเป็นหมือนตาข่าย
เฉินผิงอันใช้นิ้วโป้งดันดาบแคบพิฆาตที่อยู่ตรงเอว ดันออกมาจากฝักดาบสองสามชุ่น ก่อนจะสอดกลับเข้าฝักดาบช้าๆ เห็นได้ชัดว่าเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ จุ๊ปากเอ่ยว่า “โชคดีที่เทพหญิงกองงานเมฆาผู้นี้ไม่มีสติปัญญาหรือจิตสำนึกอะไรแล้ว ไม่อย่างนั้นแค่การกระทำเนรคุณที่กล้าละเมิดเบื้องสูงเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าทำผิดกฎสวรรค์ จุดจบจะต้องอเนจอนาถมากแน่ๆ”
หันอวี้ซู่หลุดหัวเราะพรืด “ละเมิดเบื้องสูง? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”
แสงดาบสีเขียวเข้มพลันพุ่งวาบมาถึงในช่วงเวลาที่สายฟ้าแลบ
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ชักดาบออกจากฝัก ยกขึ้นฟันเอียงๆ อย่างไม่ใส่ใจ ฟันให้ดาบอาคมชิงเสียเล่มนั้นร่วงหล่นพื้น
ดาบอาคมชิงเสียไปหยุดนิ่งอยู่ห่างไปพันจั้ง ก่อนจะย้อนกลับคืนมาในเสี้ยววินาที เฉินผิงอันเบี่ยงตัวหลบ ใช้ดาบแคบพิฆาตตั้งขวางเป็นแนวนอนเบื้องหน้าตน ดาบอาคมชิงเสียทำลายปณิธานหมัดยิ่งใหญ่ไพศาลที่คล้ายแสงจันทร์ไปก่อน ก่อนจะโจมตีเข้าที่ตัวดาบพิฆาต เฉินผิงอันก้าวถอยไปหนึ่งก้าว ขณะเดียวกันก็ยกแขนขึ้นส่งดาบอาคมที่ปรากฎตัวลับๆ ล่อๆ เล่มนั้นออกไปจากอาณาเขต
ภูเขาห้อยกลับหัวลูกหนึ่งเหมือนกระบี่บินขนาดใหญ่ยักษ์ เฉินผิงอันมือขวาถือดาบ มือซ้ายกำหมัด ปล่อยหมัดใส่ขุนเขาที่กดทับลงมาเหนือศีรษะ
ขุนเขาถล่มพื้นดินปริแตก
ก่อนจะมีขุนเขาอีกสี่ลูกหล่นตามมาติดๆ ‘ปลายกระบี่’ พุ่งตรงเข้าหาเฉินผิงอัน
หันอวี้ซู่ยิ้มกล่าว “นี่ถือเป็นการถามกระบี่ต่อสหายเฉินหรือไม่?”
เฉินผิงอันทยอยปล่อยหมัดออกไปอีกสองหมัด ทุกครั้งที่ปล่อยหมัดต่อยให้ภูเขาลูกหนึ่งแตกสลาย เรือนกายของเขาจะต้องลดฮวบลงไปเบื้องล่างอีกสิบกว่าจั้ง
แต่เฉินผิงอันก็ยังมีอารมณ์ผ่อนคลายมาเปิดปากตอบคำถาม “ทำไม สหายหันต้องการยืนยันขอบเขตผู้ฝึกยุทธของข้าให้แน่ใจหรือ?”
“นับว่าสหายเฉินเอ่ยเตือนข้าแล้ว”
หันอวี้ซู่ก้าวเท้ารัวเร็วปานพายุลมกรดพลางทำมุทรา ตำแหน่งที่เฉินผิงอันยืนอยู่ ปราณวิญญาณขุนเขาสายน้ำพลันว่างเปล่า ไม่เพียงแค่นี้ ปราณวิญญาณที่อยู่ในตราผนึกฟ้าดินสองแห่ง แม้กระทั่งโชคชะตาขุนเขาสายน้ำก็ล้วนถูกหันอวี้ซู่กลืนลงท้องเหมือนปลาวาฬสูบน้ำทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่าต้องการทำให้ฟ้าดินกลายมาเป็น ‘สถานที่ไร้อาคม’ ที่ผู้ฝึกลมปราณหวาดกลัวที่สุด จากนั้นหันอวี้ซู่ก็อาศัยการดึงดูดปราณวิญญาณนี้มาสะสมพลังรอคอย ทั้งสามารถเผาผลาญปราณวิญญาณผู้ฝึกตนของเฉินผิงอันให้แห้งเหือดสิ้น ทั้งยังสามารถทำให้ตนเข่นฆ่าได้นานยิ่งกว่าเดิม สามารถร่ายวิชาอภินิหารก้นกรุของพื้นที่มงคลสามภูเขาได้อีกหลายบท ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ศึกที่ฝูเหยาทวีปของป๋ายเหย่ หลังจบเรื่องผู้ฝึกตนบนยอดเขาหลายคนของใต้หล้าไพศาลได้เคยทำการอนุมานอย่างละเอียด ตั้งใจทบทวนกระดานหมากสนามรบกันมาก่อน สุดท้ายก็จำต้องยอมรับว่า ‘วิธีโง่เง่า’ ของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ผู้นั้นกลับเป็นวิธีการที่ดีที่สุด อีกทั้งยังเป็นวิธีการเดียวที่สามารถเอามาใช้ได้
เพียงแต่ว่าสงครามบนยอดเขาประเภทนี้ยากนักที่จะทำตาม ธรณีประตูสูงเกินไป ต่อให้แค่คิดว่าจะลองเลียนแบบก็ยังไม่ง่ายเลย
ทว่าวันนี้หันอวี้ซู่ยึดครองทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี สามารถทำตามศึกครานั้นได้อย่างเข้าท่าเข้าที แน่นอนว่าเขาไม่มีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้าเฉกเช่นมหาสมุทรความรู้โจวมี่ แต่คนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็ไม่ใช่ป๋ายเหย่เช่นเดียวกัน
ยันต์ห้าขุนเขาหนึ่งแผ่น ขุนเขาห้าลูก
นับย้อนจากข้างหลังมาเป็นภูเขาลูกที่สองที่กดทับเหนือหัว เฉินผิงอันปล่อยหมัดออกไปอีกครั้งตามความเคยชิน แต่ขุนเขาลูกนั้นกลับแค่โยกคลอนเท่านั้น นาทีถัดมาร่างทั้งร่างก็ถูกขุนเขาลูกหนึ่งกดทับลงบนพื้นดิน
ภูเขาลูกนี้แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าสามารถเป็นฝ่ายชักนำลมปราณมาสยบกำราบคนได้ด้วยตัวเอง ไม่เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันใช้การหดย่อพื้นที่หลบหนีไปได้เลย คนขยับภูเขาก็ตามติด อันที่จริงคนหนุ่มก็ถือว่ามีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวมากพอแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจหนีพ้นหายนะนี้ไปได้
หันอวี้ซู่ยิ้มบางๆ ถูก ‘ไท่ซาน’ ที่แทบจะใกล้เคียงกับของจริงกดทับ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางก็ดี เซียนกระบี่ก็ช่าง ล้วนต้องประสบเคราะห์กรรมทั้งสิ้น
หันอวี้ซู่ใช้เวทกระบี่เขียนอักษรสีทองลงบนขุนเขาอยู่ไกลๆ ประหนึ่งการแกะสลักตัวอักษรใหญ่ลงบนหน้าผา จากยอดเขามาถึงกึ่งกลางภูเขา กระทั่งมาถึงตีนเขา เหนือเส้นตรงเส้นหนึ่งก็คือคาถาดั้งเดิมสามขุนเขาที่เป็นตัวอักษรสีทอง หันอวี้ซู่กำลังเพิ่มน้ำหนักของปณิธานแท้จริงแห่งมหามรรคาให้กับไท่ซานหนึ่งในห้าขุนเขานี้อย่างต่อเนื่อง คาถาวิชาภูเขานี้มีเพียงพื้นที่มงคลสามภูเขาเท่านั้นที่ถึงจะมีการสืบทอด หากมีคนขึ้นเขามาดูใกล้ๆ ถ้าอย่างนั้นก็จะเห็นว่าเส้นสีทองเล็กยาวที่หันอวี้ซู่วาดออกมา แท้จริงแล้วก็คือสายน้ำเส้นหนึ่งที่ไหลจากยอดเขาลงมาเบื้องล่าง
ใช้ภูเขาไท่ซานลูกหนึ่งเป็นกระดาษยันต์ เซียนเหรินหันอวี้ซู่ใช้คาถาสามภูเขามาเป็นอักขระลับ
หลังจากวาดยันต์สำเร็จ ยันต์ไท่ซานก็ยิ่งแผ่กลิ่นอายยิ่งใหญ่โอฬารมากกว่าเดิม
หันอวี้ซู่คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “พันไม่ควรหมื่นไม่ควร เจ้าไม่ควรบอกชื่อแซ่ของตัวเอง ทำให้ข้ารู้ว่าเจ้ามาจากภูเขาลั่วพั่ว ชื่อว่าเฉินผิงอัน”
รากภูเขาของยันต์ไท่ซานได้เชื่อมโยงเข้ากับม้วนภาพขุนเขาสายน้ำลายเส้นขาวดำอยู่นานแล้ว
หันอวี้ซู่ขมวดคิ้วน้อยๆ เหตุใดไอ้หมอนั่นถึงได้ไม่มีความเคลื่อนไหวเลย? ปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่ง เรือนกายไม่มีทางเป็น… ‘กระดาษเปียก’ เช่นนี้แน่
ตรงตีนเขาของภูเขาไท่ซานมีริ้วคลื่นกระเพื่อมออกมาเบาๆ คนผู้หนึ่งเดินก้าวออกมาจาก ‘ประตูใหญ่’ ถึงกับเป็นเฉินผิงอันผู้นั้น “คาถาอักษรทองที่เดิมทีควรเป็นการสืบทอดผ่านทางจิตของเจ้าสำนักพื้นที่มงคลสามภูเขานี้ ผู้เยาว์ขอน้อมรับไว้แล้ว”
หันอวี้ซู่ไม่ได้เก็บเอายันต์ดั้งเดิมของภูเขาบรรพบุรุษที่เผาผลาญปราณวิญญาณอย่างถึงที่สุดนั้นกลับมาทันที ถึงขั้นยังปล่อยให้เฉินผิงอันอ่านเนื้อหาตัวอักษรของคาถาต่อไป
กังวลว่าจะเป็นเวทอำพรางตารักษาชีวิตอย่างหนึ่ง เพื่อให้ตนถอนยันต์ภูเขาแผ่นนี้ออกไปด้วยตัวเอง
แล้วก็จริงดังคาด เรือนกายของ ‘เฉินผิงอัน’ ผู้นั้นเริ่มล่องลอยกลายเป็นภาพมายา ทั้งยังเริ่มส่ายไหวน้อยๆ
เฉินผิงอันหันหน้ามามองหันอวี้ซู่ “ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะสังหารข้าจริงๆ รึ?”
หันอวี้ซู่ยิ้มบางๆ “ไม่อย่างนั้นจะเป็นยังไงล่ะ?”
เฉินผิงอันหันกลับไปมองธารน้ำสีทองเส้นนั้นอีกแวบหนึ่ง ถอนหายใจหนึ่งที ก่อนจะค่อยๆ ทะยานลมขึ้นสูง แล้วก็ใช้นิ้วมือทำมุทรากระบี่ท่าทางเหมือนกับอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน วาดยันต์ภูเขาชิ้นที่สองจากตีนเขาขึ้นไปยังยอดเขา
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับธารน้ำสีทองเข้มข้นซึ่งเป็นยันต์ที่หันอวี้ซู่วาดสำเร็จแล้ว ยันต์ที่เฉินผิงอันเพิ่งได้เรียนรู้นี้กลับบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่เป็นรูปเป็นร่าง อีกทั้งเส้นสีทองจากคาถาที่ร่ายออกมายังเล็กเหมือนร่องน้ำอีกด้วย แต่กลับทำให้หันอวี้ซู่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ผู้ฝึกตนสายยันต์วาดยันต์ สรุปแล้วจะวาดยันต์ผีให้คนตลกขบขัน หรือเป็นเซียนเหรินที่ชี้ทางสร้างความพรั่นผวาให้ภูตผีกันแน่ อันที่จริงก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง แค่ต้องดูว่าวาดยันต์สำเร็จหรือไม่ ไม่สำเร็จก็เหมือนกิ่งก้านต้นไม้ที่แตกกิ่งออกไปเกะกะ สิ้นเปลืองปราณวิญญาณและกระดาษยันต์อย่างเปล่าประโยชน์ หากวาดสำเร็จก็คือการแต้มนัยน์ตาให้กับแก่นยันต์ แตกต่างแค่ว่าระดับขั้นมีสูงมีต่ำก็เท่านั้น แต่คนชุดเขียวที่พอทะยานลมขึ้นไปยังระดับสูงเทียบเท่ายอดเขา กลับสามารถวาดยันต์สามภูเขาที่เรียนได้ยากที่สุดสำเร็จจริงๆ
สีหน้าของหันอวี้ซู่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน “ก่อนหน้าวันนี้เจ้าจะต้องเคยสัมผัสกับสายนอกของยันต์สามภูเขามาก่อนอย่างแน่นอน! และคนนำทางเปิดภูเขาที่สอนวิชาสายยันต์ให้แก่เจ้าก็ต้องเป็นยอดฝีมือด้านยันต์คนหนึ่ง!”
ร่องน้ำเล็กสีทองพลันหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เฉินผิงอันที่มองดูอยู่กลับรู้สึกพึงพอใจมากแล้ว เขาหันมาพยักหน้าเอ่ยว่า “พูดไปแล้วก็กลัวว่าจะทำให้เซียนเหรินตกใจขวัญกระเจิง อ้อ ไม่ถูกสิ เจ้าน่าจะพอเดาออกแล้ว คนที่ชอบหลบอยู่เบื้องหลังคอยชี้ไม้ชี้มือบงการคนอื่นอย่างพวกเจ้า ไม่เพียงแต่ขอบเขตสูง อีกทั้งหัวสมองยังนับว่าไม่เลว เทียบกับภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็นแล้วยังรับมือได้ยากกว่ามากนัก อืม รับมือได้ยากกว่ามากจริงๆ แต่รับมือได้ยากสิถึงจะดี ไม่อย่างนั้นสารพัดวิชาที่ข้าเล่าเรียนมาจะไม่กลายเป็นว่าไม่มีพื้นที่ให้เอามาใช้งานหรอกหรือ?”
หันอวี้ซู่ยังคงไม่กล้าเก็บยันต์สามภูเขามา และไอ้หมอนั่นก็ถึงกับหันตัวกลับไปเพ่งพินิจรายละเอียดของยันต์นั้นต่อ
หันอวี้ซู่รู้สึกลังเลใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หรือว่าจะต้องผลาญร่างทองที่ปริแตกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลตนนั้นทิ้งไปจริงๆ? บุคคลเก่าแก่ยุคโบราณเช่นนี้เป็นโชควาสนาที่หันอวี้ซู่จะเอามาใช้พิสูจน์มรรคาขอบเขตบินทะยานในอนาคตเชียวนะ
ฆ่าคนหนุ่มผู้นี้ พื้นที่มงคลสามภูเขาก็อย่าหวังว่าจะได้ก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าไพศาล อันที่จริงหันอวี้ซู่ยังยอมรับเรื่องนี้ได้ เกียรติยศอัปยศ ความรุ่งโรจน์หรือความเสื่อมถอยของสำนักว่านเหยา ไหนเลยจะเทียบกับการฝ่าขอบเขต พัฒนารุดหน้าไปอีกก้าวของตนได้? หลังจากสงครามใหญ่ผ่านไป ทุกวันนี้ขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าไพศาลลดน้อยลงไปไม่น้อย ดังนั้นทุกครั้งที่มีมาเพิ่มหนึ่งคน โชคชะตาของมหามรรคาที่ไร้รูปลักษณ์ก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกหลายส่วน
หากต้องนำการที่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเท่ากับเป็นขอบเขตบินทะยานครึ่งตัวสูญสลายไปนับแต่นี้ มาแลกเปลี่ยนเป็นคุณความชอบในการสังหารเฉินผิงอัน หันอวี้ซู่ก็ไม่ยินยอมจริงๆ รู้สึกตัดใจไม่ลง เซียนเหรินคนหนึ่งอยากจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานที่มหามรรคามีอิสระเหมือนเรือกลวง ยากเย็นแสนเข็ญปานใด? โดยเฉพาะอย่างยิ่งโชควาสนาบนมหามรรคาที่แค่เอื้อมมือก็คว้ามาครองได้แล้วต้องเปลี่ยนเป็นความหวังอันเลือนราง ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินทั่วไปที่ทุกครั้งที่ปิดด่านก็เหมือนไปเดินวนอยู่หน้าประตูผีมารอบหนึ่ง แน่นอนว่านั่นทำให้จิตแห่งมรรคาของหันอวี้ซู่ทุกข์ทรมานมากยิ่งกว่า
เฉินผิงอันถูมือคลี่ยิ้ม “เข้าใจแล้วๆ สหายหันเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับเจ้าคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ บางคนของภูเขาตะวันเที่ยงนั่นเอง ยอมรับเฉินผิงอันผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งแห่งภูเขาลั่วพั่วได้ เพราะถึงอย่างไรก็เหมือนการประกอบพิธีกรรมอยู่ในเปลือกหอย ยากที่จะทำสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมรับคนที่หวนกลับมายังบ้านเกิดซึ่งมีตำแหน่งอิ่นกวานได้ กังวลว่าจะถูกข้าคิดบัญชีย้อนหลัง ดึงหัวไชเท้าออกมาจากดิน วันใดอาจถูกข้าเล่นงานจนพินาศล่มจม นั่นจะไม่เท่ากับว่าแผนที่วางมาล่มไม่เป็นท่าหรอกหรือ ใช่หรือไม่ สหายหัน?”
สีหน้าของหันอวี้ซู่กลับคืนมาเป็นปกติ “เรื่องมาถึงขั้นนี้ สหายเฉินก็เลิกพูดจาหยั่งเชิงกันเถอะ ไม่ได้มีความหมายใดๆ”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากนั่งพิทักษ์ฟ้าดินเล็กใหญ่สองแห่งสามารถทำให้สหายหันเลื่อนขอบเขตไปได้อีกหนึ่งระดับ ใช้ขอบเขตบินทะยานมารับมือกับศัตรู เวลานี้ข้าก็จะยอมแพ้ทันที จะเอ่ยขอโทษพร้อมมอบของขวัญขออภัย จ่ายเงินรักษาความสงบสุขปลอดภัยได้นี่นะ”
สีหน้าของหันอวี้ซู่มีเลศนัย เอ่ยเนิบช้าว่า “ไม่เพียงแต่เงื่อนตายสามารถคลายออกได้ อีกทั้งยังไม่ต้องใช้เงินแม้แต่เหรียญเดียว”
เฉินผิงอันรับคำต่อ “ขอแค่ข้าเข้าร่วมกับพวกเจ้า?”
หันอวี้ซู่หัวเราะร่าเสียงดัง “ไม่เสียแรงที่เป็นใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่!”
ในที่สุดหันอวี้ซู่ก็ถอนภูเขาไท่ซานลูกนั้นออก
ด้านล่างภูเขาไท่ซานมี ‘เฉินผิงอัน’ ที่ใบหน้ามอมแมมเปรอะฝุ่นลุกขึ้นนั่ง หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เรือนกายเปล่งวูบหายไป
เฉินผิงอันที่ทะยานลมลอยอยู่กลางอากาศจึงเตรียมจะย่อพื้นที่ พยายามจะไปรวมตัวกับคนผู้นั้นครึ่งทาง
ภูเขาไท่ซานกลับโผล่ขึ้นมากลางอากาศแล้วร่วงตูมลงมาอีกครั้ง
เฉินผิงอันหยุดฝีเท้า เอ่ยอย่างหน่ายใจว่า “ก็ได้ๆ ข้าไม่หยอกสหายหันเล่นแล้ว”
ดีดนิ้วหนึ่งที กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่มาพร้อมกับริ้วคลื่นน้อยๆ ก็หวนกลับเข้าไปในช่องโพรงลมปราณแห่งชีวิต
ดวงตาของหันอวี้ซู่เป็นประกายวาววับ เอ่ยทอดถอนใจว่า “โชควาสนาใหญ่ โชควาสนาใหญ่! มิน่าเล่าถึงสามารถเป็นอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ ฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้สองเล่มจริงดังคาด อีกทั้งแต่ละเล่มต่างก็มีวิชาอภินิหารเป็นของตัวเอง เล่มก่อนหน้านี้สามารถจำแลงเป็นกระบี่ได้นับพันนับหมื่น เล่มนี้สามารถสร้างฟ้าดินเล็กได้อย่างเงียบเชียบ วิชาอภินิหารของกระบี่บินสองเล่มทับซ้อนกันก็ไร้ศัตรูทัดเทียมในขอบเขตเดียวกันจริงๆ …ถือว่าเป็นหนึ่งในหมื่น น่าสนใจๆ ดูเหมือนว่า ‘ซินซื่อ’ และ ‘ลี่จี๋’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของหลิวไฉผู้ฝึกกระบี่หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์เหมือนกันจะสยบกำราบกระบี่บินสองเล่มนี้ของอิ่นกวานได้พอดีกระมัง? ไม่เป็นไร ขอแค่อิ่นกวานยินดีเข้าร่วมกับฝ่ายของพวกเราอย่างจริงใจ พวกเรามาคลายเงื่อนตายของวันนี้กันก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้สถานการณ์ตายที่มากพอจะทำให้คนอกสั่นขวัญผวาก็ย่อมคลี่คลายได้เช่นกัน”
“ไม่กลัวว่าจะต้องใช้เหตุผล ทุกเรื่องล้วนปรึกษากันได้ นี่คือเป้าประสงค์ในการท่องยุทธภพของข้ามาโดยตลอด”
เฉินผิงอันพยักหน้า เดินทีละก้าวไปยังจุดสูงของท้องฟ้า ชำเลืองตามองสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่มีรูปร่างเป็นสตรีผู้นั้น ก่อนถอนสายตากลับคืนมา ยิ้มเอ่ยว่า “มิน่าเล่าสหายหันถึงทำอะไรวู่วามถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็คิดจะเดิมพันมากชนะมาก ขอแค่ดึงข้ามาเป็นพวกได้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตรของภูเขาลั่วพั่ว ความสัมพันธ์ควันธูปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เหลือไว้ในใต้หล้าไพศาล อย่างน้อยครึ่งหนึ่งก็สามารถนำมาให้พวกเจ้าใช้งานได้”
หันอวี้ซู่เอาสองมือไพล่หลัง ในมือกำแกนม้วนภาพสองแกนที่ทับซ้อนกันเอาไว้ เซียนเหรินสำนักว่านเหยาผู้นี้ไม่ปกปิดสีหน้าชื่นชมของตัวเองแม้แต่น้อย “เฉินผิงอัน เจ้าช่างเป็นคนประหลาดนัก หลังจากกลายเป็นอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทางฝั่งของภูเขาห้อยหัวและเรือข้ามทวีปกลับมีเวทอำพรางตานับไม่ถ้วน รวมกันเป็นปมเชือกยุ่งเหยิง ทำให้คนไม่รู้จะลงมือจากจุดใดดี แม้แต่พวกเราก็ยังต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจไปไม่น้อย ได้แต่ค่อยๆ รวบรวมรายงานจากแต่ละฝ่ายมาอย่างระมัดระวัง กระทั่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้ที่กว่าจะแน่ใจในตัวตนที่แท้จริงของเจ้าได้อย่างไม่ง่ายนัก มิน่าเล่าถึงได้มีคนบอกว่าเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว มีชีวิตอยู่รอดในถ้ำสวรรค์หลีจูได้ไม่น่ากลัว กลายเป็นอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่น่ากลัว กลายเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ก็ยังคงไม่น่ากลัว เรื่องเดียวที่น่ากลัวก็คือ เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีปเดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นเฉินผิงอันแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไร? ชะตาชีวิต? โชควาสนา? บุญกุศล? สมอง? นิสัย? ดูเหมือนว่าทุกเรื่องทับซ้อนเข้าด้วยกัน ไม่มีจุดใดที่มีข้อผิดพลาด ถึงได้กลายมาเป็นเจ้าอย่างในทุกวันนี้ได้ เฉินผิงอัน เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเลื่อนจากขอบเขตยอดเขาเป็นขอบเขตปลายทาง? ก่อนหน้านี้ก็แค่แสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น อิ่นกวานอันดับที่สิบเอ็ดบนกระดานนั่น บอกไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า การที่ข้ามีความอดทนเช่นนี้กับเจ้า ก็เพราะหวังจากใจจริงว่านับแต่วันนี้ไป ข้าจะสามารถเรียกเจ้าว่าสหายเฉิน เจ้าเรียกข้าว่าสหายหัน ล้วนเป็นถ้อยคำจริงใจที่ออกมาจากใจจริง ยิ่งเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันอย่างสมชื่อ วางใจได้เลย ด้วยสติปัญญาและฐานะของเจ้า ไม่ต้องใช้เวลานานนัก ข้าก็จะต้องเรียกเจ้าว่าผู้อาวุโสเฉินหรือไม่ก็เซียนกระบี่ใหญ่เฉินด้วยความจริงใจแล้ว”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “สหายหันไม่เคยคิดบ้างหรือว่าหากตกลงกันไม่ได้ หากปล่อยให้ข้าหนีไปได้อีกครั้งจะทำอย่างไร? หรือเจ้าไม่ยิ่งควรรู้ว่า ข้าสามารถมีชีวิตรอดกลับมายังใต้หล้าไพศาลได้ก็คือหนึ่งในหมื่น? ในสายตาของคนนอกอย่างพวกเจ้า ชั่วชีวิตนี้ข้าคือคนที่ถนัดหลบเลี่ยงหนึ่งในหมื่นนั้นมากที่สุด ขณะเดียวกันก็กลายเป็นหนึ่งในหมื่นของบางเรื่องราวด้วย?”
——