กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 752.3 หมัดของขอบเขตสิบเอ็ด
หันอวี้ซู่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนบนภูเขาย่อมต้องมีมรรคกถามาคอยรับรองดูแลใต้เท้าอิ่นกวานเอง จะไม่ปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดได้เด็ดขาด ก็แค่จ่ายเงินฟาดเคราะห์เพื่อป้องกันหนึ่งในหมื่นเท่านั้นเอง ใต้เท้าอิ่นกวานที่อายุน้อยๆ ก็ได้เลื่อนขั้นอยู่ในตำแหน่งสูงคงไม่ได้รู้สึกว่าใต้หล้านี้มีเพียงตนเองเท่านั้นที่ถึงจะไปมาหาสู่กับ ‘หนึ่งในหมื่น’ ได้กระมัง?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า แต่กลับพูดนอกเรื่องไปว่า “คราวก่อนข้ากลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังบ้านเกิด เคยมีสหายคนหนึ่งที่ดื่มเหล้าจนเมามายจึงเอ่ยถ้อยคำของคนเมา เพียงแต่ว่าตอนนั้นสหายทั้งสองของข้าคออ่อน คนหนึ่งพูดไปแล้วก็คงจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรไป อีกคนหนึ่งฟุบอยู่บนโต๊ะ นอนหลับส่งเสียงกรนครอกๆ เลยไม่ได้ยิน ตอนนั้นสหายคนนั้นของข้าบอกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่คือสถานที่ที่แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน คือบ้านเกิดแห่งการแก้แค้น ย่อมไม่ใช่สถานที่ที่จะซุกซ่อนความสกปรกเอาไว้ได้”
หันอวี้ซู่หัวเราะหยัน “ความนัยของอิ่นกวานก็คือไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกันแล้ว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ปากของสหายหันเต็มไปด้วยอาจม โชคดีที่พวกเราสองพี่น้องอยู่ห่างกันมาไกล มันถึงไม่ได้กระเด็นมาเลอะตัวข้า”
หันอวี้ซู่ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษหากข้าลงมือสังหารอย่างโหดเหี้ยม น่าเสียดายก็แต่กิจการบรรพบุรุษส่วนหนึ่งของสำนักว่านเหยา”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงได้แต่หาวิธีอื่นในการหยัดยืนตั้งสำนักแล้ว สังหารเฉินผิงอัน ภัยแฝงที่ทิ้งไว้เบื้องหลังมีมากเกินไป แผงลอยเละเทะเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคงได้แต่เก็บกวาดเอาช่วงปลายมาเท่านั้น ในอนาคตตนจะได้ผลัดเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ ปรากฏตัวบนโลกในบางทวีปของใต้หล้าไพศาลได้อีกครั้ง คุณความชอบในการสังหารอิ่นกวานก็จะถูกผลาญไปครึ่งหนึ่ง ส่วนสำนักว่านเหยาและพื้นที่มงคลสามภูเขาก็ไม่ต้องคิดให้มากความ อย่างน้อยที่สุดภายในระยะเวลาหลายร้อยปีก็คงได้แต่ปิดด่านแยกตัวออกจากทางโลกไปเท่านั้น
ระหว่างที่หันอวี้ซู่เอ่ยพูด นิ้วมือก็ขยับแกนม้วนภาพที่อยู่ด้านหลัง ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุดคลุมอาคมสะบัดพึ่บพั่บ เห็นได้ชัดว่าการกระทำนี้ของหันอวี้ซู่ ต่อให้เป็นขอบเขตเซียนเหริน ต่อให้ได้เป็นเทพเทวดาของฟ้าดินน้อยใหญ่สองแห่งนี้ ก็ยังคงไม่ได้ผ่อนคลายนัก
เพราะนี่คือวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่อย่างการทวนกระแสแม่น้ำแห่งกาลเวลา
หลังจากนี้ใต้เท้าอิ่นกวานที่เวลาผ่านไปนานหลายปีกว่าจะได้กลับคืนมายังใต้หล้าไพศาลคนนี้ก็จะต้องอยู่เพียงลำพัง อาศัยเรือนกายของผู้ฝึกยุทธและกระบี่บินสองเล่มมาเผชิญหน้ากับเซียนเหรินหนึ่งคนและขอบเขตบินทะยานครึ่งตัวแล้ว
ครู่หนึ่งต่อมาหันอวี้ซู่มองคนหนุ่มที่สีหน้าคล้ายจะมีความเลื่อนลอยอยู่เสี้ยวหนึ่ง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นซับซ้อน เยาว์วัย เยาว์วัยยิ่งนัก เยาว์วัยจนทำให้คนอื่นอิจฉา
กาลเวลาไหลย้อนกลับ คนทั้งสองกลับมายืนคุมเชิงในจุดที่ห่างกันไปไกลอีกครั้ง
คนหนุ่มผู้นั้นคล้ายจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงรีบยื่นมือมาทำท่าวักน้ำ แกว่งโชคชะตาน้ำกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในฝ่ามือเบาๆ ก้มหน้าลงจ้องมองนิ่งแล้วพลันเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างเดือดดาล “หันอวี้ซู่ เจ้าถึงกับสามารถเปลี่ยนแปลงแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้เชียวรึ? เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไร พูดอะไร?!”
ระมัดระวังตัวได้ดีจริงๆ สัมผัสถึงความผิดปกติได้ไวเพียงนี้
หันอวี้ซู่หัวเราะเยาะตอกคำพูดของอีกฝ่ายกลับคืนไป “เจ้าลองเดาดูสิ?”
เฉินผิงอันพลันหรี่ตาลง “ความนัยของสหายหันก็คือไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกันแล้ว?”
จิตใจของหันอวี้ซู่สั่นสะเทือน
“เซียนเหรินกระดาษเปียก ก็มีดีแค่นี้เอง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า มองเซียนเหรินผู้นั้นด้วยสายตาเวทนา “เทียบกับฝีมือของมหาสมุทรความรู้โจวมี่แล้วไม่ได้ห่างกันแค่หนึ่งแสนแปดพันลี้เท่านั้น ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่ดีๆ แห่งหนึ่ง”
นาทีถัดมาหันอวี้ซู่ก็เข้ามาอยู่ในตราผนึกฟ้าดินสองชั้นเช่นเดียวกัน ชั้นหนึ่งคือฟ้าดินเล็กปราณกระบี่ หันอวี้ซู่ไม่มีเวลามามัวตกตะลึงแล้ว เพราะเพียงชั่วพริบตานั้นหันอวี้ซู่ก็ถูกคนหนุ่มผู้นี้ตอบโต้กลับคืน ขอบเขตเซียนเหรินผู้ยิ่งใหญ่ถึงขั้นถูกกระชากดึงดวงจิตเสี้ยวหนึ่งออกไป ถูกกระชากพาไปยังนอกยอดเขาแห่งหนึ่งอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ส่วนดวงจิตดวงหนึ่งของเฉินผิงอันที่ทิ้งไว้ที่นี่ตลอดเวลา หลังจากร่างจริงพาหันอวี้ซู่มาถึงที่แห่งนี้แล้วก็ทำท่าราวกับว่าหลงกลใครบางคน รีบพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งไล่ฆ่า จึงได้แต่เผ่นหนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น แต่กลับโดนหมัดหนึ่งต่อยแสกหน้าจึงกระเด็นออกไปนอกฟ้าดิน
หันอวี้ซู่รู้ว่าแย่แล้ว จากนั้นก็ได้แต่รู้สึกราวกับว่าน้ำหนักของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลกดทับลงมาบนร่างของตนคนเดียว ได้ยินแต่เสียงเปี่ยมพลานุภาพดั่งเสียงลั่นระฆังใหญ่ที่กึกก้องไปทั่วฟ้าดิน สั่นสะเทือนดวงจิตเสี้ยวนั้นของหันอวี้ซู่และจิตวิญญาณทั้งหมดที่อยู่นอกดวงจิตให้แหลกลาญ โอสถทอง ก่อกำเนิดที่อยู่นอกฟ้าดินล้วนสลายกลายเป็นผุยผงพร้อมกัน เหลือเพียงเนื้อหนังมังสาที่เป็นโครงกระดูกเดินได้เท่านั้น
ในช่วงเวลาที่ใกล้จะตาย เซียนเหรินหันอวี้ซู่ได้ยินเพียงประโยคสุดท้ายในชีวิตนี้ว่า “มดปลวกตัวน้อย แล้วยังโง่เขลา”
ท่ามกลางฟ้าดินของม้วนภาพ เฉินผิงอันที่ถูกหนึ่งหมัดต่อยจนเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ถูกต่อยจนหัวเกือบแยก หลังจากที่พยายามฝืนดวงจิตหยัดยืนให้มั่นคงแล้วก็เห็นกับตาตัวเองว่าด้านในนกในกรงกระบี่บินของตน บนร่างของ ‘หันอวี้ซู่’ มีเส้นยาวๆ หลายเส้นที่พลันขาดผึงแล้วสลายหายไปในเสี้ยววินาที ถึงกับถูกบุคคลที่อยู่บนยอดเขาผู้นั้นใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ผลกรรมและชะตาชีวิตทั้งร่างของเซียนเหรินหันอวี้ซู่สลายไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ? พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ในใจเฉินผิงอันก็เกิดความมั่นใจแล้วว่า สามารถเอาเงินไม่เอาชีวิตได้แล้ว ไม่มีเวลามามัวเช็ดคราบเลือด รีบยื่นมือออกไปคว้า กำแกนภาพสองแกนที่ไหลลื่นหลุดจากมือของ ‘หันอวี้ซู่’ เอาไว้แน่น สองมือซ้ายขวาปาดออกไปข้างละที คลี่ม้วนภาพออก อยู่ห่างกันประมาณร้อยกว่าจั้ง จากนั้นเฉินผิงอันก็อิงตามวิชาที่อยู่ในบันทึกลับทั้งหมดของคฤหาสน์หลบร้อน รวมไปถึงประสบการณ์ความเข้าใจด้านสายยันต์บางส่วนจาก ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่ตนตั้งใจศึกษาอยู่บนหัวกำแพงเมืองมานานหลายปี บวกกับผลประโยชน์มหาศาลบนมหามรรคาจากยันต์สามภูเขาก่อนหน้านี้ เริ่มจัดการกับขุนเขาสายน้ำอย่างไม่คล่องมือเท่าใดนัก ขณะเดียวกันก็โคจรวัตถุแห่งชะตาชีวิตขุนเขาสายน้ำสองชิ้นของตน ด้านหนึ่งก็ช่วยงานสหายหัน รั้งการไหลเวียนของโชคชะตาในห้าขุนเขาและแม่น้ำลำคลองเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้พอม้วนภาพถูกเลิกออกมุมหนึ่งก็เท่ากับเผยพิรุธให้หันเจี้ยงซู่เห็น พลางสกัดดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินมาอย่างพอเหมาะพอควร นำมาใช้ชดเชยวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ ในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ ช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตและภูเขาทายาททั้งหมดล้วนเหมือนพื้นดินที่แห้งแล้งมานานได้เจอฝนรสหวาน ในที่สุดก็สามารถกินดื่มอิ่มหนำอย่างสำราญใจมื้อหนึ่งโดยไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดอีก
ถึงอย่างไรก็เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันร่ายวิธีการยิ่งใหญ่ของเซียนเหรินประเภทนี้ มือเท้าจึงยุ่งวุ่นวายอย่างมาก เขาพลันใช้ปลายเท้าตวัดเกี่ยวขึ้นมาเบาๆ หนึ่งที บังคับวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่กระเด็นออกมาจากในร่างของ ‘หันอวี้ซู่’ มาไว้ข้างกายตนเอง คือดาบอาคมชิงเสียที่เกือบจะฟันหัวตัวเองขาดเล่มนั้น ถูกเฉินผิงอันเก็บไว้ในชายแขนเสื้อของชุดคลุมอาคมทันที มือสองข้างถึงได้ว่างลง มีเรื่องให้ต้องทำอีกแล้ว แขนข้างหนึ่งยื่นออกไปบังคับยันต์ภูเขาบรรพบุรุษแผ่นหนึ่งที่คิดจะหลอมรวมตัวเองเข้ามาอยู่ในขุนเขาสายน้ำของม้วนภาพโดยอัตโนมัติให้มาเก็บอยู่ในจักรวาลชายแขนเสื้อของชุดคลุมอาคมอย่างรวดเร็วเหมือนกับดาบอาคมชิงเสีย พวกคนบนเส้นทางเดียวกันบางส่วนของสหายหัน หากวันหน้าคิดอยากจะอนุมานสาเหตุการตายของหันอวี้ซู่ ระดมกำลังพลยกใหญ่เพื่ออนุมานหาความลับสวรรค์ เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาหากดวงจิตของพวกเขาจะบุกเข้ามาใน ‘ซากปรักฟ้าดิน’ บางแห่ง ก็เหมือนอย่างตอนที่อยู่ในสนามรบ โชคชะตาของกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างพัวพัน ปะปนกันจนแยกไม่ออก คิดจะพบตัวเฉินผิงอันที่แบกรับชื่อจริงเอาไว้ ไม่แน่ว่าท่ามกลางขั้นตอนของการสาวเส้นไหมหาเบาะแสอย่างต่อเนื่องก็คงจะ ‘มีเรื่องให้พูดคุย’ กับหลงจวิน ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ หรือแม้กระทั่งเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแล้ว…
โอ้โห ทรัพย์สมบัติของเซียนเหรินท่านนี้มีเยอะจริงๆ ยุ่งยิ่งนัก สมบัติอาคมกดทับมือหมดแล้ว!
การพบเจอที่ทำให้ผ้าห่อบุญเก็บของอย่างหูตาพร่าลายเช่นนี้ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับปีนั้นที่ประมือกับหลีเจินแล้วทำให้เขาต้อง ‘หยุดแต่พอสมควร’ อยู่มาก
น่าเสียดายวัตถุจื่อชื่อของเซียนเหริน เนื่องจากจิตวิญญาณ โอสถทองและก่อกำเนิดล้วนแหลกสลายไปหมดแล้ว แม้กระทั่งวัตถุแห่งชะตาชีวิตเจ็ดแปดชิ้นของเขาที่มีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์เรืองรอง ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดก็ยังไม่อาจรั้งเอาไว้ได้ ช่างเถิดๆ ถึงอย่างไรน้ำดีก็ไม่ควรไหลเข้านาคนอื่น ปล่อยให้สลายกลายเป็นปราณวิญญาณอยู่ในฟ้าดินม้วนภาพเหมือนกับภูเขาไท่ซานลูกนั้นก็แล้วกัน สุดท้ายเฉินผิงอันที่สองมือถือแกนม้วนภาพก็เตรียมจะเก็บฟ้าดินขุนเขาสายน้ำกลับคืนมา
ส่วนอวิ๋นตุนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หุ่นเชิดเป็นฝ่ายเข้าไปหลบซ่อนอยู่ภายใน ดาบอาคมชิงเสีย ยันต์ขุนเขาสายน้ำรากฐานของภูเขาบรรพบุรุษสำนักว่านเหยาสองแผ่น น้ำเต้าสีแดงเข้มที่บำรุงอัคคีสมาธิไว้…ล้วนอยู่ในชายแขนเสื้อของชุดคลุมอาคมเฉินผิงอันทั้งหมด เขายังไม่กล้าเอาใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ยิ่งไม่กล้าใส่ไว้ในกระบี่บินสืออู่ วิชาอภินิหารอย่างจักรวาลชายแขนเสื้อนี้ มีแล้วแต่ไม่ใช้เดี๋ยวก็จะเสียเปล่า ไม่เสียแรงที่เป็นวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตลำดับหนึ่งของร้านผ้าห่อบุญ
ไหล่ของเฉินผิงอันพลันเอียงไปข้างหนึ่ง เขาบ่นเบาๆ ชายแขนเสื้อหนักจริงๆ
แล้วก็อดเอ่ยด้วยความสะท้อนใจประโยคหนึ่งไม่ได้ เซียนเหรินกระดาษเปียกประเภทนี้ ยิ่งพบเจอมากก็ยิ่งดีนะ
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดบุคคลที่อยู่บนยอดเขาถึงต้องเก็บเนื้อหนังมังสาของหันอวี้ซู่เอาไว้
เฉินผิงอันไม่ต้องเดาก็รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ เป็นเพราะอีกฝ่ายได้ยินคำสัญญาหนึ่งหลังจากได้คำตอบนั้นไปแล้ว
แต่คำขอร้องของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ก็คือ ตนเองจะรับหมัดของขอบเขตสิบเอ็ด แน่นอนว่าจะตายไม่ได้ ทั้งไม่อาจตายภายใต้หมัดนั้น แล้วก็ห้ามถ่วงรั้งเวลาการสู้รบ จนทำให้ไปตายอยู่ในภายใต้เวทอาคมของหันอวี้ซู่ด้วย
บุคคลบนยอดเขาตอบรับเรื่องนี้
ไม่อย่างนั้นขอแค่ทางฝั่งของบนยอดเขามีใจปิดประตูไม่ต้อนรับแขก เกรงว่าต่อให้เฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานก็ยังไม่อาจนำดวงจิตเสี้ยวหนึ่งของหันอวี้ซู่ไปบนยอดเขาได้
ส่วนอะไรคือหนึ่งหมัดของขอบเขตสิบเอ็ด ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางแค่มองก็รู้ได้แล้ว เพราะหันอวี้ซู่ในเวลานี้ เดิมทีก็คือตำราหมัดบทหนึ่ง
เท่ากับว่าการกระทำเดียวของเฉินผิงอันได้ประโยชน์ถึงสองทาง
ทางฝั่งของภูเขาไท่ผิง ขณะที่เจียงซ่างเจินกำลังจะลุกขึ้นยืนก็ได้ยินเสียงในใจเสียงหนึ่ง เขารีบนั่งกลับลงไปเหมือนเดิมทันที ดีดนิ้วหนึ่งครั้งเพราะฟังคำสั่งจากเจ้าขุนเขาผู้ขี้เหนียว เอ่อ…ผู้เฉลียวฉลาดเก่งกาจ ปลุกให้หันเจี้ยงซู่ตื่น จากนั้นเขาเองก็ไม่รีบร้อนจะพูดคุยอะไรกับนาง
ต่อมาเจียงซ่างเจินก็กักจิตวิญญาณของเทพทวารบาลเซียนดินทั้งสองตนเอาไว้ คำพูดบางอย่างของคนกันเองที่ต้องพูดในห้องส่วนตัวซึ่งจะเอ่ยกับพี่หญิงเจี้ยงซู่ หากปล่อยให้บุรุษหยาบกระด้างสองคนได้ยินเข้า จะไม่เป็นการทำลายบรรยากาศแย่หรอกหรือ
ครู่หนึ่งต่อมา
หันเจี้ยงซู่ที่ไม่ถูกพันธนาการสามารถขยับตัวเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่นางกลับยังไม่กล้าขยับไปไหน ในใจยิ่งเป็นกังวล หลังจากลุกขึ้นยืน นางที่หันหลังให้กับภูเขาไท่ผิงก็ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ระหว่างเซียนเหรินกับเซียนกระบี่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เรือนกายถือดาบของคนผู้หนึ่งก็แหวกฝ่าตราผนึกฟ้าดินบนม่านฟ้าลงมาเป็นเส้นตรง ร่างทั้งร่างกระแทกลงพื้นดินอย่างรุนแรง พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่ดุจวัวดินพลิกตัว เป็นเหตุให้ดาบแคบในมือของคนผู้นั้นหล่นไปยังที่แห่งอื่น
หันเจี้ยงซู่รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพียงแต่ว่าเสียงในใจกลับหล่นลงบนความว่างเปล่า ไม่อาจหาตัวบิดาของนางได้พบ
เจียงซ่างเจินรีบลุกขึ้นยืนทันที ใบหลิวท่อนหนึ่งหยุดลอยอยู่ใกล้หลุมใหญ่ ประหนึ่งคอยปกป้องมรรคา
คนชุดเขียวที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดเดินโซซัดโซเซออกมาจากหลุมใหญ่ เก็บดาบแคบพิฆาตลงไป ยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าของตัวเองลวกๆ ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง หดย่อขุนเขาสายน้ำมายังหน้าประตูภูเขาโดยตรง
เจียงซ่างเจินถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หันอวี้ซู่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจตัดใจให้ภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงนั้นกลายเป็นเพียงซากปรักขุนเขาสายน้ำอย่างสิ้นเชิงได้ ไม่อย่างนั้นคงต้องต่อสู้กันยาวกว่านี้”
เจียงซ่างเจินผงกศีรษะรับ ถามต่อว่า “แล้วตัวเขาล่ะ?”
อันที่จริงในใจของเจียงซ่างเจินประหลาดใจอย่างยิ่ง กระบวนท่าที่กระเด็นออกมาจาก ‘ฟ้าดินม้วนภาพ’ นั้น เกินครึ่งน่าจะเป็นวิธีปิดงานที่เฉินผิงอันเล่นงานตัวเองเสียมากกว่า นี่หมายความว่าหันอวี้ซู่ย่อมไม่ทางได้เปรียบใดๆ แต่อาการบาดเจ็บสาหัสบนศีรษะของเฉินผิงอัน รวมไปถึงช่องโพรงลมปราณใหญ่แต่ละแห่งทั่วร่างของผู้ฝึกลมปราณที่สั่นสะท้านไม่หยุด ไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้แน่นอน เจ้าขุนเขาเฉินของพวกเขาบาดเจ็บไม่เบาจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเหตุใดหันอวี้ซู่ถึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียเล่า? หากจะบอกว่าเฉินผิงอันสังหารคนผู้นี้ เจียงซ่างเจินก็ไม่กล้าเชื่อจริงๆ ตามหลักแล้ว เรียกภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงซึ่งเป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาออกมา ก็เท่ากับว่าหันอวี้ซู่อยู่ในสถานะที่มิพ่ายแล้ว
มารดามันเถอะ เจียงซ่างเจินผู้นี้ฝีมือการแสดงใช้ได้เลยจริงๆ ปีนั้นตนถูกผีบดบังจิตใจหรืออย่างไรถึงได้ยอมตอบตกลงให้เขาเข้ามาเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว? ง่ายที่จะทำลายขนบธรรมเนียมอันบริสุทธิ์ของภูเขาลั่วพั่วข้าเสียจริง
วันหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉาฉิงหล่างยิ่งต้องให้อยู่ห่างเขาไกลๆ หน่อย
เฉินผิงอันหันหน้าไปถ่มเลือดคำหนึ่งลงพื้น กำลังจะอ้าปากพูดก็ต้องยื่นมือกุมขมับ ด่ามารดาไปคำหนึ่ง สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งที ยันต์หลายแผ่นพากันพุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ไปโอบล้อมโคจรอยู่รอบกายหันเจี้ยงซู่อย่างเชื่องช้า ขุนเขาสายน้ำขมุกขมัว ทำให้หันเจี้ยงซู่ยังไม่อาจมองเห็นภาพบรรยากาศและได้ยินบทสนทนาตรงหน้าประตูภูเขาได้ชัด หากนางกล้าร่ายใช้วิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือภายใต้เปลือกตาของเซียนกระบี่สองคน บางทีผู้อาวุโสเซียนกระบี่แซ่เฉินก็อาจจะไม่ถือสาที่จะเอาหัวของนางมาเป็นเหยื่อล่อ
เฉินผิงอันนั่งลงบนขั้นบันได เอ่ยเสียงเบาว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงเขา ข้าจะต้องรีบรักษาอาการบาดเจ็บก่อน หากไม่เป็นเพราะมีเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ วันนี้ก็ถือว่าล้มคะเมนหัวทิ่มแล้ว สำนักว่านเหยาชาติสุนัข เซียนเหรินหันอวี้ซู่ ข้าจดจำเขาได้ขึ้นใจแล้ว! มีความเป็นไปได้ว่าหันอวี้ซู่จะไปซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด เจ้าสำนักเจียงเจ้าช่วยดูให้ข้าหน่อย หากจัดการเขาได้ก็จัดการซะ วันหน้าบัญชีเละเทะครั้งนี้เจ้าก็มาคิดลงบนหัวข้าแล้วกัน เขาเป็นถึงบรรพจารย์ของสำนักว่านเหยาแล้ว แต่เต้าเหย่ (คำเรียกแทนตัวผู้ฝึกตนที่ได้รับความเคารพ) อย่างข้าก็มีที่พึ่งเหมือนกัน ผู้อาวุโสในสำนักไม่ได้มีแค่คนเดียว! คราวก่อนไหวเฉียนสหายรักไปเกิดเรื่องที่อุตรกุรุทวีป ข้ายังหัวเราะเยาะว่าเขาไม่ระวังตัวให้ดี มารดามันเถอะ ผลกลับกลายเป็นว่าครั้งนี้ถึงคราวข้าบ้างแล้ว ทางศาลบรรพจารย์เกือบจะต้องจุดตะเกียงแห่งชะตาชีวิตของข้าเหมือนกันแล้ว สรุปก็คือเรื่องครั้งนี้ไม่มีทางจบง่ายๆ แน่!”
เจียงซ่างเจินรู้สึกนับถือจริงๆ
คำพูดคำจาและสีหน้าท่าทางของเจ้าขุนเขาบ้านตนช่างเหมือนเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลสำนักใหญ่ที่ได้รับความอยุติธรรมมาอย่างเต็มกลืนจริงๆ
คงเป็นเพราะเจ้าขุนเขาหนุ่มพบเจอกับคนประเภทนี้บ่อยกระมัง? ดังนั้นถึงได้เลียนแบบได้เหมือนจริงขนาดนี้?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวว่า ‘เต้าเหย่’ ที่ซ่อนอยู่ในประโยคที่ยิ่งเป็นการแต้มนัยน์ตามังกร
เจียงซ่างเจินพลันทำท่าปาดคอ เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่สู้?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ไม่คิดจะมองหันเจี้ยงซู่แม้แต่หางตา ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ยังไม่ต้องรีบฉีกหน้าแตกหักกับสำนักว่านเหยา ใครทำคนนั้นก็ต้องรับเอง ข้าจะปล่อยให้เจ้าสำนักเจียงเดือดร้อนถูกลากมาติดร่างแหด้วยไม่ได้ รอไปก่อนเถอะ วันหน้าเต้าเหย่อย่างข้าย่อมต้องมีวิธี ยังไม่ต้องปล่อยกระบี่ แค่เดินอาดๆ ไปเยือนพื้นที่มงคลสามภูเขาก็สามารถทำให้พวกเขาพ่อลูกโขกหัวยอมรับผิดแต่โดยดีได้แล้ว”
แม้ปากจะพูดไปไม่หยุด แต่แท้จริงแล้วเฉินผิงอันกลับใช้เสียงในใจพูดคุยกับเจียงซ่างเจินตลอดเวลา เป็นการพูดคุยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายอย่างยิ่ง แต่ทุกคำพูดล้วนทำให้ทะเลสาบหัวใจของเจียงซ่างเจินเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมได้ทั้งสิ้น
“หันอวี้ซู่ตายแล้ว ตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว สมบัติหนักตระกูลเซียนส่วนใหญ่ล้วนถูกข้าเก็บมาไว้ในกระเป๋าของตัวเองหมดแล้ว”
“ข้าไม่ใช่คนสังหารเขาเองกับมือ ทำไม่ได้จริงๆ เว้นเสียจากว่ายอมให้ขอบเขตถดถอยแล้วแลกชีวิตกับเขาถึงจะพอมีโอกาสอยู่บ้าง การที่สามารถสังหารเขาได้เป็นความบังเอิญ รายละเอียดไม่สะดวกจะพูดมาก บอกเจ้าได้แค่เรื่องเดียวว่า เป็นครั้งแรกที่ข้าพาคนอื่นร่วมเดินถอยหลังอยู่ในม้วนภาพแห่งกาลเวลาด้วยกัน นอกจากนี้ยังถูก…ครึ่งหมัดที่เทียบได้กับหมัดของขอบเขตสิบเอ็ดกระมัง ดังนั้นจึงบาดเจ็บไม่เบา บาดแผลเป็นของจริง แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ถือว่าเป็นเรื่องดี”