กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 752.4 หมัดของขอบเขตสิบเอ็ด
“การเดินทางหวนกลับมายังจุดเดิมครั้งนั้นเลียบทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลาขึ้นไป นี่ยังเป็นแค่การเดินตามเส้นทางเดิมที่ยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ และพาดวงจิตของหันอวี้ซู่ไปแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นด้วย แต่กลับทำให้ข้าเกือบจะรักษาสมาธิจิตใจไว้ไม่ได้เสียแล้ว เรื่องแบบนี้ ก่อนจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานก็…ถ้าไม่ต้องทำก็อย่าทำดีกว่า การตายของหันอวี้ซู่ต้องปิดบังอำพรางไว้ให้ลึก หากข้าไม่กล้าพูดให้ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลฟังก็จะไม่มีใครได้รู้เรื่องนี้ แต่ช่วงนี้ต้องยังไม่มีใครสัมผัสได้อย่างแน่นอน ฟ้าดินเล็กสองชั้นของหันอวี้ซู่เอง บวกกับวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มหนึ่งของข้าที่เป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง มากพอจะอำพรางความลับใหญ่นี้ไปได้นานหลายปีแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้ายังมีของขวัญพบหน้าที่ไม่เล็กอีกชิ้นหนึ่ง รอคอยให้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนใดของฝ่ายตรงข้ามมารับไปยามที่มาเยือน ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้ความลับยามใด ข้าล้วนสัมผัสได้ จะดีจะชั่วก็พอรู้ได้คร่าวๆ และช่วงเวลานั้นก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายควรมาพบหน้าพูดคุยกันได้แล้ว”
หยางผู่พลันเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ผู้อาวุโสทั้งสองท่าน หันเจี้ยงซู่ผู้นั้นคล้ายจะกำลังแอบฟังบทสนาของพวกท่าน”
เพราะเซียนกระบี่ผู้อาวุโสเฉินบาดเจ็บสาหัสเกินไป จึงไม่ได้ใช้เสียงในใจพูดคุยกับเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียง ดังนั้นหยางผู่จึงสังเกตเห็นว่าหันเจี้ยงซู่ผู้นั้นเพ่งสายตามองมาทางนี้อยู่ตลอดเวลา อาศัยการขยับริมฝีปากของผู้อาวุโสทั้งสองท่านมาวิเคราะห์เนื้อหาคร่าวๆ ที่พวกเขาพูดคุยกัน
เฉินผิงอันรีบหันหน้าไปจ้องมองหันเจี้ยงซู่ทันที
ส่วนเจียงซ่างเจินก็ไม่ต้องรอให้เฉินผิงอันเอ่ยมากความ เขาก็กุมหมัดยิ้มเอ่ยกับจุดหนึ่งบนม่านฟ้า “เจ้าสำนักหันจะจากไปแล้วหรือ? ไม่พาพี่หญิงเจี้ยงซู่ไปด้วยหรือไร? สตรีที่งดงามปานบุปผาปานหยกเช่นนี้ ตกอยู่ในกำมือของข้าผู้แซ่เจียงก็น่าเป็นกังวลเรื่องชื่อเสียงนะ ไม่สู้เจ้าสำนักหันกลับยอดเขาเสินจ้วนไปพร้อมข้าและสหายเฉินดีไหม? ความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง หากพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาก็เข้าใจกันได้แล้ว”
ระหว่างการพูดคุยด้วยรอยยิ้มอย่างผ่อนคลายของคนทั้งสอง ก็คือการตัดสินเรื่องที่ว่าพื้นที่มงคลสามขุนเขาและสำนักว่านเหยาจะอยู่หรือจะล่มสลาย
เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่เคยคิดถึงภาพเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่อันที่จริงเจียงซ่างเจินกลับเคยคิด เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้
หันเจี้ยงซู่เอ่ยเสียงหนัก “ข้าอยู่ที่นี่ก็ได้ ไปเยือนยอดเขาเสินจ้วนเป็นเพื่อนอดีตเจ้าสำนักเจียงสักครั้ง ก็ใช่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร”
ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่านางพูดกับหันอวี้ซู่
แม้ว่าหันเจี้ยงซู่จะยังคงสัมผัสไม่ได้ถึงร่องรอยของบิดา แต่หันเจี้ยงซู่ก็ไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด หากตนสามารถตามหาเบาะแสของเซียนเหรินคนหนึ่งได้ ก็ย่อมหมายความว่าเซียนกระบี่สองคนที่อยู่บนขั้นบันได มีแต่จะตามหาบิดาของนางได้เร็วกว่าตัวนางเอง คนอย่างเจียงซ่างเจินผู้นี้ หากเสียสติขึ้นมา ใครบ้างที่เขาไม่กล้าสังหาร? คิดดูแล้วนี่ต่างหากจึงจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่บิดายอมออมมือต่อเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าผู้นั้น หมาบ้าตัวใหญ่สุดของใบถงทวีปตัวนี้ ไม่ว่าใครก็ล้วนกล้ากัดไปหมด! ในช่วงต้นและช่วงท้ายของสงครามใหญ่ ลำพังเพียงแค่ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่เจียงซ่างเจินประมือด้วยก็มีเฟยเฟย หยวนโส่ว รวมไปถึงเซียนกระบี่โซ่วเฉินที่เข้ารับตำแหน่งบัลลังก์ราชาแทน นอกจากนี้ยังมีปีศาจใหญ่ฉงกวงที่คุมเชิงอยู่บนและล่างภูเขามานานหลายปี ปีศาจใหญ่ตนนี้ก็ได้รับเกียรติเลื่อนขั้นสู่บัลลังก์สูงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในช่วงท้ายของสงครามเช่นเดียวกัน
เรื่องที่ทำให้หันเจี้ยงซู่กริ่งเกรงอย่างแท้จริงก็คือถ้อยคำที่เซียนกระบี่ลัทธิเต๋าคนนี้พูดหลังจากที่สงครามใหญ่ของวันนี้ปิดฉากลง นั่นคือเลือกจะเรียกเจียงซ่างเจินว่า ‘เจ้าสำนักเจียง’ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินเองก็พร่ำเรียกอีกฝ่ายว่าสหายของข้า พี่น้องของข้า นี่เป็นปัญหายุ่งยากกว่าคำเรียกแทนตัวว่า ‘เต้าเหย่’ เสียอีก เพราะเห็นได้ชัดว่าคำพูดหนึ่งบอกให้เห็นถึงความห่างเหิน อีกคำพูดหนึ่งกลับแสดงถึงการประจบสอพลอ นี่จึงหมายความว่าสำนักที่เซียนกระบี่ลัทธิเต๋าแซ่เฉินคนนี้อยู่ จะต้องยิ่งใหญ่น่าเกรงขามมากกว่าสำนักกุยหยกเสียอีก…เพียงแต่ว่าภูเขาลั่วพั่ว? เฉินผิงอัน?
หันเจี้ยงซู่พลันหมดสติไปอีกครั้ง ถูกบีบให้ต้องเข้าไปอยู่ในสภาพการณ์ที่ลี้ลับมหัศจรรย์ซึ่งทั้งร่างกายและจิตใจต่างก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
เจียงซ่างเจินที่ถูกเรียกขานว่าหนึ่งใบหลิวสังหารเซียนเหริน วิชาอภินิหารไม่ได้มีแค่การเข่นฆ่าเอาชีวิตเท่านั้น แต่มีความลี้ลับมหัศจรรย์มากมายนับไม่ถ้วน น่าเสียดายก็แต่คนที่เป็นศัตรูกับเจียงซ่างเจิน ส่วนใหญ่มักจะมิอาจเปิดปากอธิบายให้คนอื่นฟังถึงความแปลกพิสดารของใบหลิวนั้นได้แล้ว
เหตุใดเจียงซ่างเจินถึงได้กริ่งเกรงเจ้านครแห่งนครจักรพรรดิขาวถึงเพียงนี้ ระดับความกริ่งเกรงยังถึงขั้นเหนือกว่าเทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์อีกด้วย? แน่นอนว่าเป็นเพราะในบางเรื่องราว เจียงซ่างเจินกับเจิ้งจวีจงก็คือคนบนเส้นทางเดียวกัน อีกทั้งเจียงซ่างเจินยังยอมรับว่าฝีมือตัวเองสู้คนเขาไม่ได้ เป็นผู้เยาว์ของอีกฝ่าย
กักความคิดและจิตวิญญาณของหันเจี้ยงซู่เอาไว้ก่อนโดยพลการ จากนั้นเจียงซ่างเจินถึงได้ใช้เสียงในใจพูดว่า “คำกล่าวที่ว่าภูเขาลั่วพั่วและเฉินผิงอันนี้ ได้พูดออกจากปากไปแล้ว หันเจี้ยงซู่แม้จะโง่ไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้โง่จนถึงขั้นไร้ทางเยียวยาจริงๆ หลังจากนี้ย่อมต้องขบคิดได้อย่างแน่นอน นี่จึงเป็นปัญหาอยู่บ้าง ให้ข้าช่วยจัดการให้เจ้าดีไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะ? รอประโยคนี้ของเจ้าอยู่พอดี หากทำสำเร็จ ตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งก็สามารถปรึกษากันได้”
เจียงซ่างเจินกล่าว “เจ้าคือเจ้าขุนเขา ใครจะมาเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งก็เป็นแค่เรื่องของคำพูดประโยคเดียวไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันอดด่าขำๆ ไม่ไหว “ผายลมเจ้าน่ะสิ ภูเขาลั่วพั่วของข้าหาใช่ว่าข้ามีสิทธิ์ออกเสียงเพียงคนเดียวสักหน่อย”
เจียงซ่างเจินโยนเหล้าไปให้หนึ่งกา “ฉวยโอกาสตอนที่พี่หญิงเจี้ยงซู่ยังนอนหลับฝันหวาน พวกเรามาดื่มเหล้ากันสักกาก่อน”
คู่พ่อลูกห้าขอบเขตบนอย่างหันอวี้ซู่ หันเจี้ยงซู่นี้ ได้มาเจอกับคู่เจ้าขุนเขาผู้ถวายงานอย่างเฉินผิงอันและเจียงซ่างเจิน ก็คงต้องบอกว่า…ออกจากบ้านไม่ได้จุดธูป ไม่ได้พลิกเปิดปฏิทินเหลืองดูก่อนจริงๆ
ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า ฝึกตนบนภูเขาต้องฝึกอบรมจิตใจด้วย ประสบการณ์ในโลกโลกีย์จะมีน้อยไม่ได้
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “การที่สังหารหันอวี้ซู่ เพราะข้ามีเหตุผล ไม่ได้เรียบง่ายแค่เพราะสำนักว่านเหยาคิดจะแตะต้องภูเขาไท่ผิงเท่านั้น”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ทำตัวห่างเหินแล้วใช่ไหม? นี่ไม่ทำให้เสียความรู้สึกกันหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันตบแขนเจียงซ่างเจิน แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร
เจียงซ่างเจินเองก็ตบหลังมือของเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจียงซ่างเจินยังต้องให้คนมาสงสารด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็น่าสงสารเกินไปแล้ว ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วเริ่มดื่มเหล้า
หนึ่งใบหลิวสังหารเซียนเหริน
ทุกวันนี้เหลือแค่ใบหลิวส่วนหนึ่งเท่านั้น
ในอดีตเจียงซ่างเจินจงใจกดขอบเขตไว้ที่คอขวดหยกดิบนานหลายปี ก็เพราะหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกตาเฒ่าสวินใช้เหตุผลผายลมสุนัขอย่างคนมากความสามารถก็ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นลากคนหนุ่มแน่นอย่างเขาไปใช้แรงงาน หากจะพูดกันถึงคุณสมบัติในการฝึกตน เจียงซ่างเจินก็มีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมจริงๆ ไม่อย่างนั้นตอนที่อายุยังน้อยก็คงไม่ถูกมองว่าเป็นว่าที่เจ้าขุนเขาของยอดเขาจิ่วอี้แล้ว ไม่อย่างนั้นหากสุดท้ายแล้วเจียงซ่างเจินไม่อาจเป็นเจ้าของยอดเขาจิ่วอี้ได้ก็ย่อมต้องมีคนมากมายที่สมน้ำหน้า
เหตุผลก็เรียบง่ายมาก หากไม่มีคุณสมบัติมากพอจะได้ครอบครองยอดเขาเสินจ้วน คนนอกสมน้ำหน้าจะมีความหมายที่ตรงใด? ก็เพราะว่าเป็ดที่ต้มสุกแล้วยังบินได้ เจียงซ่างเจินที่ราวกับในมือถือตะเกียบนั่งอยู่ข้างโต๊ะมานานหลายปี นั่นต่างหากถึงสมควรจะถูกหัวเราะเยาะ
แต่อันที่จริงวิธีการควบคุมคนของสวินยวนกลับดีเยี่ยมยิ่งกว่า ทว่าเขากลับโปรดปรานเจียงซ่างเจินที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงผู้เดียว ถึงขั้นปล่อยให้พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเป็นดั่งดินแดนที่แยกตัวเป็นอิสระ ต่อให้เหวยอิ๋งได้เป็นเจ้าสำนักคนถัดมาแล้วก็ยังเคารพหวาดเกรงเจียงซ่างเจินอยู่ดังเดิม ไม่ใช่แค่เพราะว่าจนถึงตอนนี้หากเหวยอิ๋งคิดตั้งตัวเป็นศัตรูกับเจียงซ่างเจิน โอกาสชนะก็ยังน้อยมากอยู่ดี แต่เป็นเพราะการกระทำทุกอย่างของเจียงซ่างเจิน ถูกเหวยอิ๋งมองด้วยความอิจฉาและนับถือเลื่อมใสจากใจจริงมาโดยตลอด ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เหวยอิ๋งรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักเจินจิ้ง ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอย่างหลิวเหล่าเฉิง พอสวินยวนลาจากโลกนี้ไป คนที่สามารถทำให้เซียนเหรินที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระหวาดเกรงจากใจจริง ก็มีแต่เจียงซ่างเจิน เจ้าสำนักเจินจิ้งคนแรกที่มาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนราวกับมาเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้ำผู้นั้น เหวยอิ๋งรู้ดีอยู่แก่ใจว่า ขอแค่เจียงซ่างเจินยังคงเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักกุยหยก ต่อให้แม้แต่เก้าอี้เจ้าของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาก็ยังมอบออกไปพร้อมกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นสำนักกุยหยกในใบถงทวีป หรือสำนักเจินจิ้งสำนักเบื้องล่างที่อยู่ไกลถึงแจกันสมบัติทวีปก็ยังไม่มีใครกล้าก่อกบฏ แม้แต่ความคิดที่จะทำเช่นนั้นก็ยังไม่กล้ามี นับตั้งแต่หลิวเหล่าเฉิงไปจนถึงหลิวจื้อเม่า แล้วจึงมาถึงหลี่ฝูฉวี ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น
การที่เหวยอิ๋งไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อยกับเรื่องนี้ เหตุผลมีเพียงข้อเดียว เพราะเหวยอิ๋งมองขอบเขตบินทะยานเป็นของในกระเป๋าของตัวเองมานานแล้ว ไม่ใช่ความทะเยอทะยาน แต่เป็นความจริง
เจียงซ่างเจินผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นความคิด คำพูดการกระทำ มาดของเซียนซือ วิธีการหาเงิน นิสัยการใช้เงิน รวมไปถึงการตัดสินใจเรื่องใหญ่ที่สำคัญในช่วงเวลาคับขันทุกช่วง ล้วน…ล่องลอยเกินไป
ในช่วงเวลาที่การศึกของสำนักกำลังอยู่ในช่วงดุเดือดอันตราย เจียงซ่างเจินใช้เวทลับที่ไม่แพร่งพรายบทหนึ่งของสำนักกุยหยก ละเมิดกฎข้อห้ามใหญ่ ฝืนใช้มันมาเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน
วิธีการพอๆ กับอดีตเจ้าสำนักใบถง จุดจบก็คล้ายคลึงกัน ล้วนถือเป็นการเลื่อนขอบเขตแบบฝืนธรรมชาติ ค่าตอบแทนจึงมหาศาล สะพานแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนที่เดิมทีมั่นคงอย่างถึงที่สุด หลังจากขอบเขตถดถอยก็คล้ายเป็นเส้นทางที่หัวสะพานขาดลงอย่างสิ้นเชิง การฝึกตนต่อจากนี้ก็คือการเดินไปยังเส้นทางหัวขาดแล้ววนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ที่เดิม ราวกับว่าห่างจากขอบเขตบินทะยานแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่กลับเป็นร่องปราการใหญ่ที่ชีวิตนี้ยากจะก้าวข้ามผ่านมันไปได้อีก
ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ใหญ่มั่นคง เจียงซ่างเจินจึงถอนตัวออกมาได้สำเร็จ น้อยครั้งนักที่จะปรากฏตัวในสำนักกุยหยก หนึ่งเพราะเจียงซ่างเจินจำเป็นต้องปิดด่านรักษาอาการบาดเจ็บจริงๆ นอกจากนี้ก็เหมือนอย่างที่เจียงซ่างเจินเคยเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่าให้เป็นหมาเฝ้าบ้านนานสามปียังรังเกียจ สถานการณ์ของใบถงทวีปทุกวันนี้วุ่นวายอย่างมาก ไม่เหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ทั้งสองฝ่ายแสดงสถานะชัดเจน ม้วนชายแขนเสื้อแล้วก็ต่อยตีกันเอาเป็นเอาตายเช่นนั้น แต่กลายเป็นว่าเมื่อคลื่นมรสุมสงบลง พวกคนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ ภายนอกเมื่อกลับมาพบหน้ากันอีกครั้งในยุทธภพก็ทักทายกันด้วยคำว่าลำบากแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่ายามที่ยกมือก้มหัวคารวะกัน ประกายมีดที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อกลับเปล่งวูบวาบ เปี่ยมไปด้วยกลอุบายหนาชั้น ไม่ฆ่าคน แต่กรีดเนื้อเถือหนังชิงความได้เปรียบ ไม่อย่างนั้นก็เป็นคนอย่างเซียนเหรินหันอวี้ซู่ที่หลบอยู่เบื้องหลังคอยวางแผนยาวไกลขัดแข้งขัดขาผู้อื่น
หลายปีมานี้มีเซียนซือภายนอกของใบถงทวีปมาเป็นแขกบนยอดเขาเสินจ้วนอยู่มากมาย พวกเขาต่างก็นับถือเลื่อมใสในมาดวีรบุรุษผู้องอาจกล้าหาญของอดีตเจ้าสำนักเจียง สำหรับการที่เจียงเซียนเหรินขอบเขตถดถอยก็ให้รู้สึกเจ็บปวดเสียดายนัก แต่พอหันตัวกลับ ยามที่ไปดื่มสุรากับคนกันเอง เกินครึ่งคุยกันไปคุยกันมาก็คงหัวเราะปากกว้างจนหุบปากไม่ลง ง่ายที่จะสิ้นเปลืองสุราไปเสียเปล่าๆ
เพียงแต่ว่าเจียงซ่างเจินกลับไม่ได้รู้สึกอัดอั้นสักเท่าไร เจียงซ่างเจินเป็นคนที่รู้จักตัวเองชัดเจนดีที่สุด บนเส้นทางการฝึกตนของตัวเองก็เคยหัวเราะเยาะคนอื่นมาไม่น้อย หากคว้าโอกาสได้ก็ยังจะจัดงานเลี้ยงสุราอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาด้วยซ้ำ ปีนั้นการที่ตู้เม่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใบถงทวีปได้รับเกียรติครองตำแหน่ง ‘บรรพจารย์ผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์สำนักกุยหยก’ ในภายหลัง ก็ไม่ใช่เพราะคุณความชอบของเจียงซ่างเจินที่จัดงานเลี้ยงรับรองสหายจากแปดทิศอยู่บนทะเลเมฆเหนืออาณาเขตของสำนักใบถงหรอกหรือ?
อีกทั้งไม่รู้ว่าในสายตาของคนอื่น เมื่อมองขุนเขาสายน้ำของทวีปนี้อีกครั้งจะเป็นทัศนียภาพเช่นไร ถึงอย่างไรเขาเจียงซ่างเจินก็ทนมองไปนานกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ สถานการณ์หมากที่ขาดกลางคัน ความรู้สึกนับร้อยนับพันประดังประเด สุดท้ายเหลือเพียงความเศร้าเสียใจ ต้องรู้ว่าตอนที่เจียงซ่างเจินวิ่งสะสมคุณความชอบจากการสู้รบไปทั่วสารทิศ เขาก็ได้เห็นขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปอย่างแท้จริงแล้ว ทุกวันนี้ต่อให้หันกลับไปมองย้อนดูใหม่ แล้วยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า? ซากปรักมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง หลุมศพมากมายนับไม่ถ้วน ศพบนภูเขาล่างภูเขาที่ไร้คนกลบฝังยังคงกลาดเกลื่อนทั่วพื้น พูดถึงแค่ภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ ตัดใจมองนานกว่านี้ได้หรือ?
เฉินผิงอันทำความสะอาดใบหน้าของตนจนสะอาดสะอ้านหมดจด เอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้หมดอาลัยตายอยากเกินไปนัก ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่เจียงซ่างเจินที่ข้ารู้จักแล้ว เหมือนอย่างข้า ก็ต้องอาศัยการที่ขอบเขตถดถอยสิบกว่าครั้ง โอสถทองแตกแล้วแตกอีก ถึงเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้อย่างยากลำบาก ถือเสียว่าข้าบ่นให้ฟังแล้วกัน เจ้าไม่ควรต้องมาเอ่ยปลอบใจอะไรข้า”
เจียงซ่างเจินแหงนหน้ามองท้องฟ้า “นั่นมันแน่อยู่แล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าผู้แซ่เจียงขึ้นเขาฝึกตนก็มองขอบเขตบินทะยานเป็นของในมือตนอยู่แล้ว ดังนั้นชั่วชีวิตนี้จึงไม่เคยมีคราใดที่ตั้งใจฝึกตนอย่างจริงจังเหมือนช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้มาก่อน”
หันหน้ากลับมา เอากาเหล้าชนกับกาของเฉินผิงอันเบาๆ หลังจากต่างคนต่างดื่มไปแล้ว เจียงซ่างเจินก็เช็ดปาก ทอดสายตามองไปยังทิศไกล ยิ้มเอ่ยว่า “หากไม่เป็นเพราะได้รับข่าวกระบี่บินจากเจ้า ต่อให้เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์เดินทางมาเยือนอีกครั้งก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะออกมาพบหน้า เดิมทีคิดอยากจะรักษาอาการบาดเจ็บให้หายเสียก่อน แล้วค่อยไปที่ท่าเรือชวีซานสักครั้ง นำกระบี่ไปตามหาสวีจวินที่หน้าผาไกวหย่า”
เฉินผิงอันลุกขึ้นเอ่ยว่า “ข้าเดินขึ้นเขาไปดูคนเดียวก่อนล่ะ”
เจียงซ่างเจินโบกมือ “เจ้าขุนเขาอย่าได้มาถ่วงเวลาการใช้ช่วงเวลาอันงดงามระหว่างข้ากับพี่หญิงเจี้ยงซู่อยู่เลย”
หลังจากที่เฉินผิงอันขึ้นเขาไปแล้ว เจียงซ่างเจินก็มองผู้ฝึกตนหญิงห้าขอบเขตบนที่กำลังจะไม่เคยได้ยินคำว่า ‘เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว’ มาก่อน ไม่ได้เจอกันนานหลายปี ขอบเขตของนางสูงขึ้นแล้วก็ไม่น่ารักอีกแล้ว
คราแรกที่ได้พบเจอนาง นางยังเป็นเด็กสาวที่มีความกลัดกลุ้มน้อยๆ อยากออกจากบ้านแต่ก็ไม่กล้า ใบหน้ายามหันเข้าหาแสงอาทิตย์เรืองรองแดงปลั่ง ดวงตาทอริ้วน้ำฤดูใบไม้ร่วงงามเย้ายวน บนร่างยังมีกลิ่นหอมของพืชหญ้าอย่างคนที่อยู่อาศัยในป่าเขามานาน ตอนที่น่ารักก็น่ารักจริงๆ พอไม่น่ารักก็ไม่น่ารักเลยสักนิด
เจียงซ่างเจินลุกขึ้นยืน ยืดแขนบิดขี้เกียจ ฟ้าดินกว้างใหญ่ สดชื่นปลอดโปร่ง
เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งที่เรือนกายและจิตวิญญาณแยกจากกัน หันหน้าไปถามว่า “หยางผู่ รู้ประวัติความเป็นมาของเจ้าหมอนี่ไหม?”
หยางผู่ส่ายหน้า “ไม่รู้ คนผู้นี้หลบซ่อนตัวอยู่ตลอด ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน”
เจียงซ่างเจินลูบคลำปลายคาง ซากปรักที่ตั้งของภูเขาไท่ผิง ขุนเขาสายน้ำปริแตก ปราณวิญญาณกระจัดกระจาย จะมีโชคชะตาสักกี่ส่วนให้พูดถึง อันที่จริงสำหรับสำนักใหญ่อย่างสำนักกุยหยกแล้ว หากไม่พูดถึงเรื่องคุณธรรมน้ำใจ ที่แห่งนี้ก็ถือว่าเป็นดั่งซี่โครงไก่ แต่กลับเป็นสถานที่ที่ควรเลือกลำดับต้นๆ สำหรับสำนักอย่างสำนักว่านเหยาและอารามจินติ่ง รวมไปถึงพวกสำนักตัวสำรองทั้งหลาย เพราะต่อให้จะไม่ได้รุ่งโรจน์อย่างในอดีต ภูเขาไท่ผิงก็ยังคงเป็นภูเขาไท่ผิง อาณาเขตกว้างขวางนับพันลี้ ขอแค่จัดการได้อย่างเหมาะสม ต่อให้จะเป็นการเก็บเอาของสำเร็จรูปมา แต่ไม่ว่าสำหรับตระกูลเซียนอักษรจงแห่งใดก็ล้วนเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีค่าพอให้ทุ่มเงินลงไปหลายพันเหรียญเงินฝนธัญพืช จัดการได้ดี ทุ่มเงินมากพอ อย่างมากสุดสองสามร้อยปี พอศาลถูกสร้างขึ้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำน้อยใหญ่ได้สร้างร่างทอง เข้ามาอยู่ในศาลของแต่ละพื้นที่ รวบรวมและกักกันโชคชะตาแห่งขุนเขาสายน้ำใหม่อีกครั้ง ก็จะกลายเป็นที่ตั้งของสำนักที่มีน้อยจนนับนิ้วได้แห่งหนึ่งของใบถงทวีป
แต่หากคิดจะกลับคืนสู่สภาพแห่งความรุ่งโรจน์รุ่งเรืองอย่างในอดีตอีกครั้งกลับเป็นไปไม่ได้แล้ว เหตุผลก็เรียบง่ายยิ่งนัก ต่อให้ขุนเขาสายน้ำจะยังคงอยู่ แต่คนกลับกลายเป็นคนในอดีตไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรหากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามมารวมกลุ่มกันฝึกตนที่นี่ ก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงที่ข้าฝึกตนอย่างแท้จริง ข้าฝึกตนเพื่อตัวข้าที่แท้จริงอย่างในปีนั้นอีกแล้ว