กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 752.5 หมัดของขอบเขตสิบเอ็ด
เสี่ยวหลงชิวได้รับคำสั่งจากบรรพจารย์สำนักเบื้องบนของแผ่นดินกลางจึงมุ่งหน้ามาเพื่อกระจกโบราณที่ยังเหลือท่วงทำนองเต๋าบานนั้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำสำเร็จ แต่สามารถลองมาเสี่ยงดวงดูได้ หากสามารถถือโอกาสนี้ยึดครองอาณาเขตของภูเขาไท่ผิงมาได้จริง แน่นอนว่าย่อมดียิ่งขึ้นไปอีก อารามจินติ่งเองก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนของอารามจินติ่งที่วันนี้มาเฝ้าอยู่ที่นี่นับว่าโชคดี ถึงได้ไม่เจอกับเฉินผิงอัน ไม่อย่างนั้นเวลานี้คงมีเทพทวารบาลเพิ่มมาอีกองค์หนึ่งแล้ว อันที่จริงตอนที่เจียงซ่างเจินอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ไม่ยินดีจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตอะไรกับเฉินผิงอันแล้ว ดังนั้นก่อนจะกลับคืนมายังใต้หล้าไพศาลถึงได้เลือกจะเป็นฝ่ายยอมถอยให้ตั้งแต่แรก อันที่จริงนี่เป็นเรื่องประหลาดอย่างมาก เพราะเฉินผิงอันเวลานั้นอาจไม่รู้ชัดว่าเจียงซ่างเจินคนหนึ่งตอแยได้ยากแค่ไหนกันแน่ ส่วนเรื่องราวในภายหลัง เขาเลือกที่จะทำหน้าหนาตามติด ก็ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะเจียงซ่างเจินรู้ความสัมพันธ์ระหว่างจั่วโย่วและเฉินผิงอันเท่านั้น
ผู้ฝึกตนบนภูเขา หันอวี้ซู่นับว่ายังดีหน่อย อันที่จริงหัวสมองของเขาไม่เลวเลย แต่คนอย่างหันเจี้ยงซู่นี้ ต่อให้เป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว ส่วนใหญ่เมื่อรู้ความจริงเรื่องหนึ่งแล้วก็มักจะหยุดอยู่แค่ความกริ่งเกรงที่เฉินผิงอันมีศิษย์พี่นามว่าจั่วโย่วซึ่งเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งเท่านั้น คิดคำนวณน้อยไปหลายก้าว ก็เหมือนพวกนักเล่นหมากล้อมที่ดีแต่จะยกรูปแบบการเล่นที่แน่นอนออกมาจากตำราทั้งชุด ดีกว่าพวกที่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ยกตัวอย่างเช่นไม่มีใครคิดว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงกลายเป็นศิษย์น้องของจั่วโย่วได้ รวมไปถึงเซียนกระบี่ใหญ่ที่นิสัยแปลกแยกเช่นจั่วโย่วนี้ เหตุใดถึงได้ยินดีจะใช้วิธีการของตัวเขาเองลำเอียงเข้าข้างศิษย์น้องอย่างเฉินผิงอันในทุกเรื่องราวเช่นนั้น
เรื่องราวทางโลกซับซ้อน ความจริงข้อหนึ่งมักจะปกปิดความจริงหลายๆ ข้ออยู่เสมอ
ก็เหมือนอย่างตนเจียงซ่างเจินที่เพียงเพราะเป็นเจ้าสำนักกุยหยก ถึงได้ทำให้เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์มองเป็นสหายอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ เป็นเพราะก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินใช้การออกกระบี่เสี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า ใช้คุณความชอบที่เอาชีวิตไปแลกมาต่างหาก ดังนั้นเจ้าเด็กเหวยอิ๋งผู้นั้น ต่อให้ได้เป็นเจ้าสำนักไปอีกหนึ่งพันปี ขอแค่เจียงซ่างเจินไม่อยู่บนยอดเขาเสินจ้วน เทียนซือใหญ่ก็ไม่มีทางย่างเท้าไปเหยียบยอดเขาเสินจ้วนอย่างแน่นอน หากเจียงซ่างเจินถูกบีบให้ต้องออกจากสำนักกุยหยก ความรู้สึกที่จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์มีต่อสำนักกุยหยกก็จะต้องเปลี่ยนจากดีกลายเป็นร้าย โชคดีที่เรื่องเล็กๆ พวกนี้ เหวยอิ๋งล้วนเข้าใจอย่างชัดเจน อีกทั้งยังไม่มีความรู้สึกยอกแสลงใจแม้เพียงน้อย นี่ก็คือสาเหตุที่เจียงซ่างเจินวางใจให้เหวยอิ๋งมารับหน้าที่เจ้าสำนักต่อ
เจียงซ่างเจินพลันยิ้มเอ่ย “หยางผู่ รอวันใดที่เจ้าได้เป็นวิญญูชน หรือไม่ก็ข้ากลับคืนสู่ขอบเขตบินทะยานแล้ว ถึงเวลานั้นมานัดเจ้าขุนเขาเฉิน แล้วพวกเราสามคนก็มาดื่มเหล้าร่วมกันดีๆ สักมื้อดีไหม? เจ้าเป็นคนเลือกสถานที่ จะเป็นที่สำนักต้าฝูก็ไม่เป็นปัญหา”
เจ้าเด็กหนุ่มเซ่อซ่าอย่างหยางผู่ผู้นี้ เมื่อก่อนเจียงซ่างเจินไม่ใคร่จะยินดีพูดจาปราศรัยตามมารยาทกับเขาด้วยซ้ำ อย่างมากสุดก็แค่ไม่ไปรังแกอีกฝ่ายเท่านั้น แต่เพื่อชิงตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งมาครอง อย่าว่าแต่นัดดื่มเหล้ากับหยางผู่เลย ต่อให้ต้องตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองกับหยางผู่ก็ยังได้
หยางผู่ลุกขึ้นคารวะ “ผู้เยาว์ยินดีอย่างถึงที่สุด”
ใครบอกว่าเขาโง่ สามารถรู้จักกับเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงและเซียนกระบี่เจ้าขุนเขาเฉินได้ หยางผู่ยังแอบลอบมีความสุขกับตัวเองอยู่เลย
เจียงซ่างเจินนั่งกลับลงไปบนขั้นบันได คงเพราะข้างกายมีบัณฑิตอยู่ด้วย จึงเอ่ยปลงอนิจจังซึ่งถ้อยคำแฝงด้วยกลิ่นอายตำราอย่างที่หาได้ยาก “อ่านตำราให้มาก ไม่ใช่เพื่อให้คนมองเห็นเรื่องราวทางโลกแล้วพูดอย่างสะท้อนใจว่าเป็นเช่นนี้จริงเสียด้วย แต่เพื่อให้คนตื่นรู้ว่าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง อีกทั้งยังต้องยืนหยัดเชื่อมั่นว่าไม่ควรเป็นเช่นนี้ นี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าอะไรที่ไม่ควรทำก็จะไม่ทำที่เจ้าขุนเขาเฉินเอ่ยกับเจ้าก่อนหน้านี้ รวมไปถึงเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงต้องการให้เจ้าเข้าใจในเรื่องหนึ่ง รู้ว่าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
หยางผู่ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เบี่ยงตัวหันข้างยืนอยู่บนขั้นบันได ประสานมือคารวะอีกรอบ “ศิษย์ได้รับคำสั่งสอนแล้ว”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “นี่ไม่ใช่หลักการเหตุผลของข้าสักหน่อย จะมาขอบคุณข้าทำไม เจ้าเองก็ตาไม่มีแววเสียจริง ข้าอุตส่าห์เรียกเขาว่าเจ้าขุนเขาแล้ว เจ้ามาประจบข้าจะมีประโยชน์อะไร”
หยางผู่ครุ่นคิดอย่างจริงจัง ชำเลืองตามองกาเหล้าที่ยังมียันต์แปะอยู่ซึ่งวางอยู่บนขั้นบันไดแล้วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นผู้เยาว์ก็รับกาเหล้าไว้แล้ว”
เป็นเด็กที่สั่งสอนได้
เจียงซ่างเจินหัวเราะเสียงก้องกังวาน ทอดสายตามองไปยังทิศไกลอีกครั้ง แต่กลับชูมือขึ้นสูง ยกนิ้วโป้งให้กับบัณฑิตลัทธิขงจื๊อจากสำนักศึกษา
พี่หญิงเจี้ยงซู่ก็ฟื้นคืนสติแล้ว นางยกมือดันตรงหว่างคิ้ว “โจรเฒ่าเจียง เจ้าทำอะไรข้า?!”
เจียงซ่างเจินหัวเราะคิกคัก “พี่หญิงเจี้ยงซู่เรียกข้าว่าโจรน้อยเจียงก็ได้นะ จะได้ฟังดูสนิทสนมกันมากกว่า”
เวลานี้หยางผู่เองก็ปรับตัวจนชินได้แล้ว จึงนั่งเงียบๆ อยู่ข้างกายเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียง จิบเหล้าคำเล็กๆ ดื่มอย่างสบายอารมณ์
เจียงซ่างเจินกล่าว “หากเจ้าจะจากไปก็ไม่มีปัญหา แค่เอ่ยคำสาบานตามวิธีการที่ข้าสอนเจ้า หันเจี้ยงซู่ เจียงซ่างเจินมีนิสัยอย่างไร เจ้ารู้ดี”
หันเจี้ยงซู่เงียบงันไม่เอ่ยคำใด
เจียงซ่างเจินบอกวิถีลับคำสาบานในใจของศาลบรรพจารย์บทหนึ่งให้แก่นาง เป็นวิชาลับของสำนักใบถง
หันเจี้ยงซู่ทำตามที่เขาบอก เพราะการเคลื่อนไหวไม่เป็นอิสระ หันเจี้ยงซู่จึงยังไม่ถึงขั้นคิดจะไปหาเรื่องเจียงซ่างเจินที่มีสีหน้าจริงจัง
เจียงซ่างเจินผายมือข้างหนึ่งออกมา บอกเป็นนัยแก่หันเจี้ยงซู่ว่าเชิญจากไปได้ตามสบาย
เจียงซ่างเจินไม่มีสีหน้าเอ้อระเหยลอยชายเหมือนอย่างที่เคยเป็นอีก เขาลุกขึ้นยืน ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนนาง “เจ้าสำนักหันเองก็บาดเจ็บไม่เบา เมื่อครู่ยังฟังคำโน้มน้าวจากข้า ยอมรับในหลักการเก่าแก่ที่ว่าไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน ดังนั้นหลังจากเจ้าสำนักหันได้จดหมายลับฉบับนั้นจากสหายของข้าไปแล้วจึงเกิดความคิดกะทันหัน คิดจะไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางในทันที น่าประหลาดใจนัก ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักหันก็มีสหายเก่าที่ร้ายกาจอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางด้วยหรือ? เมื่อครู่คำพูดของเขาถึงได้มีพลังอำนาจไม่เป็นรองสหายที่แนะนำตัวเองของข้าคนนั้นเลย หรือว่าครั้งนี้พื้นที่มงคลสามภูเขาเลือกที่ตั้งเป็นภูเขาไท่ผิง ก็เพราะเบื้องหลังมีต้นไม้ใหญ่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคอยให้ร่มเงา?”
หันเจี้ยงซู่ขมวดคิ้วน้อยๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แค่นเสียงหยัน พริบตาเดียวก็ดำดินหลบหนีไปหลายร้อยลี้ จากนั้นจึงใช้เวทน้ำแฝงตัวเข้าไปในลำคลองใหญ่สายหนึ่ง สุดท้ายทะยานลมเดินทางไกลตรงจุดที่ห่างไปไกลพันลี้ ต้องรีบหวนกลับไปยังพื้นที่มงคลสามภูเขาที่ทางเข้าตั้งอยู่ตรงมหาสมุทรตะวันออกของใบถงทวีป นางต้องการปรึกษาเรื่องนี้กับบรรพจารย์ทั้งหลายอย่างลับๆ
มองดูเวทคาถาการหลบหนีที่เต็มไปด้วยลวดลายฉูดฉาดพวกนั้นแล้ว เจียงซ่างเจินก็ยื่นมือออกมากุมขมับ พี่หญิงเจี้ยงซู่เริ่มน่ารักอีกแล้ว
ยืนอยู่บนยอดเขาของภูเขาไท่ผิง นอกที่ตั้งเก่าของศาลบรรพจารย์ที่แบนราบเรียบ เฉินผิงอันหยิบธูปออกมาสามดอก เป็นธูปขุนเขาสายน้ำทั้งสามดอก จุดธูปแล้วปล่อยให้ธูปลอยอยู่กลางอากาศ
รอกระทั่งธูปทั้งสามดอกเผาไหม้หมดสิ้น เฉินผิงอันถึงได้หมุนตัวกลับเดินไปยังหน้าผาตรงยอดเขา การมองเห็นพลันเปิดกว้างทันที
ดวงจันทร์บินพ้นเหนือมหาสมุทร กระแสน้ำหวงเหอไหลขึ้นฟ้า ยามทิวาจากบ้านเกิดเดินทางไกล ขุนเขาเขียวอยู่ในบทกวี
ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง ศาลบรรพจารย์สืบทอดต่อควันธูป
ภายในเวลาแปดสิบปีนี้ ตนจะต้องเฝ้าพิทักษ์ภูเขาไท่ผิงลูกนี้ไว้แทนผู้ฝึกกระบี่หวงถิง
สงสัยคงต้องไปเยือนสำนักศึกษาต้าฝูที่คราวก่อนจงใจอ้อมผ่านสักรอบเสียแล้ว
เฉินผิงอันเดินลงจากภูเขา
ส่วนการจากไปไกลของหันเจี้ยงซู่ผู้นั้น เฉินผิงอันไม่ได้ห้ามปราม ถึงขั้นไม่ได้ทำอะไรที่เกินความจำเป็นอย่างการซ่อนปณิธานกระบี่กลุ่มหนึ่งไว้ในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตบางแห่งของนาง ไม่อย่างนั้นหากให้เจียงซ่างเจินร่วมกับใบหลิ่วหนึ่งท่อนนั้นก็มากพอจะปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทรได้เลย ถึงเวลานั้นแม้แต่พื้นที่มงคลสามภูเขาก็ยังจะถูกเขาลากออกมาด้วย เพียงแต่ว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ตลอดทั้งสำนักว่านเหยามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามีเพียงเซียนเหรินหันอวี้ซู่คนเดียวเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งใน ‘ฝ่าย’ นั้น ด้วยความระมัดระวังรอบคอบของหันอวี้ซู่ แม้แต่ทายาทสายตรงอย่างหันเจี้ยงซู่เขาก็น่าจะยังจงใจปิดบังเอาไว้
ไปถึงหน้าประตูภูเขา เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซียนดินโอสถทองที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาคนนั้น กดดวงวิญญาณกลุ่มนั้นไว้แล้วตบเบาๆ
พี่ใหญ่โอสถทองผู้นั้นสะดุ้งโหยง ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ แม้แต่จะอ้อนวอนขอชีวิตก็ยังไม่กล้า
เฉินผิงอันยิ้มถาม “รู้ว่าข้าเป็นใครแล้วหรือ?”
ผู้ฝึกตนโอสถทองพยักหน้ารับเบาๆ เฉินผิงอัน เป็นผู้อาวุโสท่านนี้บอกเอง ไหนเลยจะกล้าลืม
เฉินผิงอันกล่าว “สามารถทำให้ตัวเองไม่จำชื่อนี้ได้หรือไม่?”
ผู้ฝึกตนโอสถทองหน้าม่อย ก่อนที่ความคิดดีๆ จะวาบเข้าหัว จึงใช้เสียงในใจพูดรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “ผู้เยาว์สามารถสาบานว่าจะไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้คนนอกฟังเด็ดขาด!”
ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่จิตวิญญาณถูกดึงออกมาจากเนื้อหนังมังสา จากนั้นจึงมายืนบื้อเป็นเทพทวารบาลอยู่ตรงนี้ เขาก็สนใจแต่จะรักษาสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ให้ได้เท่านั้น ไม่เคยมองหรือฟังอะไรที่มากเกินความจำเป็นเลยจริงๆ
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าคือเค่อชิงของสำนักกุยหยก สามารถรบกวนให้เจ้าสำนักเจียงถ่ายทอดเวทลับในการสาบานบทหนึ่งแก่เจ้าได้ ถือเสียว่าเป็นการชดเชยความเสียหายด้านตบะของสหายก็แล้วกัน”
ผู้ฝึกตนโอสถทองรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า เจ้าสำนักเจียง?! เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกรึ?
หันหน้ากลับไปอย่างทึ่มทื่อ ก็เห็นว่าบุรุษคนที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดกวักมือให้ตนจริงๆ สีหน้าประดับรอยยิ้มที่เป็นจุดขายของอีกฝ่ายนั้น จะเป็นของปลอมไปได้อย่างไร! นี่น่าเชื่อถือยิ่งกว่าคำพูดใดๆ เสียอีก
ผู้ฝึกตนโอสถทองคนนี้เข่าอ่อนยวบ ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มีความกล้าหาญจริงๆ แต่เป็นเพราะวันนี้จำนวนครั้งที่เหมือนถูกฟ้าผ่าลงหัวมีมากเกินไป โอสถทองน้อยๆ มิอาจแบกรับได้ไหว
เจียงซ่างเจินจึงได้แต่ถ่ายทอดเวทลับในการสาบานของสำนักกุยหยกบทหนึ่งให้อีกฝ่าย นี่เป็นการปฏิบัติที่แม้กระทั่งเทพธิดาห้าขอบเขตบนคนหนึ่งก็ยังไม่ได้รับ เมื่อเทียบกับการที่ผู้ฝึกตนคนหนึ่งใช้ชื่อจริงจุดธูปเอ่ยสาบานในศาลบรรพจารย์บ้านตนแล้ว แน่นอนว่าต้องได้ผลมากยิ่งกว่า
เฉินผิงอันมองผู้ฝึกตนโอสถทองที่หน้าผากมีเหงื่อผุดซึมแล้วเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไหนลองเล่ามาสิ เป็นคนที่ไหน พูดให้ละเอียดหน่อย วันหน้าไม่แน่ว่าข้าอาจไปเป็นแขก”
โอสถทองย่อมไม่กล้าปิดบังใดๆ พูดรัวเร็วเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ อะไรที่ควรพูด อะไรที่ไม่ควรพูด ช่างหัวมารดามันเถอะ ข้าผู้อาวุโสรักษาชีวิตรอดไว้ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ดังนั้นจึงเล่าทุกเรื่องแบบหมดเปลือกละเอียดยิบ
ที่แท้เซียนดินโอสถทองที่มีชื่อว่าไต้หยวนผู้นี้ก็เป็นผู้ถวายงานฝ่ายในของราชวงศ์สกุลอวี๋ แม้ว่าตำแหน่งของฝ่ายในจะไม่สูง แต่เมื่อเทียบกับผู้ถวายงานและเค่อชิงฝ่ายนอกแล้วก็ยังแข็งแกร่งกว่าหลายส่วน เพราะอำนาจที่แท้จริงมีมากกว่า ราชวงศ์สกุลอวี๋แห่งนั้น ครานั้นที่ขุนเขาสายน้ำเปลี่ยนสี ฮ่องเต้ได้พารัชทายาทหนีภัยไปพร้อมกัน แต่ไม่ได้หนีไปทางทิศเหนือ แล้วก็ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ที่เชื่อมโยงกับใต้หล้าแห่งที่ห้าด้วย เพราะไปไม่ทัน ดังนั้นจึงได้แต่รีบร้อนหนีเข้าไปหลบภัยในพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำแห่งหนึ่งที่ถูกอำพรางไว้อย่างลึกล้ำ อาณาเขตไม่ใหญ่ เป็นสมบัติหนักพิทักษ์ขุนเขาของพรรคตระกูลเซียนไต้หยวน แต่ก็มากพอจะให้เหล่าเชื้อพระวงศ์รวมไปถึงเหล่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลในอาณาเขตแคว้นขบวนยิ่งใหญ่จำนวนหลายพันคนเข้าไปหลบภัยได้แล้ว มอบเรื่องเละเทะให้องค์ชายที่เป็นบุตรอนุภรรยาเป็นคนจัดการ สวมชุดคลุมมังกรรับตราลัญจกรหยก เป็นผู้นำแคว้นคอยปกป้องดูแลบ้านเมือง สุดท้ายใต้หล้าเปลี่ยวร้างยึดขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปได้ แน่นอนว่าราชวงศ์สกุลอวี๋ย่อมยากจะหนีพ้นหายนะไปได้ และต่อจากนั้นมาก็เกิดเรื่องโสมมผิดธรรมชาติมากมาย ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ต้อนรับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของกระโจมทัพคนหนึ่งให้เป็นฮ่องเต้คนพ่อ ส่วนตัวเองลดสถานะเป็นฮ่องเต้คนลูก จากนั้นภายใต้การสั่งการของกระโจมเจี่ยจื่อที่มีการวางแผนไว้นานแล้ว แคว้นใหญ่แทบทั้งหมดของใบถงทวีปที่มีราชวงศ์สกุลอวี๋เป็นหนึ่งในนั้น นับแต่ราชสำนักไปจนถึงเมืองหลวง ไปจนถึงเขตการปกครองในพื้นที่ต่างๆ จากวงการขุนนางไปถึงบนภูเขาและไปจนถึงยุทธภพ สังคมปั่นป่วนวุ่นวายไร้ระเบียบจนทำให้คนขนชี้ชันด้วยความโกรธ ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ความเห็นแก่ตัวความชั่วร้ายของจิตใจคน แค่มองก็เห็นได้อย่างถ้วนทั่ว
ดังนั้นรอกระทั่งใต้หล้าสงบสุขดีแล้ว ฮ่องเต้ผู้เฒ่าสกุลอวี๋ก็พารัชทายาทและเสาคานสำคัญของแคว้นทุกคนมาเก็บกวาดขุนเขาสายน้ำอย่างสมเหตุสมผล แล้วก็ไม่ลืมที่จะออกราชโองการสำนึกผิดที่เปี่ยมไปด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งติดต่อกันหลายฉบับ
ทุกวันนี้ราชวงศ์สกุลอวี๋และตระกูลเซียนของไต้หยวนได้ไปตีสนิทกับพรรคใหญ่จากทวีปอื่นที่มาจากทางเหนือแห่งหนึ่ง เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีก็กลับมามีเกียรติยศรุ่งเรืองอีกครั้ง
ระหว่างที่เอ่ยพูด ไต้หยวนคอยจับสังเกตสีหน้าของผู้อาวุโสท่านนั้นอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่เขาเอามือสองข้างสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อยิ้มตาหยีอยู่ตลอด ไม่เหมือนว่ากำลังโกรธ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พื้นที่ลับที่เจ้าบอกว่าอยู่ในการควบคุมของสำนักเจ้าแห่งนั้น มีสี่ทัศนียภาพยิ่งใหญ่ได้แก่บ่อไข่มุกมรกต สระเรียกมังกร ภูเขาหยกขาว และต้นไม้ผูกกระบี่ ถูกไหม? รบกวนสหายไต้ช่วยอธิบายให้ข้าฟังอย่างละเอียดทีเถอะ ข้าคนนี้ชอบฟังเรื่องประหลาดคนประหลาดและความลับของขุนเขาสายน้ำพวกนี้เป็นที่สุด ยังมีบรรพจารย์บ้านเจ้าคนนั้น ชื่อว่าเกาเหวินซู เป็นชื่อที่ดี และยิ่งเป็นเซียนดินผู้เฒ่าที่มีหวังว่าจะฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองด้วยใช่ไหม? สหายไต้มาจากตระกูลเซียนชนชั้นสูงจริงเสียด้วย หนึ่งสำนักสองโอสถทอง มิน่าเล่าถึงสามารถช่วยประคับประคองสกุลอวี๋ให้สืบทอดโชคชะตาแคว้นต่อไปได้”
ไต้หยวนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เมื่อก่อนเขารู้สึกเช่นนี้จริง
และในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในสองโอสถทอง อีกทั้งยังมีบรรพจารย์และสำนักเป็นที่พึ่ง ยามอยู่ในราชวงศ์สกุลอวี๋ก็เป็นรองแค่เจินเหรินผู้ปกป้องแคว้นที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำและแม่ทัพใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งเล็กน้อยเท่านั้น จำนวนของภูเขาตระกูลเซียนในใบถงทวีป แม้จะบอกว่าเมื่อเทียบกับขุนเขาสายน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้วนับว่าค่อนข้างจะน้อย ทว่าการรวมตัวกันของกองกำลัง และการรวบรวมโชคชะตาขุนเขาสายน้ำกลับยิ่งทำให้มียอดฝีมือปรากฎตัวได้ง่าย เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองอีกแล้ว ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปในทุกวันนี้นอกจากห้าขอบเขตบนที่ยังนับว่าดีแล้ว คนอื่นๆ ซึ่งรวมเซียนดินเป็นหนึ่งในนั้น หากเจอกับผู้ฝึกตนของทวีปอื่น จะต้องลดขอบเขตของตัวเองลงมาหนึ่งขั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเจอกับผู้ฝึกตนจากแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปที่ยิ่งต้องลดขอบเขตลงมาถึงสองขั้น
เฉินผิงอันฟังเรื่องสี่ทัศนียภาพจบก็จุ๊ปากเอ่ยว่า “สหายไต้ สำนักของเจ้านี่เรียกได้ว่ารู้วิธีหาเงินจริงๆ นะ”
น้ำในบ่อไข่มุกมรกตสามารถทำให้ผู้ฝึกตนหญิงคงความงามเอาไว้ได้ ส่วนสระเรียกมังกร แน่นอนว่าไม่ได้มีเจียวหลงอยู่จริง แต่เป็นเผ่าพันธุ์ใกล้เคียงกับเจียวหลง
ส่วนภูเขาแห่งนั้นก็มีเทือกเขางามประหลาดทอดตัวยาว หน้าผาขาวโปร่งใสเหมือนหยก ถ้ำน้อยใหญ่มีทั้งหมดสามสิบหกแห่ง บนยอดเขามีทะเลสาบหิมะอยู่ผืนหนึ่ง สะสมหิมะมานานนับพันปีโดยที่ไม่ละลาย แม้จะถูกขนานนามให้เป็นถ้ำสวรรค์หยกขาว แต่อันที่จริงกลับไม่ได้เลื่อนขั้นอยู่ในสามสิบหกถ้ำสวรรค์เล็ก แน่นอนว่าเป็นชื่อเสียงที่สำนักของไต้หยวนคุยโวโอ้อวดกันเอาเอง แต่ภูเขาลูกนั้นก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มีตำหนักหยกขาวกึ่งจริงกึ่งปลอมอยู่แห่งหนึ่ง หอเรือนสีชาดโอ่อ่ามลังเมลือง ผู้คนไปมาไม่ขาดสาย ม้าสวมเกราะชูธงม่านรถม้าประดับผ้าแพร ทุกๆ หนึ่งร้อยปีจะมีโชควาสนาจุติลงมาบนโลก บ้างก็เป็นวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดิน บ้างก็เป็นตำราลับในการฝึกตน สามารถให้ลูกศิษย์ในสำนักไปตามหามาได้
ต้นไม้ผูกกระบี่ ในสายตาของไต้หยวน เป็นสิ่งที่ไม่ลูกเล่นอะไรมากที่สุด อันที่จริงก็คือในอดีตมีเซียนกระบี่ก่อกำเนิดอายุน้อยท่านหนึ่งไปดื่มเหล้าเมาพักอยู่ใต้ต้นไม้แห่งนั้นพลางแหงนหน้ามองไปยังถ้ำสวรรค์หยกขาว ชื่นชมภูเขาลูกนั้น ระหว่างนั้นก็เอากระบี่ประจำกายผูกไว้บนต้นไม้ ภายหลังเซียนกระบี่ก่อกำเนิดท่านนั้นเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน วันที่บรรพจารย์เกาเหวินซูได้รับรายงานขุนเขาสายน้ำ ก็เลยให้คนไปตั้งป้าย ‘จารึกผูกกระบี่’ ไว้ใต้ต้นไม้
——