กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 753.5 ไม่มีความบังเอิญก็ไม่อาจแต่งตำรา
เฉิงเฉาลู่เก็บหมัด ถอยกลับไปยืนข้างกายน่าหลันอวี้เตี๋ยเงียบๆ
ป๋ายเสวียนนั่งยองอยู่บนราวรั้ว เอามือตบหัวของเจ้าอ้วนน้อย ยิ้มเอ่ย “เจ้าสุนัขรับใช้ตัวน้อย มีมาดได้ครึ่งหนึ่งของข้าแล้วนะ”
เฉิงเฉาลู่ยิ้มซื่อๆ เกาหัว ได้ออกหมัดครั้งแรกหลังจากเรียนวิชาหมัดมา รู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง
เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองฝีเท้าของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา “น่าสนใจ เป็นท่าเดินของอู๋ซู คาดว่าคงจะเป็นลูกศิษย์เปิดภูเขาที่เขารับมาตอนอยู่ต่างถิ่น เป็นขอบเขตร่างทองที่อายุน้อยมาก”
ชุยตงซานเบ้ปาก “นี่ก็ถือว่าอายุน้อยด้วยหรือ? มาเจอกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่อายุน้อยยิ่งกว่าของข้า หนึ่งหมัดปล่อยออกไป เจ้าเด็กนี่จะไม่ร่างกระเด้งกระดอนอยู่บนพื้นสามสี่รอบเลยหรือ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “หากน้องชุยจะพูดแบบนี้ วันนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกันแล้ว”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน “การทะเลาะกันครั้งนี้คงตีกันต่อไม่ได้แล้ว ข้าจะไปปิดงานเอง พี่โจวเฝยอยู่ดื่มเหล้าที่นี่ต่อเถอะ”
เด็กชายแห่งถ้ำมังกรขาวที่ชื่อว่าหลินจื่อหน้าเขียวคล้ำ ยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา จ้องเขม็งไปยังเฉิงเฉาลู่ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “บอกชื่อของเจ้ามา!”
เฉิงเฉาลู่คิดแล้วก็ตอบไปตามจริง “เพิ่งจะมีฉายาในยุทธภพพอดี หมัดเทพน้อยไร้เทียมทาน”
หลินจื่อโมโหจนตาแดงก่ำ เตรียมจะเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ใช้ในการโจมตีออกมา แต่กลับถูกเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากดไหล่เอาไว้ จิตวิญญาณของเขาสะเทือนไหว ปราณวิญญาณถึงขั้นถูกกดสยบลงไป เด็กหนุ่มยิ้มบางเอ่ยว่า “หลินจื่อ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ดังนั้นยามที่ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก เจ้าจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไปนักไม่ได้”
เด็กชายพูดอย่างมีโทสะ “กวอป๋ายลู่! โหยวชีเกือบจะถูกคนอื่นตีตายอยู่แล้ว เจ้าเห็นคนนอกดีกว่าคนกันเองงั้นรึ?”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารู้สึกจนใจเล็กน้อย ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ? โหยวชีคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ต่อให้จะไม่ได้เรื่องแค่ไหน ไม่ระมัดระวังตัวมากแค่ไหน ต่อให้โดนหมัดหนึ่งต่อยเข้าก็ไม่ถึงขั้นถูกเด็กคนหนึ่งต่อยจนล้มไปกองอยู่บนพื้นแล้วหมดสติไปทันทีเช่นนี้ เป็นเพราะมียอดฝีมือแอบร่ายเวทกักร่างใส่โหยวชีอย่างลับๆ”
คนชุดขาวผู้หนึ่งมาปรากฏตัวอยู่บนราวรั้ว นั่งยองอยู่ตรงนั้น ยิ้มร่าเอ่ยว่า “สวัสดีทุกคน ข้าคือสหายของหมัดเทพน้อยไร้เทียมทาน จะตีจะด่าจะฆ่าแกง ก็เชิญทำกับข้าได้เลย”
พอชุยตงซานปรากฏตัวด้วยการนั่งยองบนราวรั้ว ป๋ายเสวียนที่เดิมทียังนั่งอยู่ตรงนั้นก็รีบไถลตัวลงมาบนพื้นทันที
กวอป๋ายลู่หันหน้าไปหาเด็กหนุ่มชุดขาว กุมหมัดเอ่ย “ผู้เยาว์กวอป๋ายลู่คารวะผู้อาวุโสเซียนซือ”
ชุยตงซานใช้ชายแขนเสื้อเช็ดหน้า รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย อีกฝ่ายมีคนฉลาดหัวไวอยู่แบบนี้ แล้วตนจะยังราดน้ำมันลงบนกองเพลิงอีกได้อย่างไร ผู้ปกป้องมรรคาสองคนที่อยู่ในจวนเซียนเปลือกหอยก็ช่างทำหน้าที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย จนถึงตอนนี้แล้วก็ยังนั่งดูไฟชายฝั่ง ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาเสียที มีวิธีแล้ว ชุยตงซานโบกมือให้กวอป๋ายลู่ บอกเป็นนัยว่าให้เขารีบไสหัวออกไป ก่อนจะมองไปยังหลินจื่อแห่งถ้ำมังกรขาวแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์ที่เป็นบรรพจารย์ถ้ำมังกรขาวของเจ้าคนนั้นเป็นถึงอัครเสนาบดีกลางภูเขาผู้เลื่องชื่อในหนึ่งทวีป ในฐานะที่เจ้าเป็นอาจารย์อาของโหยวชี เทพเซียนขอบเขตถ้ำสถิตที่อายุไม่ถึงสิบขวบ มองไปทั่วทวีปก็ยังถือเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนอันโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นลำดับศักดิ์ สถานะหรือตบะก็ล้วนวางอยู่ตรงนั้น เจ้ามีอะไรให้ต้องกลัวกันเล่า ยังมีหน้ามาพูดว่าหมัดเทพน้อยไร้เทียมทานบ้านข้าขี้ขลาดอีกหรือ? ไม่สู้ข้าช่วยเจ้าเลือกคนสักคน พวกเราสองฝ่ายมาประลองฝีมือกันสักรอบดีไหม?”
ดวงตาป๋ายเสวียนเป็นประกายเจิดจ้า ยื่นมือออกไปกดหัวใหญ่ๆ ของเฉิงเฉาลู่เอาไว้แล้วผลักออกเบาๆ ตัวเองเดินก้าวยาวๆ ออกไปเบื้องหน้า “ข้าเองๆ”
สีหน้าของเด็กชายจากถ้ำมังกรขาวเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
ผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายแม่นางเย่กำลังจะเปิดปากพูด
ชุยตงซานไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง “ไปตายไกลๆ ผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลของอารามจินติ่งราชาบนภูเขา ข้าไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ เลยได้แต่เลือกมะพลับนิ่มอย่างถ้ำมังกรขาวมาบีบเล่น”
กระทั่งบัดนี้ในจวนเซียนหาดหวงเฮ้อถึงได้มีผู้เฒ่าสองคนที่ในที่สุดก็อดทนข่มกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป จับมือกันทะยานลมมาถึง คนหนึ่งคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของอารามจินติ่ง ขอบเขตก่อกำเนิด อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลของเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซาน หนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเย่อวิ๋นอวิ๋น
มียอดฝีมืออย่างพวกเขาสองคนคอยปกป้องมรรคา บวกกับในกลุ่มของคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ยังมีกวอป๋ายลู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง โหยวชีขอบเขตประตูมังกร การเดินทางหาประสบการณ์ในครั้งนี้จึงเรียกได้ว่าราบรื่นมาตลอดเส้นทาง คาดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะมาล้มหัวทิ่มอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเอาเสียได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ถึงอย่างไรก็ไม่น่าฟัง และการที่ผู้ปกป้องมรรคาทั้งสองคนไม่ได้รีบร้อนปรากฏตัวก็เพราะมีความกังวลในระดับขั้นที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า กังวลว่าเด็กสี่คนนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุลเจียงถ้ำเมฆาหรือไม่ก็ยอดเขาเสินจ้วนสำนักกุยหยก พวกเขาเดินทางมาหาประสบการณ์ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาครั้งนี้ เดิมทีก็เป็นการแสดงความเป็นมิตรอย่างหนึ่ง ต่อสกุลเจียงและสำนักกุยหยกอยู่แล้ว หรือควรจะเรียกอีกอย่างว่าแสดงการอ่อนข้อ
ไม่พูดถึงเย่อวิ๋นอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน คนอีกสองคนอย่างตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่ง บรรพจารย์ถ้ำมังกรขาว ก่อกำเนิดสองคนนี้ต้องคอยระมัดระวังการประเมินความคิดจิตใจของผู้คน ให้ความระวังเรื่องกำลังไฟกับคนของยอดเขาเสินจ้วนอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะตู้หันหลิงที่ยังเคยไปเยี่ยมเยือนเซียนกระบี่ใหญ่เหวยอิ๋งอย่างลับๆ เป็นการส่วนตัว ภายหลังถึงได้มีสันนิบาตใบท้อเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ตู้หันหลิงกลับไม่เล่าให้บรรพจารย์ถ้ำมังกรขาวฟังแม้แต่ครึ่งคำ
เห็นเด็กหนุ่มหน้าตางดงามสวมชุดขาวราวกับหิมะ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลก็กุมหมัดคารวะ ส่วนผู้ถวายงานลำดับหนึ่งของอารามจินติ่งนั้นคารวะแบบลัทธิเต๋า
ชุยตงซานยิ้มรับไว้แล้ว เพียงแต่ปากยังคงกระพือไฟต่อไปว่า “ทำไม อาศัยว่ามีคนมากอำนาจมาก คิดจะรังแกพวกเราที่มีกันไม่กี่คนหรือ ข้าเป็นคนที่มีอาจารย์นะ รอให้อาจารย์ของข้าปรากฏตัว หนึ่งหมัดกับถ้ำมังกรขาว หนึ่งเท้ากับอารามจินติ่ง พวกเจ้ากลัวหรือไม่?”
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนนั้นกุมหมัดอีกครั้ง “เซียนซือท่านนี้ล้อเล่นแล้ว ความเข้าใจผิดบางอย่างไม่มีค่าพอให้พูดถึง พวกเด็กๆ ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ไม่บ่อยนัก จึงไม่รู้หนักเบาไม่รู้ถึงความร้ายแรง”
ชุยตงซานถอนหายใจ เป็นคนที่ค่อนข้างใช้เหตุผลอีกคนหนึ่งแล้ว น่ารำคาญยิ่งนัก เขาขยับก้นไถลตัวลงมาจากราวรั้ว งอเข่าค้างแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สะบัดปลายแขนเสื้อสีขาวหิมะสองข้างเบาๆ
ป๋ายเสวียนชำเลืองตามองเด็กชายจากถ้ำมังกรขาวแล้วผายมือกวักเลียนแบบอีกฝ่าย ทั้งยังเปิดปากพูดไร้เสียง เอ่ยแค่คำว่า ตัวต่อตัว
ชุยตงซานตบหัวป๋ายเสวียน พูดสั่งสอนว่า “เจ้าโง่ หากไม่ระวังถูกเจ้าผายลมใส่ทำให้เทพเซียนน้อยห้าขอบเขตกลางของถ้ำมังกรขาวผู้นี้ตายไป ถึงเวลานั้นเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญจะชดใช้ได้หรือ? ต้องใช้เงินร้อนน้อย! เจ้ามีเงินหรือ?”
เหยาเสี่ยวเหยียนเอ่ยเบาๆ ว่า “พี่หญิงอวี้เตี๋ยมีเงินนะ”
น่าหลันอวี้เตี๋ยพยักหน้ารับ “เงินร้อนน้อยห้าเหรียญพอหรือไม่?”
ป๋ายเสวียนหลุดหัวเราะพรืด “นายน้อยต่อสู้กับคนอื่นตัวต่อตัว แต่ไหนแต่ไรมาต้องลงนามเป็นตายก่อน จะต้องชดใช้ด้วยเงินกะผายลมอะไร”
ชุยตงซานพูดกับน่าหลันอวี้เตี๋ย “จำไว้ว่าต้องจดประโยคนี้ลงไปด้วย วันหน้าพอไปถึงบ้านเกิดของอาจารย์เฉาต้องได้ใช้แน่ ข้าไม่หลอกเจ้าหรอก”
ป๋ายเสวียนเอาสองมือไพล่หลัง พูดเหมือนคนแก่ว่า “เจ้าชื่อหลินจื่อ (ออกเสียงเหมือนกัน แต่เขียนคนละอย่าง ชื่อจริงของตัวละครหลินจื่อคือ 麟子 ที่แปลว่ากิเลน แต่หลินจื่อที่ป๋ายเสวียนเอ่ยเรียกเขียนว่า 林子 แปลว่าป่าไม้) ใช่ไหม หลินจื่อป่าไม้เหมือนประโยคที่ว่าพอป่าไม้กว้างใหญ่ไม่ว่านกอะไรก็มีหมด (หมายถึงป่าที่กว้างใหญ่ มีนกทุกประเภททั้งนกดีและนกเลว ก็เหมือนคนที่พอมีมากเข้า ก็มีทั้งคนและคนเลวอยู่ปะปนกัน) ดีมาก ข้าเองก็จะไม่รังแกที่เจ้าขอบเขตสูงกว่าข้า อายุมากกว่าข้า พวกเรามาประลองฝีมือกันสักครั้ง สู้กันตัวต่อตัว เจ้าตีข้าตาย ฝ่ายของข้าไม่มีใครช่วยข้าแก้แค้น ข้าตีเจ้าตาย หลุมมังกรขาวอะไรของเจ้านั่นก็เชิญมาหาเรื่องนายน้อยอย่างข้าได้ตามสบาย ขอแค่ข้าขมวดคิ้วสักเล็กน้อย ก็เท่ากับว่าข้าคือบิดานอกกฎหมายที่พลัดพรากจากเจ้าไปนานหลายปี…”
ป๋ายเสวียนถูกชุยตงซานใช้แขนรัดคอเอาไว้แล้ว เด็กชายกลับยังส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกอยู่ไม่เลิก “มาตีข้าสิ ตีข้าให้ตายเลย…แน่จริงก็มาสู้กันตัวต่อตัว…หากไม่เป็นเพราะนายน้อยถูกพี่น้องห้ามไว้ เท้านี้ของข้าเตะออกไป ถีบไปบนหน้าหมาๆ ของเจ้า เจ้ากลับบ้านไปพ่อแม่เจ้าต้องถามแน่ว่าลูกชายข้าอยู่ที่ใด…มารดาเถอะ เจ้าระวังตัวให้ดี เวลาเดินตอนกลางคืนอย่าออกมาเดินคนเดียวล่ะ…”
ป๋ายเสวียนเบี่ยงตัวหันข้าง เท้าหนึ่งเหยียบบนพื้น เท้าอีกข้างเตะสะเปะสะปะอยู่กลางอากาศ สุดท้ายยังถ่มน้ำลายเต็มแรง ถือเสียว่าเป็นการเรียกกระบี่บินออกมาครั้งหนึ่ง
ชุยตงซานเกือบทนไม่ไหวปล่อยเจ้าหมาป่าน้อยตัวนี้ออกไป
เจ้าตะพาบน้อยกวนโอ้ยชวนเตะขนาดนี้เชียวหรือ?
ชุยตงซานรู้สึกว่าหากเปลี่ยนตนไปเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกลุ่มนั้นก็คงคิดจะตีเจ้าลูกกระต่ายน้อยที่ ‘ลิ้นผลิดอกบัว’ (เปรียบเปรยถึงคนมีคารมคมคาย พูดจาดี) ผู้นี้ให้ตายจริงๆ
คนกลุ่มนั้นเองก็ไม่ได้หาเรื่องต่อ เพียงแบกโหยวชีที่ยังคงสลบเหมือดขึ้นหลัง ส่วนเด็กชายจากถ้ำมังกรขาวที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ‘หลินจื่อป่าไม้’ แล้วยังได้รับบิดานอกกฎหมายมาคนหนึ่งก็ถูกหญิงสาวแซ่เย่ลากตัวไป
เรือนที่พักส่วนตัวหลังหนึ่งของสกุลเจียงบนยอดเขา เฉินผิงอันลืมตาขึ้นมาแล้วหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน พบว่าข้างเตียงวางรองเท้าหันหน้าเข้าหาเตียง เฉินผิงอันก็อึ้งตะลึงไป จากนั้นก็คลี่ยิ้ม
สวมรองเท้าเรียบร้อย ไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และดาบแคบพิฆาตที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาห้อยเอว เดินออกมาจากห้องก็พบว่าเป็นสถานที่ขุนเขาเขียวน้ำใสแห่งหนึ่ง ไม่ได้เลิศหรูแต่อย่างใด ทว่ากลับงามประณีติเงียบสงบ เรือนไม่ใหญ่นัก ด้านหน้ามีป่าไผ่ด้านหลังมีน้ำ ฝั่งตรงข้ามของธารน้ำที่ไหลริกๆ ก็มีต้นไผ่อีก เรียงรายติดกันเป็นทะเลไผ่ สีเขียวขจีเปล่งปลั่งราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้ เงาไผ่ไหวเพยิบพยาบ เข้าคู่กับสายลมและแสงจันทร์ดียิ่งนัก เฉินผิงอันชื่นชมทัศนียภาพตรงที่พักแล้วก็หดย่อพื้นที่ ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งผลักเปิดพันธนาการขุนเขาสายน้ำออก ทะยานลมไปยังยอดสูงสุดของยอดเขาอวิ๋นจี๋ เอ่ยถามผู้ฝึกตนสกุลเจียงคนหนึ่งสองสามคำถามแล้วจึงเดินลงจากเขาช้าๆ เตรียมจะมุ่งหน้าไปที่หาดหินหวงเฮ้อ
ทางฝั่งของหาดหินหวงเฮ้อ ชุยตงซานกลับมานั่งบนราวรั้ว ป๋ายเสวียนที่ได้รับคำอนุญาตจากชุยตงซานจึงเอาทั้งมือทั้งเท้าวางบนราวกั้นแล้วทำท่าว่ายน้ำ
ชุยตงซานยิ้มถาม “เฉิงเฉาลู่ ใจกล้าขนาดนี้เชียวหรือ?”
เจ้าอ้วนน้อยเอ่ยอย่างอัดอั้น “มีแต่ข้าที่เรียนวิชาหมัด”
ความนัยในคำพูดนี้ก็คือ อาจารย์เฉาไม่อยู่ข้างกาย ในบรรดาคนมากมายขนาดนี้ มีเพียงข้าที่สามารถลงมือได้
จะปล่อยให้อาจารย์เฉาเสียหน้าไม่ได้
ชุยตงซานนั่งอยู่บนราว สองมือยันราวเอาไว้ สองเท้าแกว่งไปมา ท่วงท่าเกียจคร้านผ่อนคลาย แต่กลับเอ่ยถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจคนที่สุด “เจ้าอ้วนน้อย น่าเสียดายที่ระดับขั้นของกระบี่บินเจ้าไม่สูง คุณสมบัติในการฝึกตนก็แสนจะธรรมดา อย่าว่าแต่พวก ‘ผู้อาวุโส’ อย่างเฉินหลี่ที่ถูกพาออกไปจากบ้านเกิดเลย แม้แต่กับพวกป๋ายเสวียน เจ้าก็ยังเทียบไม่ติด เจ้าน่ะอยู่อันดับท้ายสุดเลยนะ”
เป็นผู้ฝึกกระบี่เหมือนกัน มีความต่างของ ‘ใช่ตัวอ่อนเซียนกระบี่หรือไม่’ และ ‘ใช่เซียนกระบี่หรือไม่’ เป็นความต่างที่มากราวฟ้ากับเหว
แต่ในบรรดาตัวอ่อนเซียนกระบี่ก็ยังมีการแบ่งสูงต่ำ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันว่าจะต่างกันราวก้อนเมฆกับก้อนดิน ตัวอ่อนเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนใหญ่แล้วเป็นโอสถทองได้อย่างมั่นคงคือจุดเริ่มต้น มีความหวังเป็นก่อกำเนิด หากคนที่โชคดีหน่อย ยกตัวอย่างเช่นคนที่ไม่ตายก่อนวัยอันควร ไม่ตายไปบนสนามรบแต่เนิ่นๆ ก็จะได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบน พูดง่ายๆ ก็คือต่างก็มีหวังที่จะได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง
หากเทียบกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ก่อกำเนิดของใต้หล้าไพศาลก็สามารถเรียกว่าเซียนกระบี่ได้แล้ว
ในด้านของผู้ฝึกกระบี่นี้ ใบถงทวีปดีกว่าแจกันสมบัติทวีปแค่เล็กน้อย พอๆ กับธวัลทวีป
เฉิงเฉาลู่รู้สึกอัดอั้นตันใจนัก ก้มหน้าเอ่ยว่า “ระหว่างเวลาพักจากการฝึกหมัดกับอาจารย์เฉา อาจารย์เฉาเคยบอกแล้วว่าผู้ฝึกตนในใต้หล้านี้ และยังมีผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเรา คุณสมบัติเอามากินต่างข้าวได้จริงๆ คุณสมบัติดี ข้าวในถ้วยก็มีมาก ข้าวหนึ่งถ้วยเท่ากับของคนอื่นสองสามถ้วย นี่เรียกว่าบรรพบุรุษประทานข้าวมาให้กิน ไม่ยอมรับไม่ได้ ต้องยอมรับชะตากรรม แต่คนที่ชามข้าวเล็กทั้งยังมีข้าวน้อย ก็ไม่ได้ทำให้หิวตายเสียหน่อย คิดอยากจะกินให้เยอะ ให้ตัวสูงโตเร็ว ก็ต้องมานะฝึกตนมากกว่าคนอื่น ต้องเปิดเตาเล็กทำอาหารกินเอง อาจารย์เฉายังบอกอีกว่า หากคนอื่นที่คุณสมบัติดีแล้วยังขยันอีกด้วย จะทำอย่างไร ก็ไม่ต้องกลัว เพราะมีวิธีอยู่แล้ว”
ชุยตงซานยิ้มจนตาหยี “วิธีอะไรหรือ? พูดให้ฟังหน่อยสิ”
เฉิงเฉาลู่เงยหน้าขึ้น โคลงศีรษะ เริ่มจะไม่พอใจแล้ว “เป็นวิชาทางใจลับเฉพาะที่อาจารย์เฉามอบให้ข้า ข้าไม่บอกหรอก เว้นเสียแต่ว่ามีคนที่โง่กว่าข้า แล้วยังเป็นเพื่อนของข้าด้วย ข้าถึงจะพูดให้เขาฟัง ถึงอย่างไรพวกป๋ายเสวียน อวี้เตี๋ยก็ล้วนฉลาดกว่าข้า ทำไมข้าก็ต้องพูดเรื่องนี้ด้วยเล่า อาจารย์เฉาเคยบอกว่า คนคนหนึ่งความสามารถบนมือมีไม่มาก แต่หลักการเหตุผลบนปากกลับใหญ่มาก จะทำให้คนรำคาญ ดังนั้นไม่ต้องรีบร้อน ให้เหลือค้างไว้ก่อน”
ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที “มิน่าเล่าอาจารย์ของข้าถึงได้สอนวิชาหมัดให้เจ้าแค่คนเดียว”
เฉิงเฉาลู่ส่ายหน้าอย่างแรง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ไม่ใช่นะ เป็นเพราะคนอื่นไม่ยินดีจะเรียน จะให้อาจารย์เฉากดหัวพวกเขามาเรียนหมัดก็คงไม่ได้กระมัง หมัดของอาจารย์เฉาสูงขนาดนั้น หาได้ยากจะตายไป แต่ข้าจะแอบเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง เจ้าอย่าเอาไปบอกใครนะ อันที่จริงพวกป๋ายเสวียน เหอกู เฮ้อเซียงถิงล้วนอยากเรียน ก็แค่วางหน้าตาไม่ลงเท่านั้น อาจารย์เฉาเองก็น่าจะรู้ ถึงได้พูดสองรอบแล้วให้ข้ากลับห้อง หัดเดินนิ่งยืนนิ่งให้มาก”
“เจ้าจำได้หมดเลยหรือ?”
“อวี้เตี๋ยจดทุกประโยคเอาไว้น่ะสิ ข้ากลัวว่าจะพลาดสัจธรรมหมัดข้อใดไปก็เลยไปขอยืมนางอ่านบ่อยๆ ทุกครั้งที่อ่านหนึ่งหน้าต้องจ่ายเงินให้นางด้วยนะ บนร่างข้าไม่มีเงิน อวี้เตี๋ยเลยช่วยจัดการสมุดบัญชีเล็กๆ เล่มหนึ่งให้ข้า”
“เจ้าจ่ายให้นางจริงหรือ?”
“ไม่อย่างนั้นจะทำยังไงล่ะ? ลูกผู้ชายพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้นสิ”
ชุยตงซานยื่นมือมาตบหน้าผาก
เจ้าตัวน้อยเห็นแก่เงินอย่างน่าหลันอวี้เตี๋ยนี้ คาดว่าวันหน้าคงต้องกลายเป็นลูกสมุนของเผยเฉียนแน่นอน อีกทั้งยังเป็นประเภทที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีอีกด้วย?
ส่วนพ่อครัวอ้วนตัวน้อยอย่างเฉิงเฉาลู่ผู้นี้ อาจารย์ของตนชอบเขามากจริงๆ คาดว่าจูเหลี่ยนเองก็น่าจะชอบ ไม่ต้องพูดถึงวิชาหมัดอะไร อย่างน้อยที่สุดฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวเฒ่า ในที่สุดก็มีตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการถ่ายทอดวิชาให้แล้ว
เด็กที่ทนความยากลำบากได้ แต่ไหนแต่ไรมาอาจารย์มักชอบเสมอ ต่อให้เป็นเด็กที่ทนความลำบากไม่ได้ อาจารย์ก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกหรือไม่ดี
ชุยตงซานพลันลุกพรวดขึ้นยืนแล้วหันตัวกลับ เห็นเพียงว่าฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเบื้องล่างของหาดหินหวงเฮ้อมีคนชุดเขียวผู้หนึ่งเดินผ่านประตูใหญ่ขุนเขาสายน้ำเข้ามา ชุยตงซานเขย่งเท้ายืดคอยาว กวักมืออย่างแรงพร้อมตะเบ็งเสียงดังลั่น “อาจารย์! อาจารย์! ตรงนี้ ตรงนี้!”
ชุดเขียวกลายร่างเป็นสายรุ้งตรงดิ่งมาที่ยอดบนสุดของหาดหินหวงเฮ้อ ดั่งหนึ่งกระบี่สะบั้นแม่น้ำ พื้นผิวแม่น้ำที่เดิมทีนิ่งสงบไร้คลื่นพลันไหลเชี่ยวกรากขึ้นๆ ลงๆ
เพียงชั่วพริบตา บุรุษก็พลิ้วกายลงบนราวรั้วหยกขาว รอยยิ้มอบอุ่น ยื่นมือมากดศีรษะของเด็กหนุ่มชุดขาวเบาๆ
ลูกศิษย์ยังคงเป็นเด็กหนุ่ม ทว่าอาจารย์กลับตัวสูงมากกว่าเดิม เรือนกายกลับยิ่งโปร่งเพรียว ดังนั้นจึงต้องค้อมเอวน้อยๆ ยามจะพูดคุยกับลูกศิษย์
ต่างก็ไม่ได้เอ่ยอะไรกัน
เจียงซ่างเจินเดินมาถึงช้าๆ เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากราวรั้ว ชุยตงซานรีบลงพื้นตามทันที
ป๋ายเสวียนหัวเราะร่า ห่านขาวใหญ่ตัวนี้ พอเจอกับอิ่นกวาน เห็นได้ชัดว่าเป็นสุนัขรับใช้ยิ่งกว่าเฉิงเฉาลู่เสียอีก
ป๋ายเสวียนพลันสัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี เรื่องราวในวันนี้หากปล่อยให้เฉินผิงอันรู้เข้า คาดว่าตนคงจะไม่ได้ดีไปกว่าเฉิงเฉาลู่แน่นอน ป๋ายเสวียนจึงคิดจะเผ่นหนีไปอย่างเบามือเบาเท้าเพื่อความปลอดภัย ผลคือถูกเฉินผิงอันยื่นมือมากดหัวเอาไว้
——