กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 756.5 เป็นแขก
เผยเฉียนหยิบไม้เท้าเดินป่าสีเขียวอันหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ
นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ในบริเวณใกล้เคียงกับที่แห่งนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางได้รับยันต์ แผ่นหนึ่งคือยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ อีกแผ่นหนึ่งคือยันต์ปราณหยางส่องไฟ แต่แรกเริ่มอาจารย์พ่อแค่ให้นางยืม เอามาช่วยเพิ่มความกล้าให้กับนาง ภายหลังถึงได้มอบให้นาง
เผยเฉียนกระซิบว่า “อาจารย์พ่อ อยู่ที่เกราะทองทวีป ข้าได้เจอกับฝูลู่อวี๋เซียนด้วยล่ะ”
เฉินผิงอันตกตะลึงเล็กน้อย “เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ที่ยึดครองวิถีแห่งยันต์ไปเพียงลำพังท่านนั้นน่ะหรือ?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กล่าวอย่างเขินอาย “บนสนามรบ ผู้อาวุโสอวี๋ไม่เพียงแต่ช่วยข้าสังหารเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบตนหนึ่ง สุดท้ายยังมอบวัตถุแห่งชะตาชีวิตของขอบเขตหยกดิบตนนั้นให้ข้าด้วย ระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน”
เฉินผิงอันเอ่ยทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ผู้อาวุโสมีมาดแห่งเซียนไม่เหมือนใครจริงๆ สมควรแล้วที่ผู้อาวุโสอวี๋ได้ผสานมรรคากับทางช้างเผือก เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที
ระยะทางภูเขาร้อยกว่าลี้ สำหรับพวกเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงไม่มีค่าพอให้พูดถึง อีกทั้งเมื่อเทียบกับเส้นทางแคบเล็กคดเคี้ยวคราวก่อนที่เฉินผิงอันเคยผ่านมา เวลานี้ถนนหนทางกลับกว้างขวางกว่าเดิมมาก เฉินผิงอันชำเลืองตามองอยู่หลายทีก็รู้ว่าเป็นฝีมือของทางการราชสำนัก
ผ่านสะพานหินโค้งแห่งหนึ่งที่ทอดตัวขวางลำธาร เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนหัวสะพานมองดูป้ายจารึกแบ่งขอบเขตใหม่เอี่ยม หัวคิ้วขมวดมุ่นน้อยๆ
เขารู้สึกลังเลแล้วว่าจะไปเยี่ยมเยือจวนจินหวงดีหรือไม่
เผยเฉียนถาม “อาจารย์พ่อ มีอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “อาจมีเรื่องเกิดขึ้น”
ครุ่นคิดเล็กน้อย เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ข้าดื่มเหล้าเสร็จแล้วก็จะจากไป”
ยังห่างจากจวนจินหวงมาอีกสามสิบลี้ ภูเขาเขียวน้ำใส น้ำในลำธารไหลริกๆ ศาลาหลังหนึ่งสร้างขึ้นติดกับธารน้ำ
ทหารสวมเสื้อเกราะกลุ่มหนึ่งนั่งกระจัดกระจายกันอยู่ข้างทาง พวกเขากำลังเล่นพนันขันต่อ แต่เสียงที่พูดกลับไม่ดังนัก เพราะว่าด้านในศาลายังมีผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิเข้าฌาน ในมือถือแส้ปัดฝุ่น
แม่ทัพบู๊อายุน้อยคนหนึ่งยืนเอนตัวพิงอยู่นอกกำแพง สองแขนกอดอก หลับตารวบรวมสมาธิ
เฉินผิงอันบอกให้พวกเผยเฉียนหยุดเท้า ตัวเองเดินหน้าไปเพียงลำพัง
สองคนที่อยู่ในและนอกศาลา คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทร อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้า
แม่ทัพบู๊หนุ่มลืมตาขึ้น เอ่ยอย่างเฉยเมย “หากพวกเจ้าจะไปจวนจินหวงก็สามารถกลับได้แล้ว ทุกวันนี้ขุนเขาสายน้ำแถบนี้ถูกปิดเอาไว้แล้ว”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองจุดหนึ่ง กลางแอ่งน้ำที่ค่อนข้างลึกท่ามกลางลำธารสีเขียวมรกตเข้มดำมีใบหน้าขาวซีดดวงหนึ่งโผล่ออกมา เส้นผมสีนิลเหมือนพืชน้ำที่แผ่สยายออก มีใบหน้าเป็นเด็กสาว สวมชุดกระโปรงสีทับทิม จากนั้นนางก็มานั่งบนก้อนหินริมชายฝั่ง แต่เท้าสองข้างที่สวมรองเท้าปักลายกลับยังจมอยู่ในธารน้ำ ดูเหมือนว่านางจะจงใจเป็นปรปักษ์กับแม่ทัพบู๊หนุ่มถึงได้ยิ้มเอ่ยว่า “ปิดภูเขา? เหตุใดจวนจินหวงของพวกเราถึงไม่รู้เลยเล่า? หากอาจารย์ท่านนี้อยากจะไปเป็นแขกที่นั่น ข้าสามารถนำทางให้ได้”
เทพเซียนผู้เฒ่าที่อยู่ด้านในศาลาแค่นเสียงเย็นชาหนึ่งเสียง โบกแส้ปัดฝุ่นเบาๆ ลำธารนอกศาลาก็คล้ายมีทำนบน้ำถูกสร้างขึ้นมาสกัดกั้นน้ำไหล ระดับน้ำพุ่งขึ้นสูงตลอดเวลา ไม่มีน้ำในลำธารไหลเข้ามาในแอ่งน้ำเล็กนั่นอีก
ผีสาวเองก็ไม่ถือสา เพียงแต่ว่าร่างของนางหดเตี้ยลงเล็กน้อย เท้าสองข้างจมลงไปใต้น้ำมากกว่าเดิม คล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยกับบุรุษชุดเขียวว่า “ไม่ต้องกังวลว่าหากย้อนกลับมาทางเดิมแล้วจะถูกคนเล่นงาน จวนจินหวงของพวกเรามีเส้นทางที่ทะลุตรงไปยังทะเลสาบซงเจิน ล่องเรือเที่ยวทะเลสาบ ทัศนียภาพงามล้ำ อยากจะขึ้นฝั่งก็ไม่ต้องคิดมากว่าจะถูกโจรขโมยเรือไปหรือไม่ เหนียงเนียงหูจวินแห่งทะเลสาบซงเจิน เดิมทีก็เป็นภรรยาของฝู่จวินจวนจินหวงของพวกเราอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันถึงได้เปิดปากยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนแล้ว”
ในที่สุดเทพเซียนผู้เฒ่าที่ร่ายวิชาน้ำสกัดกั้นน้ำในลำธารก็ลืมตาขึ้น หัวเราะหยันกล่าวว่า “เป็นแค่ผีพรายตัวน้อยๆ ก็กล้าพูดจาโอหังวางโต เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึ?”
แม่ทัพบู๊หนุ่มคล้ายจะเปลี่ยนใจจึงโบกมือ บอกเป็นนัยแก่พวกพลทหารที่สวมชุดเกราะว่าให้ปล่อยคนเข้ามา ทั้งยังเอ่ยกับบุรุษชุดเขียวที่พกดาบห้อยกาเหล้าด้วยว่า “ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าไม่ควรอยู่ที่จวนจินหวงนานเกินไป เทพเซียนตีกันชาวบ้านเดือดร้อน ไม่ใช่แค่คำพูดล้อเล่นเท่านั้น ส่วนทะเลสาบซงเจิน หากคิดจะไปเที่ยวกลับไม่มีปัญหา”
เฉินผิงอันกุมมือเขย่าแสดงการขอบคุณ
แม่ทัพบู๊หนุ่มพยักหน้าให้เบาๆ
เฉินผิงอันเดินไปบนเส้นทางเลียบลำธาร ฝ่ายผีสาวที่มีชาติกำเนิดจากจวนจินหวงก็ใช้มือหนึ่งยกชายกระโปรงขึ้น เดินอยู่บนผิวน้ำ
ทางฝั่งของศาลา
ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรที่มีนามว่ากวออี๋หลวนเดินมาที่หน้าประตู เอ่ยเย้ยหยัน “แม่ทัพหลิว เจ้าช่างพูดง่ายนัก นึกจะปล่อยผ่านก็ปล่อยไปซะอย่างนั้น”
คนหนุ่มนามว่าหลิวฮุย เพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปี แต่กลับเป็นแม่ทัพบู๊ระดับห้าชั้นเอกแล้ว ประเด็นสำคัญคือยังมีสถานะเป็นผู้ลาดตระเวนขุนเขาสายน้ำห้าทิศที่แคว้นเป่ยจิ้นแต่งตั้งขึ้นมาชั่วคราว ซึ่งก็หมายความว่าในอาณาเขตขุนเขาสายน้ำของขุนเขาเหนือ คนหนุ่มสามารถบัญชาการณ์โยกย้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำทั้งหมดที่มีระดับต่ำกว่าซานจวินได้ แม้กระทั่งเทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอ เขตและจังหวัด ศาลบุ๋นศาลบู๊ของแต่ละสถานที่ก็ล้วนอยู่ในการควบคุมของคนหนุ่ม
หลิวฮุยมีชาติกำเนิดจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเขตพื้นที่หนึ่งของแคว้นเป่ยจิ้น แต่กลับอาศัยคุณความชอบทางการทหารขึ้นมาเป็นแม่ทัพ เหตุผลก็เรียบง่ายยิ่ง ตระกูลของเขาล่มสลายท่ามกลางหายนะที่แผ่นดินของทั้งทวีปจมดิ่งไปแล้ว
นอกจากนี้ยังเล่าลือกันว่าคนหนุ่มกับฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของเป่ยจิ้นได้พบเจอกันในช่วงที่ประสบเคราะห์ภัย
และยิ่งมีข่าวที่เล็กกว่านั้น บอกว่าน้องสาวของฮ่องเต้ที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไปอยู่ต่างแคว้น อันที่จริงมีเรื่องราวในอดีตกับแม่ทัพหนุ่มผู้นี้
แม่ทัพหนุ่มสีหน้าเฉยชา “หากไม่ระวังแล้วฉีกหน้าแตกหักกับราชวงศ์ต้าเฉวียนขึ้นมาจริงๆ เมื่อสงครามบังเกิด บางทีกวอเซียนซืออาจจะพูดง่ายยิ่งกว่าข้า”
สีหน้าของผู้ฝึกตนเฒ่ามืดทะมึน แค่นเสียงหยันในลำคอหนึ่งที หวนกลับไปนั่งเข้าฌานฝึกตนอยู่ในศาลาต่ออีกครั้ง
ทำเนียบขุนเขาสายน้ำในจวนจินหวง อันที่จริงได้ถูก ‘ย้าย’ ไปยังราชวงศ์ต้าเฉวียนนานแล้ว ทว่าจวนจินหวงกลับยังตั้งอยู่บนอาณาเขตของแคว้นเป่ยจิ้นอย่างไม่อาจโต้เถียงได้ ดังนั้นหากยังไม่ย้ายที่ก็จะกลายเป็นว่าไม่ถูกต้องชอบธรรม ต่อให้ทะเลาะโต้เถียงกันจนไปถึงอริยะเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาต้าฝู ก็ยังคงเป็นราชวงศ์ต้าเฉวียนและจวนจินหวงที่ไร้เหตุผล
ตอนนี้เรื่องที่ค่อนข้างลุ่มลึกซับซ้อน อันที่จริงกลับเป็นทะเลสาบซงเจินที่มีน่านน้ำกว้างถึงแปดร้อยลี้แห่งนั้น สุดท้ายแล้วทะเลสาบใหญ่แห่งนี้จะตกเป็นของใครและจะแบ่งสรรกันอย่างไร เป็นเรื่องที่รอให้ปรึกษาหารือกันอยู่จริงๆ
ความคิดของฮ่องเต้เป่ยจิ้นชัดเจนมาก จวนจินหวงต้องย้ายขึ้นเหนือ ทางที่ดีที่สุดคือพวกเขายังสามารถยึดครองตลอดทั้งทะเลสาบซงเจินเอาไว้ได้ หากทางฝั่งของต้าเฉวียนอาศัยอำนาจรังแกผู้อื่น ถ้าอย่างนั้นก็ไปถกเหตุผลกับอริยะสำนักศึกษากันเถอะ
เส้นขีดจำกัดต่ำสุดของทางฝั่งเป่ยจิ้นก็คือแบ่งทะเลสาบซงเจินออกเป็นสองส่วน ให้ทางจวนวารีของหูจวินยึดครองน่านน้ำของทะเลสาบซงเจินไปประมาณหนึ่งส่วนสี่เท่านั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงทั้งสองแคว้นทะเลาะกันมานานหลายปีแล้ว ทั้งบนและล่างของราชสำนักราชวงศ์ต้าเฉวียนต่างก็มีท่าทางแข็งกระด้างอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขุนนางในวัยฉกรรจ์และพวกแม่ทัพบู๊ชายแดนที่ต่างก็โหวกเหวกว่าจะให้เป่ยจิ้นได้ยินเสียงกีบเท้าม้ากันเสียบ้าง
กลางลำธาร ผีสาวตนนั้นหันหน้ามามองบนฝั่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แขกท่านนี้มองดูแล้วไม่คุ้นหน้า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แม่นางเห็นว่าข้าแปลกหน้าก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน ข้าเคยเดินทางผ่านอาณาเขตของจวนจินหวง ได้เจอกับขบวนแต่งงานของใต้เท้าฝู่จวินพอดี ภายหลังยังโชคดีเคยได้พบหน้าฝู่จวินหนึ่งครั้ง ปีนั้นไม่ได้ดื่มสุราหลันฮวา ครั้งนี้เดินทางผ่านสถานที่สูงศักดิ์แห่งนี้เลยคิดว่าจะมีโอกาสได้ชดเชยหรือไม่”
ผีสาวอึ้งตะลึง จากนั้นก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจทันที
เพราะปีนั้นนางก็อยู่ในขบวนเทพภูเขาสู่ขอภรรยาครั้งนั้นด้วย ทำไมถึงจำไม่ได้นะว่าเคยพบหน้าคนผู้นี้มาก่อน?
อันที่จริงก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเห็นหน้านางก็จำได้ในทันที จึงยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางยังจำได้หรือไม่ว่าปีนั้นมีแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านคนหนึ่งไม่ทันระวังละเมิดข้อห้ามแห่งขุนเขาสายน้ำ? พวกเจ้าไม่เพียงแต่ไม่ถือสา ภายหลังรับฮูหยินเทพภูเขากลับมาถึงจวนจินหวงแล้ว ตอนนั้นแม่นางถือโคมไฟไว้ในมือ พอได้รับคำอนุญาตจากหมัวมัวผู้เฒ่าท่านหนึ่ง เจ้ายังเชิญให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยงฉลอง เพียงแต่ว่าตอนนั้นข้ารีบเร่งเดินทาง จึงพลาดงานเลี้ยงฉลองแต่งงานใหม่ของใต้เท้าฝู่จวินไป”
เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่า ยิ้มอย่างรู้กัน
ผีสาวตนนั้นพลันคลี่ยิ้มกว้าง “เป็นเจ้า?! ตอนนั้นเจ้ายังเป็นเด็กหนุ่ม…เป็นคุณชายอายุน้อยอยู่เลย! มิน่าเล่าข้าถึงจำไม่ได้”
ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะบังเอิญได้เจอขบวนเทพภูเขาสู่ขอภรรยา หากไม่ใช่คนขี้โรคป่วยกระเสาะกระแสะ ปราณหยางเบาบางเกินไป ก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนที่ลงจากภูเขามาหาประสบกาณณ์
เพียงแต่ว่าผีสาวกลับทอดถอนใจอยู่ในใจ บุรุษตรงหน้าผู้นี้ เกินครึ่งคงไม่ใช่ยอดฝีมือบนภูเขาอะไรแล้ว
ไม่อย่างนั้นเวลาสั้นๆ เพียงแค่ยี่สิบปี รูปโฉมของอีกฝ่ายก็คงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้ ทำเอานางจำไม่ได้แม้แต่น้อย
ทุกวันนี้จวนเทพภูเขาจินหวงกับจวนหูจวินซงเจินคือครอบครัวเดียวกัน นายท่านผู้เฒ่าฝู่จวินกับฮูหยินหูจวินเหมือนคู่รักเทพเซียนยิ่งกว่าพวกผู้ฝึกตนบนภูเขาเสียอีก
ทว่าจวนภูเขาและจวนน้ำสองแห่งในเวลานี้กลับตกอยู่ในสภาพการณ์ที่มีเรื่องให้ต้องกลัดกลุ้มมากมาย
ไม่อย่างนั้นตอนที่อยู่ตรงศาลาก็คงไม่มีคนพูดจาทุเรศๆ ว่าปิดผนึกขุนเขาสายน้ำอะไรนั่นเป็นแน่
เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งมีวิชาคาถาไม่ธรรมดาก็จริง ทว่าภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ไหนเลยจะกล้าวางอำนาจกับจวนจินหวงและจวนหูจวิน
จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นเพราะเบื้องหลังมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงาเย็นสบายนั่นเอง นายท่านและฮูหยินบ้านตนเป็นเช่นนี้ เทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้นก็เช่นเดียวกัน ปัญหาอยู่ที่ว่าจวนจินหวงบ้านตนไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าเฉวียน แต่ตั้งอยู่ในอาณาเขตของแคว้นเป่ยจิ้น
ผีสาวยื่นมือมาลูบตรงชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สองนิ้วคีบปลาชิงยาวประมาณชุ่นกว่าไว้ตัวหนึ่ง ครั้นจึงเป่าลมใส่ปลาชิงน้อยเบาๆ หนึ่งที เป็นการ ‘แต้มนัยน์ตา’ ให้กับมัน จากนั้นจึงใช้เสียงในใจเอ่ยสองสามประโยคแล้วโยนมันลงน้ำเบาๆ ปลาน้อยจมลงสู่ผืนน้ำ สะบัดหางหนึ่งทีก็พุ่งหายไปอย่างว่องไว
ปลาชิงส่งข่าวตัวนั้นไปหาคนเฝ้าประตูของจวนจินหวงอย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่าที่มีชาติกำเนิดจากภูตภูเขาไม่กล้าเพิกเฉย รีบส่งข่าวแจ้งไปยังเบื้องบนทันที
บุรุษคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีทอง ซึ่งก็คือเทพภูเขาอันดับหนึ่งที่อยู่เบื้องล่างซานจวินห้าขุนเขาของเป่ยจิ้นในอดีตเพียงผู้เดียว ฝู่จวินจวนจินหวง เจิ้งซู่
หลังจากที่เขาได้รับข่าวลับมาจากปลาชิงก็รีบใช้กระบี่บินส่งข่าวที่ทางราชวงศ์ต้าเฉวียนมอบให้ส่งข่าวไปยังภรรยาหลิ่วโย่วหรงที่เฝ้าพิทักษ์จวนหูจวินทันที
การเข่นฆ่าในปีนั้น หากไม่เป็นเพราะคนที่ผ่านทางมาผู้นั้นใช้หนึ่งยันต์หนึ่งกระบี่ดักสังหารเทพวารีศาลเถื่อนของทะเลสาบซงเจิน ภัยแฝงที่ตามมาเบื้องหลังคงมีมากมายไร้ที่สิ้นสุด
เพียงแต่ว่าเรื่องวงในพวกนี้ นอกจากภรรยาและคนสนิทไม่กี่คนแล้ว เจิ้งซู่ล้วนไม่เคยบอกกล่าวแก่ผู้ใด
วันนี้เจิ้งซู่เดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ รอคอย ‘เซียนซือเด็กหนุ่ม’ ที่มีพระคุณต่อจวนจินหวงด้วยความอดทน ใต้เท้าฝู่จวินท่านหนึ่งถึงกับเผยสีหน้าปิติยินดีคล้ายเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ระหว่างทางที่ไปยังจวนจินหวง เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าพลันตะโกนเรียกขึ้นมาว่าอาจารย์พ่อ
เฉินผิงอันหันกลับมามอง “มีอะไรหรือ?”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง ไม่ได้เอ่ยคำใด
เผยเฉียนแค่นึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมายตอนที่เป็นเด็กขึ้นมาได้ บางทีอาจารย์พ่ออาจจะลืมไปแล้ว หรือจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว แต่ขอแค่เผยเฉียนตั้งใจคิดถึง เรื่องราวเหล่านั้นก็เหมือนมาปรากฏแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า ทุกคำทุกประโยคไม่มีตกหล่น
ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นนางที่ยังเป็นถ่านดำน้อยมักจะสะลึมสะลือตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วตกใจกลัว จากนั้นก็จะเริ่มบ่นเจ้าคนขี้เหนียวที่มีเงิน เมื่อถ่านดำน้อยถามเขาว่าเป็นเพราะเอาชนะสิ่งสกปรกพวกนั้นไม่ได้ใช่หรือไม่ สิ่งแรกที่เขาพูดคือห้ามเรียกว่าสิ่งสกปรก จากนั้นก็ย้อนถามนางว่า ‘ในเมื่อพวกเราทำผิดก่อน แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าเอาชนะพวกมันได้หรือไม่ได้ด้วยล่ะ?’
‘หากเอาชนะได้ เจ้าก็ไม่ต้องก้มหน้าขอโทษคนอื่นไงล่ะ พวกมันต่างหากที่ต้องขอโทษพวกเรา เป็นฝ่ายยอมถอยให้พวกเรา ยกตัวอย่างเช่นเสียงตีกลองตีฆ้องของพวกมันหนวกหูจะตาย พวกมันก็ต้องขอโทษพวกเรา หากจ่ายเงินชดใช้ด้วยก็ยิ่งดี’
‘ต่อให้ข้าเอาชนะพวกมันได้ แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?’
‘ก็พวกเราเป็นพวกเดียวกันไงล่ะ’
ตอนนั้นแม่นางน้อยยังตระหนักไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาพูดประโยคหนึ่งว่า ‘พวกเราทำผิดก่อน’ ไม่ใช่ ‘เจ้า’
ภายหลังอยู่ดีๆ ก็สังหาร ‘ปีศาจใหญ่’ ได้ ถ่านดำน้อยเอนซบบนหลังเขา ถามเสียงเบา ‘เจ้าเป็นคนดี คนดีในใต้หล้านี้ล้วนเป็นแบบเจ้า ใช่ไหม?’
หลังจากนั้นต่อมา เขายื่นมือออกมา แม่นางน้อยยู่หน้าตบยันต์สองแผ่นลงบนฝ่ามือของคนผู้นั้น น้อยเนื้อต่ำใจอย่างถึงที่สุด โหวกเหวกเสียงดังว่า ‘มอบให้ข้าสักแผ่นไม่ได้หรือ? ข้าวิ่งมาไกลขนาดนี้ สุดท้ายก็วิ่งไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ’
เผยเฉียนเดินอยู่ริมขอบของถนน หันหน้ามองไปยังฝั่งตรงข้ามของธารน้ำ
เฉินผิงอันพลันเอ่ยเบาๆ ว่า “เรื่องบางอย่างอาจารย์พ่อจดจำได้อย่างชัดเจน ดังนั้นตอนนี้อาจารย์พ่อจึงรู้สึกโชคดีมากที่ปีนั้นไม่ได้ทอดทิ้งเจ้า”