กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 758.3 สหายเก่านั่งเต็มห้องโถง
เฉินผิงอันคอยจับสังเกตดูการไหลรินของลมปราณแม่ทัพผู้เฒ่าอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ดีกว่าที่คิดเอาไว้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เป็นสีหน้าสดใสก่อนตาย แต่ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็น ดูเหมือนว่าโชคชะตาแคว้นของต้าเฉวียนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เฉินผิงอันลองคำนวณดูคร่าวๆ หากในวังไม่มีวัตถุลักษณะคล้ายตะเกียงแห่งชะตาชีวิตก็ต้องเป็นทางฝั่งของกองโหราศาสตร์ที่แอบลงมือกระทำการละเมิดกฎของศาลบุ๋นบางอย่างอย่างลับๆ มีคนตัดไส้ตะเกียงเติมน้ำมันอยู่ที่นั่น และน้ำมันที่เติมลงไปนี้ ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำคนใดก็ไม่อาจร้องขอมาได้ เพราะมันก็คือโชคชะตาแคว้นของต้าเฉวียนที่เป็นดั่งมายาเลื่อนลอย หรือว่าเหยาจิ้นจือที่อยู่ในสถานที่ตั้งเก่าของตระกูลเหยาริมชายแดนมีการกระทำอะไรที่สามารถสืบทอดชะตาแคว้นต่อไปได้? ยกตัวอย่างเช่นขยับขยายอาณาเขตให้ต้าเฉวียนได้สำเร็จอีกครั้ง หรือไม่ก็พูดคุยกับเป่ยจิ้นเรื่องที่ว่าทะเลสาบซงเจินจะตกเป็นของใครได้สำเร็จแล้ว ท้ายที่สุดจึงรับเอาทะเลสาบซงเจินทั้งผืนมาไว้ในขุนเขาสายน้ำของต้าเฉวียนแล้ว
สตรีพกดาบผลักประตูเปิดออกเบาๆ
ผู้เฒ่าเอ่ยว่า “รู้สึกเหนื่อยแล้ว ข้าขอนอนสักพัก แต่ดูเหมือนว่ายังสามารถตื่นขึ้นมาได้อีก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ทุกครั้งที่หลับตาก็ไม่มั่นใจว่าจะลืมตาขึ้นมาได้อีก”
เหยาหลิ่งจือประคองท่านปู่ของตนอย่างระมัดระวัง ให้ผู้เฒ่าเอนกายนอนพักผ่อนอีกครั้ง
เฉินผิงอันไม่ได้ออกจากห้องไปทันที เหยาเซียนจือกลับดึงพี่สาวออกไปก่อน
สองพี่น้องกระซิบกระซาบกันเบาๆ อยู่นอกระเบียง เหยาหลิ่งจือเอ่ยว่า “อาจารย์แปลกใจมากจึงถามข้าตรงๆ ว่าคนที่มาใช่คนแซ่เฉินหรือไม่ หรือว่าอาจารย์คือคนรู้จักเก่าของคุณชายเฉิน?”
อาจารย์วิถีวรยุทธของเหยาหลิ่งจือคือผู้ถวายงานอันดับสูงสุดของต้าเฉวียน หลิวจงคนลับมีดที่มาจากพื้นที่มงคลดอกบัว เพียงแต่ว่าคนลับมีดผู้นี้ไม่ได้เปิดเผยรากฐานสถานะของตัวเอง กับเหยาหลิ่งจือที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดก็ไม่เคยเอ่ยถึงบ้านเกิดให้ฟัง
เหยาเซียนจือใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็ถามคำถามหนึ่งขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทไม่ใช่ผู้ฝึกตนเสียหน่อย เหตุใดเวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้รูปโฉมถึงได้เปลี่ยนไปน้อยนัก อาจารย์เฉินคือเซียนกระบี่ แต่ความเปลี่ยนแปลงกลับมากมายถึงเพียงนี้”
เหยาหลิ่งจือสะกดกลั้นไฟโทสะ “ฝ่าบาท ฝ่าบาท! อยู่ที่อื่นก็ช่างเถิด อยู่ในบ้านตัวเองเจ้าอย่าทำตัวห่างเหินแบบนี้ได้ไหม เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่เห็นเจ้าจงใจรักษามารยาทระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง เรียกขานนางคำแล้วคำเล่าว่าฝ่าบาทเช่นนี้ พี่หญิงจิ้นจือเสียใจมากแค่ไหน?!”
เหยาเซียนจือสีหน้าเฉยชา “เป็นถึงฮ่องเต้แล้ว แค่ความเสียใจเล็กๆ น้อยๆ จะนับเป็นอะไรได้”
เหยาหลิ่งจือกดเสียงลงต่ำ ทว่าความเดือดดาลบนใบหน้ากลับมากกว่าเดิม นางพูดอย่างมีโทสะว่า “ก็แค่เรื่องทะเลาะเบาะแว้งตอนประชุมเช้านอกตำหนักปีนั้นไม่ใช่หรือ เจ้าจะยังขุ่นเคืองพี่หญิงอีกนานเท่าไรถึงจะยอมปล่อยวาง?! เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลเหยา ช่วยคิดถึงสถานการณ์ใหญ่ของราชสำนักบ้างได้ไหม? เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำว่าถือน้ำถ้วยหนึ่งให้ตรงนั้นยากแค่ไหน ต่อให้พี่หญิงทำอะไรอย่างเป็นธรรม ไม่เอนเอียงเข้าข้างใครมากแค่ไหน แต่อยู่ในสายตาของคนอื่นก็มีแต่จะคิดว่านางลำเอียงเข้าข้างตระกูลเหยา กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง เจ้าคิดว่าฮ่องเต้เป็นกันได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากจิ้นจือเป็นแค่ฮองเฮา อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นพวกสหายร่วมรบของเจ้าทั้งหลาย แต่ละคนล้วนจะถูกทางราชสำนักถือหางอย่างถึงที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่จิ้นจือเองก็บอกเป็นนัยแก่เจ้าเป็นการส่วนตัวตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้เจ้าอดทนรอ ทนรับความอยุติธรรมไปก่อน เพราะความเสียเปรียบมากมายในตอนนี้จะได้รับการชดเชยกลับมาในอนาคตวันหน้า เจ้าลองคิดดูให้ดีเถิด เพื่อถ่วงสมดุลของภูเขาวงการขุนนางอย่างระมัดระวัง ลูกหลานตระกูลเหยาและพันธมิตรในราชสำนักที่มีคุณูปการเกริกก้องกี่มากน้อยที่ต้องพลาดการถูกคัดเลือกให้เป็นยี่สิบสี่ผู้มีคุณูปการ? หรือว่ามีแต่เจ้าเหยาเซียนจือที่ต้องได้รับความอยุติธรรม?”
เหยาเซียนจือยกสองมือกอดอก “ขุนนางน้ำใสยังยากจะตัดสินธุระในครอบครัวได้ แล้วนับประสาอะไรกับพวกเราที่เป็นถึงตระกูลผู้ครองแคว้นแล้ว เหตุผลข้าเข้าใจ หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ส่วนรวม ป่านนี้ข้าก็คงทิ้งภาระหน้าที่ไสหัวออกไปจากเมืองหลวงนานแล้ว จะได้ไม่ต้องอยู่ขวางหูขวางตาใคร ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าเสียดายสถานะจวิ้นอ๋อง เสียดายตำแหน่งขุนนางเจ้าเมืองของเมืองหลวงนี่นักหรือ?”
ตามกฎของต้าเฉวียน จวิ้นอ๋องและกั๋วกงคือตำแหน่งขั้นหนึ่งชั้นโท
ทุกวันนี้นอกจากจวนเซินกั๋วกงที่เคยเป็นไม้เด่นเกินไพรในต้าเฉวียนแล้ว ก็มีกั๋วกงเพิ่มมาถึงแปดท่าน ไม่ว่าจะเป็นขุนนางสำคัญฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊ล้วนมีหมด แม่ทัพใหญ่สวี่ชิงโจวก็คือคนหนึ่งในนั้น
เหยาหลิ่งจือต่อยลงบนไหล่ของน้องชายอย่างเดือดดาล “มีแต่เจ้านั่นแหละที่เป็นคนโง่สนแต่ความรู้สึกของตัวเอง ไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่นิดเดียว!”
เหยาเซียนจือถูกต่อยจนร่างโยก ชายแขนเสื้อช่วงหนึ่งที่ว่างเปล่าจึงปลิวตามไปเบาๆ ทำเอาเหยาหลิ่งจือที่มองเห็นตาแดงก่ำ อยากจะพูดอ่อนโยนกับน้องชายสักสองสามคำ แต่ก็กลัวอีกว่าหากพูดไปแล้ว เหยาเซียนจือจะยิ่งเอาแต่ใจมากกว่าเดิม ทันใดนั้นความรู้สึกนับร้อยพลันประดังประเด สตรีออกเรือนแล้วที่เคยหันดาบเข้าหาอ๋องเจ้าเมืองผู้หนึ่งอย่างไม่กลัวเกรงกลับทำได้เพียงหันหน้าไปแอบเช็ดน้ำตาทางอื่น
คนชุดเขียวผู้นั้นผลักประตูออกมาเบาๆ งับประตูปิดแผ่วเบา เดินมาที่กลางระเบียง
เหยาหลิ่งจือรีบจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง พูดกับเฉินผิงอันว่า “อาจารย์เฉิน ทางฝั่งของเมืองหลวงนี้ไม่มีคนคิดจะสืบสถานะของท่านอย่างส่งเดชแน่นอน วันนี้จะถือว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่จะมีคนส่งกระบี่บินลับแจ้งข่าวไปทางทิศใต้ เรื่องนี้ข้าขัดขวางไว้ไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณนางหนึ่งคำ จากนั้นก็ยิ้มพูดกับเหยาเซียนจือว่า “เจ้าควรจะไสหัวไปกินลมตะวันตกเฉียงเหนือที่ชายแดนได้แล้ว ไม่เหมาะจะเป็นเจ้าเมืองอยู่ในเมืองหลวงที่ต้องคอยรับรองดูแลคนรอบด้านอะไรนี่จริงๆ”
ดวงตาเหยาเซียนจือเป็นประกายวาบ “อาจารย์เฉิน ท่านจะพูดกับท่านปู่หรือ? คำพูดของท่านได้ผลที่สุดแล้ว ไม่ต้องให้เป็นแม่ทัพบู๊ที่กุมอำนาจกองทัพเพียงหนึ่งเดียวอะไร เพราะข้าเองก็ไม่มีความสามารถจริงๆ มอบตำแหน่งตูเว่ยลาดตระเวน ขุนนางบู๊ขั้นหกชั้นโทให้ข้าก็มากพอจะไล่ข้าไปได้แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีปัญหา แน่นอนว่าสามารถช่วยได้ แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นเจ้าต้องเข้าใจเหตุผลที่พี่สาวของเจ้าพูดกับเจ้าก่อนหน้านี้จริงๆ เสียก่อน ถึงจะปล่อยให้เจ้าไปเลี้ยงม้าที่ชายแดนได้ ไม่อย่างนั้นวันหน้าอยู่ในเมืองหลวงแค่เจอเรื่องเล็กน้อย แค่ลมพัดต้นหญ้าส่ายไหว เจ้าก็ทำอะไรโดยใช้อารมณ์ไปเสียหมด เจ้าคิดว่าตัวเองคือตูเว่ยลาดตระเวนแล้ว ในสายตาของคนอื่นล่ะ? คาดว่าแค่กระพือไฟใส่ข้างหูไม่กี่ประโยค มีสหายร่วมรบคนใดได้รับความไม่เป็นธรรมในวงการขุนนางขึ้นมาอีก เจ้าก็คงกล้านำขบวนทหารม้าหลายร้อยนายบุกเข้ามาสังหารถึงเมืองเซิ่นจิ่งเลยกระมัง? หากเปลี่ยนข้ามาเป็นฮ่องเต้ ให้เจ้าเป็นไท่ผิงจวิ้นอ๋องที่ปิดประตูอยู่ในบ้านย่อมสบายที่สุด ดูสิว่าเจ้าจะยังทวงความเป็นธรรมให้แก่เหล่าพี่น้องร่วมรบที่ถอยออกจากสนามรบเหล่านั้นได้อีกหรือไม่ จะยังทะเลาะต่อยตีระหว่างการประชุมขุนนางนอกวัง? ยกเท้าถีบขุนนางบุ๋นผู้เฒ่าสองสามที? ไหนลองว่ามาสิ จุ๊ๆ เจ้าตัวดี คิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางไร้ศัตรูทัดเทียมล่างภูเขาของทวีป หรือว่าเป็นเซียนซือห้าขอบเขตบนบนยอดเขาที่วิชาอภินิหารเลิศล้ำค้ำฟ้าแล้วหรือไร?”
“เด็กหนุ่มไม่รู้ความ วู่วาม วู่วามแล้วใช่ไหม? นี่ก็เรียนรู้มาจากอาจารย์เฉินใช่ไหม พอเจอกับเรื่องอยุติธรรม ไม่สนหรอกว่ามีไม่มีเหตุผล ออกหมัดก่อนค่อยว่ากัน”
แรกเริ่มเหยาเซียนจือยังฟังด้วยความห่อเหี่ยว แต่ฟังไปถึงช่วงท้ายๆ กลับยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นเรื่อยๆ หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “อาจารย์เฉินท่านไม่ได้เห็นภาพนั้น พวกขุนนางบุ๋นกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่ หากไม่เป็นเพราะสวี่ชิงโจวห้ามไว้ ข้าคนเดียวก็ต่อยพวกเขาให้กองอยู่กับพื้นได้ทั้งหมด แต่ตอนนี้ไม่มีโอกาสเช่นนี้แล้ว อย่าว่าแต่รองเจ้ากรมอะไรเลย แค่หยวนไหว้หลางกรมครัวเรือนสักคนก็ยังด่าไม่ได้ตีไม่ได้ ช่างสูงศักดิ์ล้ำค่านัก หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรก ตอนนั้นข้าคงต้องฉวยโอกาสตอนที่ฟ้ามืดถีบไปอีกหลายๆ ทีแล้ว”
เหยาหลิ่งจือรับฟังด้วยความจนใจ แต่กลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จะดีจะชั่วคุณชายเฉินก็อยู่ที่นี่ น้องชายคนนี้จึงไม่พูดจาแปลกแปร่งระคายหู ดีแต่จะทำให้จิ้นจือเจ็บปวดหัวใจเหมือนเดิมอีก
เฉินผิงอันยื่นมือออกไปตบชายแขนเสื้อที่ว่างเปล่าของชายฉกรรจ์ขากะเผลก ไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยปลอบใจ กลับกันยังเอ่ยสัพยอกว่า “โชคดีที่ได้เป็นใต้เท้าเจ้าเมือง ไม่ได้ขี่ม้าถือหอกบุกเดี่ยวไปท่องยุทธภพ ไม่อย่างนั้นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธขอบเขตห้าผู้ยิ่งใหญ่คงได้ฉายาว่าหมัดเทพแขนเดียวมาอย่างแน่นอน เกิดอะไรขึ้น ถูกปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนฟันเอาหรือ? หากไม่ใช่ก็ไม่ต้องพูดให้ข้าฟังเลย ไม่มีอะไรให้น่าพูดหรอก”
เหยาหลิ่งจือชำเลืองตามองน้องชายอย่างระมัดระวัง
คิดไม่ถึงว่าเหยาเซียนจือไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเสียใจ กลับกันยังพูดด้วยสีหน้าลำพองใจว่า “บนสนามรบเต็มไปด้วยความอันตราย คือสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนดินตนหนึ่ง เป็นผู้ฝึกกระบี่! คอยหลบซ้ายหลบขวา ใช้แผนการชั่วร้ายกับข้า แสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งผ่านมา เจ้าตัวดี มารดามันเถอะ ตอนแรกข้ายังไม่รู้สึกปวดหัวด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองสตรีออกเรือนแล้วที่พกดาบ
เหยาหลิ่งจือยิ้มเอ่ย “อย่าไปฟังเขาโม้ ท่ามกลางขบวนทัพที่วุ่นวาย ไม่รู้ว่าไปถูกคนฟันแขนขาดได้อย่างไร แต่ตอนนั้นบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่เซียนจืออยู่มีเซียนกระบี่เผ่าปีศาจอยู่ตนหนึ่งจริงๆ ออกกระบี่เฉียบคม แสงกระบี่พุ่งฉวัดเฉวียนเลยล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็คิดว่าถูกเซียนกระบี่ฟันแขนขาดแล้วกัน ไม่อย่างนั้นยามอยู่บนโต๊ะเหล้าจะไม่มีเรื่องให้เอามาคุยโม้ได้”
ใบหน้าของเหยาเซียนจือเต็มไปด้วยความคาดหวัง เอ่ยถามเสียงเบาว่า “อาจารย์เฉิน ที่บ้านเกิดของท่านทำสงครามกันดุเดือดยิ่งกว่า ได้ยินมาว่ามีสงครามตั้งแต่นครมังกรเฒ่าไปจนถึงเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีที่ตั้งอยู่ภาคกลาง บนสนามรบท่านได้เจอกับปีศาจใหญ่สมชื่อบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ยิ้มตอบว่า “เจอบ้างเล็กน้อย เคยได้ประมือกัน ไม่ใกล้ไม่ไกล พอจะถือว่าทั้งสองฝ่ายปะหน้ากันได้อย่างถูไถ”
เหยาเซียนจือเอ่ยต่อว่า “อาจารย์เฉิน ข้าพูดถึงปีศาจใหญ่นะ แบบที่เป็นห้าขอบเขตบนน่ะ! มีกี่ตัว? มือหนึ่งนับได้หรือไม่? หากไม่ได้ ความเลื่อมใสที่ข้ามีต่ออาจารย์เฉินก็จะลดน้อยลงครึ่งหนึ่งแล้ว”
เฉินผิงอันยื่นมือไปตบไหล่ชายฉกรรจ์ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันหน้าอย่าได้คุยกับคนอื่นแบบนี้อีก”
ชายฉกรรจ์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
เหยาเซียนจือเริ่มเดินขากะเผลกโดยไม่ปิดบัง ชายแขนเสื้อข้างหนึ่งก็ปล่อยให้มันปลิวไปโดยที่ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
เหยาหลิ่งจือหัวเราะตามไปด้วย นับตั้งแต่ทำสงครามจนมาถึงวันนี้ หลายปีมากแล้วที่นางไม่เคยได้เห็นน้องชายยิ้มกว้างเต็มใบหน้าเช่นนี้
หลักการเหตุผลบางอย่าง อันที่จริงเหยาเซียนจือเข้าใจจริงๆ เพียงแต่ว่าเข้าใจแล้วกลับไม่ยินดีจะเข้าใจอีก ราวกับว่าการไม่เข้าใจเรื่องราว จะดีจะชั่วก็ยังพอจะทำอะไรได้บ้าง แต่หากเข้าใจแล้ว กลับกลายเป็นว่าไม่ว่าอะไรก็ทำไม่ได้แล้ว
ดังนั้นไม่ว่าจะเหยาจิ้นจือที่เป็นฮ่องเต้จะพูดอะไรกับเขา หรือเหยาหลิ่งจือที่เขายังคงมองเป็นพี่สาวมาโดยตลอดพูดอะไรกับเขา เหยาเซียนจือล้วนฟังไม่เข้าหู ไม่อย่างนั้นในใจก็มีแต่จะยิ่งเจ็บปวดทรมานมากกว่าเดิม
คนทั้งสามออกมาจากเรือนหลังนี้ กลับไปยังที่พักของเหยาเซียนจืออีกครั้ง
เหยาหลิ่งจือลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “คุณชายเฉิน ข้ากราบอาจารย์ท่านหนึ่ง เขาเป็นผู้ถวายงานอยู่ในเมืองหลวงต้าเฉวียนเรามาหลายปีแล้ว คือปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธท่านหนึ่ง ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้พอเขาเห็นเงาร่างของท่านก็รีบเร่งรุดมาทันที ถามว่าแขกของจวนเหยาใช่คนแซ่เฉินหรือไม่ ข้าไม่ได้ตอบ แต่อาจเป็นเพราะท่านอาจารย์ผู้อาวุโสมองอะไรออกแล้ว ดังนั้นถึงได้ฝากคำพูดข้ามาบอกว่า เขารู้จักอาจารย์จ้ง ปีนั้นเขายังเคยร่วมมือกับอาจารย์จ้งรับมือกับเซียนกระบี่แซ่อวี๋ด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้ากับอาจารย์ของแม่นางเหยาเป็นคนรู้จักเก่ากันจริงๆ หากที่จวนแห่งนี้ไม่มีข้อห้ามอะไร ข้าก็ขอวางมาดใหญ่โตสักหน่อย สามารถให้เขามาเยือนจวนเหยาอีกสักรอบหนึ่ง พูดคุยเรื่องวันวานกับข้าได้”
เหยาหลิ่งจือเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเรียกอาจารย์มา”
เฉินผิงอันถาม “เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอ ตอนนี้นางอยู่ที่ตำหนักปี้โหยวหรือ?”
เหยาเซียนจือยิ้มเอ่ย “เปล่าสักหน่อย เหนียงเนียงเทพวารีของพวกเราท่านนี้ ร่างทองปริแตกไปเกินครึ่ง บอกว่าตัวเองไม่มีหน้าจะเป็นเทพวารีแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ยอมกลับไปที่จวนปี้โหยว ทุกวันเอาแต่อยู่ในห้องกระบี่ของกองโหราศาสตร์ ไม่ยอมไปที่ไหนทั้งนั้น เอาแต่รอคอยตาปริบๆ ให้ทางศาลบุ๋นส่งจดหมายตอบกลับมา บอกว่านางรู้จักท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง แม้แต่เซียนกระบี่ใหญ่จั่ว และยังมีลูกศิษย์คนเล็กของผู้เฒ่าเหวินเซิ่งนางก็เคยพบเจอมาแล้ว ล้วนรู้จักพวกเขา ดังนั้นนางจึงอยากจะลองดูว่าพอส่งจดหมายไปมอบให้แก่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่มีคุณธรรมสูงส่ง ความรู้เลิศล้ำเป็นเอก อีกทั้งยังเข้ากับคนได้ง่าย ใจดีมีเมตตาผู้นั้นแล้ว เขาจะสามารถช่วยนางขอโอสถวารีช่วยชีวิตที่ประสิทธิภาพดียิ่งกว่าจากเทพเซียนบนภูเขามาให้แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาได้หรือไม่ เพราะนางรู้ว่าโอสถของจวนวารีตำหนักปี้โหยวบ้านตนไม่ได้เรื่อง ไม่อาจช่วยฝ่าบาทและท่านปู่ของข้าได้”
เหยาเซียนจือรีบเอ่ยว่า “สำหรับถ้อยคำไพเราะที่เอ่ยถึงเหวินเซิ่งพวกนี้ ข้าไม่ได้เป็นคนพูดเองนะ เป็นตอนที่ข้าดื่มเหล้ากับนาง แล้วเหนียงเนียงเทพวารีนับนิ้วพูดกับข้า เรอหนึ่งทีก็พูดหนึ่งคำ สีหน้ายามพูดจาจริงจังอย่างถึงที่สุด เพียงแต่ว่าข้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ทั้งสามท่านของสายเหวินเซิ่งนั้น ข้าว่าเหนียงเนียงเทพวารีคงไม่เคยเจอสักคน พอดื่มเหล้าเมาก็เลยโม้ให้ข้าฟังไปอย่างนั้นเอง แม้จะบอกว่าเซียนกระบี่ใหญ่จั่วเคยอยู่ที่ใบถงทวีป แต่เขาจะเป็นฝ่ายไปเป็นแขกที่ตำหนักปี้โหยวด้วยตัวเอง ไปพบหน้าเหนียงเนียงเทพวารีของพวกเราท่านนั้นได้อย่างไร ไม่มีเหตุผลแบบนี้หรอก”
เฉินผิงอันลุกขึ้นเอ่ยกับเหยาหลิ่งจือที่เดินไปได้ไม่ไกลเท่าใดนัก “รบกวนแม่นางไปแจ้งกับเหนียงเนียงเทพวารีด้วย บอกไปโดยตรงได้เลยว่าข้าคือเฉินผิงอัน”
เหยาหลิ่งจือจากไป ช่วยนำความไปบอกต่อ
เฉินผิงอันสอบถามรายละเอียดของสงครามต้าเฉวียนในอดีตจากเหยาเซียนจือ
เพียงไม่นานหลิวจงก็มาถึง ผู้เฒ่าน่าจะไม่ได้ออกห่างจากจวนเหยาไปไกลด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันลุกขึ้นกุมหมัดเอ่ย “ผู้อาวุโสหลิว”
ส่วนเหยาเซียนจือก็ลุกขึ้นกำหมัดทุบลงบนหัวใจเบาๆ “คารวะผู้ถวายงานหลิว”
หลิวจงคนลับมีดหันไปพยักหน้าให้กับชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมม จากนั้นก็ขยี้ปลายคาง จ้องเป๋งมองเฉินผิงอัน ทอดถอนใจเอ่ยว่า “คุณชายเฉินยิ่งนานก็ยิ่งมีมาดสง่างามของเจ๋อเซียนแล้ว ทำให้ข้าอดหวนนึกถึงตัวเองในปีนั้นไม่ได้”
เหยาเซียนจือมึนงง ฟังดูคล้ายความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์เฉินกับผู้ถวายงานหลิวจะดีมาก?
คนทั้งสามนั่งลง
พูดคุยกันได้แค่ไม่กี่ประโยค สตรีร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งก็ทะยานลมมาถึงอย่างรีบร้อน พลิ้วกายลงกลางลานบ้าน เบิกตากว้างมองมา พอแน่ใจว่าเป็นเฉินผิงอันนางก็กระทืบเท้า “ทั้งเหล้าบุปผาและบะหมี่ปลาไหลต่างก็ไม่มีแล้ว จะทำอย่างไรดี?!”
——