กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 759.5 เดินทางยามค่ำคืน
นางร้องอ้อหนึ่งที แล้วเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ข้าก็แค่รู้สึกใจคอไม่ดีไม่ใช่หรือ เจ้าว่าแปลกหรือไม่ เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้พบเจอกับนายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ก็จะขอท่านปู่บอกท่านย่า บอกว่าขอแค่ชีวิตนี้ได้พบเจอเขาสักครั้งก็พอใจแล้ว แต่รอกระทั่งได้เจอกันจริงๆ ครั้งหนึ่งไหนเลยจะพอ อยากจะเจอท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่เลื่อมใสมานานอีกเป็นครั้งที่สอง แน่นอนว่าหากมีครั้งที่สามข้าก็ไม่รังเกียจว่ามากเกินไป เฮ้อ ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งช่างมีมาดของอริยะจริงๆ ความใจกว้างเช่นนั้น ยามค่ำคืนก็ช่างใหญ่โตเหมือนเอาดวงตะวันมาแทนโคมไฟเลยจริงๆ ส่องสว่างเจิดจ้าเสียจนคนตาพร่าลาย แค่ได้พบหน้ากันข้าก็มองออกทันที มองไปปราดแรกก็รู้ทันทีว่าต้องเป็นท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่มาเยือนเองถึงจวน ภาพบรรยากาศของอริยะปราชญ์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาลของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่จริงดังคาด ทว่าครั้งแรกที่พบเจอกับเซียนกระบี่จั่ว ข้าขาดแววตาในการมองคนไปสักเล็กน้อย ต้องมองแวบที่สองถึงจะมองออก…”
เฉินผิงอันยอมรับชะตากรรมแล้ว รอให้เหนียงเนียงเทพวารีพูดให้จบก่อนก็แล้วกัน
ลำคลองม่ายเหอเคยเป็นลำคลองเส้นหลักของลำน้ำใหญ่ในใบถงทวีปที่ไหลลงสู่ทะเล เพียงแต่ว่ากาลเวลาผันผ่าน ขนาดของลำน้ำใหญ่หดเล็กลงมามาก สุดท้ายลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทรจึงเหลือเพียงลำคลองช่วงเล็กๆ อย่างลำคลองม่ายเหอนี้เส้นเดียวเท่านั้น ในอดีตจวนปี้โหยวเป็นที่ตั้งเก่าวังมังกรของราชามังกรลำน้ำใหญ่ตนหนึ่ง แผ่นหยกที่เกิดจากโชคชะตาน้ำรวมตัวจนกลายเป็นสิ่งของที่จับต้องได้จริงชิ้นนั้นก็คือหลักฐานแสดงตัวตนของเจ้าแห่งลำน้ำใหญ่ เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอได้มาครองโดยบังเอิญ จากนั้นนางจึงนำจารึกขอฝนที่ ‘หมื่นสรรพสิ่งล้วนหล่อหลอมได้’ แกะสลักลงไปด้านบน มีคำอธิบายบอกกล่าวไว้อย่างละเอียด
หลังจากสงครามใหญ่ผ่านพ้นไป ทุกวันนี้ร่างทองของเหนียงเนียงเทพวารีท่านนี้ก็ปริแตกไปเกินครึ่ง ลำพังแค่อาศัยหิมะใหญ่ที่หนึ่งปีจะตกลงมาหลายครั้งของนครเซิ่นจิ่ง คาดว่าหากไม่ได้รับการชดเชยสักสามร้อยปีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกลับคืนมาสมบูรณ์ดังเดิมได้ และสกุลหลิวต้าเฉวียนก็เพิ่งก่อตั้งแคว้นมาได้แค่สองร้อยกว่าปีเท่านั้น เว้นเสียจากว่าทางราชสำนักสามารถช่วยขยับขยายเส้นทางลำคลองให้กว้างขึ้น ขณะเดียวกันก็รับเอาลำธารจากต้นกำเนิดน้ำที่แตกต่างกันมามากกว่าเดิม
ทว่าเฉินผิงอันรู้ดีว่าสกุลเหยาต้าเฉวียน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือส่วนตัวแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะทุ่มเทกำลังแคว้นให้กับลำคลองม่ายเหอสายเดียวเช่นนี้ สำหรับตระกูลเหยาและลำคลองม่ายเหอ ต่างก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำน้อยใหญ่ทั้งหลาย ใหญ่จนถึงซานจวินห้าขุนเขา เล็กจนถึงเทพแห่งผืนดิน พ่อปู่ลำคลอง แม่ย่าลำคลอง ล้วนเป็นวงการขุนนางขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ในที่สุดเหนียงเนียงเทพวารีก็คืนสติ อาจารย์น้อยที่เดินอยู่ข้างกายเงียบไปนานแล้ว เริ่มเหม่อลอยจนถึงกับลืมพูดกับตนไปเลยหรือ?
เมื่อนางหยุดพูด ในที่สุดเฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงในใจว่า “ปีนั้นเหนียงเนียงเทพวารีมอบทั้งแผ่นหยกและคาถาให้ข้ามาพร้อมกัน ข้าได้รับผลประโยชน์มหาศาลเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้ เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าในอนาคตก็จะยิ่งเป็นเช่นนี้ บอกตามตรง เพราะมีมันถึงทำให้ข้าข้ามผ่านวันเวลาที่ไม่เป็นดังใจปรารถนาช่วงหนึ่งมาได้”
หลิ่วโหรวหัวเราะเสียงดังกังวาน “แบบนั้นก็ดีน่ะสิ ข้าก็นึกว่ามีเรื่องอะไร อาจารย์น้อยทำท่าทางจริงจังขนาดนี้ ทำเอาข้าอกสั่นขวัญผวามาถึงตอนนี้ เรื่องเอ่ยขอบคุณนั้นไม่ต้องหรอก ห่างเหิน เหมือนเป็นคนอื่นต่อกัน พวกเราสองคนเป็นใครกับใครกันเล่า”
เฉินผิงอันยิ่งเหนื่อยใจมากกว่าเดิม ความจริงบางอย่าง ทุกวันนี้ไม่สะดวกจะพูดมาก แต่ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเหนียงเนียงเทพวารี นางคงไม่เห็นคาถาและแผ่นหยกนั่นเป็นเรื่องสำคัญอะไรเลยจริงๆ
แผ่นหยกโชคชะตาน้ำที่แกะสลักคาถาเอาไว้แผ่นนั้น ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เนื้อหาของคาถาและตัวอักษรที่เป็นคำอธิบายมีทั้งสิ้นห้าพันกว่าตัว บวกกับคาถาหลอมวัตถุที่ฮว่อหลงเจินเหรินมอบให้ในถ้ำสวรรค์วังมังกร ทั้งสองอย่างควบคู่กัน ช่วยเหลือประคับประคองกันและกัน ทำให้เฉินผิงอันที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเรื่องให้ทำมากมาย
วิธีการฝึกตนมองดูเหมือนว่าเป็นการหลอมวัตถุ แต่แท้จริงแล้วกลับบรรยายถึงสัจธรรมการโคจรของวิถีแห่งห้าธาตุเอาไว้ ซึ่งเหมาะสมกับเฉินผิงอันอย่างถึงที่สุด บวกกับคำจำกัดความที่คาถาบทนั้นมีต่อเส้นชีพจรในร่างกายมนุษย์ที่ทั้งลี้ลับมหัศจรรย์และทั้งแม่นยำสุดขีด น้ำขวดทองบนฟ้าหนึ่งหยด เส้นด้ายพุ่งเต็มความว่างเปล่าดุจกระสวยทอผ้า…นับตั้งแต่โอสถทองแตกสลาย เลื่อนเป็นก่อกำเนิด จากนั้นจึงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธยอดเขา เรียกได้ว่าสร้างขึ้นมาเพื่อเฉินผิงอันโดยแท้ ล้วนมีประโยชน์มหาศาล จุดที่สำคัญที่สุดและลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่ว่าคาถานั้นเกี่ยวพันไปถึงนครแห่งที่สี่ของห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง คนที่ได้รับแผ่นหยกไป ขอแค่ทำการอนุมานเล็กน้อยก็จะค้นพบเส้นทางสี่เส้นที่ซ่อนอยู่ภายใน ทุกเส้นล้วนสามารถมองเป็นเส้นทางเดินขึ้นสวรรค์ที่ทำให้คนมีความหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้ อีกทั้งยังไม่ถึงขั้นหลงเดินไปทางผิด ไม่ถูกจิตมารทำลายปั่นป่วนจิตแห่งมรรคาไปได้ง่ายๆ แน่นอนว่าจิตมารยังคงอยู่ ไม่มีทางที่จะหายไปทั้งอย่างนี้ ทว่าพลานุภาพของจิตมารถูกลดทอนลงอย่างฮวบฮาบ ราวกับถูกมรรกถาสยบกำราบเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
นี่ก็เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘กลายเป็นสี่วันเย็น ปัดกวาดไอร้อนใต้หล้า’ ที่เอ่ยถึงในคาถา เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนเหมือนได้อยู่ในสถานที่เย็นสบายที่บนพื้นที่ราบแห่งหนึ่งมีหอสูงตั้งตระหง่าน จิตมารถูกขับไล่ออกไปด้านนอก คิดจะก่อกวนก็ราวกับต้องแหวกฝ่าฟ้าดินเล็กที่มีอริยะคนหนึ่งนั่งพิทักษ์เข้าไปให้ได้เสียก่อน หากเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตคอขวดก่อกำเนิดคนหนึ่ง ยามเผชิญหน้ากับจิตมารก็จะสามารถใช้ขอบเขตก่อกำเนิดมาคุมเชิงกับขอบเขตหยกดิบได้
ถ้าอย่างนั้นเมื่อมีมรรคกถานี้คอยปกป้อง มีขุนนางสวรรค์ของลัทธิเต๋าทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาล ช่วยเฝ้าประตูปกป้องมรรคาให้กับผู้ฝึกลมปราณ ก็เท่ากับว่าดึงจิตมารตนหนึ่งที่เดิมทีร้ายกาจมิอาจต่อกรให้กลับมาอยู่ในขอบเขตของก่อกำเนิดอีกครั้ง
เฉินผิงอันบอกเล่าสถานการณ์ในนางฟังอย่างคร่าวๆ
หลิ่วโหรวฟังด้วยความมึนงงสนเท่ห์ จากนั้นก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เอ่ยตามสัตย์จริงว่า “ตัวอักษรในแผ่นหยกซ่อนเส้นทางเดินขึ้นสวรรค์ไว้สี่เส้น? เยอะขนาดนี้เชียวหรือ? ทำไมข้าถึงไม่รู้เลยล่ะ? ยังนึกว่าแค่ ‘ก้าวเดียว’ ก็กลายเป็นเซียนได้แล้วเสียอีก”
ก็เหมือนอริยะปราชญ์ท่านหนึ่งของลัทธิขงจื๊อที่สร้างผลงานซึ่งถูกผู้มีความรู้ในยุคหลังนำไปอธิบายความหมายนับไม่ถ้วน ผลกลับกลายเป็นว่าอริยะปราชญ์ที่ตอนยกพู่กันเขียนผลงานไม่ได้คิดอะไรมากนัก ดันถูกตำราอรรถาธิบายความหมายพวกนั้นทำให้มึนงง
เฉินผิงอันยกมือออกมาจากชายแขนเสื้อ นวดคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยว่า “เหนียงเนียงเทพวารีไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าความหมายที่ข้าเอ่ยถ้อยคำพวกนี้ก็คือ ของขวัญชิ้นนี้หนักเกินไป ใหญ่จนถึงขั้นทำให้ข้ามิอาจตอบแทนได้”
หลิ่วโหรวโบกมือ “เกรงใจ ห่างเหิน เรื่องดีไม่กลัวมาช้า แล้วก็ไม่รังเกียจว่าจะใหญ่ด้วย อาจารย์น้อยอย่าได้ถือสาเลย ไม่อย่างนั้นจะทำให้ความองอาจลดน้อยลงไปหลายส่วน”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ ยามที่เหนียงเนียงเทพวารีก้าวเดินก็เชิดหน้าขึ้นสูง องอาจผึ่งผายยิ่ง
เฉินผิงอันกล่าว “ข้ามีข้อเสนอแนะอย่างหนึ่ง เหนียงเนียงเทพวารีสามารถอาศัยคาถาบทนี้ไปทำการค้ากับตระกูลเซียนอักษรจงบางแห่งที่ถูกชะตาด้วยได้ ยกตัวอย่างเช่นยอดเขาเสินจ้วนสำนักกุยหยก หรือไม่ก็พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา หรือไม่ก็สำนักฝูจี รวมไปถึงภูเขาไท่ผิงที่ในอนาคตจะมีการสืบทอดควันธูปศาลบรรพจารย์ต่ออีกครั้ง หากรู้สึกว่าสตรีผู้หนึ่งไม่ออกเรือนสองบ้าน ข้าก็แนะนำให้ขายมันให้กับเจียงซ่างเจินแห่งพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา”
ส่วนทางฝั่งของภูเขาไท่ผิงนั้น ยังต้องรอไปอีกเจ็ดสิบแปดสิบปี เกินครึ่งเหนียงเนียงเทพวารีคงรู้สึกเกรงใจ ถ้าอย่างนั้นตนก็ลงมือทำให้แทนเสียเลย แต่ยังต้องชดใช้คืนน้ำใจให้กับตำหนักปี้โหยว ตนก็แค่นำความของนางไปบอกต่อเจ้าขุนเขาภูเขาไท่ผิงในอนาคตผู้นั้น
คาถาทางจิตบทนี้เหมาะกับเซียนดินทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือผู้ฝึกตนอิสระ ต่อให้เป็นคนจิตแห่งมรรคาหนักแน่นแค่ไหน ไม่ถูกวัตถุนอกกายสั่นคลอนมากเท่าไร ก็ยังจะต้องดีใจเจียนคลั่ง ได้โอกาส ‘เดินขึ้นสวรรค์’ สี่ครั้งมาเพิ่มอย่างเปล่าๆ แล้วยังเหมือนว่ามีขุนนางสวรรค์ของลัทธิเต๋ามาช่วยปกป้อง ช่วยลดทอนผลกระทบที่เกิดจากการก่อกวนของจิตมาร ใครบ้างจะไม่ยินดี?
อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นสำนักอักษรจงที่รากฐานลึกล้ำแห่งใดก็ล้วนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน เหตุผลนั้นเรียบง่ายยิ่ง สำนักแห่งหนึ่ง เซียนดินมีมากพอ
ขอแค่เส้นทางการฝึกตนของเซียนดินคือเส้นทางห้าธาตุเหมือนกับเฉินผิงอัน หรือไม่ก็เหมือนกับบัณฑิตชุดดำแห่งหน่วยฉงเสวียนอุตรกุรุทวีป ฝึกวิชานี้ย่อมเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลประโยชน์เป็นเท่าตัว
ต่อให้ตอนนี้จะยังไม่มีเซียนดินที่เป็นเช่นนั้น แต่ทางสำนักก็สามารถบุกเบิกเส้นทางนี้ไว้ให้กับผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ที่คุณสมบัติดีเยี่ยมที่สุดไว้แต่เนิ่นๆ ได้ ตัวผู้ฝึกตนเองถามมรรคาอย่างระมัดระวัง ตั้งใจมานะฝึกตน บวกกับทางสำนักที่อบรมปลูกฝังอย่างเต็มที่ ช่วยปกป้องมรรคาให้อย่างรอบคอบ ถ้าเช่นนั้นในอนาคตร้อยปีพันปี ผู้ฝึกตนผู้บรรลุมรรคาที่เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินหรือกระทั่งห้าขอบเขตบน จำนวนก็มีแต่จะมากกว่าในอดีตมากนัก
หากจะบอกว่าเดินทางมาเยือนเมืองหลวงต้าเฉวียนครั้งนี้จะต้องพบหน้าแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาสักครั้งให้ได้ หรือไม่ก็ไปเยือนจวนจินหวงรอบหนึ่งก่อนแล้วค่อยไปเยี่ยมเยือนตำหนักปี้โหยว นั่นก็เพราะเฉินผิงอันจำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณเหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอท่านนี้ด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันสามารถตัดสินใจได้แต่เนิ่นๆ คิดจะบุกเบิกสำนักเบื้องล่างให้กับภูเขาลั่วพั่ว สุดท้ายเลือกที่ตั้งเป็นใบถงทวีป
แผ่นหยกแผ่นนี้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวง
ชื่อของสำนักเบื้องล่าง ไม่รีบร้อน เรื่องของการตั้งชื่อนั้นเป็นเรื่องที่ตนเองถนัดและเชี่ยวชาญเป็นที่สุด ชื่อดีๆ มีเยอะเกินไป ค่อนข้างจะกลัดกลุ้มอยู่บ้าง
ส่วนเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่าง จะต้องเป็นเฉาฉิงหล่าง
ชุยตงซานกับเผยเฉียนอาจจะมีสักคนที่จำเป็นต้องมาคอยช่วยเฉาฉิงหล่างอยู่ที่ใบถงทวีป และมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเฉาฉิงหล่างก็คือเจ้าสำนักที่อายุน้อยที่สุดหรือไม่ก็เป็นหนึ่งในคนที่อายุน้อยที่สุดของประวัติศาสตร์ใต้หล้าไพศาล
นอกจากนี้ชุยเหวยที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว แน่นอนว่ายังมีสุยโย่วเปียนผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง หากไม่ผิดไปจากที่คาด ก็จะต้องเดินทางจากภูเขาลั่วพั่วมาลงหลักปักฐานที่นี่ หากเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ยินดี ก็สามารถมาที่ใบถงทวีปได้เช่นกัน เพราะถึงอย่างไรสำนักเบื้องล่างก็ค่อนข้างอยู่ใกล้กับภูเขาเทพีบุปผาของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา
แต่นอกจากเฉาฉิงหล่างที่จะมาเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างแล้ว คนอื่นๆ ต้องการออกมาจากภูเขาลั่วพั่วหรือไม่ ก็ต้องดูที่ความต้องการของพวกเขาเอง
ที่เฉินผิงอันบอกกับเจียงซ่างเจินว่าภูเขาลั่วพั่วบ้านตนไม่ใช่คนคนเดียวที่จะตัดสินใจโดยเผด็จการได้ อันที่จริงไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าเลื่อนลอยอะไรจริงๆ
หลิ่วโหรวส่ายหน้าอย่างแรง “ขายทำบ้าอะไร ไม่ขาย ของที่มอบให้ไปแล้วก็ไม่ใช่ของข้าแล้ว แม้จะบอกว่าเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงถือว่าเป็นวีรบุรุษเฒ่าได้จริง หากเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นแล้วได้คบค้าสมาคมกัน ข้าแอบดีใจยังแทบไม่ทัน แต่เรื่องของการทำการค้านั้นช่างเถิด ข้าไม่ชอบ สหายที่ได้มาด้วยการทำการค้ามักจะไม่ยืนนาน หากคิดจะทำการค้า แผ่นหยกและคาถาล้วนเป็นของอาจารย์น้อยแล้ว ท่านไปยุ่งวุ่นวายเอาเองเถิด อะไรที่ควรหาเงินก็หาเงิน อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะคิดมาก ไม่ว่าจะไม่เชื่อใจใครก็ไม่มีทางไม่เชื่อใจท่านแน่นอน บอกไว้ก่อนว่า ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นการค้าหนึ่งครั้งหรือกี่ครั้ง ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้าและตำหนักปี้โหยว ไม่อย่างนั้นวันหน้าอาจารย์น้อยก็จะไม่ได้ดื่มเหล้าบุปผาน้ำไม่ได้กินบะหมี่ปลาไหลจริงๆ แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำตามที่เหนียงเนียงเทพวารีบอก”
เฉินผิงอันถอนหายใจ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินหน้าไปช้าๆ ไม่เอ่ยอะไรอีก
ปีนั้นตนเดินทางไปเยือนตำหนักปี้โหยว เพราะดื่มจนเมามายถึงใจกล้านั่งถกความรู้ พูดถึงเรื่องลำดับขั้นตอนก่อนหลัง เหตุผลส่วนใหญ่แล้วยังเป็นเพราะเดิมทีเหนียงเนียงเทพวารีท่านนี้ก็ศึกษาวิชาความรู้ของอาจารย์มาหลายปี สุดท้ายจึงได้พิสูจน์มรรคาสร้างร่างทอง
หนึ่งกินหนึ่งดื่ม (เดิมหมายถึงนกที่อยากกินก็กิน อยากดื่มก็ดื่ม ชีวิตมีอิสระเสรี ภายหลังเปรียบเปรยถึงผู้คน หมายถึงต่างคนต่างอยู่)
การถ่ายทอดวิชาความรู้ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ในตำหนักปี้โหยวในอดีต สุดท้ายกลับชดใช้คืนให้เฉินผิงอันด้วยการ ‘เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนหลายครั้ง’
เพราะในช่วงเวลาที่แทบจะทำให้จิตแห่งมรรคาสงบนิ่งมั่นคงไม่ได้นั้น เฉินผิงอันเคยอาศัยคาถาแผ่นหยกที่ ‘ก้าวเดียวกลายเป็นเซียน’ นี้มาฝืนข่มกลั้นอดทน เป็นฝ่ายโยนอคติที่มีต่อป๋ายอวี้จิงทิ้งไป แข็งใจฝึกวิชาคาถานี้ ตอนที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาทยอยเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนสามครั้งอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้เป็น ‘หยกดิบปลอม’ ที่ผสานมรรคากับหัวกำแพงเมืองอีกต่อไป แต่หลังจากนั้นกลับสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะของป๋ายอวี้จิงที่เดิมทีเป็นภาพมายาทิ้งไปด้วยตัวเอง เลือกจะหวนกลับคืนมาเป็นก่อกำเนิด
เป็นเหตุให้แม้กระทั่งหลงจวินก็ยังไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วเฉินผิงอันเป็นหยกดิบปลอมก่อกำเนิดจริงหรือหยกดิบจริงเซียนเหรินปลอมกันแน่
ในช่วงที่เวลาที่หลงจวินไม่ได้เปิดปากพูด ตัวอ่อนเซียนกระบี่กระโจมเจี่ยเซินอย่างพวกหลีเจิน หลิวป๋าย ต่างก็คิดว่าอย่างมากสุดอิ่นกวานหนุ่มก็คือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด
รอกระทั่งหลงจวินเปิดปากเปิดเผยความลับสวรรค์บนหัวกำแพงเมืองครานั้น เฉินผิงอันก็สะบั้น ‘สะพานแห่งความเป็นอมตะเชื่อมโยงฟ้าป๋ายอวี้จิง’ ที่เป็นมายาล่องลอยแห่งนั้นทิ้งทันที เปลี่ยนจากขอบเขตหยกดิบจริงแท้แน่นอนกลับมาเป็นก่อกำเนิดอีกครั้ง และกลายเป็นหยกดิบปลอมอีกครั้ง
สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการในเวลานั้น นอกจากจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้มาสร้างความมั่นคงให้กับจิตแห่งมรรคาแล้ว ก็ต้องการให้การออกกระบี่ครั้งสุดท้ายของหลงจวินช้าสักหน่อย ยิ่งช้าเท่าไรยิ่งดี ทางที่ดีที่สุดคือลากยาวไปถึงช่วงเวลาที่ขุนเขาสายน้ำพลิกกลับ หลงจวินก็ยังไม่เคยได้ออกกระบี่สักครั้ง หรือต่อให้ก่อนที่ชุยฉานจะมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วหลงจวินยังคงเลือกจะออกกระบี่อยู่เหมือนเดิม ก็ยังไม่แน่ใจในขอบเขตที่แท้จริงของตนอยู่ดี ต่อให้แน่ใจ ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบตัวจริงคนหนึ่งแล้ว ไม่กล้าพูดถึงโอกาสชนะอะไร แต่อย่างน้อยที่สุดโอกาสที่จะแลกชีวิตกับหลงจวินก็มีมากกว่าเดิม
เพียงแต่ว่าแผนการที่วกไปวนมาพวกนี้ การปัดแข้งปัดขาที่เขามีกับหลงจวิน สุดท้ายแล้วก็สู้กระบี่สุดท้ายของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่ได้
แต่นี่ไม่อาจพูดได้ว่าความคิดความกังวลของเฉินผิงอันไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง พอมาถึงใบถงทวีป เซียนเหรินแห่งสำนักว่านเหยา ยอดฝีมือเบื้องหลังกลุ่มที่มีหันอวี้ซู่เป็นคนหนึ่งในนั้น อันที่จริงพวกเขามองสถานะการณ์ออกอย่างแม่นยำ เฉินผิงอันที่พวกเขาจำเป็นต้องกริ่งเกรงมากที่สุดคือเฉินผิงอันที่กลับมาอย่างไร ไม่ใช่ขอบเขตสูงต่ำ หรือเขามีสถานะอะไรในเวลานั้น
แน่นอนว่าเฉินผิงอันเสียสติสลับเลื่อนขอบเขตหยกดิบกับขอบเขตก่อกำเนิดขึ้นๆ ลงๆ เช่นนี้ ก็เท่ากับว่ามีโอกาสได้ประมือกับจิตมารถึงสามครั้งแล้ว อีกทั้งความเข้าใจที่เขามีต่อป๋ายอวี้จิงซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องไปเยี่ยมเยือนให้ได้ก็ยิ่งลึกซึ้งมากกว่าเก่า
——