กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 761.3 ไม่ถูก
มือขวาจับกระบี่แต่กลับไม่ได้ชักกระบี่ออกจากฝัก เป็นฝ่ายขยับเข้าใกล้รับกระบี่ที่สามของเผยหมิ่น
จนถึงตอนนี้เผยหมิ่นก็ยังไม่ได้ออกกระบี่อย่างแท้จริง
เผยหมิ่นไม่ใช่ผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกผู้นั้น แม้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ แต่ผู้เฒ่ากลับเป็นผู้ฝึกกระบี่จริงแท้แน่นอน แน่นอนว่าย่อมต้องมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง อีกทั้งยังได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่น่าตะลึงพรึงเพริดถึงสี่เล่ม!
เผยหมิ่นส่ายหน้ายิ้มกล่าว “จะเอาแต่มั่นใจว่าข้าไม่มีทางฆ่าเจ้าแล้วทำตัวไร้ความยำเกรงแบบนี้ต่อไปตลอดคงไม่ได้กระมัง? นิสัยที่ชอบกวนโอ้ยรนโดนต่อยตีเช่นนี้ วันหน้าต้องเปลี่ยนเสียใหม่”
คนหนุ่มที่เกิดมาก็มินิสัยระมัดระวังรอบคอบ ยังคงเลือกที่จะให้คนและกระบี่แยกกันลงมือ กระบี่ยาวและเฉินผิงอันที่ถือฝักกระบี่หายตัวไปพร้อมกันอีกครั้ง
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้เลือกจะปล่อยกระบี่เลียนแบบก่อนหน้านี้ แต่ปล่อยความคิดให้กระจายไปแปดทิศ ระหว่างฟ้าดินมีกระบี่ผุดขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วน ควบคุมแม่น้ำยาวกระบี่บินแปดเส้นให้พุ่งเข้าหาเผยหมิ่นอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
เผยหมิ่นพยักหน้า กระบี่เยอะแล้วร้ายกาจจริงเสียด้วย
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สองของคนหนุ่มร่วมประสานกับวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มแรก มองไปแล้วเหมือนจะไร้ช่องโหว่อยู่จริง แต่เมื่ออยู่ในสายตาของเผยหมิ่นก็เป็นแค่มองดูคล้ายเท่านั้น
เผยหมิ่นครุ่นคิด ในที่สุดก็เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมา
ตลอดทั้งฟ้าดินขนาดเล็กกลายเป็นบ่อสายฟ้าสีขาวหิมะ งูยาวสายฟ้านับพันนับหมื่นเส้นเหมือนกระบี่บินที่ปริแตกอย่างกำเริบเสิบสาน ยังคงใช้หนึ่งปะทะหนึ่ง ใช้กระบี่บินปะทะกับกระบี่บิน
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้มีชื่อว่า ‘เสินเซียว’ (เทพสวรรค์ ตามความเชื่อของลัทธิเต๋าคือเทพลำดับสูงสุดในเก้าชั้นฟ้า)
ส่วนตัวเผยหมิ่นเองนั้นได้พลิ้วกายลงข้างลำธารช้าๆ ตลอดทางที่ผ่านมากระบี่บินดวงจันทร์ในบ่อล้วนถูกปราณกระบี่ของทั้งร่างเผยหมิ่นกระแทกชนออก เผยหมิ่นทรุดตัวนั่งยองอยู่ริมน้ำ ยื่นมือไปวักน้ำกอบหนึ่งขึ้นมาชั่งน้ำหนัก
ไม่เพียงแต่น้ำในลำธารทั้งสายของฟ้าดินเล็กนกในกรง แม้แต่ไอน้ำทั้งหมดก็ล้วนถูกกักอยู่ในฝ่ามือของเขา นี่ก็คือวิชาอภินิหารอันเป็นพรสวรรค์ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มของเผยหมิ่น
กระบี่บินมีชื่อว่า ‘สุ่ยเซียน’ (เซียนน้ำ)
ทำให้เผยหมิ่นสามารถกลายมาเป็นเหมือนผีพรายตนหนึ่งที่อยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา เมื่อเผยหมิ่นตั้งใจสร้างท่าเรือเอาไว้ริมน้ำ ก็จะสามารถเดินท่องกระแสน้ำได้ตามใจปรารถนาไร้พันธนาการ
นอกจากมีขีดจำกัดทางธรรมชาติชั้นหนึ่งซึ่งเผาผลาญปราณวิญญาณและพลังจิตของเผยหมิ่นไปอย่างมหาศาลแล้ว อันที่จริงเวทคาถานี้ก็หวั่นเกรงฟ้าดินเล็กอย่างนกในกรงนี้มากที่สุด เพียงแต่ว่าขอบเขตของคนหนุ่มไม่เพียงพอ ฟ้าดินไม่มั่นคงมากพอ มองดูเหมือนไร้ช่องโหว่ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ถือว่าแข็งแกร่งมิอาจโจมตีอย่างแท้จริง แน่นอนว่ายังมีช่องว่างให้ฉกฉวยเล่นงานได้
เมื่อเผยหมิ่นก้าวออกไปหนึ่งก้าว ทิ้งร่างจริงไว้ตรงจุดเดิม จิตหยินที่ออกจากช่องโพรง ‘ล่องลอย’ ไปถึงท่าเรือของกาลเวลาแห่งหนึ่ง สองนิ้วก็ประกบกันเป็นกระบี่ ทิ่มไปยังแผ่นหลังของคนชุดเขียวที่อยู่ตรงตีนเขาเบาๆ
ท่ามกลางฟ้าดินที่แท้จริง เฉินผิงอันที่สัมผัสได้ขยับร่างเบี่ยงออก แต่จากนั้นร่างเขาก็เซไปหนึ่งก้าว อยู่ดีๆ ตรงแผ่นหลังก็มีรูหนึ่งปรากฏขึ้นมา ทั้งไม่มีปราณกระบี่แม้แต่น้อย แล้วก็ไม่มีปณิธานกระบี่ใดๆ หากไม่เป็นเพราะความคิดวาบขึ้นในหัวของเฉินผิงอัน เกรงว่าคงจะถูกดรรชนีกระบี่แทงทะลุหัวใจไปแล้ว ไม่ถึงกับตาย แต่อย่างน้อยก็ต้องทิ้งชีวิตไปครึ่งหนึ่ง มีโรคร้ายแรงอย่างหนึ่งที่ทิ้งไว้ให้กับเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ ขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณจะถดถอยหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับโชคของครึ่งชีวิตที่เหลือนั้นแล้ว
จากนั้นตรงม่านฟ้าก็มีเสาลำแสงปราณกระบี่ต้นหนึ่งปรากฏออกมาแล้วแผ่ปกคลุมร่างเขาอยู่ภายใน
สองมือถือกระบี่ ทั้งคนทั้งกระบี่กระแทกเข้าชนบนยอดเขาที่ราบเรียบลูกนั้น สุดท้ายภูเขาพังถล่มพื้นดินปริแตก ภูเขาทั้งลูกระเบิดตูมออก บนพื้นดินเกิดเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ยักษ์
คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สามของเผยหมิ่น ‘อีเสี้ยนเทียน’ (แปลตรงตัวคือฟ้าหนึ่งเส้น หมายถึงแสงสว่างที่ส่องลอดลงมาเป็นลำเส้นระหว่างหน้าผาหรือภูเขาสองลูก หรือแผ่นฟ้าเสี้ยวหนึ่งที่มองลอดไปเห็นระหว่างหน้าผาหรือภูเขาสองลูก)
เพียงแต่ว่าในหลุมใหญ่กลับไร้ร่องรอยของเฉินผิงอัน
ทว่าแสงกระบี่ตรงแน่วหลายเส้นกลับปรากฏขึ้นระหว่างฟ้าดิน มองดูแล้ววุ่นวายไร้ระเบียบ มีทั้งเส้นตั้งเส้นนอนที่พากันพุ่งวูบผ่านไป ทุกครั้งที่แสงกระบี่ปรากฏตัว ตรงปลายของแสงจะมีคนชุดเขียวถือกระบี่ มือซ้ายออกกระบี่ไม่หยุด
จิตหยินของเผยหมิ่นที่อยู่ตรงท่าเรือทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่ ดูท่าจะเป็นคนที่เดินท่องแม่น้ำแห่งกาลเวลามาจนชิน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางหลบกระบี่นี้ได้เด็ดขาด กระบี่แรก ดูเหมือนว่าจะเป็นสิบสองกระบี่ทับซ้อนนั่น?
จิตหยินของเผยหมิ่นอยู่ที่ท่าเรือของแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ดวงจิตสร้างขึ้นไว้เป็นแห่งที่สาม ปล่อยดรรชนีกระบี่ออกไปสิบสองครั้ง ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มกล้าใช้วิธีการแบ่งสมาธิแบ่งความคิดกับตน ถ้าอย่างนั้นเผยหมิ่นก็จะทำเลียนแบบอีกครั้ง ใช้สิ่งนี้มอบเป็นของขวัญตอบแทนกลับคืนไป ช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตของคนหนุ่มวางวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุเอาไว้ บวกกับช่องโพรงลมปราณของภูเขาทายาทก็น่าจะพอให้เผยหมิ่นไปเคาะประตูเบาๆ ได้ครบรอบหนึ่งพอดี
ผู้เฒ่ากดขอบเขตไว้ที่เซียนเหรินอยู่ตลอดเวลา
อันที่จริงแค่นี้ก็มากพอจะรังแกเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งได้แล้ว
คนหนุ่มผู้นี้อาศัยฟ้าดินเล็กของกระบี่บินเล่มหนึ่ง เรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางร่างหนึ่ง รวมไปถึงความคุ้นเคยที่มีต่อแม่น้ำแห่งกาลเวลา บวกกับกระบี่ยาวอาวุธเซียนที่ถือไว้ในมือขวาซึ่งคมกริบมากพอ จึงได้ช่วยชีวิตตัวเองไว้แล้วสามครั้ง
ในขณะที่เผยหมิ่นเตรียมจะเก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่มอย่างเสินเซียว สุ่ยเซียนและอีเสี้ยนเทียนกลับมา
อยู่ดีๆ กระบี่หนึ่งก็พุ่งมาถึงอย่างไม่มีลางบอกกล่าว อีกทั้งยังพุ่งมาอย่างไร้เหตุผลด้วย
คือกระบี่ยาวที่หลอมมาจากปลายกระบี่ไท่ป๋ายซึ่งไม่มีคนจับ เมื่อเทียบกับการเงื้อฝักกระบี่ฟันฉับลงมาของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้แล้ว เวทกระบี่แตกต่าง ปณิธานกระบี่และวิถีแห่งกระบี่ก็ยิ่งไม่เหมือนเดิม
กระบี่ยาวพุ่งมาถึงเป็นเส้นตรง ดิ่งเข้าหาร่างจริงของเผยหมิ่นที่อยู่ในท้องน้ำแห้งขอด ฟันฟ้าดินเล็กนกในกรงด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงบุกพุ่งมาด้านหน้าอย่างไร้สิ่งกีดขวาง ราบรื่นราวผ่าลำปล้องไผ่
จิตหยินของเผยหมิ่นถอยออกมาจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลับเข้าสู่ร่างจริง ครุ่นคิดเล็กน้อยก็ไม่ได้เลือกที่จะหลบเลี่ยงประกายเฉียบคมของกระบี่เล่มนั้น แต่ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกไปดันปลายกระบี่ของกระบี่ยาวเอาไว้
แสงกระบี่กลุ่มหนึ่งระเบิดแตกพร่างพราย
เป็นเหตุให้ฟ้าดินขนาดเล็กทั้งแห่งเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนสว่างจ้าไปทั้งหมด
คนชุดเขียวปล่อยหมัดหนึ่งเข้าใส่ด้านหลังของเผยหมิ่น
ผลคือต้องปะทะเข้ากับกระบี่บินสามเล่มที่เผยหมิ่นยังไม่เก็บไป
หลบพ้นเสินเซียวมาได้ แต่ก็ต้องโดนสุ่ยเซียนปาดลำคอ ถูกอีเสี้ยนเทียนแทงทะลุแขนทั้งข้างที่กำเป็นหมัด สุดท้ายทะลุออกไปจากตรงหัวไหล่
ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ในท้ายที่สุดหมัดนี้ของเฉินผิงอันถึงกับหยุดค้างห่างจากด้านหลังเผยหมิ่นมาอีกหนึ่งฉื่อ
เพราะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สี่ของเผยหมิ่นมาหยุดอยู่ตรงหว่างคิ้วของเฉินผิงอัน ห่างไปแค่หนึ่งชุ่น
กระบี่บินหยุดนิ่ง เพียงแต่ปลายกระบี่กลับชี้ตรงไป ใบหน้าที่เดิมทีเต็มไปด้วยเลือดสดของเฉินผิงอันคล้ายถูกน้ำใสหนึ่งอ่างจากปราณกระบี่ล้างจนสะอาดเอี่ยม ไม่เหลือคราบเลือดอีกแม้แต่น้อย ทว่าตรงหว่างคิ้วกลับมีรูที่เล็กอย่างถึงที่สุดปรากฏขึ้นมา
เผยหมิ่นหันกลับมาช้าๆ ยิ้มกล่าว “คิดว่าใช้ชีวิตแลกอาการบาดเจ็บ ไม่คุ้มกันหรือ?”
เฉินผิงอันเก็บหมัด ยกฝ่ามือขึ้นดันไว้ตรงหว่างคิ้ว
จิตขยับไหว กระบี่ยาวและฝักกระบี่ก็วาดเส้นโค้งเส้นหนึ่งพร้อมกัน แยกกันอ้อมผ่านร่างของเผยหมิ่นบินพุ่งเข้ามาหาเฉินผิงอัน สุดท้ายกระบี่ยาวกลับคืนสู่ฝัก ถูกมือขวาของเฉินผิงอันกุมเอาไว้
ขณะเดียวกันจันทร์ใต้บ่อที่จำแลงกระบี่บินออกมานับไม่ถ้วนก็รวมกันเป็นกระบี่เล่มเดียว พุ่งวูบหนึ่งครั้งหวนกลับเข้ามาในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน เพียงแต่ว่ายังไม่เก็บนกในกรงกลับมา
เผยหมิ่นถาม “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าที่อยู่ที่นี่ถึงต้องออกกระบี่ แล้วเหตุใดถึงต้องออมแรง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ในที่สุดเผยหมิ่นก็เริ่มเข้าใจคำสัญญาที่มีไว้กับโจวจื่อในปีนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว คนที่ลู่ไถต้องสังหารในวันหน้า อันที่จริงไม่เคยอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ทั้งสองครั้งล้วนอยู่ใกล้เพียงตรงหน้าเสมอ ลู่ไถได้ครอบครองกระบี่บินสองเล่มที่ชิงลงมือได้ก่อน แล้วยังมีข้อได้เปรียบในภายหลัง แค่นี้ยังคงไม่พอจริงๆ ยังต้องเพิ่มเวทกระบี่ที่ตนถ่ายทอดให้ไปด้วย
และการถามกระบี่ของคนหนุ่มตรงหน้าในคืนนี้ นอกจากกระบี่ที่โผล่มาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยที่คงคิดอยากจะมอบเป็นของขวัญตอบแทนกลับคืนตนนั่นแล้ว ไหนเลยจะไม่มีความคิดที่อยากจะลองซ้อมมือก่อนลงสนามจริงสักครั้ง
บวกกับที่เผยหมิ่นเองก็ไม่ถือสาเรื่องนี้ จึงผลักเรือไปตามกระแสน้ำ แสดงเวทกระบี่ของกระบี่บินสามเล่มให้ดูคร่าวๆ ส่วนข้อที่ว่าอีกฝ่ายจะเรียนรู้ไปได้สักกี่ส่วนก็ต้องดูที่ความสามารถของเฉินผิงอันเองแล้ว
หากความสามารถไม่ได้เรื่อง ตายไป หรือไม่ก็บาดเจ็บสาหัสขอบเขตถดถอย ก็โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว
หากเผยหมิ่นคิดจะสังหารเขาจริงๆ เด็กหนุ่มชุดขาวขอบเขตเซียนเหรินที่อยู่ตรงวัดเทียนกงสามารถขวางได้ แต่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะขวางไว้ไม่อยู่
ก่อนหน้านี้เผยหมิ่นได้บอกกับเกาซื่อเจินเซินกั่วกงไปแล้วว่า อยู่ห่างไปไกลพันลี้ ใครบางคนจะช่วยคนไม่ทัน และใครบางคนที่ว่านี้ แน่นอนว่าต้องเป็นศิษย์พี่ของเฉินผิงอัน จั่วโย่ว
เฉินผิงอันวางมือซ้ายที่ดันหว่างคิ้วลง พลันทำท่าประหลาดท่าหนึ่ง เป็นการรวบรวมเวทดรรชนีกระบี่เอาไว้ โคจรปราณกระบี่เลียนแบบเผยหมิ่นด้วยการเอาสองนิ้วประกบกันแล้วจิ้มเบาๆ หนึ่งที
เผยหมิ่นส่ายหน้า “คล้ายทางรูปลักษณ์สองสามส่วนเท่านั้น ขนาดลู่ฝ่างผู้ฝึกกระบี่รุ่นหลังยังเรียนได้ไม่ดี แล้วนับประสาอะไรกับผู้ฝึกยุทธคนหนึ่ง”
เจ้าคนลุ่มหลงในรักที่พรสวรรค์ด้านเวทกระบี่นับว่าพอใช้ได้ผู้นั้น พอจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อคนหนึ่งของเผยหมิ่นได้ เผยหมิ่นไม่ยินดีจะสอนเวทกระบี่ให้เขามากนัก ลู่ฝ่างยังเคยตั้งใจไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวมารอบหนึ่งเพื่อวิชาดรรชนีกระบี่วิชานี้โดยเฉพาะ
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
เรือนจิ้งซินของพื้นที่มงคลดอกบัวมีวิชาดรรชนีกระบี่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า ดูท่าแล้วบรรพบุรุษของเวทกระบี่วิชานี้ก็คือเผยหมิ่นนี่เอง แน่นอนว่าพลานุภาพของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ผู้ฝึกยุทธในพื้นที่มงคลของเรือนจิ้งซินเรียนรู้ไปแค่ผิวเผินเท่านั้น
เผยหมิ่นยกมือข้างหนึ่งขึ้น ฝ่ามือกอบน้ำในลำธารที่รวมตัวกันขนาดเท่ากำปั้นเอาไว้ เทมันกลับลงไปในท้องน้ำอีกครั้ง จากนั้นก็ถามคำถามหนึ่งว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเป็นคนใบ้หรือ?”
นอกจากตรงหน้าประตูใหญ่ของวัดเทียนกงที่คนหนุ่มพูดจาอย่างเกรงใจตามมารยาทแล้ว การต่อสู้หลังจากนั้นเขากลับไม่เปิดปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
เฉินผิงอันส่ายหน้า
เผยหมิ่นยิ้มบางๆ
เฉินผิงอันรีบห้อยกระบี่ไว้ตรงข้างเอว กุมหมัดเอ่ยทันทีว่า “มือกระบี่เฉินผิงอัน คารวะเผยหมิ่นแห่งไพศาล”
เรียกตัวเองว่ามือกระบี่ก่อน ชื่อของอีกฝ่ายก็เรียกแล้วด้วย แต่กลับเป็นคำเรียกขานด้วยความเคารพที่น้ำหนักไม่เบาอย่างหนึ่ง
เผยหมิ่นเอาสองมือไพล่หลัง เดินเลียบลำธารไปช้าๆ เฉินผิงอันเดินตามไปเงียบๆ ด้านหลังระยะห่างประมาณครึ่งช่วงตัว ลมหายใจขุ่นมัว ฝีเท้าไม่มั่นคง อาการบาดเจ็บบนร่างมีมากเกินไป อีกทั้งยังไม่เบาเลยแม้แต่น้อย
หากได้รับบาดเจ็บในระดับที่เท่ากัน ต่อให้เป็นเผยหมิ่นก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถเดินเหินได้อย่างตน
เผยหมิ่นพลันเอ่ยว่า “จงใจถ่วงเวลา เพราะคิดจะอาศัยคำพูดของลูกศิษย์เจ้า คำพูดของเกาซื่อเจินดึงเบาะแสออกมาหรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “เหตุใดผู้อาวุโสถึงไปเป็นพวกเดียวกับผู้นำแห่งร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ได้?”
เผยหมิ่นเองก็ย้อนถามเช่นเดียวกัน “หรือเจ้าไม่ควรจะอยากรู้ว่า เหตุใดหลังจากเจ้าอ่านจดหมายลับฉบับนั้นจบ เฝ่ยหรานถึงได้ให้ข้าส่งกระบี่ออกไป? อีกทั้งแผนการทั้งหมดยังเป็นดั่งน้ำลดหินผุด นักพรตหลงโจวคนหนึ่ง จะฆ่าหรือไม่ฆ่า มีความต่างหรือ? ส่วนเหตุใดเฝ่ยหรานถึงทำเช่นนี้ ข้ากลับสงสัยใคร่รู้จริงๆ สรุปแล้วพวกเจ้าสองคนมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่?”
เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก “ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน เพียงแค่เคยพบหน้ากันสองครั้งในและนอกสนามรบ”
เผยหมิ่นพยักหน้า “ที่แท้ก็เพื่อยืนยันรายละเอียดเนื้อหาของสัญญาระหว่างข้ากับเฝ่ยหราน ทำไม กังวลว่าข้าจะเป็นสายของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “กล้าถามกระบี่ ก็เพราะแน่ใจในเรื่องนี้”
เผยหมิ่นเอ่ยอย่างตกตะลึง “เจ้ามั่นใจหรือว่าจะหนีรอดไปจากคมกระบี่ของข้าได้?”
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยตอบ
จะบอกว่าตัวเองอายุน้อยไม่รู้ความก็ไม่จริงใจมากพอ หากพูดจาคุยโวที่แม้จะไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่าอาจจะโดนอีกกระบี่
ไม่ต้องพูดอะไรมันเสียเลย แล้วนับประสาอะไรกับที่เวลานี้แค่พูดง่ายๆ สักคำก็ยังเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งร่าง นี่ยังเป็นเพราะเผยหมิ่นทั้งจงใจทั้งไร้เจตนา ไม่ได้ทิ้งปราณกระบี่ไว้ในฟ้าดินเล็กของเฉินผิงอันมากนัก ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยังสามารถข่มกลั้นความเจ็บปวด ค่อยๆ ชักดึงปราณกระบี่กระจัดกระจายพวกนั้นออกมาทีละนิด จากนั้นก็เก็บไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อของตัวเอง
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่นอกวัด เรื่องที่เขากำชับกับชุยตงซานก็คือให้ระคอยสังเกตดูปิ่นหยกขาวหลังจากที่ตนเก็บฟ้าดินเล็กนกในกรงไปแล้ว จะต้องรีบเก็บลงไปในกระเป๋าอย่างว่องไว
หากนกในกรงแตกสลาย ขณะเดียวกันก็ไม่มีปิ่นหยกขาวพุ่งออกไป ชุยตงซานก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงแค่หนีเอาชีวิตรอดอย่างเดียวพอ พยายามหนีไปทางทิศใต้ด้วยความเร็วที่มากที่สุด พยายามไปรวมตัวกับเจียงซ่างเจินให้ได้โดยเร็วที่สุด
ดังนั้นตอนที่สกัดกั้นฟ้าดิน ชุยตงซานจึงได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังเจียงซ่างเจินทันที เนื้อหาในจดหมายลับต้องไม่มีมากมายแน่นอน คาดว่าคงเป็นประโยคทำนองว่า ‘รีบมาถามกระบี่ต่อเผยหมิ่น’ ประโยคเดียว
ถึงเวลานั้นหากเฉินผิงอันยังมีกำลังเหลือให้สู้รบ ก็สามารถเดินออกมาจากปิ่นหยกขาวที่ชุยตงซานเก็บรักษาไว้ให้ชั่วคราวได้ ร่วมมือกับชุยตงซานและเจียงซ่างเจิน ต่อให้บาดเจ็บสาหัสแล้ว แต่ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ยังเหลือโอกาสรอดชีวิตไว้ให้ตัวเองเสี้ยวหนึ่ง
ศึกก่อนหน้านี้ หากพูดถึงแค่ขั้นตอนการถามกระบี่ที่มีอันตรายรายล้อม อันที่จริงไม่ถือว่าอันตรายอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ เฉินผิงอันกลัวก็แต่ว่าเผยหมิ่นจะเป็นหมากของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ที่ทิ้งไว้ในใบถงทวีปจริงๆ หรือไม่ก็เป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเซียนเหรินหันอวี้ซู่ เผยหมิ่นอาจไม่สนใจสิ่งใด ใช้ขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน เลือกจะออกกระบี่ฟันตนอย่างเต็มแรงโดยตรง
เผยหมิ่นยินดีใช้ด้ามร่มถามกระบี่ที่อารามหวงฮวา มองดูคล้ายว่าไม่มีจิตสังหารที่เข้มข้นมากนัก แต่ในสายตาของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับการปรากฏตัวของชุยตงซานลูกศิษย์ของตน ที่ทำให้เผยหมิ่นเกิดใจกริ่งเกรง และการที่ชุยตงซานเปิดโปงตัวตนของอีกฝ่าย รวมถึงยกเอาคนสามคนอย่างจั่วโย่ว หลิวสือลิ่วและป๋ายเหย่มาพูดติดต่อกัน วางท่าว่าพร้อมรนหาที่ตาย ก็ยิ่งเป็นฝีมือเทพเซียน ชุยตงซานบอกกับเผยหมิ่นอย่างชัดเจนว่า คืนนี้พวกเขาสองอาจารย์และศิษย์เตรียมตัวมาพร้อม
ดังนั้นพูดถึงเรื่องของการวางหมาก ไม่ว่าจะเป็นหมากที่ตนเองวางไว้นอกวัดเทียนกง หรือทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับเผยหมิ่น ก็ยังสามารถวางแผนเล่นงานใจคนได้ ฝีมือวิชาหมากล้อมของลูกศิษย์ตนผู้นี้ ล้วนเป็นอาจารย์ของอาจารย์อย่างตนจริงๆ
——