กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 762.1 ยุทธภพที่แก่แล้ว
โจวหมี่ลี่เงี่ยหูตั้งใจฟัง รออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจริงๆ นางถึงขั้นไม่กล้าหันหน้ากลับไป ได้แต่ถอนหายใจ มองเฉินหลิงจวินด้วยสีหน้าน่าสงสาร กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “จิ่งชิง ข้ากำลังฝันไปใช่ไหม ต้องเป็นเพราะข้านั่งงีบหลับอยู่หน้าประตูภูเขาเลยงัวเงียหูแว่วไปแน่เลย…”
การที่เฉินผิงอันไม่ได้เปิดปากพูดต่อก็เพราะตามกฎขุนเขาสายน้ำที่บันทึกไว้ในมหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาดเล่มนั้น พอมาถึงภูเขาลั่วพั่ว เขาจะต้องหยิบธูปขุนเขาสายน้ำออกมาดอกหนึ่งเพื่อเป็นของขวัญคารวะ ‘ส่งพระองค์ท่าน’ ให้แก่ท่านอาจารย์ซานซานจิ่วโหว เมื่อเฉินผิงอันจุดธูปเงียบๆ ควันเขียวก็ลอยกรุ่นขึ้นมา ไม่ได้จางหายไปท่ามกลางฟ้าดินเพราะเหตุนี้ แต่กลายเป็นเมฆหมอกสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันกลายเป็นขุนเขาเล็กจิ๋วไม่สลายหายไปไหน ประหนึ่งมีภูเขามายาย่อส่วนลูกหนึ่งปรากฏขึ้นมาในภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่ว่าภูเขาลั่วพั่วลูกน้อยๆ ที่เหมือนภาพลวงตานั้นกลับมีเงาร่างชุดเขียวของเฉินผิงอันอยู่แค่คนเดียว
เฉินผิงอันนั้นเรียกได้ว่าข้ามแผ่นดินมาครึ่งทวีป เท่ากับว่าอาศัยวิชาอภินิหารของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่งมาถึงภูเขาลั่วพั่วอย่างรวดเร็ว ตอนนี้จึงยังสามารถอยู่ต่อได้อีกหนึ่งก้านธูป หลังจากนั้นต้องหวนกลับไปยังเรือข้ามฟากแล้วเร่งเดินทางกลับบ้านเกิดทางทิศเหนือต่อไป เฉินผิงอันในเวลานี้ แน่นอนว่าเป็นการพาร่างจริงมาที่นี่ แต่กลับถูกยันต์สามภูเขา (ซานซาน) ที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุดแผ่นหนึ่งลากตัวมา
เฉินหลิงจวินที่ยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กชายชุดเขียวอ้าปากกว้าง เหม่อมองนายท่านที่อยู่ด้านหลังแม่นางน้อยชุดดำ จากนั้นเฉินหลิงจวินก็รู้สึกว่าสรุปแล้วเป็นหมี่ลี่น้อยที่กำลังฝัน หรือว่าตัวเองที่กำลังฝันกันแน่ จึงตบหน้าตัวเองแรงๆ หนึ่งที ออกแรงมากไปหน่อย แก้วหูถึงกับสะเทือน ร่างก็หมุนติ้วไปรอบหนึ่ง ไม่เพียงแต่ก้นขยับพ้นจากม้านั่งหิน ยังเกือบจะเซล้มหัวทิ่มลงพื้น เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว ยื่นมือข้างหนึ่งไปคว้าไหล่ของเฉินหลิงจวินเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยถีบเข้าที่ก้นของเขา ให้นายท่านใหญ่ที่ป่าวประกาศว่า ‘ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือทุกวันนี้ นอกจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว ใครเล่าจะเป็นศัตรูกับหนึ่งหมัดของข้าได้’ ท่านนี้นั่งกลับลงไปที่เดิม
แม่นางน้อยชุดดำขยี้ตา กระโดดโหยงขึ้น ถึงกับไม่กล้าตัดใจยื่นมือไปจิ้มเจ้าขุนเขาคนดีเบาๆ เลยด้วยซ้ำ ด้วยกลัวว่าจะเป็นความฝัน จากนั้นนางก็ยกสองแขนกอดอก ขมวดคิ้วบางๆ สองข้างมุ่นเป็นปม ขยับไปทีละก้าว ด้านหนึ่งแม่นางน้อยก็เดินวนรอบกายเจ้าขุนเขาคนดีที่ตัวสูงมาก ด้านหนึ่งก็ร้องไห้น้ำตาร่วงเผลาะๆ ไปด้วย แต่กระนั้นในดวงตาของนางกลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม ถามอย่างระมัดระวังว่า “จิ่งชิง เป็นเพราะว่าพวกเราสองคนร่วมแรงกัน ใต้หล้าจึงไร้ศัตรูทัดทาน ทำให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาหวนย้อนกลับได้จริงๆ ใช่หรือไม่ ไม่ถูกสิ เมื่อก่อนเจ้าขุนเขาคนดีอ่อนเยาว์มาก วันนี้มองดูแล้วตัวสูงขึ้น อายุก็มากแล้ว เป็นเพราะว่าท้ายทอยพวกเราไม่มีดวงตา เลยไม่ทันระวังเดินไปผิดทางใช่หรือไม่…”
เฉินผิงอันค้อมเอวกดหัวหมี่ลี่น้อยไว้ ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ได้ฝันไป ข้ากลับมาแล้วจริงๆ แต่ว่าอีกหนึ่งก้านธูปให้หลังยังต้องกลับไปยังภูเขาไร้ชื่อลูกหนึ่งที่อยู่ค่อนไปทางทิศใต้ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป อย่างมากสุดอีกหนึ่งเดือนกว่าก็สามารถกลับมาบ้านพร้อมกับพวกเผยเฉียนได้แล้ว นี่ก็เพราะร้อนใจอยากมาเจอพวกเจ้าก่อนก็เลยใช้ยันต์ที่เพิ่งเรียนรู้มาใหม่ไม่ใช่หรือ”
โจวหมี่ลี่โถมตัวกอดเฉินผิงอันไว้ทันใด ร้องไห้ดังลั่น “เจ้าพาข้าไปด้วยสิ ไปด้วยกันกลับด้วยกัน”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาลูบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ ยังคงก้มตัวอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นโบกมือทักทาย ยิ้มเอ่ยว่า “ทุกคนลำบากกันแล้ว”
ผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยน ผู้คุมกฎฉางมิ่ง ซานจวินขุนเขาเหนือเว่ยป้อ ต่างก็สัมผัสได้ถึงภาพบรรยากาศผิดปกติของขุนเขาสายน้ำ จึงพร้อมใจกันมาสืบดูให้รู้แน่ชัดที่เรือนไม้ไผ่แห่งนี้
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “คุณชายมีกลิ่นอายของบุรุษเต็มตัวแล้ว เหล่าเทพธิดาและจอมยุทธหญิงทั้งหลายของใต้หล้าไพศาล ดวงตามีบุญกันแล้ว”
ฉางมิ่งที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวหิมะยอบกายคารวะ คลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ฉางมิ่งคารวะนายท่าน”
เว่ยป้อรู้สึกสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก เอ่ยสัพยอกว่า “ในที่สุดก็รอคอยจนเจ้ากลับมาได้เสียที ดูท่าคงต้องยกคุณความชอบอย่างใหญ่หลวงให้หมี่ลี่น้อย”
เฉินผิงอันไม่อาจขยับเท้าไปไหนได้ หมี่ลี่น้อยเหมือนกับปีนั้นตอนอยู่ที่ทะเลสาบคนใบ้ นั่นคือตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะทำตัวติดกับเขาเป็นตังเม
ในที่สุดเฉินหลิงจวินก็คืนสติ น้ำมูกน้ำตาไหลอาบหน้าทันใด เขาตะเบ็งเสียงเรียกว่านายท่านคำหนึ่ง ก่อนจะวิ่งเข้าหาเฉินผิงอัน ผลคือถูกเฉินผิงอันกดหัวเอาไว้ บิดเบาๆ หนึ่งที แล้วใช้ฝ่ามือตบเขากลับไปนั่งที่ม้านั่ง ยิ้มด่าขำๆ ว่า “เดินลงน้ำได้ดีนัก ได้ดิบได้ดีใหญ่แล้วนี่นา”
เฉินหลิงจวินรู้สึกใจฝ่อขึ้นมาทันที กระแอมอยู่สองสามที รู้สึกอิจฉาหมี่ลี่น้อยเล็กน้อย ใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะหิน พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา ไม่เข้าท่าเลยนะ นายท่านของพวกเราก็บอกแล้วว่าอีกหนึ่งก้านธูปต้องเป็นเทพเซียนที่เดินทางไกลแล้ว เร็วเข้า ให้นายท่านของข้าพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับพวกเขาสามคน โอ้โห ดูสิ นี่มันใต้เท้าเว่ยซานจวินแห่งขุนเขาเหนือไม่ใช่หรือ เป็นพี่ใหญ่เว่ยที่มาเยือนด้วยตัวเองเชียวนะ ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับแต่ไกล ไม่มีสุรามารองรับแขก เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว เฮ้อ ใครให้นังหนูหน่วนซู่ไม่อยู่บนภูเขากันล่ะ อีกทั้งข้ากับพี่เว่ยยังมีมิตรภาพที่ไม่ต้องพิถีพิถันในเรื่องมารยาทจอมปลอมอะไรอีกด้วย…”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ
เฉินหลิงจวินหัวเราะร่า อย่าได้ใจไปเลย ซานจวินขุนเขาเหนือที่ใหญ่กว่าชามข้าวไม่เท่าไร อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา เจ้าเองก็ต้องเป็นแขกเหมือนกัน รู้หรือไม่ รู้หรือไม่? วันหน้างานเลี้ยงท่องราตรีบนภูเขาพีอวิ๋นอะไรนั่น ต่อให้ขอร้องนายท่าน นายท่านก็ไม่เห็นจะอยากไปเลย
พอนายท่านของตนกลับบ้าน เอวของเฉินหลิงจวินก็แข็งราวกับมีกระดูกเหล็กทันที ไม่ว่าพบเจอใครก็ล้วนไม่กลัดกลุ้ม
ในที่สุดหมี่ลี่น้อยก็ตัดใจปล่อยมือได้ลง นางกระโดดโลดเต้นล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิงอัน พร่ำเรียกเจ้าขุนเขาคนดีครั้งแล้วครั้งเล่า
ฮ่า คราวนี้เจ้าขุนเขาคนดีกลับมาบ้าน ไม่ได้สะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่มาด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไม่มีแม่นางน้อยแปลกหน้ายืนอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่แล้ว
เฉินหลิงจวินรีบลุกขึ้นยืนทันใด ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดม้านั่งหินอย่างแรง แล้วยังก้มหัวค้อมเอวเป่าฝุ่นทิ้งให้ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “นายท่าน ตรงนี้ๆ นั่งลงตรงนี้…”
โจวหมี่ลี่เองก็ไม่ได้นั่งลง นางวิ่งไปหยิบไม้เท้าเดินป่าสีเขียวและคานหาบสีทองอันเล็กมา ยืนอยู่ข้างกายเจ้าขุนเขาคนดี เป็นเทพทวารบาลอยู่เป็นเพื่อนจิ่งชิง มีที่นั่งว่างอยู่สามตำแหน่ง ยกให้พ่อครัวเฒ่า พี่หญิงฉางมิ่งและเว่ยซานจวินนั่งได้พอดี
คนผู้หนึ่งสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว บนมวยผมปักปิ่นหยก เรือนกายสูงเพรียว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด เมื่ออยู่ในสายตาของคนอื่น หากไม่เหมือนต้นไม้หยกรับลมแล้วจะเหมือนอะไร อยู่ในสายตาของคนกันเองก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
เฉินหลิงจวินและหมี่ลี่น้อยต่างก็ควักเมล็ดแตงออกมาหนึ่งกำมือ หมี่ลี่น้อยยกให้เจ้าขุนเขาคนดีครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกสามคนก็ให้แบ่งเมล็ดแตงที่เหลือเฉลี่ยไปเท่าๆ กัน เด็กชายชุดเขียวมอบให้นายท่านก่อน จากนั้นค่อยแบ่งให้พ่อครัวเฒ่าและผู้คุมกฎฉางมิ่ง ส่วนเว่ยป้อนั้นไม่ได้แล้ว เฉินหลิงจวินยังจงใจสะบัดชายแขนเสื้อให้ดูว่ามันว่างเปล่า เอ่ยขออภัยว่า “ต้องขอโทษพี่เว่ยจริงๆ”
เว่ยป้อยังคงยิ้มบางๆ อยู่อย่างนั้น จะอดทนกับเจ้าเด็กนี่ไปก่อนแล้วกัน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เรือข้ามฟากยังจอดลอยตัวอยู่บนภูเขาค่อนไปทางทิศใต้ลูกหนึ่งของภาคกลางแจกันสมบัติทวีป นอกจากข้าแล้ว บนเรือยังมีเผยเฉียนที่บังเอิญไปเจอกันในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ผู้ถวายงานโจวเฝยที่กลับมาพร้อมกับข้า รวมไปถึงตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนที่ข้าพากลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ พวกเด็กๆ ต่างก็อายุไม่มาก คาดว่าวันหน้าคงต้องให้ไปฝึกกระบี่อยู่ที่หอบูชากระบี่ก่อน หากพวกเจ้ามีใครอยากรับลูกศิษย์ก็ไปเลือกเอาเองได้เลย อืม วันหน้าโจวเฝยจะเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วพวกเราแล้ว แต่ว่าอีกหนึ่งเดือนให้หลังเมื่อศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อประชุมกัน พวกเจ้าพยายามทำให้เรื่องนี้วกวนอ้อมค้อมสักหน่อย เรื่องดีต้องผ่านการขัดเกลาเยอะๆ นี่นะ”
“หลังจากที่ข้าออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ได้ไปถึงถ้ำแห่งโชควาสนาและใบถงทวีปก่อน การที่ไม่ได้รีบกลับมายังภูเขาลั่วพั่วทันที อีกทั้งยังกลับมาช้า พลาดเรื่องราวหลายอย่างไป สาเหตุนั้นค่อนข้างจะซับซ้อน คราวหน้าที่กลับมาบนภูเขา ข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียด ระหว่างที่เดินทางอยู่ในใบถงทวีปก็มีมรสุมที่ไม่เล็กอยู่หลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่นเพื่อตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ตอนอยู่นครเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน เจียงซ่างเจินก็เกือบจะต้องถามกระบี่ต่อเผยหมิ่นพร้อมข้าและชุยตงซาน ไม่ต้องเดาหรอก ก็คือเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่หนึ่งในสามสุดยอดของไพศาลผู้นั้นแหละ ดังนั้นถึงได้บอกว่าเพื่อคำว่าอันดับหนึ่งที่ ‘แน่นอนดั่งตอกตะปูลงบนแผ่นไม้’ นี้แล้ว เจียงซ่างเจินก็เกือบจะต้องถูกตอกลงบนแผ่นไม้จริงๆ หากขนาดนี้แล้วยังไม่มอบอันดับหนึ่งให้กับเขาก็เกินไปหน่อย ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ถวายงานคนใดที่มอบเงินให้แล้วยังต้องมอบชีวิตให้ด้วยเช่นนี้ เรื่องนี้ข้ามาบอกกับพวกเจ้าไว้ก่อน ถือเสียว่าเจ้าขุนเขาอย่างข้าตัดสินใจเองอย่างเผด็จการก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันพูดจารัวเร็ว สีหน้าผ่อนคลาย
ในที่สุดก็ไม่ต้องใช้เสียงในใจหรือรวมเสียงให้เป็นเส้นอะไรอีกแล้ว
จูเหลี่ยนกับเว่ยป้อสบตาแล้วยิ้มให้กัน ผู้ถวายงานอย่างเจียงซ่างเจินนี้ ใต้หล้ามีเพียงแค่คนเดียว จะไปหาที่ไหนได้อีก? ควรต้องเห็นค่าและทะนุถนอมให้มากจริงๆ ส่วนจะเผด็จการหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าขุนเขาผู้เดียว
ฉางมิ่งยิ้มจนดวงตาทั้งสองข้างหยีลง ได้กลับมาพบใต้เท้าอิ่นกวานอีกครั้ง นางอารมณ์ดีมากจริงๆ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองพ่อครัวเฒ่า “จูเหลี่ยน ทุกคนที่ตอนนี้อยู่ข้างนอกไม่ได้ทำธุระสำคัญอะไรให้เรียกตัวกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วให้หมด การประชุมบนยอดเขาจี้เซ่อที่กำหนดไว้ในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง ทางที่ดีที่สุดควรจะอยู่กันให้ครบทุกคน ส่วนวันจะระบุเป็นวันใด เจ้ากับเว่ยซานจวินก็เลือกวันฤกษ์ดีมาแล้วกัน”
จูเหลี่ยนยิ้มพลางพยักหน้ารับ “คุณชายได้กลับภูเขา คือเรื่องที่ใหญ่ที่สุด ยุ่งไม่ยุ่งอะไรกัน คุณชายไม่อยู่บ้าน พวกเราก็ยุ่งกันไปส่งเดช แท้จริงแล้วในใจรู้สึกไม่มั่นคงเลย”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม ยกนิ้วโป้งให้ แต่ปากกลับพูดว่า “เรื่องย้ายแคว้นหู ไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไรนะ”
จูเหลี่ยนรีบพยักหน้ารับทันใด “คุณชายไม่อยู่บนภูเขา พวกเราแต่ละคนเวลาทำเรื่องอะไรก็ย่อมลงมือไม่รู้จักหนักเบาอย่างเลี่ยงไม่ได้ คุณธรรมในยุทธภพก็ใช้กันน้อยลง พอคุณชายกลับมาบ้านก็สามารถกลับมาเข้ารูปเข้ารอยสะอาดบริสุทธิ์ได้ดังเดิมแล้ว”
เฉินผิงอันขยับเส้นสายตามองไปทางเว่ยซานจวินที่ยิ่งนานสีหน้าก็ยิ่งอิ่มเอิบดุจหยกงาม “รบกวนซานจวินส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังหมี่อวี้ที่จวนไช่เฉวี่ยสักหน่อย จากนั้นให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ของพวกเราลบชื่อ ‘อวี๋หมี่’ ออกจากทำเนียบขุนเขาสายน้ำของขุนเขาเหนือภูเขาพีอวิ๋นก่อน แล้วมาเข้าอยู่กับภูเขาลั่วพั่ว อีกเดี๋ยวภูเขาลั่วพั่วจะได้เลื่อนเป็นสำนักอักษรจงแล้ว จึงต้องการเซียนกระบี่คนหนึ่งมานั่งบัญชาการณ์สำนัก นอกจากภูเขาลั่วพั่วจะเลื่อนเป็นสำนักแล้ว ข้ายังคิดว่าจะเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างทางแถบทิศเหนือของใบถงทวีป ข้าเสนอให้เฉาฉิงหล่างเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง หากพวกเจ้ามีความเห็นต่าง แน่นอนว่าสามารถเสนอแนะมาได้ นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าไม่มีทางตัดสินใจคนเดียว”
เฉินผิงอันเหลือบตามอง ‘ภูเขามายา’ ควันธูปสีเขียวซึ่งเปลี่ยนจากเข้มมาเป็นจางลงกลุ่มนั้นแล้วลุกขึ้นเอ่ยขออภัยว่า “ข้าต้องรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แล้ว อีกหนึ่งเดือนให้หลังเจอกัน”
ผลคือพบว่าคนทั้งสามต่างก็ทำสีหน้ามีเลศนัย
เฉินผิงอันจึงยิ้มให้คำตอบ “ไม่ต้องเดาแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบแบบครึ่งๆ กลางๆ ขอบเขตปราณโชติช่วงของผู้ฝึกยุทธปลายทาง เผชิญหน้ากับเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ที่กดขอบเขตอยู่ขั้นเซียนเหรินก็แค่พอจะรับมือได้เล็กน้อยเท่านั้น”
เฉินหลิงจวินปาดน้ำตาแห่งความเศร้าสร้อย พูดอย่างเสียดายว่า “ต่ำแล้ว ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ไม่เข้าท่า ไม่เข้าท่า นายท่านช่างทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน ไม่องอาจแกร่งกล้าเหมือนในอดีตเลย…”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเด็กชายชุดเขียว
เฉินหลิงจวินรีบหยุดพูดทันที ก่อนจะถอนหายใจ ก้มหน้าลงพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก “นายท่านจะด่าก็ด่าเถอะ ข้ารู้ว่าการเดินลงน้ำที่อุตรกุรุทวีปของตัวเองทำผิดต่อนายท่าน”
เฉินผิงอันกลับยื่นมือมากดศีรษะของเฉินหลิงจวินเอาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “การเดินลงน้ำครั้งนั้นของเจ้า ข้าฟังชุยตงซานและเผยเฉียนเล่าอย่างละเอียดแล้ว ทำได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มากเลย คงไม่ชมอะไรเจ้ามากแล้ว เดี๋ยวหางจะชี้ฟ้าสูงกว่าภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยซานจวินพวกเราเอาได้”
เฉินหลิงจวินเงยหน้าพรวดทันใด ยิ้มหน้าทะเล้น “นายท่านคงไม่ได้กลัวว่าข้าจะหนีก็เลยพูดหลอกให้ข้าอยู่บนภูเขาก่อนหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปทางเรือนไม้ไผ่ จ้องมองชั้นที่สองด้วยสายตาลึกล้ำ หันหลังให้กับหน้าผา เขาถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นกุมหมัดเบาๆ เป็นการบอกลาอย่างไร้เสียง ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง เรือนกายทิ้งวูบไปด้านหลัง ตกลงไปท่ามกลางเมฆขาวที่อยู่นอกหน้าผาซึ่งเป็นแขกที่ผ่านทางมา ร่างทั้งร่างพลันหดเล็กลงเหมือนเมล็ดงาเมล็ดหนึ่ง ประกายแสงสีทองเปล่งวาบหนึ่งครั้งก็ย่อขุนเขาสายน้ำ พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา
จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืนช้าๆ ฝ่ามือข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะหิน พูดด้วยรอยยิ้มรู้กัน “เหมือนอยู่กันคนละโลก ฝันงดงามกลายเป็นความจริง”
เว่ยป้อกล่าว “ตอนแรกก็เป็นสำนัก ต่อมาก็เป็นสำนักเบื้องล่าง ต่อจากนี้พวกเจ้าก็มีธุระให้ทำกันอีกแล้ว”
ฉางมิ่งยิ้มกล่าว “ด้วยนิสัยของเจ้าขุนเขาแล้ว เงินที่หามาได้มักต้องใช้ออกไปเสมอ”
พอเฉินผิงอันจากไป เด็กชายชุดเขียวก็รีบหมุนตัวกลับ ค้อมเอวยื่นสองมือไป ‘ย้ายภูเขา’ เมล็ดแตงกองหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะไปให้เว่ยป้ออย่างว่องไว ครั้นจึงเงยหน้ายิ้มประจบ “ซานจวินใหญ่เว่ย รับรองได้ไม่ดีพอ แทะเมล็ดแตงสิ นายท่านบ้านข้าเหลือไว้เยอะเลย”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “แบบนี้คงไม่ดีกระมัง ข้าหรือจะกล้า ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนนอกนี่นา”
เฉินหลิงจวินเอ่ยอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “ใครกันที่ไร้จิตสำนึกมองเว่ยซานจวินเป็นคนนอกได้ลงคอ? ใครกัน คิดจะก่อกบฏจริงๆ แล้วหรือไร!”
……
หลังจากผ่านไปประมาณสามก้านธูป เฉินผิงอันก็ได้เดินทางผ่านภูเขาเล็กลูกหนึ่งของสามภูเขาที่ ‘จินตนาการอยู่ในใจ’ ห่างจากเรือข้ามฟากไปไม่ไกล สุดท้ายจุดธูปคารวะอย่างนอบน้อม ภูเขาลั่วพั่วบ้านเกิดที่อยู่ทางทิศเหนือสุด คือภูเขาลูกที่อยู่ตรงกลางเป็นสะพานเชื่อมภูเขาสามลูก และธูปก้านแรกก่อนหน้านี้ ภูเขาที่ทำการคารวะก่อนลูกใดก็คือภูเขาเล็กลูกหนึ่งที่เฉินผิงอันเคยเดินทางผ่านระหว่างที่เดินทางลงใต้เพียงลำพังในครั้งแรก หากเฉินผิงอันไม่อยากกลับมาที่เรือข้ามฟาก ไม่จำเป็นต้องไปพบเจอกับเผยเฉียนและเจียงซ่างเจินอีก ก็แค่ทยอยจุดธูปที่เรียงไปทางทิศเหนือก็พอ เพียงเท่านี้ก็สามารถอยู่ต่อที่ภูเขาลั่วพั่วได้ตลอดแล้ว
เวลานี้ทะยานลมจากภูเขาลูกเล็กกลับไปยังหัวเรือของเรือเมฆา เฉินผิงอันเซสะดุดทีหนึ่งถึงจะหยุดร่างเอาไว้ได้ เขารีบยกมือหนึ่งกุมหน้าผาก อีกมือหนึ่งแนบหน้าท้อง บาดแผลสองจุดแม่งล้วนได้มาจากเจ้าเผยหมิ่นเวทกระบี่บ้านั่น
——