กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 763.1 กลับคืนบ้านเกิด เปิดฟ้าจากไป
ศูนย์ฝึกยุทธขนาดเล็กในอำเภอเซียนโหยวจังหวัดชิงหยวน มีแขกกลุ่มใหญ่ที่มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่เพิ่มมากลุ่มหนึ่ง ฝ่ายตรวจตราห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาลของอำเภอกลับไม่ได้ข่าวแม้แต่น้อย ไม่มีอยู่ในบันทึก พอทางฝั่งของที่ว่าการอำเภอรู้ข่าวก็รีบร้อนรุดไปเยือนถึงที่ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อขอดูเอกสารผ่านด่านจากทางศูนย์ฝึกยุทธ เรื่องแบบนี้ต่อให้ท่านนายอำเภอจะสนิทสนมกับพี่ใหญ่สวีมากแค่ไหน ที่ว่าการก็ไม่กล้าหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งจริงๆ หากเกิดความผิดพลาดใดๆ ย่อมต้องถูกตัดหัว แล้วยังเป็นคนกลุ่มใหญ่เสียด้วย นับตั้งแต่นายอำเภอไปจนถึงท่านเจ้าเมือง แล้วไล่ไปเบื้องบนเรื่อยๆ ล้วนจะต้องถูกซักไซ้เอาความกับเรื่องนี้ บางคนอาจสูญเสียหมวกขุนนางไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ดีไปกว่าหัวหลุดจากบ่าสักเท่าไร โชคดีที่ทางฝั่งของศูนย์ฝึกยุทธแห่งนี้ไม่มีใครทำให้พวกเขาลำบากใจ เสี้ยนเหว่ยหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนนำกลุ่มด้วยตัวเอง พอเห็นเอกสารผ่านด่านที่มีสามรูปแบบแตกต่างไปจากปกติแล้วก็รีบใช้ศอกกระทุ้งหัวของเสมียนที่ว่าการที่ยืนอยู่ข้างกายทันที ผินตัวเบี่ยงข้าง อ่านเอกสารผ่านด่านเหล่านั้นอย่างละเอียดแล้วส่งคืนให้กับหญิงสาวอย่างนอบน้อม หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ยังดีหน่อย เป็นคนในยุทธภพ ส่วนเอกสารที่เหลืออีกสองฉบับกลับเป็นเอกสารผ่านด่านแห่งขุนเขาสายน้ำที่กรมครัวเรือนของต้าหลีเป็นผู้กำหนดรูปแบบและกรมพิธีการเป็นผู้แจกจ่าย ถ้าอย่างนั้นในใจเสี้ยนเหว่ยหนุ่มก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว อย่าว่าแต่ข้างกายมีเด็กตามมาด้วยเก้าคนเลย ต่อให้เก้าสิบคน อยู่ในอำเภอเซียนโหยวจังหวัดชิงหยวนแห่งนี้ก็ยังสามารถเป็น ‘เซียนผู้ท่องเที่ยว’ (เซียนโหยว) ได้ตามสบาย
เฉินผิงอันตื่นสายอย่างที่หาได้ยาก ตะวันลอยโด่งแล้วเพิ่งจะเดินออกมาจากห้อง เขาเพิ่งจะออกจากห้องมายืนบิดขี้เกียจก็มองเห็นว่าเผยเฉียนกำลังเดินนิ่งหกก้าว สีหน้าของนางสงบนิ่ง เจ้าอ้วนน้อยเฉิงเฉาลู่และแม่นางน้อยสองคนก็เดินนิ่งอยู่ด้านข้าง เฉิงเฉาลู่เดินอย่างจริงจังตั้งใจ น่าหลันอวี้เตี๋ยกับเหยาเสี่ยวเหยียนกลับแค่เล่นสนุกเฉยๆ ฝ่ายเจียงซ่างเจินนั้นเอาสองมือสอดเข้าไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งยองอยู่บนขั้นบันได มองบุรุษของศูนย์ฝึกยุทธที่ไม่รู้ว่ากำลังมองดูหมัดหรือมองหญิงสาวกันแน่
เมื่อคืนวานเขาได้คุยเล่นกับคนหนุ่มที่บอกว่าตัวเองเคยเล่าเรียนเขียนอ่านมาก่อนไปรอบหนึ่ง ไม่ได้จ่ายเงินแม้แต่แดงเดียวก็ได้รู้ถึงบุญคุณความแค้นระหว่างอาจารย์ของผู้ฝึกยุทธหนุ่มกับเทพธิดาบนภูเขาบางท่าน ทำเอาเจียงซ่างเจินที่ได้ฟังทอดถอนใจไม่หยุด พูดติดๆ กันว่าไม่ควรเลย ไม่ควรเลย
เฉินผิงอันเพิ่งจะออกมาจากห้องก็ถูกสวีหยวนเสียที่หิ้วเหล้ามาด้วยสองกาพากลับเข้าไปอีกครั้ง บอกว่าใช้เหล้าถอนเหล้าสามารถดึงวิญญาณกลับมาได้มากที่สุด วัตถุที่สามารถถอนเหล้าได้ดีที่สุดในใต้หล้านี้ ต้องเป็นเหล้าจอกถัดไปอยู่แล้ว
เฉินผิงอันจนใจยิ่งนัก ได้แต่กลับเข้าห้องไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนสวีหย่วนเสียแต่เช้า ในห้องมีจอกเหล้าอยู่ บนโต๊ะยังมีหนังสือหลายเล่มที่ถูกเปิดอ่านไม่มาก มองดูแล้วยังใหม่อยู่มาก หนังสือของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ตำราลัทธิเต๋า บันทึกของปัญญาชน ล้วนมีครบหมด
ตลอดหลายปีมานี้ ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เดินทางท่องยุทธภพมาจนถ้วนทั่วคอยเก็บกวาดห้องแห่งหนึ่งที่เก็บไว้ให้สหายอย่างสะอาดเอี่ยม เป็นระเบียบเรียบร้อย
สวีหย่วนเสียฟังเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปจากเฉินผิงอันแล้วก็ถามว่า “ทางฝั่งของศาลเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเขตแยนจือแคว้นไฉ่อี หลังจากผ่านทางไปแล้วได้เข้าไปจุดธูปกราบไหว้บ้างหรือไม่?”
ผู้เฒ่าทั้งหวังว่าคนหนุ่มจะยังไม่ลืมมารยาทในยุทธภพเหล่านี้ เพราะเขาจะปลาบปลื้มอย่างมาก ขณะเดียวกันก็คิดด้วยว่าถ้าหากคนหนุ่มไม่ทันระวังหลงลืมไป ตนก็จะได้มีโอกาสได้พร่ำพูดมากอีกสักสองสามประโยค
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งอึก วางจอกเหล้าลงแล้วพูดว่า “ย่อมไม่ลืมอยู่แล้ว”
สวีหย่วนเสียพยักหน้า คล้ายกับว่าไม่มีอะไรจะให้พูดแล้วจริงๆ จึงเริ่มดื่มเหล้าไปเงียบๆ
เฉินผิงอันถาม “จะไม่ไปดูภูเขาลั่วพั่วพร้อมกับข้าจริงๆ หรือ?”
สวีหย่วนเสียส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ไป วันหน้าเจ้ากับซานเฟิงต้องมาหาข้าพร้อมกัน ท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นพี่ใหญ่แล้วต้องรักษาหน้าตาเอาไว้บ้าง”
แม้จะพูดแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้เฒ่าต้องใช้กำลังใจมหาศาลทีเดียวในการรอคอยให้สหายที่ยังหนุ่มสองคนมาดื่มเหล้าร่วมกับตน
เฉินผิงอันจึงไม่โน้มน้าวให้มากความอีก
สวีหย่วนเสียเอ่ยเตือนว่า “ครั้งนี้เจ้ากลับบ้านเกิดต้องยุ่งมากแน่นอน ดังนั้นไม่ต้องรีบร้อนพาซานเฟิงมาดื่มเหล้าด้วยกัน พวกเจ้าทำธุระของพวกเจ้าไปก่อน สิบยี่สิบปีนี้พยายามให้พวกเราสามคนได้ดื่มเหล้าด้วยกันสักสองมื้อ ไม่อย่างนั้นทุกครั้งที่นึกถึงว่าล้วนมีแต่พวกเจ้าสองคนที่ดื่มเหล้าด้วยกัน ตาใหญ่มองตาเล็ก ย่อมต้องขาดรสชาติบางอย่างไป ถึงอย่างไรก็ไม่สู้รวมกันให้ครบสามคน ตกลงกันไว้แล้วนะว่าคราวหน้าที่ดื่มเหล้ากัน ข้าคนเดียวจะเล่นงานพวกเจ้าสองคน”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “คนเดียวเล่นงานสองคน? ขอแค่มีกับแกล้มจานเล็กสักจานก็คงพูดจาเมามายเช่นนี้ไม่ออกแล้ว”
สวีหย่วนเสียชำเลืองตามองกระบี่ยาวเล่มที่เฉินผิงอันแขวนไว้บนผนัง อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยคที่บอกว่า ‘สิบปีไม่ได้พบเจอเซียนผู้เฒ่า เจียวหลงบนผนังยังคงขยับไหว’ เพียงแต่ว่าประโยคนี้แม้จะดี แต่กลับไม่เหมาะกับสถานการณ์ สวีหย่วนเสียถอนสายตากลับคืนมา เอ่ยหยอกล้อว่า “เจ้าเองก็รู้ ชีวิตนี้ข้าเลื่อมใสวลีของซูจื่อมากที่สุดแล้ว วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสได้พบเจอกับเทพเซียนผู้เฒ่าซูจื่อ จำไว้ว่าต้องเอ่ยประโยคหนึ่งแทนข้าด้วย บอกไปว่ารวมวลีของซูจื่อเล่มหนึ่งที่พกติดตัวมานานหลายปี ช่วยประหยัดเงินค่ากับแกล้มให้กับจอมยุทธพเนจรคนหนึ่งนามว่าสวีหย่วนเสียไปได้ไม่น้อย”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา วันหน้าหากได้พบกับซูจื่อผู้นั้นจริง ข้ายังจะเอาบทกลอนที่พี่ใหญ่สวีแต่งไปขอให้ท่านผู้เฒ่าช่วยวิจารณ์ให้ด้วย หากผู้อาวุโสท่านนั้นพูดคุยด้วยง่าย ข้าก็จะทำหน้าหนาขอให้เขาช่วยเขียนคำนำของบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นขึ้นมา แต่ว่าคำพูดที่พูดคุยกันบนโต๊ะเหล้า คนมักจะเคยชินกับการคุยโวโอ้อวดไปก่อน จะคิดจริงจังหรือไม่ ก็ต้องดูว่าสุราในจอกของพี่ใหญ่สวีมากหรือน้อยแล้ว”
สวีหย่วนเสียแกว่งกาเหล้าที่อยู่ในมือ เหลือสุราอีกไม่มากแล้ว จึงยื่นมือไปปิดจอกเหล้าบนโต๊ะเอาไว้ ยิ้มถามว่า “กฎเดิม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหลือค้างไว้ก่อน”
สวีหย่วนเสียเงียบไปพักใหญ่ เห็นว่าเฉินผิงอันยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวก็ถามอย่างคลางแคลงว่า “เจ้ายังไม่เตรียมตัวออกเดินทางอีกหรือ?”
กว่าจะได้กลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังใต้หล้าไพศาลได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ก็ตั้งกี่ปีแล้วที่ไม่ได้กลับไปภูเขาลั่วพั่ว เจ้าเด็กนี่ต้องรีบร้อนอยากเดินทางต่อแน่ ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันเอ่ยเมื่อครู่นี้ อยู่บนโต๊ะสุราต้องคุยโวออกไปเสียก่อน เหล้ามื้อเมื่อคืนวาน เฉินผิงอันดื่มจนเมามาย เมาเละเทะ ยามพูดเสียงก็ไม่เบาแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าท่าทางยังดีอยู่ ไม่เพียงแต่ไม่เมาอาละวาด กลับกันยังมีสีหน้าสดใส ดวงตาสุกใสยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มเหล้าเสียอีก คนหนุ่มบอกเล่าเรื่องราวที่ทำให้สวีหย่วนเสียอกสั่นขวัญผวาทั้งยัง…เลื่อมใสนับถือ แรกเริ่มสวีหย่วนเสียเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเด็กนี่คอแข็งดื่มพันจอกก็ไม่เมาจริงๆ แต่อยู่ดีๆ เสียงตึงก็ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หัวโขกลงบนโต๊ะ เมาพับไปแล้ว แถมยังส่งเสียงกรนดังสนั่นเหมือนเสียงฟ้าผ่า
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ยิ้มด่าขำๆ ว่า “มารดาเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่สักหลายๆ วันหน่อยไม่ได้หรือ? หรือว่าศูนย์ฝึกยุทธยากจนจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อแล้ว? เหล้าดีๆ มีไม่พอแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องมีน้ำชาอยู่บ้างกระมัง”
ตอนที่เป็นเด็กหนุ่มอายุน้อย มักจะคิดว่าวันหน้าหากได้ดื่มเหล้าจะต้องดื่มเหล้าดีๆ เหล้าที่แพงที่สุด แต่อันที่จริงไม่ว่าเหล้าอะไรวางอยู่บนโต๊ะก็ล้วนดื่มได้ทั้งนั้น กาลเวลาไม่รั้งรอคน รอกระทั่งถึงยามที่ไม่ว่าสุราชนิดใดก็ล้วนซื้อหาได้แล้วนั้น กลับกลายเป็นว่าดื่มชามากกว่า ต่อให้ดื่มเหล้าก็น้อยครั้งนักที่จะดื่มกับผู้อื่นอย่างเต็มคราบ
สวีหย่วนเสียหัวเราะเสียงดังลั่น “ได้เลย!”
หลายวันต่อมาสวีหย่วนเสียก็พาพวกเฉินผิงอันไปเที่ยวเล่นในอำเภอเซียนโหยว พรรคตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่กลางป่าลึกนอกเมืองก็ไปเที่ยวมารอบหนึ่ง หลักๆ แล้วเป็นเพราะบุรุษที่ชื่อว่าโจวเฝยคนนั้น ไม่รู้ว่าไปถูกชะตากับลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของสวีหย่วนเสียได้อย่างไร ลูกศิษย์คนนั้นชื่อกวอฉุนซี แล้วก็เพราะว่าถูกสตรีที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กทำให้เสียใจอย่างสุดซึ้ง อายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่กลับยังเป็นชายโสด วันๆ นึกอยากแต่จะพาตัวเองไปแช่อยู่ในถังเหล้า ไม่อย่างนั้นกวอฉุนซีก็จะเป็นคนที่ได้ดิบได้ดีที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสวีหย่วนเสีย ในชีวิตนี้มีหวังจะได้เลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธห้าขอบเขตบน ในยุทธภพแคว้นเล็กแห่งหนึ่งก็คือว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธจักรที่มากพอจะก่อสำนักตั้งพรรคเป็นของตัวเองได้แล้ว โจวเฝยไปหาสวีหย่วนเสียเป็นการส่วนตัว บอกว่าเขามีความสัมพันธ์ควันธูปบนภูเขาอยู่บ้าง คิดว่าจะพาพี่น้องกวอออกจากบ้านไปผ่อนคลายอารมณ์สักรอบ และเขาเองก็มองโหงวเฮ้งเป็นอยู่บ้างเล็กน้อย แค่มองก็รู้สึกว่ากวอฉุนซีมีรูปหน้าของคนบนภูเขา ประทังชีพอยู่ในศูนย์ฝึกยุทธไปวันๆ ตอนกลางวันฝึกวรยุทธอย่างขอไปที ตอนกลางคืนนอนฝันอยู่ในถังเหล้า เท่ากับเอาคนมีความสามารถสูงไปใช้กับงานที่ไม่ต้องแสดงความสามารถแล้ว สวีหย่วนเสียเชื่อใจในสหายของเฉินผิงอันจึงไม่ขัดขวาง ให้โจวเฝยพากวอฉุนซีไปด้วยได้เลย
ตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งนั้นมีชื่อว่าพรรคชิงหลิง บรรพจารย์เปิดภูเขาคือเซียนซือผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง ว่ากันว่ายังมีผู้ถวายงานอันดับหนึ่งเป็นขอบเขตประตูมังกรอีกด้วย และสตรีที่กวอฉุนซีคิดถึงคำนึงหาอยู่ไม่วายผู้นั้น ทุกวันนี้ก็ไม่เพียงแต่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดในศาลบรรพจารย์ของพรรคชิงหลิง ยังเป็นหนึ่งในตัวสำรองที่จะได้คัดเลือกเป็นประมุขพรรคคนต่อไปด้วย อันที่จริงเจ้าประมุขของพรรคชิงหลิงรู้ความตื้นลึกของวรยุทธสวีหย่วนเซียเจ้าศูนย์ผู้เฒ่าแห่งอำเภอเซียนโหยวผู้นี้ดี เพราะในอดีตเพื่อลูกศิษย์อย่างกวอฉุนซี สวีหย่วนเสียก็เคยพกดาบอาคมเล่มหนึ่งขึ้นภูเขามาถกเหตุผล เจ้าประมุขพรรคชิงหลิงก็ถือว่ามีเหตุผล ไม่ได้ใช้ไม้กระบองตีคู่ยวนยางให้แยกจากกัน เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วเป็นสตรีผู้นั้นเองที่ใจไม่อยู่ล่างภูเขาแล้ว มีบุพเพแต่ไร้วาสนากับกวอฉุนซี สวีหย่วนเสียผู้เป็นอาจารย์ยังจะอาละวาดจนคนอื่นวางตัวกันไม่ถูก
เฉินผิงอันไม่ได้พาเผยเฉียนมาด้วย เขาให้นางอยู่ดูแลพวกเด็กๆ ที่ศูนย์ฝึกยุทธ มีเพียงป๋ายเสวียนที่ชอบเอาสองมือไพล่หลังติดตามพวกเขามาเยี่ยมเยือนพรรคชิงหลิงด้วย พออยู่ข้างกายสวีหย่วนเสีย เด็กชายก็เลียนแบบอาจารย์เฉาเรียกคำแล้วคำเล่าว่าพี่ใหญ่สวี สวีหย่วนเสียรู้ว่าพวกเขาล้วนเป็นเด็กที่มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นจึงพูดคุยด้วยง่ายเป็นพิเศษ เรียกขานคำแล้วคำเล่าว่าน้องป๋าย ทำเอาป๋ายเสวียนรู้สึกประทับใจในตัวสวีหย่วนเสียมากเป็นพิเศษ ทั้งยังตกลงเป็นการส่วนตัวกับพี่ใหญ่สวีด้วยว่า วันหน้าเขาก็คือเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของศูนย์ฝึกยุทธแล้ว วันหน้าหากมีใครมาหาเรื่องให้ส่งจดหมายแจ้งไปยังภูเขาลั่วพั่ว หากว่ากันถึงเรื่องการทะเลาะโต้เถียง เรื่องหมัดและเท้า เรื่องเวทกระบี่แล้ว นายน้อยล้วนเป็นคนมีฝีมือทั้งสิ้น
เจียงซ่างเจินจึงแอบจำไว้เงียบๆ ว่าป๋ายเสวียนเรียกพี่ใหญ่เสียไปกี่รอบ สวีหย่วนเสียเรียกน้องป๋ายกลับกี่รอบ วันหน้าตนจะได้เอาไปขอความดีความชอบจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ใช่หรือ?
ส่วนกวอฉุนซีที่เส้นผมยุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้นั้น อยู่ดีๆ ก็สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่โจวเฝยมอบให้เขา พื้นของชุดเป็นสีเขียว ทอลายขุนเขาสายน้ำลายเมฆ ว่ากันว่าเป็นฝีมือการทอแบบเค่อซืออะไรสักอย่าง เอาเป็นว่ากวอฉุนซีฟังไม่รู้เรื่องก็แล้วกัน ชุดนี้น้ำหนักเบายิ่ง สวมเหมือนไม่ได้สวม ทำเอากวอฉุนซีรู้สึกไม่คุ้นชินอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าบนเท้ายังสวมรองเท้าหนังคู่ที่ลูกศิษย์ช่วยปะชุนให้ ชายแขนเสื้อไม่สั้น ทั้งยังไม่กล้าม้วนชายแขนเสื้อขึ้นด้วยกลัวว่าจะทำลายข้อพิถีพิถันบางอย่าง ทำเอาบุรุษไม่รู้จะวางมือทั้งสองไว้ที่ไหน จึงมองดูเหมือนสตรีหญิงแก่ไข่มุกเหลืองที่ปาดถูเครื่องประทินโฉมจนเต็มใบหน้า พอคลี่ยิ้มหรือเงยหน้าขึ้นก็แสดงให้เห็นถึงความขลาดเขิน ทำเอาคนด้านข้างเห็นแล้วต้องกลั้นขำ
แน่นอนว่าสวีหย่วนเสียรู้ว่านั่นคือชุดคลุมอาคมบนภูเขาชิ้นหนึ่ง เพียงแต่ระดับขั้นสูงหรือต่ำ เขากลับมองไม่ออกแล้ว จึงรวมเสียงเป็นเส้นถามเฉินผิงอัน เฉินผิงอันตอบว่า “คือชุดคลุมอาคมชิ้นหนึ่งที่มาจากตรอกเค่อเซ่อหนึ่งในสิบแปดทัศนียภาพของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา การทอแบบเซียนหนวี่เค่อซือ ลายเมฆาสายน้ำวสันต์ มีชื่อเสียงมากบนภูเขาของใบถงทวีป อีกทั้งชุดคลุมอาคมตัวนี้ยังเอามาจากมือของโจวเฝย ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมกระมัง ถูกโจวเฝยร่ายเวทอำพรางตาตระกูลเซียนเอาไว้ อีกทั้งยังสยบวิชาอภินิหาร ‘สาวไหม’ ข้ามตรงตัดนอน (คือขั้นตอนหนึ่งในการทอผ้าแบบเค่อซือ ส่วนใหญ่มักจะใช้ไหมดิบมาทอเป็นเส้นแนวตรง ไหมสุกทอเป็นเส้นแนวนอน) ไม่อย่างนั้นกวอฉุนซีคงสวมไม่ได้ หากโจวเฝยถอนเวทคาถาออก หากค่ายกลศาลบรรพจารย์ขวางไว้ไม่อยู่ ปราณวิญญาณขุนเขาสายน้ำของพรรคชิงหลิงในเวลานี้ก็จะหายไปถึงครึ่งหนึ่ง ปราณวิญญาณถูกชุดคลุมอาคมดึงมาไว้บนร่าง หลอมรวมเข้ากับเส้นด้ายตามแนวยาวพวกนั้น”
สวีหย่วนเสียยิ่งสงสัยใคร่รู้มากกว่าเดิม “สหายเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ฟังดูแล้วหากผู้ฝึกลมปราณสวมชุดคลุมอาคมตัวนี้บนร่าง เดิมทีก็เป็นสมบัติหนักในการโจมตีชิ้นหนึ่ง?
เฉินผิงอันยิ้มพลางบอกความจริง “โจวเฝยมักทำอะไรตามแต่ใจตัวเองเสมอ มักจะหาเรื่องทำส่งเดชบ่อยๆ อยู่แล้ว พวกเราแค่ชินไปก็ดีเอง”
สวีหย่วนเสียกล่าว “เจ้าฉุนซีผู้นี้คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตไม่สูง อยู่ในสายตาของพวกเจ้าแล้วไม่ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธใดๆ เขาคงรับโชควาสนาบนภูเขาครั้งนี้ไม่ไหวหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ย “พี่ใหญ่สวีท่านวางใจเถอะ โจวเฝยทำอะไรรู้จักหนักเบาอย่างยิ่ง”
ก็เหมือนอย่างเด็กที่ช่วยไว้ในอุตรกุรุทวีปปีนั้นที่หลังจากถูกเจียงซ่างเจินพาไปยังสำนักเจิ้นจิงทะเลสาบซูเจี่ยน บนทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยก ได้ตั้งชื่อให้ว่าโจวไฉ่เจิน คาดว่าคงเอาโจวมาจากโจวเฝย ไฉ่จากลี่ไฉ่ และเจินจากเจียงซ่างเจินนั่นเอง
ภายหลังเหวยอิ๋งเซียนกระบี่ที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักสองแห่ง เซียนเหรินหลิวเหล่าเฉิง ไปจนถึงหลิวจื้อเม่าหยกดิบ หลี่ฝูฉวีก่อกำเนิด รวมถึงสุยโย่วเปียนผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ต่างก็ดูแลเด็กคนนี้เป็นอย่างดี เกาะกงหลิ่วของทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวด ผู้มากพรสวรรค์มีมากมาย หลายปีมานี้โจวไฉ่เจินที่คุณสมบัติด้านการฝึกตนไม่มีค่าพอให้พูดถึงกลับเป็นลูกรักของทุกคนอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าแม่นางน้อยกลับมีนิสัยเป็นเด็กดีว่าง่าย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน แต่กลับมักจะไปคุยเล่นกับเถียนไห่จวินและสตรีเฝ้าประตูคนหนึ่งของเกาะชิงเสียเป็นประจำ
นี่เป็นเหตุให้เด็กหญิงที่เดิมทีไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตนแม้แต่น้อยได้รับคาถาตระกูลเซียนถ่ายทอดจากศาลบรรพบุรุษสกุลเจียง เวทคาถาที่ถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักเจิ้นจิ้ง เงินเทพเซียนกองโต และโชควาสนาบนภูเขา จนดันให้นางเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้ หลังจากเฉินผิงอันได้รู้เรื่องก็เอ่ยขอบคุณเจียงซ่างเจินจากใจจริง เจียงซ่างเจินตอบกลับมาว่าอย่ามาด่าคนอื่น ทำเอาเฉินผิงอันรู้สึกละอายใจยิ่งนัก บอกว่าไปถึงศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อเมื่อไหร่ การประชุมในคราวหน้าหากคุยเรื่องของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแล้วมีคลื่นมรสุม ตนที่เป็นเจ้าสำนักจะต้องคัดค้านทุกคนอย่างสุดกำลังแน่นอน ตอนนั้นเจียงซ่างเจินมองเจ้าขุนเขาที่มีสีหน้าจริงใจเป็นพิเศษ แล้วพอหวนนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่เผยเฉียนพูดถึงผู้ถวายงานลำดับรอง รวมไปถึงใต้เท้าเจ้าขุนเขาที่กลับไปเยือนภูเขาลั่วพั่วอย่างรีบร้อนมารอบหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็ไพล่นึกไปถึงประโยคที่ว่า ‘เรื่องดีไม่กลัวการขัดเกลา’ เพียงแต่ว่าพอคิดถึงอีกประโยคที่ว่าเงินน้อยสามารถจ้างผีให้โม่แป้ง เงินมากสามารถให้แป้งโม่ผี จิตใจเจียงซ่างเจินก็สงบลงได้หลายส่วนทันที
เหตุใดถึงแซ่โจว เป็นเพราะบนภูเขามีข้อพิถีพิถัน ‘โจวเฝย’ นามแฝงของเจียงซ่างเจิน อีกทั้งยังจะใช้ชื่อนี้ในการรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว เข้าไปอยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลขุนเขาสายน้ำของยอดเขาจี้เซ่อด้วย ถ้าอย่างนั้นนี่ก็หมายความว่าโจวเฝยไม่ใช่นามแฝงที่ว่างเปล่าอีกต่อไป เด็กคนนั้นใช้แซ่ ‘โจว’ ตามเจียงซ่างเจิน ไม่ได้แซ่เฉิน ก็เท่ากับว่าเจียงซ่างเจินรับผลกรรมทั้งหมดไว้ให้แทนเฉินผิงอัน
——