กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 763.5 กลับคืนบ้านเกิด เปิดฟ้าจากไป
ซ่งจี๋ซินพูดอย่างขำๆ ปนฉุน “เฉินผิงอัน เจ้าช่วยเป็นคนตรงไปตรงมาหน่อยได้หรือไม่?”
ปีนั้นอาจารย์ฉีทิ้งหนังสือไว้ให้ซ่งจี๋ซินหกเล่ม สามเล่มในนั้นคือตำราของลัทธิขงจื๊อได้แก่ ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ‘หลี่เยว่’ และ ‘กวานจื่อ’ อีกสามเล่มเป็นหนังสือเบ็ดเตล็ดได้แก่ วิชาคำนวณ ‘จิงเวย’ ศาสตร์หมากล้อม ‘เถาหลี่’ รวมบทความ ‘ซานไห่เช่อ’ ตอนนั้นซ่งจี๋ซินกับสาวใช้จื้อกุยออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูด้วยกัน ติดตามซ่งจ่างจิ้งไปยังเมืองหลวงต้าหลี ได้ทิ้งตำราสามเล่มแรกไว้ในบ้านของตรอกหนีผิง เอาไปแค่ตำราเบ็ดเตล็ดสามเล่มเท่านั้น
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่ได้เอาไปจริงๆ หากหนังสือมีขาเดินได้ เจ้าก็ลองไปหาเอาเอง เตือนเจ้าคำหนึ่งว่า ลองถามคนข้างกายดู อย่าให้เป็นเงามืดใต้โคมไฟ”
ซ่งจี๋ซินกึ่งเชื่อกึ่งกังขา
เฉินผิงอันเอ่ย “หนังสือสามเล่มนั้น ทุกวันนี้ราคาในตลาดต้าหลีคือเท่าไร ข้าไม่รู้ ปีนั้นราคาในตลาดคือเท่าไร เจ้าไม่รู้ ดังนั้นจะมีหรือไม่มี อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ เล่มนั้น ปีนั้นขนาดอยู่ที่ต้าสุยและแคว้นหวงถิงของต้าหลี ข้าก็ยังหาเจอไปแล้วแปดฉบับ ราคาแพงที่สุดคือหกสิบห้าเหวิน อยู่ที่เมืองหงจู๋ ถูกที่สุดคือสามสิบห้าเหวิน อยู่ที่เมืองหลวงต้าสุย ข้าไม่มีความจำเป็นต้องเอาหนังสือของเจ้าไป บนหนังสือเขียนอะไรบ้าง เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนข้าก็ท่องกลับหลังได้คล่องแล้ว หากราคา ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีแพงกว่าที่อื่นมาก ถ้าอย่างนั้นข้าก็แนะนำเจ้าประโยคหนึ่งว่า เจ้าที่เป็นอ๋องเจ้าเมือง วันหน้าเวลาเดินทางตอนกลางคืนคงต้องระวังให้มากแล้ว”
ซ่งจี๋ซินถอนหายใจ จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะพูดมากกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย”
คนวัยเดียวกันที่เคยอยู่ตรอกหนีผิงผู้นี้ ก็คือน้ำเต้าตันที่โดนตีก็ไม่ร้อง เจอกับความยากลำบากก็ไม่โอดครวญ วันๆ ชอบทำตัวเป็นคนใบ้
เฉินผิงอันข้ามธรณีประตูใหญ่ของศาลเทพลำคลองมาแล้วก็ไม่เอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้ออีก เขาพูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ก็ต้องดูที่สถานที่ด้วย”
ซ่งจี๋ซินพลันพูดอย่างจงใจว่า “ต้องการให้ข้าช่วยเก็บกวาดหรือไม่? จะดีจะชั่วก็เป็นอ๋องเจ้าเมือง ความสามารถเพียงเท่านี้ยังพอมีอยู่บ้าง คนเฝ้าศาลผู้นั้น อันที่จริงจำข้าได้แล้ว ให้ข้าไปทักทายเขาดีไหม?”
แล้วก็จริงดังคาด คนชุดเขียวสะพายกระบี่ที่เป็นเพื่อนบ้านในอดีตผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าอดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็ยังอดทนไม่ไหว ใช้เสียงในใจด่าว่า “สมองเจ้าแม่งมีรูใช่หรือไม่?”
เพียงแต่ว่าไม่นานเฉินผิงอันก็เงียบเสียงไป
ซ่งจี๋ซินหัวเราะ “ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ต่างอะไรกับเมื่อก่อนเลย ก่อนหน้านี้เกือบจะจำไม่ได้เสียแล้ว เวลานี้กลับดีแล้ว ยังพอจะมีความคุ้นเคยอยู่บ้าง”
บนลานกว้างนอกตำหนักหลักของศาลลำน้ำใหญ่ เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้ามาถามว่า “ไม่อย่างนั้นรอให้เจ้าพูดจบก่อนดีไหมล่ะ?”
ซ่งจี๋ซินส่ายหน้า “ไม่ล่ะ พูดกับเจ้ามากมายขนาดนี้ เจ้ารำคาญ ข้าเองก็รำคาญ หลังจากจุดธูปคารวะแล้ว ต่างคนก็ต่างเดินไปทางใครทางมันเถอะ”
ในศาลผู้คนเบียดเสียดกันแออัด ผู้มีจิตศรัทธาที่มาจุดธูปที่นี่ด้วยความจริงใจมีอยู่เยอะมาก
ก่อนหน้านี้ซ่งจี๋ซินจุดธูปไปสามดอก เพียงแค่หันหน้าเข้าหาทางตำหนักใหญ่ จุดธูปด้วยความเคารพ กราบไหว้สามครั้ง แล้วใช้มือซ้ายปักธูปลงในกระถางธูปใบใหญ่
ส่วนเรื่องที่จะไปโขกหัวคำนับในตำหนักใหญ่นั้น ไม่ว่าจะด้วยสถานะอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีของซ่งจี๋ซินหรือว่าสถานะของลูกศิษย์ ล้วนไม่เหมาะสม แล้วก็ไม่จำเป็นด้วย
ส่วนเฉินผิงอันที่ถือธูปด้วยมือขวา หลังจากจุดธูปแล้วก็หันไปคารวะสามทิศทางอย่างละครั้ง ตรงกันข้ามกับซ่งจี๋ซิน มีเพียงไม่ได้หันหน้าคารวะเทวรูปที่อยู่ในห้องโถงหลักเท่านั้น ใช้มือขวาปักธูปลงในกระถางเบาๆ เดินไปหยุดตรงด้านหน้าของตำหนักหลัก คนชุดเขียวที่ปักปิ่นหยกประสานมือก้มตัวคารวะ เป็นนานก็ยังไม่ยืดตัวขึ้นมา
ลำน้ำใหญ่ที่อยู่นอกประตูศาล มีลมวสันต์ผสมผสานกลมกลืนอยู่ในโลกมนุษย์ปีแล้วปีเล่า เป็นเหตุให้ต้นหยางและต้นหลิวเคียงข้าง นกโบยบินอยู่เหนือมวลพืชพรรณ
ลมวสันต์จากไปแล้วกลับคืนมาปีแล้วปีเล่า เด็กหนุ่มรองเท้าสานอายุสิบสี่ปีที่ออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ครั้งนี้เมื่อออกเดินทางไกลและกลับคืนมายังบ้านเกิดอีกครั้ง โดยไม่ทันรู้ตัวก็อายุสี่สิบปีแล้ว
……
ร้านตีเหล็กที่ตั้งอยู่ริมลำคลองหลงซวี วันนี้หลิวเสี้ยนหยางยังคงมานั่งอาบแดดอยู่เหมือนเดิม
เขาไม่ได้ติดตามอาจารย์ไปยังเมืองหลวง ยังคงอยู่ที่นี่ แอบอู้อยู่ทุกวัน ชีวิตหนีไม่พ้นนอนหลับ นั่งงีบบนเก้าอี้ แทะเมล็ดแตง จากนั้นก็งีบหลับอีกครั้ง แล้วก็นอนหลับต่อ เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวก็คือคุยเล่นกับแม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายสองสามคำ แม่นางหน้ากลมชอบนั่งเหม่อ ไม่ค่อยชอบพูด นั่งอยู่ใต้ชายคา เพื่อขีดเส้นแบ่งกับหลิวเสี้ยนหยางให้ชัดเจน ตรงกลางระหว่างเก้าอี้ของคนทั้งสองจึงวางเก้าอี้ไม้ไผ่และม้านั่งไม้ตัวเล็กไว้จนเต็ม มีเพียงยามที่หลิวเสี้ยนหยางด่าคนบางคนเท่านั้น แม่นางหน้ากลมถึงจะพยักหน้า ดังนั้นหลิวเสี้ยนหยางจึงประหลาดใจยิ่งนัก แม่นางเซอเยว่ที่นิสัยดีอย่างยิ่งผู้นี้ ขนาดกับหม่าขู่เสวียนยังไม่รู้สึกเคียดแค้นสักเท่าไร แต่เหตุใดถึงได้มีความแค้นลึกล้ำกับเฉินผิงอันปานนั้น เขารู้สึกว่าขาดอีกนิดเดียวนางก็จะเอาเข็มจิ้มใส่หุ่นฟางแล้ว
อันที่จริงศาลบรรพจารย์ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้ย้ายไปแล้ว แต่หลิวเสี้ยนหยางกลับยังยินดีที่จะมาหลบเลี่ยงความวุ่นวายอยู่ที่นี่มากกว่า
หลายปีมานี้เมืองเล็กกับภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก นอกจากสำนักบ้านตัวเองที่ย้ายขึ้นเหนือแล้ว เรือนด้านหลังร้านตระกูลหยางก็ไม่มีคนอยู่แล้ว
ดังนั้นเจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นจึงกลายมาเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่สุดของอาณาเขตหลงโจว ภูเขาเกินครึ่งเป็นของเขา ล่างภูเขาเกินครึ่งเป็นของต่งสุ่ยจิ่ง น่าเสียดายก็แต่ต่งสุ่ยจิ่งหาเงินอย่างยากลำบาก ถึงท้ายที่สุดกลับไม่อาจกอดสาวงามกลับบ้านได้ หลังรู้ข่าวหนึ่ง เขากับหลินโส่วอีที่เดินทางกลับบ้านเกิด แมลงน่าสงสารสองคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้ดื่มเหล้าร่วมกันอย่างหนักไปหนึ่งมื้อ ตอนแรกก็ด่ากันเองก่อน จากนั้นค่อยช่วยกันด่าบัณฑิตบางคนของอุตรกุรุทวีป ดูเหมือนว่าจะแซ่หัน มาจากราชวงศ์ฮวาหลิง ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลายมาเป็นสามีของหลี่หลิ่วได้ จากนั้นหลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิ่งก็หันมาด่ากันเองอีกครั้ง แม้แต่จอกเหล้ายังขว้างแตก เพราะตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางมานั่งขอเหล้าดื่มอยู่ที่โต๊ะเหล้าด้วย รอกระทั่งหลี่หลิ่วกับพ่อแม่ รวมถึงสามีของนาง สี่คนในครอบครัวพากันเดินทางจากอุตรกุรุทวีปกลับคืนมายังเมืองเล็กบ้านเกิด ต่งสุ่ยจิ่งกับหลินโส่วอีกลับไม่กล้าแม้แต่จะผายลมสักครั้ง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนโต๊ะเหล้าก็พูดกันดีๆ อยู่หรอก แต่ละคนเป็นวีรบุรุษผู้องอาจไม่แพ้กัน คนหนึ่งป่าวประกาศว่าจะต้องใช้เงินทุ่มใส่ให้เจ้าตะพาบแซ่หันผู้นั้นตาย อีกคนหนึ่งบอกว่าขอแค่ได้เจอกับเจ้าคนแซ่หันผู้นั้น จะจับเขากดลงบนพื้นแล้วกระทืบให้ตาย โชคดีที่หลิวเสี้ยนหยางมีความหวังดี หลังจากเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับคนแซ่หันผู้นั้นได้แล้วก็รีบส่งกระบี่บินแจ้งข่าวให้ทั้งต่งสุ่ยจิ่งและหลินโส่วอีทันที ผลคือแม่งกลับไม่มีใครตอบกลับมาสักคนเดียว
ดังนั้นเขาจึงคร้านจะส่งจดหมายฉบับที่สองแล้ว เพราะแท้จริงแล้วหลิวเสี้ยนหยางมองออกในปราดเดียวว่า หลี่หลิ่วที่ป่วยหนักผู้นั้นคล้ายจะตัดขาดกับเรื่องราวทางโลกไปแล้ว เพื่อเป็นการชดใช้หนี้บางอย่าง เพียงแต่ว่าบัณฑิตผู้นั้นก็ไม่ถือสาเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย ราวกับว่าขอแค่ได้ชื่อว่าเป็นคู่รักกัน เขาก็พอใจแล้ว คนลุ่มหลงในรักเอย ช่างเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ ดังนั้นไปๆ มาๆ หลิวเสี้ยนหยางจึงเป็นสหายกับลูกหลานจากตระกูลอันดับหนึ่งแห่งอุตรกุรุทวีปผู้นั้น ดังนั้นบัณฑิตจึงได้รู้ว่ามีคนสองคนที่คนหนึ่งชื่อต่งสุ่ยจิ่งกับอีกคนชื่อหลินโส่วอีที่อาจจะเอาถุงผ้าป่านมาครอบหัวเขาได้ทุกเมื่อ อยู่ในเมืองเล็กอันเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ เขาจึงรู้สึกอกสั่นขวัญผวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ค่อยกล้าออกจากบ้านสักเท่าไร มีเพียงบางครั้งที่ปลุกความกล้ามาหาหลิวเสี้ยนหยาง บอกว่าเรื่องที่ต้องปล่อยให้เป็นไปตามบุพเพวาสนาต่อให้บังคับก็มิอาจได้มาครองประเภทนี้ จะโทษเขาไม่ได้จริงๆ นะ โทษไม่ได้ก็จริง และเหตุผลก็เป็นเช่นนี้จริง เพียงแต่ว่าเห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าหันเฉิงเจียงเป็นบัณฑิตอ่อนแอ แต่ตอนพูดประโยคนี้ทำไมถึงอ้าปากกว้างขนาดนั้น ดังนั้นหลิวเสี้ยนหยางจึงรู้สึกว่าเรื่องประเภทนี้ยังคงเป็นเรื่องของคนสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ นั่งลงบนโต๊ะพูดคุยกันให้รู้เรื่องจะค่อนข้างดี เขาจึงเปลี่ยนถ้อยคำเสียใหม่ ส่งจดหมายฉบับที่สองออกไป บอกกับคนเสียใจสองคนนั้นว่า หันเฉิงเจียงอยากจะพูดคุยกับพวกเจ้าอย่างตรงไปตรงมา ต้องการนัดไปเจอกันบนโต๊ะสุรา บวกกับเขาหลิวเสี้ยนหยางที่เป็นคนไกล่เกลี้ยซึ่งจะแค่ยุให้ดื่มเหล้าแต่ไม่โน้มน้าวให้ไม่ต่อยตีกันอีกคน ก็จะรวมกันได้สี่คนครบหนึ่งโต๊ะพอดี
น่าเสียดายที่ต่งสุ่ยจิ่งแค่เดินอ้อมระยะทางมาที่ร้านแห่งนี้ ดื่มเหล้าเงียบๆ อยู่นานเป็นครึ่งๆ วัน สุดท้ายเดินโซเซจากไป พูดแค่ว่าจะไม่รังแกบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่
หลินโส่วอีเองก็แอบมาในตอนหลัง นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ไม่พูดไม่จา แทะเมล็ดแตงอยู่นานเป็นครึ่งวัน สุดท้ายถามเรื่องเกี่ยวกับหันเฉิงเจียงจากหลิวเสี้ยนหยางสองสามประโยค แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าไปที่เรือนซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของเมืองเล็ก พูดแค่ว่าเขาไม่มีหน้าจะไปซ้อมผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง
แม้จะบอกว่าทั้งสองครั้งแม่นางหน้ากลมที่ใช้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ล้วนนั่งห่างไปไกล แต่อันที่จริงนางกลับเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่ตลอดเวลา นางรู้สึกว่าหันเฉิงเจียงผู้นั้นก็ไม่เลวนะ ตบะหรือขอบเขตอะไร ไม่ได้เกี่ยวกับว่าสตรีจะชอบหรือไม่ชอบคนคนหนึ่งสักหน่อย แต่นางเองก็รู้สึกว่าต่งสุ่ยจิ่งและหลินโส่วอีก็น่าสงสารมากจริงๆ เพียงแต่ว่าในเมื่อชอบหลี่หลิ่วมาตั้งนานแล้ว อะไรที่ควรพูดก็น่าจะพูดไปตั้งนานแล้ว ชอบใครก็ควรบอกให้ชัดเจน ต่อให้อีกฝ่ายไม่ตอบรับ จะดีจะชั่วตัวเองก็ได้พูดไปแล้ว แล้วยังสามารถชอบอีกฝ่ายต่อไปได้อีก หากอีกฝ่ายตอบตกลงขึ้นมาก็ไม่เท่ากับว่าต่างคนต่างชอบกันหรอกหรือ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ล้วนไม่เสียเปรียบ ยิ่งนางคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผล น่าเสียดายก็แต่ตนไม่มีความสนใจเรื่องความรักชายหญิงอะไรเลยจริงๆ น่าเสียดายเหตุผลดีๆ เช่นนี้นัก
วันนี้นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่ง กินขนมที่ซื้อลดราคามาจากร้านยาสุ้ย ถามเสียงอู้อี้โดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา “หลิวเสี้ยนหยาง ถ้าเจ้าหมอนั่นกลับมาบ้าน เจ้าจะพูดเหตุผลกับเขาดีๆ จริงๆ หรือ? เขาก็จะฟังเจ้าหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางเพิ่งจะลืมตาขึ้นก็ยิ้มตอบว่า “อวี๋เชี่ยนเยว่ ต้องพูดกับเจ้ากี่รอบเจ้าถึงจะเชื่อกัน ใต้หล้านี้นอกจากหนิงเหยาก็มีเพียงข้าเท่านั้นที่ตีเขาแล้วเขาไม่ตีคืน ด่าเขา เขาก็ไม่ด่าคืน ข้าไม่ได้โม้จริงๆ นะ”
เซอเยว่ถอนหายใจ เอาเถอะ คำพูดของบัณฑิตอย่างพวกเจ้าเชื่อถือไม่ได้เลยจริงๆ
หากจะบอกว่าตีแล้วไม่เอาคืน เซอเยว่ยังพอจะเชื่อหลิวเสี้ยนหยางได้หลายส่วน แต่ด่าแล้วยังไม่ด่าคืน? เจ้าหลิวเสี้ยนหยางผู้นี้ กับเฉินผิงอันผู้นั้นน่ะนะ?
หลิวเสี้ยนหยางถาม “ในเมื่อเจ้ากลัวเขาขนาดนี้ ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่ต่อเล่า?”
แน่นอนว่าเซอเยว่ย่อมต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเอง นางเอ่ยเนิบช้าว่า “ในตำราก็บอกไว้ไม่ใช่หรือว่า ใต้หล้านี้สถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างจนใจ “เจ้าเชื่อจริงๆ หรือ?”
เซอเยว่หัวเราะร่า ไม่พูดอะไรอีก เจ้าเองก็เชื่อจริงๆ หรือ โง่เง่าขนาดนี้ยังสามารถทำให้เจ้าหมอนั่นไม่ด่าคืนได้ด้วยหรือ? ทำไมเจ้าหลิวเสี้ยนหยางไม่ไปหลอกผีเอาเล่า
หลิวเสี้ยนหยางเอนหลังพิงเก้าอี้ เงยหน้ามองม่านฟ้า
คัมภีร์กระบี่ที่ได้รับสืบทอดมาเล่มนั้น บทเริ่มต้นมีคำกล่าวที่ว่า ‘ร้อยปีสามหมื่นหกพันสนาม เตรียมพาจักรวาลเข้าสู่ความฝัน’ ตอนแรกเขาไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง มาภายหลังหลิวเสี้ยนหยางถึงเพิ่งค้นพบว่ามันคือเรื่องจริงแท้แน่นอน ภายในเวลาหนึ่งร้อยปี ขอแค่ผู้ฝึกตนขยันหมั่นเพียรมากพอก็จะสามารถไปเยือนสนามรบโบราณในความฝันได้สามหมื่นหกพันครั้ง เมื่อเข้าไปอยู่ด้านในนั้น จิตใจของหลิวเสี้ยนหยางจะเดินตามเหตุการณ์ของความฝันไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เหมือนกับเดินเลียบแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวจนไปถึงต้นกำเนิด เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ การที่หลิวเสี้ยนหยางมีการถามตอบครั้งนั้นกับหร่วนซิ่ว ก็เพราะว่าหลิวเสี้ยนหยางจำนางได้ รวมไปถึงหลี่หลิ่วและหยางเหล่าโถว และยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน สิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์ทยอยกันตายดับอยู่บนสนามรบ แต่ก็มีหลายสิบตนที่ไม่เพียงแต่ยืนหยัดตระหง่านไม่ล้มลงได้ตลอดเวลา ถึงขั้นที่ว่าส่วนใหญ่ยังดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของหลิวเสี้ยนหยางด้วย เพียงแต่ว่าต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก หรือควรจะบอกว่าอยู่บนสนามรบมิอาจมัวมาสนใจเขาได้
ระหว่างนั้นยังมีเจียวหลงที่เรือนกายใหญ่โตมโหฬารกลบฟ้าทับดินว่ายวนอยู่ท่ามกลางธารดาราที่พร่างพราว ผลคือถูกสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่โอฬารที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงตนหนึ่งพลันเผยร่างกายธรรม มือคว้าจับดวงดาวสีแดงสดดวงหนึ่งเอาไว้แล้วบดขยี้สังหารได้อย่างง่ายดาย
และบนสนามรบแห่งหนึ่งก็เคยเห็นผู้ถือกระบี่เรือนกายสูงใหญ่ที่รูปลักษณ์พร่าเลือน ส่องแสงสีทองเปล่งประกายเจิดจ้าตนหนึ่ง ข้างกายมียักษ์ร่างกำยำที่สวมเสื้อเกราะสีทองนั่งอยู่ บนสนามรบที่ทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์และปีศาจใหญ่ต่างก็มีโครงกระดูกกลาดเกลื่อน เขาสังหารปีศาจใหญ่ได้ง่ายๆ เพียงแค่สะบัดมือก็สามารถต้านทานวิชาอภินิหารที่ราวกับจะเปิดฟ้าแหวกดินเอาไว้ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดสองตนนั้น ฝ่ายแรกถึงกับหันมามองหลิวเสี้ยนหยางด้วยความสนใจ ราวกับจะเอ่ยกับเขาประโยคหนึ่งว่า เจ้าตัวน้อย ไม่กลัวตายจริงๆ ก็ไม่ต้องตายได้
ผู้ถือกระบี่ยื่นมือมาสกัดขวางผู้สวมเสื้อเกราะที่เตรียมจะลุกขึ้นยืน นาทีถัดมาหลิวเสี้ยนหยางก็ถูกบีบให้ถอยออกมาจากความฝัน เหงื่อแตกท่วมเต็มร่าง เป็นเหตุให้นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่หลิวเสี้ยนหยางซึ่งทุกวันจะต้องฝึกตนไม่หยุดพัก ไม่กล้าปิดเปลือกตาลง ทุกวันได้แต่เบิกตาให้กว้างเข้าไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองงีบหลับ ไม่ให้เกิดความฝัน เป็นอย่างนี้อยู่นานถึงครึ่งเดือนเต็มๆ
หลิวเสี้ยนหยางมองไปทางภูเขาเสินซิ่วลูกนั้น
เซอเยว่ถอนหายใจหนึ่งที “คิดเรื่องพวกนั้นทำไม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าสักหน่อย”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มขื่นเอ่ยว่า “ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ อีกนิดเดียวก็เกือบจะเหมือนซ่งปันไฉ…”
เซอเยว่ถลึงตาใส่ “รนหาที่ตายรึ คิดได้ แต่พูดได้รึ? ไม่กลัวว่าจะถูกผลกรรมพัวพันหรือไร? ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหากนะ ถ้าหากคราวหน้ายังได้พบกันอีกครั้ง นิ้วเดียวของนางก็สามารถบดขยี้โอสถทองน้อยๆ อย่างเจ้าให้ตายได้แล้ว…”
นางรีบหยุดคำพูด คงเพราะรู้สึกว่าคำพูดแบบนี้ของตนค่อนข้างจะทำร้ายคน จึงโบกมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยแววขออภัย เปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า “โอสถทอง ผู้ฝึกกระบี่ แล้วยังเป็นคอขวดด้วย อันที่จริงก็ร้ายกาจมากแล้วล่ะ”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า ใช้สองมือนวดคลึงข้างแก้ม
ศิษย์พี่หญิงใหญ่หนอ แม่นางซิ่วซิ่วหนอ
หร่วนซิ่วได้กิน ‘หลี่หลิ่ว’ บางคนเข้าไป และทุบทำลายหอบินทะยานแห่งหนึ่งให้แตกสลาย ทั้งยังเปิดหอบินทะยานใหม่อีกแห่งหนึ่ง เพื่อให้นางได้เปิดฟ้าและเดินขึ้นฟ้านำไปก่อน
ข้างกายของนางคือโจวมี่มหาสมุทรความรู้แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มีเพียงเขาผู้เดียวที่ยืนเคียงบ่าอยู่กับนาง
ด้านหลังคือคนหลายคนที่ติดตามมา สุดท้ายจึงเป็นผู้ฝึกกระบี่หลายสิบท่าน
สำนักกระบี่หลงเฉวียน ภูเขาเสินซิ่ว หน้าผาแกะสลักสี่อักษรใหญ่ว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’ มีเมฆหมอกล้อมวนอยู่ตลอดทั้งปี
ถ้าเช่นนั้นหากมองไปจากโลกมนุษย์ก็จะเป็นคำว่า ‘ซิ่วเสินสร้างสวรรค์’ (หรือเทพซิ่วเปิดฟ้า)
และสตรีชุดเขียวที่เปลี่ยนไปเป็นคนแปลกหน้าผู้นั้น หลังจากที่ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว นางเอาสองมืออ้อมมาด้านหลัง ค่อยๆ คลายผมหางม้าออก สุดท้ายเหลือบตามองโลกมนุษย์แวบหนึ่ง ก่อนจะจากไปทั้งอย่างนั้น
——