กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 764.5 บนยอดเขาจี้เซ่อ
นอกจากกริ่งเกรงว่าเซียนกระบี่คนหนึ่งจะกินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำ จึงมาเป็นแขกที่บ้านบ่อยๆ แล้ว การที่เหวยเว่ยยินดี ‘ปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความเชื่อฟัง’ เช่นนี้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว แน่นอนว่าเป็นเพราะมีผลประโยชน์ให้ฉกฉวย อีกทั้งความเสี่ยงยังน้อยมาก เหวยเว่ยรู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป การทำตามคำกล่าวของเขาก็มีหวังว่าจะได้รับการประกันผลเก็บเกี่ยวไม่ว่าจะหน้าแล้งหรือหน้าน้ำหลาก และสักวันหนึ่งเมื่อดูแลภูเขาสายน้ำของพื้นที่แห่งหนึ่งได้เหมาะสมแล้ว ก็จะสามารถนอนเสวยสุขได้เลย เป็นเทพภูเขา คิดบุกเบิกจวน จากนั้นค่อยคิดจะเป็นเทพภูเขาของภูเขาทายาทแห่งซานจวินห้าขุนเขา ชีวิตก็จะมีความหวังแล้ว…
ไม่อย่างนั้นหากเฉินผิงอันเพียงแค่พูดถึงคุณธรรมน้ำใจหรือคุณูปการอะไร อย่างมากนางเหวยเว่ยก็แค่กินอยู่ใช้ชีวิตรอความตายไปวันๆ เท่านั้น ครั้งหน้าที่พบเจอกับเขาอีกครั้ง นางก็จะนอนแกล้งตายอยู่บนพื้น เฉินผิงอันคงไม่ถึงกับเอากระบี่บินตัดหัวนางจริงๆ หรอกกระมัง?
แต่เหวยเว่ยก็จำต้องยอมรับว่า กลัวเขาเฉินผิงอัน นั่นก็คือกลัวจริงๆ
หลายปีมานี้ ส่วนลึกในจิตใจของนางจะคิดถึงคนหนุ่มผู้นั้นว่าหากตายไปแล้วก็ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าเขากลับมาข่มขู่ตัวเองได้อีก เพียงแต่ว่าพอเขาคิดอีกที ก็รู้สึกอีกว่าหากคนหนุ่มผู้นั้นตายไปจริงๆ ดูเหมือนว่าจะน่าเสียดายอยู่สักหน่อย
สาวใช้เรือนร่างอวบอิ่มทำท่าหมายมั่นปั้นมือ เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “เหนียงเนียงเทพวารี ดูเหมือนเซียนกระบี่เฉินจะบอกว่าพวกเราสามารถไปเข้าฝันเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ผ่านทางมาคนนั้นได้ก่อน”
เหวยเว่ยหันหน้ามากล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ “อย่างเจ้าเนี่ยนะ? ยังจะเป็นเทพหญิงแห่งศาลเทพภูเขา? ล้วนถูกเจ้าทำให้ขายหน้าหมดแล้ว เวลาเดิน คนอื่นเขาใช้มือผลัก แต่เจ้ากลับดีนัก ใช้ก้นใหญ่ๆ กระแทก เจ้ารู้สึกว่าบัณฑิตผู้นั้นเห็นเจ้าแล้วจะคิดว่าเจ้าเป็นอะไร? หากโชคดีก็คงคิดว่าเจ้าเป็นภูตจิ้งจอกตามป่าเขา หากโชคไม่ดี บัณฑิตเดินละเมอมาถึงศาล เขายังจะคิดว่าตัวเองไปเที่ยวสถานที่อย่างว่า ไม่แน่ว่าความคิดแรกของเขาก็คือ ต้องรีบก้มหน้าลงมองเงินในกระเป๋าเงินทันทีว่ามีพอหรือไม่”
เหวยเว่ยชี้ไปที่สตรีร่างสูงโปร่ง “เอาเป็นเจ้าแล้วกัน พวกเราสามคน เจ้าเคยอ่านตำรามาหลายเล่ม สามารถพูดคุยกับบัณฑิตได้มากหน่อยพอดี…”
สาวใช้คนนั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ให้ตายก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ ได้แต่ท่องประโยคว่าสั่งสอนด้วยความจริงใจ ใช้คำว่าจุนจุนอยู่ในใจตัวเองเงียบๆ หลายรอบ
เหวยเว่ยพลันลุกขึ้นยืน จากนั้นก็คลี่ยิ้มราวบุปผา ร้องโอ้โหหนึ่งที “เซียนกระบี่ผู้เฒ่าซ่งมาแล้วหรือ”
ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งเอาสองมือไพล่หลัง เดินเนิบช้ามาทางศาลเทพภูเขา “คุยเรื่องของพวกเจ้าไปเถอะ ข้าก็แค่กลับมาท่องเที่ยวสถานที่เดิม แค่มาเดินเล่นเท่านั้น วันนี้คงไม่พลิกเปิดปฏิทินเหลืองแล้ว”
เหวยเว่ยพูดบ่น “พอหมู่บ้านของผู้อาวุโสซ่งย้ายไปก็ทำเอาโชคชะตาบู๊ของขุนเขาสายน้ำในบริเวณใกล้เคียงหายไปด้วย ไม่เพียงแต่ศาลเทพภูเขาเล็กๆ ของข้าที่เจ็บปวดจนไม่อาจบรรยาย เหล่านายท่านเทพอภิบาลเมืองทั้งหลายที่เคยชินกับการใช้ชีวิตมือเติบใจกว้างก็ล้วนเริ่มกลายมาเป็นคนขี้เหนียว เปลี่ยนมาเป็นประหยัดมัธยัสถ์กันยิ่งนัก”
ซ่งอวี่เซาชำเลืองตามองกรอบป้ายของศาลแวบหนึ่ง สายตาเคลื่อนลงต่ำ มองไปยังเทวรูปร่างทองทั้งสามองค์ที่อยู่ในศาล ยิ้มเอ่ยว่า “จ่ายเงินไปไม่น้อยเลยทีเดียว”
เหวยเว่ยยื่นมือมาปิดปากหัวเราะคิกคัก “ชีวิตที่ยากลำบากพอจะผ่านพ้นมาได้แล้ว ยังดีที่ไม่ใช่เงินเทพเซียนอะไร ทรัพย์สมบัติจึงยังพอมีเหลืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย”
ซ่งอวี่เซานั่งอยู่บนม้านั่งหินเขียวตัวยาว เอ่ยสัพยอกว่า “เป็นเพราะตอนนี้เพิ่งจะค้นพบว่า หนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยเป็นได้ค่อนข้างยาก อีกนิดเดียวก็เกือบจะถูกเทพภูเขาเถื่อนลักพาตัวไปเป็นฮูหยินในหมู่บ้านโจรแล้ว คิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้กลายมาเป็นเหนียงเนียงเทพภูเขาแล้ว แต่อันที่จริงกลับเป็นได้ยากยิ่งกว่าเสียอีก?”
เหวยเว่ยส่ายหน้าเบาๆ “เป็นง่ายจะตายไป”
ซ่งอวี่เซาหลุดหัวเราะพรืด คนแก่ก็คือยุทธภพเก่าแก่ หากคิดจะมองความมากน้อยของโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของหนึ่งพื้นที่ออกคร่าวๆ อย่างคลุมเครือ ก็ยังพอจะทำได้อยู่บ้าง ศาลเทพภูเขาแห่งนี้ประคับประคองตัวได้ไม่ถึงร้อยปีก็จะต้องหิวโหยจนร่างทองของเหนียงเนียงเทพภูเขาไม่อาจทนรับการกัดเซาะจากลมและฝนได้แล้ว
เหวยเว่ยเอาสองมือไพล่หลัง เดินลงขั้นบันไดมาด้วยฝีเท้าแผ่วเบา หัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสซ่ง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้าจงใจเก็บงำประกายเอาไว้ คร้านจะขยับหัวสมองก็เท่านั้น ตอนนี้ข้าจะพูดถึงแผนการของตัวเองให้ท่านฟังดีหรือไม่?”
ซ่งอวี่เซาพยักหน้ารับ “ยินดีจะรับฟังรายละเอียด”
หลังจากฟังแผนการของเหวยเว่ยจบ แรกเริ่มผู้เฒ่าฟังอย่างไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางลัดในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำที่เดินบนทางเสี่ยงเกินไป หาใช่วิถีแห่งความยืนยาว เพียงแต่ว่าเมื่อเหวยเว่ยโพล่งคำว่า ‘แก่นแท้สะอาดบริสุทธิ์’ ที่ฟังสุภาพไพเราะออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคที่ว่า ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ความจริงใจของมนุษย์’ ผู้เฒ่าก็ถึงกับพูดไม่ออก ไม่อาจโต้ตอบกลับได้เลย ซ่งอวี่เซามองเหนียงเนียงเทพภูเขาที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมผู้นี้แล้วอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยอย่างคลางแคลงว่า “เหวยเว่ย ทำไมจู่ๆ ก็เหมือนว่าเจ้ามีสมองขึ้นมาล่ะ?”
เหวยเว่ยเชิดหน้า หัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะเช็ดมุมปากแล้วโบกมือ “แค่ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง นี่ข้ายังแสดงฝีมือแค่สามสี่ส่วนเท่านั้นนะ”
ซ่งอวี่เซาลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “เป็นแบบนี้ได้ย่อมดีที่สุด วันหน้าข้าคงไม่มาเตร็ดเตร่แถวนี้แล้ว”
ตอนอายุน้อยรู้สึกว่าก็แค่ระยะทางขุนเขาสายน้ำไม่กี่ก้าว พอคนแก่ตัวขึ้น กลับไกลเสียแล้ว
เหวยเว่ยมองผู้เฒ่าผมขาวหลังค่อมแล้วถอนหายใจ หุบรอยยิ้ม พูดไปตามสัตย์จริงว่า “บอกตามตรง วิธีนี้เป็นเฉินผิงอันที่สอนข้า ข้าหรือจะคิดเรื่องพวกนี้ได้”
ซ่งอวี่เซาอืมรับหนึ่งที พยักหน้าพูดน้ำเสียงเฉยเมยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “เดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว”
ผู้เฒ่าหมุนตัวจากไป
สาวใช้ร่างสูงโปร่งมาหยุดอยู่ข้างกายเหนียงเนียงเทพภูเขา ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสซ่งคาดการณ์ได้แม่นยำดุจเทพจริงๆ เจ้าค่ะ”
เหวยเว่ยด่าขำๆ “เขาเดากะผายลมอะไรล่ะ เจ้าไม่เห็นหรือว่าซ่งอวี่เซาขึ้นเขามาอย่างเอ้อระเหย แต่กลับวิ่งตะบึงลงจากภูเขาไปน่ะ?”
ผู้เฒ่าไม่ได้ตรงดิ่งไปที่ศาลเทพภูเขาบ้านของตน แต่กลับไปยังเมืองเล็กบริเวณใกล้เคียงกับหมู่บ้านในอดีต ไปเยือนเหลาสุราแห่งนั้น ผู้เฒ่านั่งอยู่ในตำแหน่งเก่า
เถ้าแก่เปลี่ยนคนแล้ว แล้วก็เปลี่ยนคนอีก เป็นคนรุ่นหลานที่ดูแลกิจการ อันที่จริงวัตถุดิบในการทำหม้อไฟมีการแอบลดคุณภาพ ไม่ต้องเปิดหม้อจ้วงตะเกียบ ซ่งอวี่เซาก็รู้ได้ว่าไม่มีรสชาติอย่างในปีนั้นอีกแล้ว เพียงแต่ซ่งอวี่เซาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเดิมทีก็ไม่มีอะไรให้พูดอยู่แล้ว กลับกลายเป็นหวังว่าร้านอาหารที่รสชาติของหม้อไฟไม่ใช่รสชาติดั้งเดิมอีกต่อไปแห่งนี้ วันหน้ากิจการจะสามารถดียิ่งกว่านี้ ไม่แน่ว่ารอให้วันใดได้เงินมามากพอก็อาจจะกลับมาพิถีพิถันได้อีกครั้ง
เถ้าแก่หนุ่มคนนั้น ต่อให้จะจำได้อริยะกระบี่ผู้อาวุโสแห่งแคว้นซูสุ่ยซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับท่านปู่ของตัวเองอย่างซ่งอวี่เซาได้ แต่ว่าพอเอาวัตถุดิบหม้อไฟโต๊ะใหญ่ขึ้นมาจัดวางบนโต๊ะด้วยตัวเองเสร็จแล้ว เขาก็อดรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะไม่ได้ จึงไม่กล้าจะตีสนิทกับผู้เฒ่า พูดจาตามมารยาทอยู่สองสามคำ เพียงไม่นานก็จากไปแล้ว
ซ่งอวี่เซาไม่ได้สั่งถ้วยและตะเกียบสองชุด แต่สั่งจอกเหล้ามาสองใบ วางจอกเหล้าใบหนึ่งไว้ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ไม่ได้รินเหล้า ผู้เฒ่าเพียงจิบเหล้าหนึ่งอึก ด่าอยู่สองสามคำ เจ้าเด็กตัวเหม็นถึงกับกล้าหลบเลี่ยงตน ไปกินลมตะวันตกเฉียงเหนือของเจ้าเลยไป ขอให้เจ้าน้ำลายสอจนตาย
เพียงแต่ว่าดื่มเหล้าไปได้สองสามจอก ผู้เฒ่าก็ยังอดไม่ไหวลุกขึ้น เดินไปรินเหล้าใส่จอกนั้นจนเต็ม พอกลับมานั่งที่เดิมก็พึมพำหนึ่งประโยค ฟังไม่ชัดเจน แล้วก็ไม่รู้ว่าด่าคนหรือว่าพูดอะไร
ซ่งอวี่เซาพลันหันหน้ากลับไป ยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนมาได้อย่างไร?”
คือซ่งเฟิ่งซานผู้เป็นหลานชายและหลิ่วเชี่ยนภรรยาของหลานชาย
คนทั้งสองนั่งลง ซ่งเฟิ่งซานยิ้มกล่าว “เป็นเหวยเว่ยที่ส่งข่าวไปแจ้ง พอได้รับข่าวแล้ว ระหว่างที่มาหลิ่วเชี่ยนก็เดิมพันกับข้า บอกว่าท่านปู่จะต้องมาที่นี่ก่อนแน่นอน ข้าไม่เชื่อ ดังนั้นจะดื่มลงโทษตัวเองสามจอก”
ซ่งอวี่เซาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อยากดื่มเหล้าก็บอกมาตรงๆ เถอะ”
ซ่งเฟิ่งซานดื่มเหล้า หลิ่วเชี่ยนจุ่มเนื้อในหม้อไฟ เพียงแต่ไม่เอ่ยอะไร
ผู้เฒ่าอดทนอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหวหัวเราะอย่างฉุนๆ ว่า “พูดมา! พวกเจ้าได้เจอกับเจ้าเด็กนั่นแล้วใช่ไหม?!”
ซ่งเฟิ่งซานหันมาสบตากับภรรยาแล้วยิ้มให้กัน จากนั้นซ่งเฟิ่งซานก็รวมเส้นให้เป็นเสียง เล่าให้ท่านปู่ฟัง
ซ่งอวี่เซารับฟังอย่างละเอียด ไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่ได้ขยับตะเกียบ ฟังเสร็จแล้ว ผู้เฒ่าก็คีบอาหารขึ้นมาคำใหญ่ ดื่มเหล้าในจอกจนหมด มองตำแหน่งว่างเปล่าฝั่งตรงข้าม มองจอกที่เต็มไปด้วยสุรา
ผู้เฒ่าวางจอกเหล้าและตะเกียบลง มองซ้ายมองข้า มองหลานชายและภรรยาของหลานชายที่ต่างก็ใช้ได้แล้วคลี่ยิ้ม หลับตาลงช้าๆ ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง สุดท้ายมองตำแหน่งที่ว่างเปล่าด้วยสายตาที่พร่าเลือนเล็กน้อย ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเบาว่า “น่าเสียดายที่ไม่ได้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ได้เห็นมาดเซียนกระบี่ของอิ่นกวาน”
ซ่งอวี่เซาหยิบจอกเหล้าและตะเกียบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “หม้อไฟเคล้าสุรา ยุทธภพยังคงเดิม!”
……
ทักษินาตยทวีป ภูเขาธรรมดาลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรใหญ่ เป็นแค่กระท่อมอย่างสมชื่อหลังหนึ่งเท่านั้น พอจะถือว่าเป็นสถานที่ฝึกตนได้อย่างถูไถ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่าง อันที่จริงที่พักอาศัยก็ไม่มีทางโกโรโกโสถึงเพียงนี้
กระท่อมสามหลังที่อยู่ติดกันกลับมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสามท่านพักอาศัยอยู่ สองคนในนั้นยังเป็นถึงเซียนกระบี่
ลู่จือ เส้าอวิ๋นเหยียนเซียนกระบี่แห่งเรือนชุนฟาน ถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมยภูเขาห้อยหัว
หลังจากที่มีคนเซ่นกระบี่ที่ภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป ลู่จือก็เดินออกมาจากกระท่อม หรี่ตามองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
หลังจากที่เส้าอวิ๋นเหยียนและถัวเหยียนฮูหยินทยอยกันเดินออกมา ลู่จือก็เอ่ยว่า “อิ่นกวานกลับมาแล้ว”
ถัวเหยียนฮูหยินสีหน้าแข็งค้าง
เส้าอวิ๋นเหยียนหัวเราะเสียงดังไม่หยุด
ฉีถิงจี้เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่มีรูปโฉมอ่อนเยาว์หล่อเหลาเลือกสถานที่ตั้งพรรคอย่างที่ใครก็คาดคิดไม่ถึง ทั้งไม่ใช่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ขุนเขาสายน้ำกว้างใหญ่ที่สุด แล้วก็ไม่ใช่ธวัลทวีปที่มีสกุลหลิวเทพเจ้าแห่งโชคลาภอยู่อาศัย แต่เป็นทักษินาตยทวีปที่ไม่มีผู้รอบรู้อีกต่อไป
ฉีถิงจี้มักจะมาที่นี่เพื่อคุยเล่นกับลู่จือสองสามประโยคเป็นประจำ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้ลู่จือมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ต่อให้จะถอยไปหนึ่งก้าว เป็นแค่เค่อชิงของสำนักก็ยังดี
แน่นอนว่าลู่จือไม่ยินดีจะเป็นผู้ถวายงานอะไรนั่น ส่วนเค่อชิงที่ไม่มีพันธนาการใดๆ อันที่จริงนางจะเป็นหรือไม่เป็นก็ได้
ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ การออกกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่าของฉีถิงจี้ในใต้หล้าไพศาลก็ไม่เคยทำให้คนผิดหวังจริงๆ โดยเฉพาะการเดินทางครั้งสุดท้ายของเฉินฉุนอันที่ออกจากทักษินาตยทวีปไปยังมหาสมุทรใหญ่ ก็ยังเป็นฉีถิงจี้คนเดียวที่ถือกระบี่ปกป้องมรรคาให้กับผู้รอบรู้ท่านนั้น
สุดท้ายเฉินฉุนอันสามารถรั้งหลิวชามือกระบี่เคราดกให้อยู่ต่อในใต้หล้าไพศาลได้สำเร็จ เป็นเหตุให้ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ท่านนี้ไม่อาจกลับคืนไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
แต่กระนั้นใต้หล้าไพศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังคงมีคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายต่อผู้รอบรู้ที่อยู่ดีๆ ก็ทำตัวนิ่งเฉยมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญผู้นี้ รู้สึกว่าภายใต้ภาวะที่สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว เฉินฉุนอันที่แม้แต่ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสักตนก็ไม่เคยสังหาร ตะวันจันทราที่แบกไว้บนบ่าราวกับเป็นแค่เครื่องประดับ ตอนที่สมควรตายดันไม่ตาย ตอนที่มีชีวิตอยู่รอดได้กลับไม่มีชีวิตอยู่ ไม่รู้จักส่งถ่านกลางหิมะ แต่ดันปักบุปผาลงบนผ้าแพร เรียกได้ว่ารักตัวกลัวตายจนถึงขอบเขตหนึ่งเลยทีเดียว สุดท้ายก็ยิ่งรักชื่อเสียงตัวเองจนไม่อาจรักไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว สงครามใหญ่ครั้งหนึ่ง นอกจากพอจะฝืนปกป้องขุนเขาสายน้ำของทักษินาตยทวีปเอาไว้ได้แล้ว ก็ไม่ได้สร้างความดีความชอบอะไรอีก…ใต้หล้าเปลี่ยวร้างทุกวันนี้ ต่อให้มีหลิวชาเพิ่มมาหนึ่งคน แล้วจะอย่างไร?
หากไม่เป็นเพราะฉีถิงจี้ที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางช่วยออกกระบี่ให้ ผู้คนก็มีแต่จะยิ่งคับแค้นใจก่นด่ากันไปทั่วยิ่งกว่านี้
คนที่ถูกฉีถิงจี้ถามกระบี่ หลังจากโดนกระบี่ไปหนึ่งที กระดูกก็ยังแข็งอยู่มาก บอกว่าต่อให้หลิวชาอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง รวบรวมโชคชะตาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้ แล้วจะอย่างไร? เซียวสวิ้นผู้นั้นก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่เหมือนกันไม่ใช่หรือ? นางเองก็ยังถูกจั่วโย่วไล่ไปยังสนามรบนอกฟ้า จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้กลับมา ไม่อาจกลับไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? ต่อให้มีหลิวชาเพิ่มมาอีกคนหนึ่งจะนับเป็นผายลมอะไรได้ หากเจ้าฉีถิงจี้แน่จริงก็กลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วแกะสลักตัวอักษรใหญ่ลงบนหัวกำแพงอีกทีสิ…ดังนั้นฉีถิงจี้ที่คร้านจะพูดมากจึงมอบกระบี่ให้ผู้ฝึกตนคนนั้นอีกหนึ่งที
ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง แต่ฉีถิงจี้กลับต้องปล่อยกระบี่ออกไปถึงสองครั้ง แล้วยังได้แค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจสังหารได้
นี่ทำให้ฉีถิงจี้ที่กลับมายังทักษินาตยทวีป พอมาหาลู่จือแล้วก็ไม่ได้โน้มน้าวให้นางเข้ามาอยู่ในสำนักของตัวเองอย่างที่หาได้ยาก เพียงแค่ดื่มเหล้าเงียบๆ เท่านั้น
หากเปลี่ยนมาเป็นลู่จือ คาดว่าแค่กระบี่เดียวคงฟันขอบเขตหยกดิบคนนั้นให้ตายได้แล้ว จากนั้นก็หวนกลับไปยังซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
ลู่จือที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ คนที่นางยินดีจะพูดคุยด้วยมากหน่อยมีแค่สองคนเท่านั้น ก็คือสองคนที่อยู่ข้างกายนางในเวลานี้ ถัวเหยียนฮูหยินแต่ไหนแต่ไรมามักเคยชินกับการพูดจาวกวนอ้อมค้อม ความหมายคร่าวๆ ก็คือโน้มน้าวให้ลู่จือตอบตกลง เป็นแค่เค่อชิงเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นคนบ้านเดียวกัน ตามเหตุตามผลแล้วล้วนไม่ควรปฏิเสธ เส้าอวิ๋นเหยียนกลับมีความเห็นต่าง มีถัวเหยียนอยู่ เส้าอวิ๋นเหยียนไม่กล้าพูดจาตรงไปตรงมาเกินไปนัก กังวลว่ายามที่ตนออกจากบ้านไปเพียงลำพัง อยู่ดีๆ หากไม่ทันระวังอาจจะโดนกระบี่หนึ่งเข้าให้ ดังนั้นเส้าอวิ๋นเหยียนจึงพูดแค่ว่าเวทกระบี่ของเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีเลิศล้ำ แน่นอนว่าไม่ต้องการให้อาจารย์ลู่เพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพรด้วยการไปเป็นเค่อชิงอะไรนั่น หากเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง กลับพอจะคิดพิจารณาได้
“ฉีถิงจี้พูดถูกแล้ว สำนักที่เขาอยู่ต้องมีเซียนกระบี่ที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องกฎเกณฑ์เท่าไรอยู่สักคน ข้าจะตอบตกลงเป็นเค่อชิงของเขา”
ลู่จือกล่าว “เส้าอวิ๋นเหยียน เจ้าพาถัวเหยียนไปท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางด้วยกัน จากนั้นค่อยอ้อมไปที่อุตรกุรุทวีป สุดท้ายถึงค่อยไปพบอิ่นกวาน”
เส้าอวิ๋นเหยียนพยักหน้า “เป็นแบบนี้ย่อมดีที่สุด ไม่อย่างนั้นเจตนาจะชัดเจนเกินไป”
ส่วนลู่จือจะเป็นหรือไม่เป็นเค่อชิง อันที่จริงเส้าอวิ๋นเหยียนไม่ได้มีความคิดอะไรมากนัก ก่อนหน้านี้ที่เอ่ยแย้งก็แค่ไม่ชอบวิธีการของถัวเหยียนเท่านั้น
ถัวเหยียนฮูหยินถามหยั่งเชิงว่า “อาจารย์ลู่ ให้ข้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านดีกว่าไหม?”
ลู่จือเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “พวกเจ้าออกเดินทางทันที”
ถัวเหยียนฮูหยินโอดครวญไม่หยุด นางไม่ยินดีไปพบใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นจริงๆ คราวก่อนต้องสูญเสียสวนดอกเหมยไปหนึ่งแห่ง แล้วคราวนี้ล่ะ?
เส้าอวิ๋นเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ในเมื่อพวกเขารู้ว่าในที่สุดอิ่นกวานก็หวนกลับคืนมายังใต้หล้าไพศาลแล้ว ถ้าอย่างนั้นเซี่ยซงฮวาแห่งธวัลทวีป ซ่งพิ่นแห่งเกราะทองทวีป ลี่ไฉ่แห่งอุตรกุรุทวีป…เซียนกระบี่แห่งไพศาลทุกคนที่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาศัยการเซ่นกระบี่ครั้งนั้น ก็ควรจะรู้เรื่องนี้แล้ว
ธวัลทวีป
เซี่ยซงฮวาเซียนกระบี่หญิงที่ในอดีตอยู่ดีๆ ก็รับปากเป็นผู้ถวายงานให้กับสกุลหลิวก็เพิ่งจะกลับจากการประชุมศาลบรรพจารย์ของสกุลหลิวมายังศาลเหลยกง ถึงอย่างไรแค่ไปนั่งงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ก็ได้เงินก้อนใหญ่มาเปล่าๆ อยู่แล้ว ไม่เอามาก็เสียเปล่าน่ะสิ เซี่ยซงฮวาถึงขั้นเอ่ยเตือนสกุลหลิวเป็นพิเศษว่าหากมีการประชุม ไม่ต้องสนว่าน้อยหรือใหญ่ จำไว้ว่าต้องส่งกระบี่บินมาแจ้งข่าว ขอแค่นางอยู่ในธวัลทวีปจะต้องรีบไปให้ถึงทันที จะดีจะชั่วนางก็เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง ควรต้องออกแรง ต่อให้ไม่มีโอกาสได้ออกแรง ก็ควรจะเสนอคำแนะนำให้
หากเป็นสำนักบนภูเขาทั่วไป ป่านนี้คงบ่นกันด้วยความไม่พอใจไปแล้ว แต่สกุลหลิวธวัลทวีป ไม่ว่าจะเป็นการประชุมเล็กหรือใหญ่ ก็ล้วนส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาให้เซี่ยซงฮวาทุกครั้ง แต่ละครั้งล้วนเปลี่ยนวิธีการในการมอบเงินให้ หลายครั้งเข้า อย่าว่าแต่เงินเทพเซียนที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของนางต้องใช้จ่ายเลย แม้แต่ส่วนของเซี่ยซงฮวาเองก็ล้วนไม่ขาดแคลน นี่ทำให้เซี่ยซงฮวารู้สึกเกรงใจอย่างอดไม่ได้ ครั้งนี้ออกมาจากศาลบรรพจารย์สกุลหลิวจึงได้ถามหลิวจวี้เป่าว่า สรุปแล้วมีศัตรูที่สกุลหลิวต้องการฟันทิ้ง แต่กลับไม่เหมาะจะฟันทิ้งบ้างหรือไม่ เดี๋ยวนางทำให้เอง ไปกลับเงียบๆ รอบเดียวก็ได้แล้ว
——