กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 765.1 ในศาลบรรพจารย์
คนในทำเนียบวงศ์ตระกูลศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อสี่สิบสามคนอยู่เบื้องหน้า ผู้มร่วมงานพิธีสามสิบหกคนอยู่ด้านหลัง ทุกคนจุดธูปไหว้ภาพแขวน กราบคารวะสามครั้งตามเจ้าขุนเขาเฉินผิงอัน จากนั้นต่างคนก็ต่างเอาธูปปักลงในกระถางธูปตามลำดับพิธีการ ในฐานะที่เฉินผิงอันเป็นเจ้าบ้าน จึงจำเป็นต้องเตรียมของขวัญขอบคุณให้กับผู้ที่มาร่วมงานพิธีทุกท่าน ลำพังเพียงเรื่องนี้ก็เสียเวลาไปนานถึงสามเค่อเต็มๆ แล้ว
เบื้องใต้ภาพแขวนทั้งสาม หนึ่งโต๊ะสองเก้าอี้ เก้าอี้ตัวหนึ่งว่างเปล่า เก้าอี้อีกตัวเป็นของเฉินผิงอัน แต่เฉินผิงอันไม่ได้นั่งลง บุรุษชุดเขียวยืนหันหลังให้กับภาพแขวน หันหน้าไปยังทิศทางของประตูใหญ่ศาลบรรพจารย์ ไล่คารวะทุกคนที่มาจุดธูป แขกผู้เข้าร่วมพิธีการสามสิบกว่าท่าน หากไม่ผงกศีรษะยิ้มบางๆ ให้กับเจ้าขุนเขา ต่อให้พูดคุย คำพูดที่ใช้ก็กระชับสั้นเรียบง่ายอย่างมาก มากสุดก็แค่เอ่ยแสดงความยินดีเบาๆ หนึ่งคำ ไม่มีใครโอภาปราศรัยกับเฉินผิงอันในเวลาเช่นนี้
หน่วนซู่ที่ชื่อบนทำเนียบคือเฉินหรูชู เพราะรับหน้าที่เป็นผู้เชิญธูปคอยขานชื่อแขก ดังนั้นจึงต้องยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นางจำเป็นต้องเอ่ยนามและภูเขาสำนักของแขกที่มาจุดธูปร่วมงานพิธี สุดท้ายคอยติดตามเจ้าขุนเขามอบของขวัญให้กับแขกทุกคน
เฉินผิงอันนั่งลงนำทุกคนไปก่อน ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็พากันนั่งประจำที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
วันนี้เก้าอี้ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อแบ่งออกเป็นสามประเภท ประเภทแรกแน่นอนว่าต้องเป็นของผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ ถือเป็นเก้าอี้ที่ ‘ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน’ ซึ่งมีประจำอยู่ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่ออยู่แล้ว นอกจากเจ้าขุนเขาเฉินผิงอันยังมีของนักเรียนชุยตงซาน ลูกศิษย์เปิดขุนเขาเผยเฉียน นักเรียนเฉาฉิงหล่าง
นอกจากนี้ก็มีของจูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่ ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาโจวหมี่ลี่ สุยโย่วเปียน หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน โจวเฝย จ้งชิว เจิ้งต้าเฟิง เฉินหลิงจวิน เฉินหรูชู
แน่นอนว่าเก้าอี้ประเภทนี้ วันนี้จะต้องเพิ่มมาอีกหลายตัว ยกตัวอย่างเช่นของผู้คุมกฎฉางมิ่ง นักบัญชีเหวยเหวินหลง หมี่อวี้ ผู้ถวายงานชุยเหวย เพ่ยเซียง หงเซี่ย
นอกจากนี้ก็เป็นของลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่แม้จะได้อยู่ในทำเนียบขุนเขาสายน้ำของศาลบรรพจารย์ แต่หากอิงตามลำดับศักดิ์แล้วจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกที ยกตัวอย่างเช่นพวกเฉินยวนจี หยวนไหล หยวนเป่า นอกจากนี้ก็มีเค่อชิง ผู้ถวายงานทั่วไปอย่างกลุ่มของเจี่ยเฉิงอาจารย์และศิษย์สามคนของตรอกฉีหลง ตู้เหวินซือ ผังหลันซีแห่งสำนักพีหมา และเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว
สุดท้ายจึงเป็นแขกผู้เข้าร่วมงานพิธีสามสิบกว่าท่านที่มาจากแต่ละทวีปของไพศาล
เก้าอี้สองประเภทอย่างหลัง จะยกออกมาในวันที่เป็นเช่นวันนี้เท่านั้น เพื่อให้ทุกคนได้นั่งลง
วันนี้ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อจะต้องมีเค่อชิงกลุ่มใหญ่เพิ่มเข้ามา ล้วนเป็นแขกที่มาเข้าร่วมงานพิธี
เฉินผิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ใต้ภาพแขวนเพียงลำพัง มองไปยังนักเรียนชุยตงซานที่เพิ่งเดินทางจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับมายังแจกันสมบัติทวีปแล้วพยักหน้าให้
ชุยตงซานเปลี่ยนจากชุดคลุมอาคมสีขาวมาสวมชุดสีเขียวของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างที่หาได้ยาก เขาลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงเบาว่า “เผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง”
เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างลุกขึ้นยืนในเวลาเดียวกัน
เฉินผิงอันเองก็ลุกขึ้นเช่นกัน ชุยตงซานหยิบเอาหนังสือทองตำราหยกที่เอามาจากศาลบุ๋นส่งมอบให้กับเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่าง จากนั้นก็ขยับเท้าก้าวไปข้างหน้า หมายจะมอบภาชนะที่ใช้ในพิธีการซึ่งเชิญออกมาจากศาลบุ๋นให้แก่อาจารย์ เฉินผิงอันกลับส่ายหน้าเบาๆ เพียงแค่หยิบตำราปึกหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ชุยตงซานยิ้มอย่างรู้ทัน แล้วก็ไม่สนใจพิธีการตามกฎระเบียบเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้อีก ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อล้วนมีแต่คนกันเอง ไม่มีใครไปปากมากที่ศาลบุ๋นแน่นอน
หนังสือทองตำราหยกคือการส่งสาส์นแด่สวรรค์ จะกลายเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่งที่ฝังตำราไว้ในพื้น ผสานรวมกับโชคชะตาขุนเขาสายน้ำ แบ่งกันบอกกล่าวแก่ฟ้าและดิน ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมอบภาชนะที่ใช้ในพิธีการมาให้ชิ้นหนึ่ง ให้นำมาตั้งบูชาไว้ในศาลบรรพจารย์ของสำนัก
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ทำลายกฎนี้ เพียงแต่เพิ่มผลงานของอาจารย์ตัวเองเข้าไปด้วย เอามาตั้งบูชาไว้ด้วยกัน
เฉาฉิงหล่างรับหนังสือทองมาจากมือของชุยตงซาน เขาอ่านเนื้อหาในตำราเสียงดัง มีแค่ร้อยกว่าตัวอักษร ล้วนเป็นอักษรที่ยกมาจากระเบียบพิธีการยุคโบราณ
เผยเฉียนรับตำราหยกมาแล้วก็อ่านเนื้อหาในตำราหยกไปรอบหนึ่งเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นคนของทำเนียบภูเขาลั่วพั่ว หรือคนที่มาเข้าร่วมงานพิธี ล้วนลุกขึ้นยืนกันอีกครั้งนานแล้ว
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพิธีการยิบย่อยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
จากนั้นเฉาฉิงหล่างกับเผยเฉียนก็เดินเคียงบ่ากันออกไปจากศาลบรรพจารย์ คนหนึ่งทะยานลมไปยังที่สูง อีกคนหนึ่งไปยังตีนเขา
คนทั้งสองมาเจอกันนอกหน้าประตูใหญ่ กลับเข้ามาในศาลบรรพจารย์ด้วยกัน ทยอยกันเอ่ยหนึ่งคำว่า “พิธีเสร็จสิ้น”
สุดท้ายเฉินผิงอันและชุยตงซานก็แยกกันนำหนังสือปึกนั้นและภาชนะที่ใช้ในพิธีการจากศาลบุ๋นมาวางไว้บนโต๊ะ
เฉินหน่วนซู่เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “สำเร็จพิธี!”
นับแต่นาทีนี้เป็นต้นไป ภูเขาลั่วพั่วแห่งแจกันสมบัติทวีปก็ได้เลื่อนขั้นเป็นสำนักแห่งไพศาลแล้ว
การมารวมตัวกันที่ศาลบรรพจารย์ในวันนี้ ของขวัญที่ผู้มาเข้าร่วมงานพิธีนำมามอบให้ทุกชิ้น แน่นอนว่าล้วนเป็นของขวัญใหญ่ชั้นหนึ่งที่ภูเขาลั่วพั่วเลื่อนเป็นสำนักแห่งไพศาล
ภูเขาตระกูลเซียนโดยทั่วไปของใต้หล้าไพศาล คิดจะเลื่อนขั้นเป็นสำนัก หากไม่มีการจัดการจากสำนักเบื้องบน โดยที่ระเบียบขั้นตอนทั่วไปก็คือให้ฮ่องเต้ของราชวงศ์ที่ศาลบรรพจารย์แห่งนั้นตั้งอยู่ไปเสนอชื่อต่อศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางเพื่อให้เลื่อนขั้นเป็นตัวสำรองสำนักก่อน หลังจากที่อริยะปราชญ์ผู้มีรูปปั้นท่านหนึ่งซึ่งพิทักษ์ม่านฟ้าของทวีปหนึ่งยอมรับแล้ว ค่อยมอบให้ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเป็นผู้ตรวจสอบ ตัดสิน เจ้าลัทธิหลักและรองเจ้าลัทธิสามท่านของศาลบุ๋น ผู้อำนวยการสถานศึกษาใหญ่สามท่านรับผิดชอบแทงหนังสือเรื่องนี้พร้อมกัน สุดท้ายมอบให้หลี่เซิ่งเป็นผู้ตัดสินใจ อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อเจ็ดท่าน ขอแค่มีคนเดียวที่ไม่ตอบตกลง ก็อย่าหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นสำนักได้ แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์ก็เคยมีสถานการณ์ที่คนหกคนล้วนตอบตกลงแล้ว มีเพียงหลี่เซิ่งที่ไม่พยักหน้าตอบรับ เพียงแต่ว่าสถานการณ์เช่นนี้ในประวัติศาสตร์หมื่นปีเคยมีปรากฏแค่สองครั้งเท่านั้น
สำนักเจินจิ้งแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน เนื่องจากสำนักเบื้องบนคือสำนักกุยหยกแห่งใบถงทวีป อีกทั้งยังมีแผนการอันแยบยลของสวินยวน จึงไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีเท่าใดนัก อันที่จริงนี่เป็นการทำลายกฎเกณฑ์อยู่บ้าง ดังนั้นคนสองคนที่ทยอยกันเป็นเจ้าสำนักอย่างเจียงซ่างเจินและเหวยอิ๋ง ไม่ว่านิสัยใจคอ ขอบเขตหรือวิธีการของพวกเขาแต่ละคนจะเป็นอย่างไร การที่มารับหน้าที่เป็นเจ้าประมุขดูแลสำนักอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็จึงต้องอดทนข่มกลั้นอย่างมาก ต้องให้ความสนใจกับการผูกสัมพันธ์เป็นมิตรกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลี พยายามที่จะเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ทำความดีชดใช้ความผิดให้ได้มากที่สุด
ส่วนสำนักกระบี่หลงเฉวียนของหร่วนฉง รวมไปถึงตัวสำรองสำนักในอดีตอย่างภูเขาตะวันเที่ยงและนครลมเย็น ทั้งสามฝ่ายต่างก็จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากฮ่องเต้ซ่งเหอแห่งราชวงศ์ต้าหลี สุดท้ายต่างก็ได้เลื่อนขั้นเป็นสำนักใหม่ล่าสุดของแจกันสมบัติทวีปอย่างราบรื่น ว่ากันว่าภูเขาตะวันเที่ยงถึงกับเตรียมการเรื่องการก่อตั้งสำนักเบื้องล่างไว้นานหลายปี เพียงแต่ว่าท่าทีที่จิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลางมีต่อเรื่องนี้คลุมเครือมาโดยตลอด ทางฝั่งของราชสำนักตระกูลซ่ง ระหว่างฮ่องเต้ในเมืองหลวงกับอ๋องเจ้าเมืองของเมืองหลวงแห่งที่สองก็คล้ายว่าจะมีความเห็นที่ต่างกัน ความหมายของฮ่องเต้ซ่งเหอก็คือแม้ว่าคุณความชอบในการสู้รบของภูเขาตะวันเที่ยงจะไม่ค่อยเพียงพอ แต่ในเมื่อภูเขาตะวันเที่ยงได้ขอยืมคุณความชอบจำนวนไม่น้อยมาจากกองกำลังมากมายซึ่งมีสำนักโองการเทพ สกุลเจียงอวิ๋นหลินและนครมังกรเฒ่าเป็นหนึ่งในนั้น ก็ไม่สู้ผลักเรือตามน้ำ ช่วยประคับประคองภูเขาตะวันเที่ยงอีกสักหน่อย
แต่ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองที่เดิมทีสนิทสนมกับภูเขาตะวันเที่ยงมากกว่ากลับบอกว่าต่อให้ภูเขาตะวันเที่ยงจะจับโน่นมาผสมนี่ รวบรวมผลงานทางการสู้รบบนสมุดคุณความชอบแห่งขุนเขาสายน้ำต้าหลีได้เพียงพอแล้ว แต่กระนั้นก็ยังขาดความดีความชอบไปอีกก้อนใหญ่ ต่อให้สกุลซ่งของพวกเราเสนอแนะแก่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกตีกลับมายังต้าหลี หนังสือที่แทงกลับมาอาจใช้สองคำว่า ‘พิจารณาใหม่’ วันนี้ไม่เหมือนวันวาน โลกอยู่ในยุคสงบสุขแล้ว ก็ไม่ควรป้อนภูเขาตะวันเที่ยงให้อิ่มเกินไป ง่ายที่จะทำให้ภูเขาตัวสำรองสำนักแห่งอื่นเกิดความไม่พอใจ คิดว่าราชวงศ์ต้าหลีลำเอียงเกินไป
ซ่งมู่เขียนประโยคท้ายไว้ในจดหมายลับซึ่งส่งมายังห้องทรงพระอักษรของเมืองหลวงด้วยประโยคว่า เว้นเสียจากผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงจะกล้าไปบุกเบิกแผ่นดินอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วอาศัยคุณความชอบทางการสู้รบนี้มาสะสมเป็นคุณความดี
ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายภูเขาลั่วพั่วก็ได้กลายเป็นสำนักตัวอักษรจงแล้ว
และสำหรับในเวลานี้ ภูเขาลั่วพั่วก็ยังถือว่าเป็นสำนักแห่งหนึ่งที่ ‘อ่อนเยาว์’ ที่สุดของใต้หล้าไพศาลอีกด้วย
เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจเบาๆ ยกมือขึ้นกดลงบนความว่างเปล่าสองที ยิ้มเอ่ยว่า “ทุกคนนั่งลงเถิด วันนี้ล้วนมีแต่คนกันเองทั้งนั้น ต่อจากนี้พวกเราก็ตามสบายกันสักหน่อย ขอแค่อย่าเปิดเปลือยหน้าอกหรือถอดรองเท้านั่งขัดสมาธิ ก็ล้วนไม่มีอะไรให้ต้องพิถีพิถันแล้ว”
หลังจากทุกคนนั่งลงแล้ว เฉินผิงอันถึงได้นั่งลง ยิ้มมองไปทางผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว เอ่ยเสียงเบาว่า “หมี่ลี่ ยกน้ำชา”
“รับคำสั่ง!”
ไหล่ซ้ายขวาของโจวหมี่ลี่ขยับโยกหนึ่งที รีบไถลตัวลงมาจากเก้าอี้ที่ค่อนข้างใหญ่ ยืดอกตั้ง ใบหน้าของแม่นางน้อยแดงก่ำ ในที่สุดก็ถึงคราวที่ตนจะได้ออกหน้าบ้างแล้ว วันนี้นางมีตำแหน่งขุนนางเพิ่มมาอีกตำแหน่งเชียวนะ ขุนนางน้ำชา! รับผิดชอบคอยส่งน้ำยกชาให้กับทุกคนในศาลบรรพจารย์ มีหน้ามีตาถึงเพียงใด?! พี่หญิงหน่วนซู่กับจิ่งชิงก็ยังเป็นได้แค่เสมียนผู้ช่วยน้ำชาลูกน้องนางเท่านั้น แม่นางน้อยชุดดำรีบพาเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูและเด็กชายชุดเขียวแจกจ่ายน้ำชาให้กับทุกคนทันที เฉินหลิงจวินรับหน้าที่เอาน้ำชาออกมาจากในวัตถุฟางชุ่น มือหนึ่งถือถ้วยชาหนึ่งถ้วย ส่วนหมี่ลี่น้อยกับหน่วนซู่รับผิดชอบคอยส่งน้ำชา
ตอนที่หลิวเสี้ยนหยางรับชามาจากมือของหมี่ลี่น้อยก็ยิ้มร่าเอ่ยว่า “ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ ชื่อเสียงจะต้องใหญ่เทียมฟ้าแล้ว”
โจวหมี่ลี่ถลึงตาใส่หลิวเสี้ยนหยาง ตนไม่ใช่คนที่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมพวกนั้นสักหน่อย เพียงแต่ว่าแม่นางน้อยก็อดไม่ไหว คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า หลิวเสี้ยนหยางยื่นมือไปลูบศีรษะของแม่นางน้อย โจวหมี่ลี่รีบเอาหัวกระแทกมือเขากลับไปแล้วเดินเร็วๆ ไปยกน้ำชาให้กับแขกอีกคนอย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันเพียงแค่จิบน้ำชาหนึ่งคำพอเป็นพิธีแล้วก็วางถ้วยชาลง
ทำเนียบขุนเขาสายน้ำของภูเขาลั่วพั่วได้เลื่อนขั้นบันไดก้าวใหญ่ เปลี่ยนจากอยู่ในเอกสารของกรมพิธีการต้าหลีมาเป็นถูกบันทึกอยู่ในตำราของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง เห็นได้ชัดว่าภูเขาลั่วพั่วคล้ายจงใจคล้ายไม่เจตนาอ้อมผ่านต้าหลี ไม่มีสกุลซ่งต้าหลีช่วยเหลือ ไม่ได้ขอหนังสือรับรองฉบับนั้น ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วแค่ส่งจดหมายไปยังกรมพิธีการเมืองหลวง ถือว่าเป็นการบอกกล่าวเรื่องนี้กับราชสำนักต้าหลีแล้ว
เรื่องของการเข้าร่วมงานพิธี อันที่จริงถือได้ว่าไม่ถึงกับแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เพราะเคยเข้าร่วมแค่ครั้งเดียว และคนที่เดินขึ้นเขา นอกจากผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขาแล้ว จำนวนครั้งที่ผู้ฝึกตนทำเนียบบนภูเขาจะได้เข้าร่วมงานพิธี เดิมทีก็ไม่ควรน้อยเท่านี้ ยิ่งเป็นตระกูลเซียนใหญ่สำนักใหญ่ โอกาสและจำนวนที่จะได้ร่วมงานพิธีก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น ในอดีตเฉินผิงอันเพียงแค่ไปเยือนแคว้นชิงหลวน เดินทางผ่านอารามจินกุ้ยของภูเขาชิงเหย้า ตอนนั้นจางกั่วเจ้าอารามผู้เฒ่าเซียนดินโอสถทองก็ได้รับลูกศิษย์ทำเนียบวงศ์ตระกูลมาแล้วถึงเก้าคน
เมื่อเทียบกับการรับลูกศิษย์ของอารามจินกุ้ย ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ ต่อให้เป็นพิธีการใหญ่ที่ได้เลื่อนเป็นสำนักอักษรจง อันที่จริงก็ถือว่าเรียบง่ายจนเรียบง่ายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
งานพิธีเลื่อนขั้นเป็นสำนักเหมือนกัน นครลมเย็นและภูเขาตะวันเที่ยงแทบจะจัดกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ระหว่างนั้นแค่เรื่องของการ ‘อัญเชิญ’ หนังสือทองตำราหยกและภาชนะในการทำพิธีของศาลบุ๋นออกมา ก็ได้ยินว่าเสียเวลาไปแล้วสองชั่วยาม พิธีเฉลิมฉลองของสำนัก ขานชื่อแขกผู้มาเข้าร่วมงาน ให้แขกทุกท่านนั่งลงประจำตำแหน่ง คนที่ทำหน้าที่ขับขานในศาลบรรพจารย์จะต้องใช้การลากเสียงเหมือนการท่องบทสรรเสริญคำเขียวของลัทธิเต๋า กล่าวอย่างเนิบช้ายิ่ง และหนังสือทองตำราหยกที่มีตัวอักษรแค่ร้อยกว่าคำนั้น ก่อนที่ผู้ทำพิธีจะยกออกมาอ่าน ก็ล้วนจะต้องมีพิธีเฉลิมฉลองที่ต้องระดมพลยิ่งใหญ่แตกต่างกันออกไปมาเป็นการปูพื้น ยกตัวอย่างเช่นการร่วมมือกันเซ่นกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ภูเขาตะวันเที่ยง เพื่อใช้สิ่งนี้มาเซ่นบวงสรวงแก่บรรพจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัยของศาลบรรพจารย์ แล้วยังต้องสร้างภาพบรรยากาศแห่งความเป็นมงคลหลากหลายรูปแบบ นับตั้งแต่หกชนิดไปจนถึงเก้าชนิด จากนั้นค่อยอาศัยค่ายกลขุนเขาสายน้ำรวมไปถึงบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำมาเผยแพร่ไปยังจวนตระกูลเซียนบนภูเขาทั่วทั้งทวีป ลำพังเพียงแค่น้ำชาตระกูลเซียนและผลไม้บนภูเขาที่เอามามอบให้กับแขกผู้มีเกียรติที่มาเข้าร่วมงานพิธี รวมไปถึงพืชพรรณบุปผาหลากหลายชนิดที่ปลูกเรียงรายมาตามทาง กระเรียนเซียนนกวิเศษที่ส่งเสียงขับขานอยู่บนฟ้าอย่างพร้อมเพรียง สถานที่ที่ใช้ทำพิธีของศาลบรรพจารย์ก็จะต้องตั้งใจจัดเตรียมการเป็นเวลาอย่างน้อยเดือนเศษ จำนวนเงินเทพเซียนที่เผาผลาญไปด้วยเรื่องนี้ก็ยิ่งต้องคำนวณเป็นเงินฝนธัญพืช
ทว่าทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้กลับแค่ใช้น้ำชาหนึ่งถ้วยมารับรองแขกเท่านั้น
หลิวเสี้ยนหยางอยู่ดีๆ ก็ขอบเขตถดถอยมาหนึ่งขั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต เรือนกายจิตวิญญาณหรือเส้นชีพจรช่องโพรงลมปราณ ล้วนไม่มีความเสียหายใดๆ เพียงแค่ก่อกำเนิดหนึ่งก้อนที่มีก็เหมือนกับไม่มี แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด หร่วนฉงถึงได้ตอบตกลงให้เขาอยู่พักรักษาตัวที่ร้านตีเหล็ก
ทุกครั้งที่หลิวเสี้ยนหยางมองมายังเฉินผิงอันจะต้องยิ้มจนตาหยี พอสายตาประสานกัน เฉินผิงอันจะต้องทำสีหน้าว่าเรือนกายหยัดตรงย่อมไม่กลัวเงาเอียง
เว่ยป้อซานจวินแห่งชุนเขาเหนือ ซานจวินห้าขอบเขตบนคนแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป ทุกวันนี้ก็ได้เป็นซานจวินใหญ่ท่านแรกที่มีขอบเขตเท่ากับเซียนเหริน
ดังนั้นเมื่อหลายปีก่อนที่ภูเขาพีอวิ๋นจัดงานเลี้ยงท่องราตรีอย่างถูกต้องชอบธรรมขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากหลังศึกใหญ่ปิดฉากลง ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับคุณความชอบในการสู้รบมาอยู่ในมือ ต้าหลีจึงมีการมอบรางวัลให้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นกระเป๋าเงินที่เดิมทีฟีบแบนของพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายจึงกลับมาตุงแน่นอีกครั้ง อาณาเขตขุนเขาเหนือจึงไม่ถึงขั้นต้องทุบหม้อขายเหล็ก เสียงโอดครวญดังไปทั่วทุกหนแห่งกันอีกครั้ง
สำนักกระบี่ไท่ฮุย หันไหวจื่ออดีตเจ้าสำนักคนก่อนรบตายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หวงถงบรรพจารย์เฒ่าผู้คุมกฎรบตายในสนามรบภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ล้วนพากันไปตายอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
เป็นเหตุให้ตลอดทั้งสำนักในทุกวันนี้มีเพียงหลิวจิ่งหลงที่เป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน ขอบเขตหยกดิบเพียงคนเดียว ลูกศิษย์ป๋ายโส่ว ผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง หลังจากสร้างโอสถแล้วก็ต้องเปิดขุนเขา กลายมาเป็นเจ้าขุนเขาคนใหม่ของยอดเขาเพียนหราน
วันนี้ป๋ายโส่วรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย ในบรรดาเด็กตัวเท่าก้นเก้าคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีเจ้าตัวน้อยชื่อป๋ายเสวียนคนหนึ่งที่ชอบมองมายังตนบ่อยๆ ราวกับคุ้นเคยกับตนมากอย่างไรอย่างนั้น
หลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอู สวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆ ต่างก็นั่งใกล้กับหลิวจิ่งหลง ทั้งสองคนล้วนเคยไปเยือนยอดเขาเพียนหราน เคยดื่มเหล้ากับเจ้าขุนเขาหนุ่มแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาก่อน ชื่อเสียงเรื่องการดื่มเหล้าเก่งของหลิวจิ่งหลงที่เลื่องลือไปทั้งสองทวีปในทุกวันนี้ สวีซิ่งจิ่วและหลิ่วจื้อชิงต่างก็มีคุณความชอบไม่น้อย บวกกับการช่วยผลักดันคลื่นลมจากพวกเซียนกระบี่หญิงลี่ไฉ่ ผู้ฝึกยุทธเฒ่าหวังฟู่ซู่ ฯลฯ ที่ตามมาในภายหลัง จึงถือว่ามีข้อสรุปแล้วว่า เซียนกระบี่หลิวนั้นหากไม่ดื่มคือไม่ดื่ม แต่พอได้ดื่มแล้ว ความคอแข็งนั้นก็ต้องเรียกว่าไร้ศัตรูทัดทาน
ดังนั้นครั้งนี้มาเป็นแขกถึงบ้าน หลิวจิ่งหลงจึงทั้งมาเพื่อแสดงความยินดีกับภูเขาลั่วพั่ว แล้วก็ต้องมาขอบคุณเฉินผิงอันด้วย
——