กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 766.3 ผู้อาวุโสร่ายรำ
ชุยเหวยตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เมื่อก่อนรักตัวกลัวตาย อยากจะมีชีวิตรอดกลับไป มาถึงใต้หล้าไพศาล คิดอยากจะมีชีวิตอยู่ให้ดียิ่งกว่าเดิม ก็ไม่เหลือพื้นที่ให้ข้ากลัวตายอีกแล้ว”
น่าหลันอวี้เตี๋ยร้องอ้อหนึ่งที ครั้นจึงฟุบตัวนอนคว่ำบนโต๊ะ เล่นป้ายฝูโซ่ว (คำอวยพรให้มีความสุขและอายุยืนยาว) ที่ทำจากไม้แผ่นหนึ่ง
หมี่อวี้ตบไหล่ของชุยเหวยเบาๆ ใช้เสียงในใจพูดกับเขาว่า “เด็กๆ ล้วนยังเล็ก”
พวกเด็กๆ มองโลกใบนี้อย่างบริสุทธิ์เรียบง่ายยิ่ง หากไม่ใช่ดำก็เป็นขาว ดีเลวแบ่งแยกชัดเจน
ชุยเหวยใช้เสียงในใจตอบกลับ “ไม่โทษพวกเขา พวกเด็กๆ ถามแบบนี้ได้ถึงจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
เฉินผิงอันเบี่ยงหัวข้อสนทนา ยิ้มถามว่า “ซุนชุนหวังล่ะ? ฝึกกระบี่อีกแล้วหรือ?”
ดูเหมือนในลานบ้านจะขาดไปแค่แม่นางน้อยนิสัยสันโดษแปลกแยกผู้นั้น
เหยาเสี่ยวเหยียนพยักหน้ารับอย่างแรง กดเสียงลงต่ำพูดอย่างเป็นกังวล “อาจารย์เฉา ดูเหมือนซุนชุนหวังจะฝึกกระบี่จนบ้าคลั่งไปแล้ว ท่านเกลี้ยกล่อมนางสักหน่อยเถอะ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “วันหน้าข้าจะให้ชุยตงซานพูดเปิดใจกับนางดีๆ”
เป็นเวรกรรมที่ชุยตงซานก่อ ใครผูกคนนั้นก็ต้องแก้เอาเอง
ดวงตาเฉินหลี่สาดประกายระยิบระยับ “ใต้เท้าอิ่นกวาน อีกไม่นานข้าก็จะได้เป็นก่อกำเนิดแล้ว!”
จวี่สิงที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดส่งเสียงจุ๊ๆๆ
เฉินหลี่เหล่ตามอง “ไม่ยอมรึ?”
จวี่สิงกล่าว “คนบางคนอายุมากกว่าข้าตั้งหลายปี เรื่องแบบนี้ ข้าไม่ยอมเห็นทีจะไม่ได้”
ป๋ายเสวียนเหล่ตามอง “พูดกับอิ่นกวานน้อยแบบนี้ได้อย่างไร ไม่รู้หรือว่าเฉินหลี่มาจากสายอิ่นกวานที่มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าของพวกเรา?”
คิดไม่ถึงว่าเฉินหลี่จะพูดว่า “เจ้าเป็นคนแต่งตั้งเอง ครึ่งเดียวก็ไม่นับ”
ป๋ายเสวียนเปลี่ยนสีหน้าทันใด กระโดดโหยงก่นด่า “เฉินหลี่เจ้าร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ ทำไมไม่กดขอบเขตต่อสู้กับจวี่สิงให้รู้แล้วรู้รอดสักรอบเล่า?”
เฉินหลี่หลุดหัวเราะพรืด “กดขอบเขตถามกระบี่จะมีอะไรยาก เจ้ามาพร้อมกับคนบางคนเลยไหมล่ะ?”
ป๋ายเสวียนคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ช่วงนี้ข้าเริ่มฝึกหมัดแล้ว ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวชั่วคราว”
พอเกาโย่วชิงได้พบอิ่นกวานหนุ่มก็รู้สึกหวาดเกรงเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีสนิทสนมเหมือนผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ หรือไม่ก็จงใจแสดงออกว่าไม่สนใจ
ถึงอย่างไรอายุของนางก็มากกว่าคนอื่นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเด็กๆ เก้าคนที่ออกมาจากบ้านเกิดช้ากว่า อันที่จริงนางกลับเข้าใจความหมายแฝงของสองคำว่า ‘อิ่นกวาน’ ได้ชัดเจนยิ่งกว่า
ไม่พูดถึงนครบินทะยานที่มีใต้หล้าแห่งหนึ่งกั้นขวาง เฉินผิงอันก็คืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตามหลังเซียวสวิ้น อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นี่คือบุคคลที่ในมือกุมอำนาจใหญ่ยิ่งกว่าสิงกวาน
พี่ชายของนางคือเกาเหย่โหว และผังหยวนจี้ที่นางเลื่อมใสบูชาก็ยิ่งเป็นคนของสายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อน ถือได้ว่าเป็นลูกน้องใต้อาณัติของเฉินผิงอัน?
เพียงแต่เกาเหย่โหวติดตามนครบินทะยานไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า ส่วนผังหยวนจี้ดูเหมือนจะไปยังดินแดนพุทธะสุขาวดี
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็เหมือนนั่งอยู่ในกองเด็กๆ
หมี่อวี้กับชุยเหวยต่างก็ยืนอยู่
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยเพียงประโยคเดียวว่า “รอให้พวกเจ้าเติบใหญ่เมื่อไหร่ กลับไปดูกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน”
ส่วนนครบินทะยาน ยังต้องรออีกเจ็ดสิบกว่าปีประตูถึงจะเปิดอีกครั้ง ตัวอ่อนเซียนกระบี่ทุกคนล้วนรู้ชัดเจนแก่ใจดีว่าจะต้องไปที่ใต้หล้าแห่งนั้นให้ได้ ถึงตอนนั้นจะกลับมายังใต้หล้าไพศาลหรือไม่ค่อยว่ากันอีกที
ต่อให้เป็นเด็กๆ ที่ไม่เคยพูดคุยกับใต้เท้าอิ่นกวานแม้แต่คำเดียวอย่างเฮ้อเซียงถิงและอวี้ชิงจางก็ยังเชื่อใจในตัวเฉินผิงอัน เชื่อว่าขอแค่มีใครยินดีจะอยู่ที่ใต้หล้าแห่งนั้นต่อ ใต้เท้าอิ่นกวานก็จะไม่มีทางขัดขวาง
เฉินผิงอันพาผู้ถวายอันดับหนึ่งโจวเฝย และสุยโย่วเปียนมายังเรือนแห่งหนึ่งที่มีแต่สตรี
ซุนชิงเจ้าจวนไช่เฉวี่ย หลิ่วกุ้ยเป่าลูกศิษย์ผู้สืบทอด หลี่ฝูฉวีแห่งสำนักเจินจิ้ง โจวไฉ่เจิน
ปีนั้นได้พึ่งใบบุญของนักพรตซุน หลังจากที่เฉินผิงอันออกมาจากซากปรักจวนเซียนที่รายล้อมไปด้วยภยันตรายแห่งนั้นได้ ก็พอจะได้รับผลเก็บเกี่ยวมาบ้างเล็กน้อย เคยทำการค้าครั้งใหญ่ก้อนหนึ่งกับจวนไช่เฉวี่ย เฉินผิงอันใช้ฝ้าเพดานขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่แบกไปยังนครเหนือเมฆอย่างยากลำบากมาแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่ง
เพราะว่ามีความสัมพันธ์กับหลิวจิ่งหลง เทพธิดาซุนชิงจึงมีรอยยิ้มให้ แต่แล้วก็เพราะว่าอวี๋หมี่ ซุนชิงจึงยิ้มไม่ออกเลยจริงๆ
อาจารย์และศิษย์สองคนอย่างพวกตนล้วนต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของสหายเฉินผิงอันผู้นี้ทั้งสิ้น ในทางส่วนตัวซุนซิงก็เคยตำหนิหลิ่วกุ้ยเป่าผู้เป็นลูกศิษย์ว่าจะไปชอบคนเจ้าชู้หลายใจอย่างอวี๋หมี่ทำไม เรียนรู้จากอาจารย์ไปก็ยังดี จะดีจะชั่วหลิวจิ่งหลงก็เป็นวิญญูชนที่เที่ยงตรงผู้หนึ่ง
ผู้ฝึกตนทำเนียบสำนักเจินจิ้งที่ถูกเจียงซ่างเจินตั้งชื่อว่าโจวไฉ่เจิน นางได้เติบใหญ่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน จากทารกในห่อผ้าอ้อมของวันวาน ได้กลายเป็นเด็กสาวรูปร่างสะโอดสะองคนหนึ่งแล้ว
โจวไฉ่เจินยิ้มเรียกเจียงซ่างเจินว่าท่านพ่อ
เจียงซ่างเจินคลี่ยิ้มอ่อนโยน ตบศีรษะของเด็กสาวเบาๆ
จากนั้นเด็กสาวก็ยอบกายคารวะเฉินผิงอัน เรียกเขาว่าอาจารย์เฉิน
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ มอบของขวัญพบหน้าให้นางชิ้นหนึ่ง เป็นกล่องไม้ใบเล็ก ด้านในบรรจุตำราแผ่นไม้ไผ่ยี่สิบแผ่น คือป้ายสงบสุขปลอดภัยแห่งใต้หล้าที่เฉินผิงอันทำขึ้นเองกับมือ ทุกวันนี้วัตถุชิ้นนี้เท่ากับว่าเป็นป้ายผ่านทางของภูเขาลั่วพั่วแล้ว และยังมียันต์กระบี่ของสำนักกระบี่หลงเฉวียนอยู่อีกแผ่นหนึ่ง
เด็กสาวใช้สองมือรับกล่องไม้มา หลังจากนางเอ่ยขอบคุณแล้ว เฉินผิงอันก็ลังเลเล็กน้อย ยิ้มถามว่า “ทัศนียภาพของทะเลสาบซูเจี่ยนงดงามหรือไม่?”
โจวไฉ่เจินยอบกายคารวะ “อาจารย์เฉิน ทัศนียภาพของทะเลสาบซูเจี่ยนงดงามมาก”
เฉินผิงอันเอ่ย “วันหน้าหากต้องออกจากบ้านไปฝึกประสบการณ์ สามารถไปเยือนอุตรกุรุทวีปได้”
โจวไฉ่เจินลังเลเล็กน้อย
อันที่จริงนางไม่ใคร่จะยินดีไปเยือน ‘บ้านเกิด’ อย่างอุตรกุรุทวีปเท่าใดนัก ไม่อยากไปที่เมืองสุยเจี้ยแห่งนั้น
เพียงแต่ดูเหมือนว่าหากตนพูดอย่างนี้จะดูว่านิสัยของนางเย็นชาเกินไป แต่เด็กสาวก็ไม่ยินดีจะพูดปด ดังนั้นนางจึงรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร หากยินดีไปก็ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ยินดีไปก็ไม่เป็นไร”
โจวไฉ่เจินผ่อนลมหายใจโล่งอก
นางเบิกตากว้างขึ้นน้อยๆ มองอาจารย์เฉินที่มีเรื่องราวมากมายทิ้งไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นี้
ทุกครั้งที่โจวไฉ่เจินไปเป็นแขกที่เกาะชิงเสียล้วนจะต้องผ่านห้องบัญชีที่ท่าเรือแห่งนั้น เพียงแต่ว่าที่นั่นใส่กุญแจไว้ตลอดเวลา พี่หญิงหงซิ่ว พี่หญิงหูจวิน ยามที่พวกนางพูดถึงอาจารย์เฉินล้วนมีคำกล่าวที่ไม่เหมือนกัน หลี่ฝูฉวีผู้เป็นอาจารย์ หลิวเหล่าเฉิงเจ้าสำนักเจินจิ้งคนปัจจุบัน หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง และยังมีพี่หญิงสุย ทุกคนยามที่พูดถึงอาจารย์เฉินต่างก็พูดไม่เหมือนกัน
ซุนชิงกุมหมัด พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ทำการค้ากับท่านไม่มีทางขาดทุนแน่ เอาเป็นว่าจวนไช่เฉวี่ยของพวกเราจะเลื่อนเป็นสำนักในอนาคตอีกร้อยปีข้างหน้าได้หรือไม่ ก็ต้องพึ่งภูเขาลั่วพั่วแล้ว หรือจะให้เลียนแบบเกาะจูไชบนภูเขาหลังอ๋าวที่กลายมาเป็นภูเขาใต้อาณัติของพวกท่านก็สามารถพูดคุยกันได้ ถึงเวลานั้นภูเขาลั่วพั่วให้พวกเรายืมผู้ถวายงาน เค่อชิงสักสองสามคน จะได้ช่วยเพิ่มหน้าเพิ่มตาให้กับพวกเราหน่อย จวนไช่เฉวี่ยนั้นอย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง มีสตรีนี่แหละที่มีเยอะ ผู้ฝึกตนของภูเขาลั่วพั่วแค่อาศัยความสามารถของตัวเอง…ไม่ได้อาศัยแต่หน้าตาอย่างเดียวนะ ใครที่สามารถผูกเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากับพวกนางได้ ข้าล้วนยินดีให้เป็นเช่นนั้น จะไม่ขัดขวางเด็ดขาด!”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ตกลง”
น่าเสียดายเจิ้งต้าเฟิงไม่อยู่บนภูเขา ไม่อย่างนั้นเวลานี้คงน้ำลายไหลจนต้องสูดปากแล้ว
เมื่อหลายปีก่อนหมี่อวี้ใช้นามแฝงว่าอวี๋หมี่ไปเยือนจวนไช่เฉวี่ยที่มีการหลอมชุดคลุมอาคมเป็นรากฐานในการหยัดยืน ก็ได้นำชุดคลุมอาคมที่ยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุดชุดหนึ่งซึ่งมาจากนครจินชุ่ยของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปให้พวกซุนชิงด้วย ภายใต้เส้นแสงสาดส่อง สีทองและสีเขียว (จินชุ่ย) สองสีประหนึ่งดวงตาหลายดวงบนหางของนกยูง มีคำเรียกขานที่งดงามว่า ‘ทางน้ำแบ่งหยินหยาง’ แม้แต่ชุดคลุมมังกรตัวที่ปีศาจใหญ่หย่างจื่อสวมใส่ก็ใช้วิธีการถักทอหล่อหลอมของนครจินชุ่ยเช่นกัน ดังนั้นอาศัยชุดคลุมอาคมที่ผ่านการแกะแยกซ้ำแล้วซ้ำเล่าตัวนั้น ฝีมือการสร้างชุดคลุมอาคมของจวนไช่เฉวี่ยจึงพัฒนารุดหน้าไปอย่างมาก ภายใต้การสนับสนุนจากตระกูลเซียนมากมายที่มีสำนักกระบี่ไท่ฮุย นครเหนือเมฆ ถ้ำสวรรค์ตำหนักมังกรเป็นหนึ่งในนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำจำนวนมากของอุตรกุรุทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางน้อยใหญ่ทั้งหลายในศาลอภิบาลเมืองและศาลบุ๋นบู๊ ยกตัวอย่างเช่นเทพท่องทิวาราตรี ต่างก็โปรดปรานชุดคลุมอาคมนี้ของจวนไช่เฉวี่ยอย่างมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือจวนไช่เฉวี่ยอาศัยการร่วมมือกับสำนักพีหมา ทำการปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับชุดคลุมอาคมนี้ ภายใต้การเชื่อมสะพานความสัมพันธ์ของเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋น สุดท้ายจวนไช่เฉวี่ยก็ถึงกับได้ทำการค้าใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่งกับราชวงศ์ต้าหลีสำเร็จ ราชวงศ์ต้าหลีสั่งชุดคลุมอาคมนับพันชุดกับจวนไช่เฉวี่ยในคราวเดียว สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ผู้ฝึกตนบนภูเขาทุกคน แม้แต่พวกซุนชิงเจ้าจวน อู่ฉวินผู้คุมกฎกลับได้ฝึกตนกันแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ล้วนหันมาเป็นสาวทอผ้ากันหมด
การค้าใหญ่เทียมฟ้าที่ทรัพย์สินเงินทองไหลมาเทมาอีกทั้งรับประกันผลเก็บเกี่ยวทุกฤดูกาลเช่นนี้ แม้แต่สำนักฉงหลินก็ยังจ้องมองตาเป็นมัน หวั่นไหวอย่างถึงที่สุด เคยมาหาจวนไช่เฉวี่ยอย่างลับๆ อยู่หลายครั้ง หมายจะขอแบ่งน้ำแกงถ้วยหนึ่ง สำนักฉงหลินรับปากว่าขอแค่ตอบตกลงให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน ก็จะมอบเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่ให้ก่อนก้อนหนึ่งเพื่อเป็นเงินมัดจำ ทยอยมอบให้สามครั้ง ราคาที่จ่ายในแต่ละครั้งจะสูงขึ้นเสมอ เพียงแต่ว่าซุนชิงปฏิเสธไป ไม่พูดถึงเรื่องที่เป็นพันธมิตรอย่างลับๆ กับภูเขาลั่วพั่ว หากนางถูกความโลภบังตาบังใจ พยักหน้าตอบตกลงไปจริงๆ ตัวนางเองก็ไม่มีหน้าไปพบอาจารย์หลิวอีกแล้ว
ซุนชิงลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทางฝั่งของสวนน้ำค้างวสันต์นั้น เจ้าขุนเขาเฉินคิดว่าจะลอยแพพวกเขาแล้วใช่หรือไม่?”
การเข้าร่วมงานพิธีครั้งนี้ ภูเขาลั่วพั่วไม่ได้เชิญสวนน้ำค้างวสันต์มาด้วย
ในความเป็นจริงแล้วหากไม่ใช่เพราะอาศัยกิจการชุดคลุมอาคม ในอุตรกุรุทวีป สวนน้ำค้างวสันต์ก็คือพันธมิตรด้านการค้าของภูเขาลั่วพั่วที่เป็นรองแค่สำนักพีหมาเท่านั้น อย่าว่าแต่นครเหนือเมฆเลย จวนไช่เฉวี่ยยังต้องขยับไปยืนด้านข้างด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้คิดว่าจะทำเช่นนั้น ข้าจะไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ด้วยตัวเองสักรอบ”
ซุนชิงเอ่ยอย่างเปิดเผย “ต่อให้เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ก็ยังยากจะจัดการกิจธุระในบ้านให้เด็ดขาด เจ้าขุนเขาเฉินก็ปวดหัวไปคนเดียวแล้วกัน ข้าคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ส่วนหญิงแก่ผู้นั้น ข้าคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับนาง”
เฉินผิงอันเพียงยิ้ม ไม่ได้เอ่ยต่อคำ
เส้นทางการค้าสามเส้นของภูเขาลั่วพั่ว สองเส้นในนั้นล้วนมีความเกี่ยวพันกับอุตรกุรุทวีปอย่างลึกซึ้ง เส้นหนึ่งคือเส้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มต้นที่สำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูก จุดสิ้นสุดอยู่ที่สวนน้ำค้างวสันต์ซึ่งเป็นทางเข้าที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร เพียงแต่ว่ายืดขยายออกไปอีกเล็กน้อย จึงมีความเชื่อมโยงกับจวนไช่เฉวี่ยและนครเหนือเมฆด้วย อีกเส้นหนึ่งคือเส้นทางจากใต้ขึ้นเหนือ ยังคงผ่านสำนักพีหมา แต่ว่าหลักๆ แล้วทำการค้ากับทะเลสาบกระบี่ฝูผิงและถ้ำสวรรค์วังมังกร เกี่ยวพันกับภูเขาตระกูลเซียนน้อยใหญ่แปดสิบกว่าแห่ง ทว่าส่วนใหญ่แล้วภูเขาลั่วพั่วจะไม่ติดต่อกับพวกเขาโดยตรง ถึงขั้นที่ว่าจนถึงทุกวันนี้ภูเขาเล็กหลายแห่งก็ยังเข้าใจผิดคิดว่าการขนสินค้าลงใต้ของเรือข้ามทวีปในแต่ละครั้งเป็นการร่วมมือกันระหว่างภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือกับท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว จากนั้นค่อยนำสินค้าส่งไปขายไกลทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปอีกต่อหนึ่ง
ระหว่างนี้ทางฝั่งของสวนน้ำค้างวสันต์เกิดความเห็นต่างสองครั้งใหญ่ ครั้งแรกเป็นภูเขาลั่วพั่วที่ตัดสินใจกดราคาลงต่ำ ลดกำไรลง สวนน้ำค้างวสันต์ยังคงไม่ขาดทุน แต่จะได้กำไรน้อยมาก นี่ทำให้ทางฝั่งศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ทะเลาะกันไม่หยุด เจ้าขุนเขาที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดท่านนั้นของสวนน้ำค้างวสันต์ยังคงหวังว่าทางภูเขาลั่วพั่วจะสามารถเปลี่ยนราคาให้มาพบกันครึ่งทางได้ เรือข้ามฟากเดินทางไปกลับครั้งแล้วครั้งเล่าจะให้พวกเขาได้กำไรเท่าหัวแมลงวันที่ไม่พอให้มองเห็นอยู่ตลอดก็คงไม่ได้กระมัง ส่วนถังซีแห่งเรือนจ้าวเย่ฉ่าว ซ่งหลันเฉียวโอสถทองเฒ่า พันธมิตรสามคนที่เดิมทีรวมกลุ่มเป็นก้อนเหล็กที่แข็งแกร่งรุกและถอยไปพร้อมๆ กัน ก็เกิดความขัดแย้งภายในขึ้นมา ถังซีมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับเจ้าขุนเขา มีเพียงคู่อาจารย์และศิษย์เท่านั้นที่ใช้การย้ายเก้าอี้ออกจากศาลบรรพจารย์มาข่มขู่สวนน้ำค้างวสันต์ สุดท้ายสวนน้ำค้างวสันต์ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้วก็รู้สึกว่าไม่ยินดีจะสูญเสียเส้นทางการเงินที่มีอนาคตยาวไกลอย่างภูเขาลั่วพั่วนี้ไป จึงเลือกที่จะยอมถอยให้
หลังจากนั้นมาภูเขาลั่วพั่วก็ยกระดับการค้าของนครเหนือเมฆขึ้นมาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนาอยู่ตลอด บวกกับที่อยู่ดีๆ ก็มีอ่างรวมสมบัติอย่างจวนไช่เฉวี่ยเพิ่มเข้ามา ดูเหมือนว่าแค่ขาดผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนเดียวก็จะสามารถเลื่อนเป็นสำนักอักษรจงได้แล้ว นี่ทำให้สวนน้ำค้างวสันต์ที่มือเติบใจกว้างแต่กลับไม่ได้เป็นสำนักอักษรจงสักทีรู้สึกย่ำแย่อย่างเลี่ยงไม่ได้ จวนไช่เฉวี่ยส่งมอบชุดคลุมอาคมให้กับสวนน้ำค้างวสันต์ตามที่กำหนดไว้ ทางฝั่งของสวนน้ำค้างวสันต์ที่เดิมทีควรขายชุดคลุมอาคมได้หมดก่อนใคร ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงเก็บสะสมเอาไว้เยอะมาก อันที่จริงสาเหตุนี้มาจากการประชุมครั้งหนึ่งในศาลบรรพจารย์ ท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสวนน้ำค้างวสันต์ที่ไม่ถูกชะตากับถังซีได้พูดจากระแหนะกระแหนนครเหนือเมฆและจวนไช่เฉวี่ยไปไม่น้อย หญิงชราฟังแล้วก็บังเกิดโทสะ บอกว่าสตรีทั้งหลายที่แต่งกายฉูดฉาดหรูหราของจวนไช่เฉวี่ยพวกนั้นกำลังขับไล่ขอทานอยู่หรือไร?
ตอนนั้นซ่งหลันเฉียวที่เก้าอี้อยู่ด้านหลังสุดของศาลบรรพจารย์รู้สึกจนใจเป็นทบทวี อาจารย์ท่านผู้เฒ่าไม่ว่าอะไรล้วนดีไปหมด เสียก็แต่จะต้านทานคำพูดยุแยงปลุกปั่นของคนที่เจตนาร้ายไม่ค่อยได้ คำพูดดีๆ ที่พูดต่อหน้าไม่กี่ประโยคซึ่งไม่ควรคิดเป็นจริงเป็นจัง กลับสามารถทำให้อาจารย์ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรมใดๆ อีกทั้งทางฝั่งของสวนน้ำค้างวสันต์ก็หวังอาศัยให้อาจารย์ของตนเอ่ย ‘คำพูดของคนกันเอง’ กับเซียนกระบี่หนุ่มของภูเขาลั่วพั่วท่านนั้นจริงๆ จะได้ช่วยสวนน้ำค้างวสันต์ช่วงชิงเงินเทพเซียนมาได้มากสักหน่อย สำหรับเรื่องนี้กลับกลายเป็นว่าถังซีมีความคิดเหมือนกับซ่งหลันเฉียว รู้สึกว่าหญิงชราไม่ควรเป็นเช่นนี้ มิตรภาพก็ส่วนมิตรภาพ การค้าส่วนการค้า เพียงแต่ว่าซ่งหลันเฉียวที่พูดคุยกับนางเป็นการส่วนตัวกลับไม่ได้ผลแม้แต่น้อย ถังซีโน้มน้าวก็กลับกลายเป็นว่าถูกด่าสาดเสียเทเสีย
ทางฝั่งภูเขาลั่วพั่วก็เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชรากับเจ้าขุนเขาบ้านตนเช่นกัน ถึงได้ยอมถอยก้าวไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่สองครั้ง เพียงแต่สวนน้ำค้างวสันต์ยังคงไม่พอใจ
ยังคงมีข่าวลือเกิดขึ้นอีกไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นภูเขาลั่วพั่วช่วยนครเหนือเมฆสร้างท่าเรือตระกูลเซียนส่วนตัวขึ้นมาแห่งหนึ่ง ทว่าสวนน้ำค้างวสันต์กลับไม่พอใจเรื่องนี้ เห็นแล้วขัดหูขัดตาอย่างมาก จึงส่งกระบี่บินมายังภูเขาลั่วพั่ว เรียกร้องให้ท่าเรือแห่งนั้นย้ายไปอยู่ที่ภูเขาใต้อาณัติลูกหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์แทน
คนที่เขียนจดหมายก็คือหญิงชราผู้นั้น คนที่รับจดหมายแน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอัน
หลังจากได้รับจดหมายฉบับนั้นแล้ว จูเหลี่ยนกับเว่ยป้อก็มองหน้ากันอย่างไร้คำพูด ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
มรสุมเหล่านี้ เฉินผิงอันล้วนรับรู้แล้ว ดังนั้นถึงคิดจะเดินทางไปเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ด้วยตัวเองรอบหนึ่ง ทว่าเป็นแค่การผ่านทางไปเท่านั้น
สุยโย่วเปียนนั่งอยู่ข้างกายหลี่ฝูฉวี ตอนอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน เรื่องที่สุยโย่วเปียนกับเหวยอิ๋งเจ้าสำนักคนที่สองไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ เป็นเรื่องที่คนทั้งสำนักล้วนรับรู้ นางกับหลิวเหล่าเฉิงและหลิวจื้อเม่าก็ไม่ได้มีการคบค้าสมาคมใดๆ ต่อกัน มีเพียงหลี่ฝูฉวีที่นับว่ายังพอพูดคุยกันได้
หลี่ฝูฉวีรู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก นักบัญชีหนุ่มของเกาะชิงเสียในอดีตผู้นั้น ดูเหมือนว่าผ่านช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่กะพริบตา เขาก็กลายไปเป็นคนอีกคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ ความสามารถเหลือล้น อีกทั้งยามอยู่ร่วมกับเขายังทำให้คนอื่นรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางลมวสันต์
ขณะที่เฉินผิงอันเอ่ยขอตัวเตรียมจะจากไป ซุนชิงก็พลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ท่านคงไม่ได้จะไปอาละวาดที่สวนน้ำค้างวสันต์หรอกกระมัง? ต้องหาเงินด้วยความปรองดองนะ”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม “ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
หลังจากเฉินผิงอันจากไปแล้ว ซุนชิงก็ถามว่า “ฝูฉวี กุ้ยเป่า พวกเจ้าว่าเรื่องแบบนี้ไม่ยุ่งยากงั้นหรือ?”
หลี่ฝูฉวีเอ่ย “ทั้งความรู้สึกและเหตุผลปะปนอยู่ด้วยกัน ทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงการค้าที่ทำเงินของภูเขาบ้านตัวเอง อันที่จริงเป็นเรื่องที่ตึงมือมากเลยล่ะ”
ซุนชิงกล่าว “แล้วทำไมเขาถึงทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเลยล่ะ?”
หลิ่วกุ้ยเป่าเอ่ย “อาจารย์ หรือท่านลืมตอนที่อยู่ซากปรักจวนเซียนในปีนั้นไปแล้ว? คงเป็นเพราะคนอย่างเจ้าขุนเขาเฉินนี้เกิดมาก็เชี่ยวชาญการแก้ปัญหากระมัง”
ซุนชิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้าจำได้แค่ท่าทางของเขาตอนกอดต้นไผ่แล้วพูดว่า ‘ผิดไปแล้วๆ’ เท่านั้นนะ”
โจวไฉ่เจินถามอย่างใคร่รู้ “มีเรื่องราวหรือ? พี่หญิงหลิ่วเล่าให้ฟังได้ไหม?”
หลิ่วกุ้ยเป่าจึงเลือกเรื่องบางเรื่องที่สามารถพูดได้มาเล่าถึงการแย่งชิงโชควาสนาเซียนที่อันตรายอย่างยิ่งครั้งนั้นให้เด็กสาวฟังคร่าวๆ
โจวไฉ่เจินฟังแล้วสีหน้าเหยเก ไม่ว่าอย่างไรก็เอาอาจารย์เฉินผู้สุภาพอ่อนโยนไปทับซ้อนเข้ากับภาพลักษณ์ของผู้เฒ่าชุดดำไม่ได้เลย
หลิ่วกุ้ยเป่ากลั้นขำไม่อยู่ เอ่ยสัพยอกว่า “อาจารย์เฉินบ้านเจ้าหาเงินได้ดุดันนักล่ะ”
โจวไฉ่เจินส่ายหน้า “ต้องเป็นพวกท่านที่เข้าใจอาจารย์เฉินผิดไปแน่ๆ”
——