กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 768.3 บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาลั่วพั่ว
เห็นเฉินผิงอันที่เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา จางเจียเจินก็เรียกเสียงเบา “อาจารย์เฉิน”
ล้วนเป็นความเคยชินตามธรรมชาติ
ก็เหมือนตัวอ่อนเซียนกระบี่พวกนั้นที่พอพบเจอเฉินผิงอันก็ยังคงชอบเรียกว่าอาจารย์เฉา เฉินหลิงจวินชอบเรียกว่านายท่าน
เฉินผิงอันยิ้มพลางผงกศีรษะรับ เดินมานั่งลงข้างโต๊ะ หยิบตำราบันทึกลับเล่มหนึ่งที่เขียนถึง ‘ควันธูปภูเขาตะวันเที่ยง’ ขึ้นมา เปิดเจอหน้าที่เป็นของราชสำนักต้าหลี ก็หยิบเอาพู่กันมาวงชื่อซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองเอาไว้ เขียนระบุไว้ด้านข้างว่า ‘คนผู้นี้ไม่นับ จวนอ๋องยังคงเดิม’ จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบเทียบศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงขึ้นมา วงเน้นลงไปบนชื่อของเถียนหว่าน ขอกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากฉางมิ่ง แล้วเริ่มจรดพู่กัน เจียงซ่างเจินจุ๊ปาก ชุยตงซานเอ่ยติดๆ กันว่าอักษรดี อักษรดี สุดท้ายเฉินผิงอันจึงเอากระดาษแผ่นนี้สอดไว้ในหน้าหนังสือ ปิดตำราลงแล้วยื่นมือไปกดหนังสือเล่มนั้นเอาไว้ ลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “บุคคลยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ อำพรางตัวลึกล้ำกว่าภูเขาลั่วพั่วเราเสียอีก ไม่ว่าจะวางตัวเป็นคนหรือลงมือกระทำการล้วนสมกับเป็นผู้อาวุโสอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าถึงได้ระดมพลยกใหญ่ ให้พวกเจ้าสองคนไปสืบเสาะเส้นทางด้วยกันล่วงหน้าก่อน อย่าให้นางหนีไปได้เด็ดขาด ส่วนจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือไม่ ไม่บังคับกะเกณฑ์ หากนางเห็นท่าไม่ดีแล้วตัดสินใจหนีไปอย่างเด็ดเดี่ยว พวกเจ้าก็เชิญมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วโดยตรงเลย ความเคลื่อนไหวจะรุนแรงแค่ไหนก็ไม่ต้องสนใจ น้ำหนักของเถียนหว่านผู้นี้ไม่ได้เบาไปกว่าภูเขาตะวันเที่ยงที่มีเซียนกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆเลย”
เจียงซ่างเจินเอ่ย “หันอวี้ซู่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีความเป็นไปได้มาก”
เจียงซ่างเจินถูฝ่ามือ พูดด้วยสีหน้ากระปรี้กระเปร่า “ใบถงทวีปมีแล้ว แจกันสมบัติทวีปมีแล้ว ถ้าอย่างนั้นผู้บงการเบื้องหลังบางคนของอุตรกุรุทวีปก็คงหลบอยู่ในสำนักฉงหลินที่ชายแขนเสื้อสองข้างมีแต่ลมเย็นไม่หาเงินสินะ?”
อุตรกุรุทวีป เจียงซ่างเจินคุ้นเคยดีอย่างยิ่ง เป็นบ้านเกิดแห่งที่สองของเขา สหายบนภูเขาก็มีอยู่ทั่วทวีป อยู่ที่อุตรกุรุทวีปขอแค่บอกชื่อเจียงซ่างเจินออกไป ดื่มเหล้าก็ไม่ต้องจ่ายเงิน
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ ขอแค่พวกเราขยับมีด มีดนั้นต้องเร็วมาก เร็วจนกรีดไปถึงคอของศัตรูแล้ว แต่ศัตรูกลับยังไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย แม่นยำ มั่นคง อำมหิต ก็เหมือนอย่างที่อาจารย์จัดการกับหันอวี้ซู่ตอนอยู่ภูเขาไท่ผิง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “หลิวเสี้ยนหยางและข้าอยู่ในที่แจ้ง พวกเจ้าสองคนอยู่ในที่ลับ พื้นที่ของสามทวีปต่างก็อยู่ไม่ใกล้กับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ดังนั้นจึงเพียงพอแล้ว เพราะถึงอย่างไรเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ก็มีแค่คนเดียว และพวกเราก็เคยเจอมาก่อนพอดี”
บุคคลที่สามารถทำให้พวกเขาสามคนต้องร่วมมือกันจัดการได้ มีไม่มากจริงๆ
ชุยตงซานยิ้มตาหยีมองไปยังโจวอันดับหนึ่ง เอ่ย “หากมีคนอยากจะเอาอย่างบรรพจารย์ผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ครึ่งตัวของสำนักกุยหยกพวกเจ้า คิดจะเป็นมังกรข้ามแม่น้ำขึ้นมาล่ะ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าต้องแสดงน้ำใจของเจ้าบ้านออกมาอย่างเต็มที่ ต่อให้ไม่มีมังกรข้ามแม่น้ำอะไร พวกเราก็ต้องอาศัยพี่หญิงเถียนหว่านและ ‘หันอวี้ซู่’ ของข้านี้มาสร้างโอกาส ให้มังกรข้ามแม่น้ำได้มาเป็นแขกที่แจกันสมบัติทวีป”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองตำราอีกปึกหนึ่ง เป็นบันทึกลับเกี่ยวกับสกุลสวี่นครลมเย็น คิดแล้วก็ยังไม่ไปเปิดอ่าน
กลัวว่าหากตัวเองอดทนไม่ไหวแล้วจะเรียกหลิวเสี้ยนหยางให้ตรงดิ่งไปที่นครลมเย็นด้วยกัน เมื่อเทียบกับภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว บุญคุณความแค้นของที่นั่นเรียบง่ายและชัดเจนกว่ามาก
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงแค่ดึงสมุดเล่มหนึ่งที่บันทึกทำเนียบขุนเขาสายน้ำของภูเขาตะวันเที่ยงออกมา เปิดไปจนเจอหน้าที่บันทึกเรื่องของผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาซึ่งอยู่ช่วงต้นๆ ของตำรา
ชุยตงซานฟุบตัวนอนคว่ำบนโต๊ะ เอ่ยทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจง “บรรพบุรุษย้ายขุนเขาท่านนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปนานแล้ว”
เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองชื่อจริงของวานรย้ายภูเขาตัวนั้น หยวนเจินเย่ เผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างส่วนใหญ่ล้วนใช้แซ่หยวน
เจียงซ่างเจินสีหน้าเคร่งขรึม “บุคคลผู้หนึ่งที่สามารถทำให้เจ้าขุนเขาและหนิงเหยาร่วมมือกันต่อกร เรี่ยวแรงสู้ไม่ได้ ก็เลยได้แต่ใช้สติปัญญาเข้าสู้แทนงั้นหรือ?”
จางเจียเจินที่คัดเลือกรายงานข่าวและบันทึกลับกับมือตัวเองตกใจสะดุ้งโหยง
ใต้เท้าอิ่นกวานกับหนิงเหยาเคยร่วมมือกันต่อกรกับหยวนเจินเย่มาก่อน? หรือว่าตนพลาดเรื่องวงในที่น่าตกตะลึงพรึงเพริดอะไรไป? ทว่าที่ภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ นับตั้งแต่ผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยนไปจนถึงผู้คุมกฎฉางมิ่ง แล้วก็ไปจนถึงเว่ยซานจวิน ต่างก็ไม่เคยพูดถึงความลับเรื่องนี้เลยนี่นา
จางเจียเจินจ้องกระดาษหน้านั้นเขม็ง ความคิดแล่นเร็วจี๋ ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง ในอดีตได้คุ้มกันเถาจื่อให้เดินทางมายังถ้ำสวรรค์หลีจู เคยมีวีรกรรมใหญ่เทียมฟ้าอยู่สองเรื่อง
เกือบจะย้ายภูเขาพีอวิ๋นกลับไปยังภูเขาตะวันเที่ยง
เขากับซ่งจ่างจิ้งอดีตอ๋องเจ้าเมืองได้ถามหมัดกันที่ที่ว่าการผู้ตรวจการ ทั้งสองฝ่ายแค่หยุดแต่พอสมควร ไม่ได้แบ่งแพ้ชนะ
ภายหลังภูเขาพีอวิ๋นได้เลื่อนขั้นเป็นขุนเขาเหนือแห่งใหม่ของต้าหลี สุดท้ายก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนเขาเหนือใหญ่ของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีป
ส่วนซ่งจ่างจิ้งนั้น จากปีนั้นที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตปลายทางก่อน สุดท้ายบนสนามรบที่ลำน้ำใหญ่ภาคกลางของเมืองหลวงแห่งที่สองก็ได้อาศัยโชคชะตาบู๊ของครึ่งทวีปที่มารวมอยู่บนร่างตน ใช้ท่วงท่าของเทพแห่งการต่อสู้ขอบเขตสิบเอ็ดในตำนานปล่อยหมัดสังหารเซียนเหรินสองคน
ดังนั้นชื่อของวานรย้ายภูเขาตนนั้นจึงเป็นดั่งเรือที่ลอยตามน้ำขึ้นไปด้วย
เรื่องพวกนี้จางเจียเจินล้วนรู้ชัดเจนดี เพียงแต่ว่าอิงตามการประเมินของตนก่อนหน้านี้ ตบะและขอบเขตของหยวนเจินเย่ผู้นี้ ต่อให้คำนวณด้วยขอบเขตหยกดิบ อย่างมากที่สุดก็เทียบเท่าได้กับสวี่หุนเจ้านครลมเย็นคนหนึ่งเท่านั้น
เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบหน้ากระดาษพลิกเปิดไปอีกหน้า จากนั้นจึงพลิกกลับมา ตรวจสอบเนื้อหาภายใน ไม่ได้อ่านเรื่องความชื่นชอบด้านการฝึกตนของหยวนเจินเย่ หรือเรื่องที่มันสนิทสนมกับใคร เพียงแค่อ่านเรื่องราวน้อยใหญ่หลายสิบข้อทั้งบนและล่างภูเขาตลอดเวลาพันปีที่มันรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ภูเขาตะวันเที่ยงซ้ำสองรอบ
จางเจียเจินยิ่งกระวนกระวายใจ เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์เฉิน เป็นข้าที่เลินเล่อไปเอง ไม่ควรเขียนอย่างขอไปทีเช่นนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่ยังเรียกว่าขอไปทีอีกหรือ? ปีนั้นข้ากับหนิงเหยาเพิ่งจะมีขอบเขตอะไรกันเชียว ต่อสู้กับผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตนหนึ่งของภูเขาตะวันเที่ยง แน่นอนว่าต้องกินแรงอย่างมาก ต้องทุ่มสุดชีวิต”
เจียงซ่างเจินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ย้ายภูเขาพีอวิ๋น ถามหมัดต่อซ่งจ่างจิ้ง ถูกเฉินอิ่นกวานและหนิงเหยาแห่งนครบินทะยานร่วมมือกันถามกระบี่ แต่ละเรื่องแต่ละราวล้วนชวนให้คนตกใจได้มากกว่าเดิมเสมอ หลายปีที่ข้าอยู่ในอุตรกุรุทวีปนับว่าเสียเปล่าแล้ว เอาแต่ก่อเรื่องไปทั่ว สู้บรรพบุรุษหยวนที่ใช้เวลาแค่ไม่กี่วันสะสมกำลังทรัพย์ก็ไม่ได้ หากได้ไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ใครจะกล้าไม่ให้ความเคารพ ใครจะกล้าไม่กลัว? คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตายจริงๆ”
เฉินผิงอันปิดหน้าหนังสือ “ไม่ต้องโมโห”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “เพราะว่าบรรพบุรุษย้ายภูเขาไม่ใช่คน”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นอย่างก็ต้องบอกว่าข้าสู้สัตว์เดรัจฉานไม่ได้”
จางเจียงเจินรับฟังเงียบๆ โดยที่ไม่กล้าสอดปากพูดสักครึ่งคำ
ผู้คุมกฎฉางมิ่งคลี่ยิ้มหวาดหยดย้อย
เฉินผิงอันพาเจียงซ่างเจินและชุยตงซานไปยังที่ตั้งเก่าของศาลบนยอดเขา
ให้ชุยตงซานร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำที่เป็นบ่อสายฟ้าสีทองรอบราวรั้วหยกขาวของบนยอดเขาชั้นหนึ่งก่อน
จากนั้นเฉินผิงอันถึงได้หยิบเอาม้วนภาพที่มีตราผนึกหนาหนักชิ้นหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อจื่อ มือหนึ่งกำด้านหนึ่งของแกนม้วนภาพหยกขาวเอาไว้ สะบัดเบาๆ ม้วนภาพก็คลี่กางออกมา เฉินผิงอันปล่อยมือ ยกชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นเบาๆ ม้วนภาพก็ ‘บิน’ ตามไปด้วย ก่อนจะลอยนิ่งอยู่กลางอากาศแล้วเริ่มหมุนช้าๆ
ชุยตงซานมองสบตากับเจียงซ่างเจิน จากนั้นก็หันมายิ้มให้กัน ทั้งสองฝ่ายพลันกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา
ตอนนั้นที่เฉินผิงอันถามกระบี่ต่อเผยหมิ่นนอกวัดเทียนกง
อันที่จริงทั้งเจียงซ่างเจินและชุยตงซานต่างก็คิดเป็นร้อยตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจรายละเอียดช่วงหนึ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุดมาโดยตลอด นั่นก็คืออาจารย์และใต้เท้าเจ้าขุนเขาของพวกเขาต้านทานสองกระบี่ที่ทุ่มแรงเต็มกำลังของเผยหมิ่นไว้ได้อย่างไร สุดท้ายทำอย่างไรถึงสามารถปกป้องปิ่นหยกขาวชิ้นนั้นไว้ได้ และก่อนที่ชุยตงซานจะรับเอาปิ่นหยกขาวมา ทำอย่างไรถึงหลบพ้นเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ที่ต่อให้กระบี่หนึ่งฆ่าคนไม่สำเร็จ ก็สามารถโจมตีปิ่นหยกขาวให้ปริแตกก่อนแล้วค่อยสังหารเฉินผิงอันอีกครั้งมาได้
ม้วนภาพที่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะกลายมาเป็นค่ายกลใหญ่พิทักษ์ขุนเขานี้ก็คือคำตอบแล้ว
ภูเขาลั่วพั่ว หอจิ้งเจี้ยน ม้วนภาพเซียนกระบี่
วิญญาณวีรบุรุษของเซียนกระบี่ที่เป็นกึ่งๆ วิญญาณกระบี่เหล่านี้เคยอยู่เคียงข้างอิ่นกวานหนุ่ม ร่วมกันพิทักษ์ปกป้องกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งมาก่อน
เฉินผิงอันคีบธูปออกมาสามก้าน แล้วแบ่งให้ชุยตงซานกับเจียงซ่างเจินคนละก้าน
เฉินผิงอันประสานมือคารวะ เอ่ยเบาๆ ในใจว่า “ผ่านภูเขาห้อยหัว กระบี่มาถึงไพศาล”
จากนั้นเจียงซ่างเจินและชุยตงซานก็ออกไปจากภูเขาลั่วพั่วพร้อมกัน ออกเดินทางไปสืบข่าวล่วงหน้าก่อน
ไม่ว่าจะเป็นเจียงซ่างเจินหรือชุยตงซาน เพียงแค่คนเดียว ยามทำอะไรก็มากพอจะให้คนวางใจได้แล้ว สองคนร่วมมือกัน เฉินผิงอันก็ไม่รู้แล้วว่าคำว่า ‘กังวล’ นั้นเขียนอย่างไร
เฉินผิงอันเดินไปที่เรือนไม้ไผ่ หยิบเหล้าออกมากาหนึ่ง รู้สึกลังเลเล็กน้อย
จูเหลี่ยนเดินมานั่งลงตรงโต๊ะหินริมหน้าผา ถามเสียงเบาว่า “คุณชายมีเรื่องในใจหรือ?”
เดิมทีเฉินผิงอันก็อยากไปหาพ่อครัวเฒ่าพูดเรื่องความในใจให้อีกฝ่ายฟังอยู่แล้ว ยามนี้จึงเล่าถึงทัศนียภาพในจิตใจที่เผยเฉียนเคยเห็นตอนเป็นเด็ก และห้าฝันเจ็ดจิตธรรมของลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงให้จูเหลี่ยนฟัง
แบ่งออกเป็นฝันว่าเป็นอาจารย์ลัทธิขงจื๊อเจิ้งห่วน ฝันหมอนกระดูกซ้อนฝัน ฝันเป็นต้นลี่ (ต้นโอ้ค) มีชีวิต ฝันเป็นหลิงกุยตาย ฝันว่ากลายร่างเป็นผีเสื้อไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
นอกจากฝันทั้งห้าแล้วยังมีอีกเจ็ดวัตถุที่ทยอยกันถือกำเนิดขึ้นมาระหว่างการเดินไปบนมหามรรคาของลู่เฉิน ไก่ไม้ ต้นชุน ตัวตุ่น คุนเผิง นกขมิ้นเหลือง เยวียนฉู ผีเสื้อ
แน่นอนว่ายังมีกวานดอกบัวของติงอิงแห่งพื้นที่มงคล
จูเหลี่ยนกุมหมัดยิ้มเอ่ย “ต้องขอขอบคุณคุณชายก่อนที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ”
จากนั้นคนทั้งสองก็เงียบเสียงกันไป
เฉินผิงอันหันหน้ามามองพบว่าจูเหลี่ยนมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ เอนตัวพิงโต๊ะหิน ทอดสายตามองไปนอกหน้าผา ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ถึงกับมี…ความปล่อยวางอยู่หลายส่วน คล้ายกับคนที่ฝันไปตื่นใหญ่แล้วในที่สุดก็ตื่นจากความฝัน แล้วก็ทั้งเหมือนคนที่เหนื่อยล้าเพราะไม่ได้หลับมาเนิ่นนาน สุดท้ายก็ได้หลับฝันดี เหมือนหลับแต่ไม่หลับ เหมือนตื่นแต่ไม่ตื่น ร่างทั้งร่างตกอยู่ในสภาวะที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่ง นี่ย่อมไม่ใช่ท่วงท่าที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมีได้อย่างแน่นอน เหมือนกับการพิสูจน์มรรคาบรรลุมรรคา การเข้าใจมรรคาของผู้ฝึกตนคนหนึ่งมากว่า
จิตของเว่ยป้อสัมผัสได้จึงรีบมาปรากฏตัวที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่ไม่กล้าเข้าใกล้โต๊ะหิน เพียงแค่ยืนอยู่ใต้ระเบียงของเรือนไม้ไผ่
เฉินหลิงจวินกับโจวหมี่ลี่ที่กลับมาจากการลาดตระเวนภูเขากำลังเดินอาดๆ มาบนทางเส้นเล็ก เว่ยป้อยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาวางไว้บนริมฝีปาก บอกเป็นนัยแก่คนทั้งสองว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร
จูเหลี่ยนหันหน้ามามองเฉินผิงอัน เอ่ยว่า “หากเป็นความฝันครั้งใหญ่ ลู่เฉินสัมผัสได้ก่อน ข้าช่วยลู่เฉินให้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้า คุณชายจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “จะทำอย่างไร? ง่ายจะตายไป จูเหลี่ยนต้องยังเป็นจูเหลี่ยน อย่าได้หลับไป ต้องตื่นขึ้นมา นอกจากนี้ก็แค่ข้าพกกระบี่เดินทางไกลไปถามกระบี่ที่ป๋ายอวี้จิงเท่านั้น”
จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นตาม ยื่นมือมาจับแขนของพ่อครัวเฒ่า “ตกลงกันแล้วนะ”
จูเหลี่ยนยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าความฝันอยู่ที่ไหน ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ก็แค่ต้องเล็งเป้าให้แม่นยำ เรื่องของการไขความฝัน อันที่จริงไม่ยาก เพราะคำตอบมีอยู่ครึ่งหนึ่งมาตั้งนานแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ซิ่วหู่ศิษย์พี่ของข้าและชุยตงซานผู้เป็นลูกศิษย์ของข้า”
ปีนั้นลู่เฉินหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลที่เป็นบ้านเกิด มาตั้งแผงดูดวงอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูนานหลายปี ก็มีความเป็นไปได้มากกว่าจะเคยพิศมรรคาซึ่งเป็นการกระทำที่ ‘ถือโอกาสทำไปด้วย’ ครั้งหนึ่ง รอให้จิตวิญญาณของชุยฉานและชุยตงซานแยกจากนั้น รวมไปถึงการสร้างคนกระเบื้องของชุยตงซานต่อจากนั้น ล้วนเป็นการที่เขาใช้หินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกทั้งสิ้น
——