กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 770.1 แผนร้าย
เข้ามาในนครเถียวมู่ เฉินผิงอันก็ไม่รีบร้อนพาเผยเฉียนและโจวหมี่ลี่เดินเที่ยว เขาคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ทำมาจากกระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อก่อน จากนั้นจึงใช้สองนิ้วทำมุทรากระบี่ ปาดลงไปรอบด้านของยันต์เบาๆ เฉินผิงอันเพ่งสมาธิจ้องมองความเร็วในการเผาไหม้ของยันต์แผ่นนี้อยู่ตลอดเวลา ในใจนับเวลาเงียบๆ รอกระทั่งยันต์ส่องไฟแผ่นหนึ่งเผาไหม้จนหมด เขาถึงได้เอ่ยกับเผยเฉียนว่า “ระดับความเปี่ยมล้นของปราณวิญญาณไม่ต่างจากบนมหาสมุทรนอกเรือข้ามฟาก แต่การไหลหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาคล้ายจะช้ากว่าฟ้าดินด้านนอกเล็กน้อย พวกเราพยายามอย่าอยู่ที่นี่นานเกินไปนัก ภายในหนึ่งเดือนต้องไปจากที่นี่ได้แล้ว”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ ในใจเข้าใจเป็นอย่างดี นครยักษ์ซึ่งเป็นเรือข้ามฟากใต้ฝ่าเท้าลำนี้ เกินครึ่งน่าจะคล้ายคลึงกับพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำที่ปริแตกของถ้ำสวรรค์เล็ก เพียงแต่ว่าถูกยอดฝีมือหล่อหลอมจึงคล้ายกับหลุมน้ำลู่ของชิงจงฮูหยินที่ได้กลายเป็นฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งไปแล้ว
เฉินผิงอันสลายลมปราณที่หลงเหลืออยู่ของมุทรากระบี่ก่อนหน้านี้ทิ้ง แล้วค่อยๆ โยนหินถามทาง ปราณกระบี่ไหลรินไปได้สิบจั้งกว่าก็ถูกเฉินผิงอันเก็บกลับมาทันใด ไม่ปล่อยให้ปราณกระบี่แผ่ขยายออกไปอีก
ปราณวิญญาณในฟ้าดินของนครเถียวมู่บางเบา ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การหลอมลมปราณ แน่นอนว่าไม่ตัดทิ้งความเป็นไปได้อย่างสำนักว่านเหยาหรือพื้นที่มงคลสามภูเขาที่ถูกใครบางคนหรือบางสถานที่สูบกินไปครึ่งหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่ายังได้ยึดครองปราณวิญญาณและโชคชะตาจำนวนมากกว่านั้น สุดท้ายทำให้ฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งกลายเป็นดั่งกุยซวีบนมหาสมุทร
เผยเฉียนมองกระแสคนที่เดินไปบนถนนใหญ่ ขยับสายตามองขึ้นไปสูงอีกหน่อย ไกลอีกหน่อย หอเรือนและศาลากลับกลายเป็นว่ายิ่งอยู่ไกลยิ่งชัดเจน นี่ผิดจากหลักปกติทั่วไปอย่างมากมากแล้ว ราวกับว่าขอแค่คนที่มองตั้งใจก็จะสามารถมองไปเห็นถึงขอบฟ้ามหาสมุทรได้เลย
สุดท้ายสายตาของเผยเฉียนไปหล่นลงกลางระเบียงของหอสูงแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลมาก นางมองเห็นแผ่นหลังของดรุณีน้อยที่แต่งกายเหมือนนางกำนัลในวังหลวง กำลังเขย่งปลายเท้ายืดแขนขึ้นสูง เผยข้อมือช่วงหนึ่งที่ขาวนวลราวกับรากบัวอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ นางแขวนโคมไฟที่สานด้วยโครงไม้ไผ่ดวงหนึ่งเสร็จแล้วก็พลันหันขวับกลับมา รูปโฉมของนางงามพิลาสล้ำ นางคลี่ยิ้มหวานให้กับเผยเฉียน เผยเฉียนไม่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว เพียงแค่ขยับสายตาเบี่ยงออกไปด้านข้าง จุดที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า ระหว่างหอเรือนสีสันสดใสสองหลังที่สูงทะลุเข้าไปในชั้นเมฆมีสะพานโค้งแห่งหนึ่งพาดผ่าน ประหนึ่งรุ้งยาวเจ็ดสีเส้นหนึ่งที่พาดตัวอยู่บนม่านฟ้า ตรงช่วงกลางของระเบียงมีเด็กหนุ่มดวงตาสีเงินบนหัวมีเขากวางงอกคนหนึ่งยืนอยู่ สิบนิ้วของสองมือสอดประสานเข้าด้วยกัน วางตั้งไว้บนหน้าอก ชายแขนเสื้อใหญ่ยาวระพื้น ประหนึ่งสตรีของจักรพรรดิในหอเรือนที่ถูกกล่าวถึงในตำราตระกูลเซียน กำลังมองสบตากับเผยเฉียน
เผยเฉียนย้ายสายตาออกไปอีกครั้ง จวนหรูหรางดงามแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นบนภูเขาลูกเล็ก หอเรือนสีชาดกระเบื้องสีมรกต เสาคานหยกแกะสลักงามประณีติ ในนั้นมีสตรีคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงผ้าทอแวววาวสีเหมือนน้ำไหลท่ามกลางแสงจันทร์ บนศีรษะสวมมงกุฎสีทอง กำลังเอนตัวพิงที่นั่งคนงาม (美人靠 เหม่ยเหรินค่าว แปลตรงตามตัว หมายถึงม้านั่งตัวยาว ราวพนักพิงจะโค้งยื่นออกไปลักษณะคล้ายคอห่าน) ใบหน้าทาชาดประทินโฉม เม้มปากอยู่น้อยๆ พอสังเกตเห็นสายตามองประเมินจากเผยเฉียนก็คล้ายจะตกใจ สาวงามรีบหยิบพัดกลมขึ้นมา แต่กลับรู้สึกสงสัยใคร่รู้ด้วย ดังนั้นจึงใช้พัดกลมงามประณีตที่วาดเป็นรูปร้อยบุปผาชูช่อบดบังใบหน้าไว้เพียงครึ่งเดียว สายตามองเผยเฉียน เห็นเพียงริมฝีปากสีชาดครึ่งหนึ่งและใบหน้าสีขาวหิมะครึ่งหนึ่งของสตรี ราวกับแน่ใจแล้วว่ารูปโฉมของเผยเฉียนไม่ได้โดดเด่น นางจึงเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ คิ้วตาไม่ได้แสดงความดูแคลน แต่คล้ายจะแฝงความท้าทายไว้น้อยๆ
เผยเฉียนรีบถอนสายตากลับมาทันใด นวดคลึงหน้าผาก เพียงแค่มองไปยังทิศไกลไม่กี่ทีกลับรู้สึกหูตาพร่าลายเสียแล้ว เผยเฉียนเพ่งสายตามองไปใหม่อีกครั้ง เลือกทัศนียภาพและผู้คนที่สัญจรไปมาซึ่งอยู่ใกล้ยิ่งกว่า ตรงมุมเลี้ยวสุดปลายถนนเส้นนี้มีทหารลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ทหารขี่ม้าที่เป็นผู้นำถือง้าวยาวนั่งอยู่บนหลังม้า ทั้งม้าและคนต่างสวมเสื้อเกราะ แม่ทัพบู๊สวมเกราะเหล็กลักษณะคล้ายแผ่นเกล็ดปลาที่เรียงกันแน่นขนัด บนเส้นทางมีผู้คนเบียดเสียดกันแออัด บางครั้งแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะก็จะยกง้าวยาวในมือขึ้นแหวกคนเดินเท้าที่ไม่ทันระวังพุ่งเข้ามาชนกลุ่มทหารม้าออกไปเบาๆ กะน้ำหนักแรงที่ใช้เป็นอย่างดี ไม่มีทางทำให้คนบาดเจ็บได้
เผยเฉียนเล่าสิ่งที่ตามองเห็นให้เฉินผิงอันฟังก่อนคร่าวๆ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์พ่อ ผู้คนในเมืองเหล่านี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ ‘เทพเซียนมีชีวิต’ ที่เอ่ยถึงในตำราโบราณเล่มหนึ่งของตระกูลอวี้ ไม่ค่อยเหมือนกับสาวงามกระดาษยันต์ของแคว้นหูที่เป็น ‘คนตายครึ่งตัว’ และคนกระดาษของพื้นที่มงคลกระดาษขาวสักเท่าไร”
ยันต์หุ่นเชิดเป็นวัตถุระดับล่างสุด อาศัยแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นการแต้มนัยน์ตาลงบนแก่นยันต์ของตระกูลเซียนมาเป็นตัวประคับประคอง ใช้สิ่งนี้มาเปิดสติปัญญา อันที่จริงไม่ได้มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของพวกมันอย่างแท้จริง
แต่เฉินผิงอันกลับเพิ่งเคยได้ยิน ‘เทพเซียนมีชีวิต’ เป็นครั้งแรก เขาใคร่รู้อย่างยิ่ง จึงใช้เสียงในใจถามเบาๆ “เทพเซียนมีชีวิต? หมายความว่าอย่างไร?”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง มองอาจารย์พ่อแวบหนึ่ง เพราะนางเข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์พ่อกำลังทดสอบความรู้ของตัวเองอยู่ รอกระทั่งแน่ใจแล้วว่าอาจารย์พ่อไม่รู้ถึงคำกล่าวนี้จริงๆ นางถึงได้อธิบายให้ฟังถึงบันทึกในตำราเบ็ดเตล็ดที่พบเห็นได้น้อยเล่มนั้น ประโยคที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือ จิตวิญญาณของคนมีชีวิตถูกแบ่งแยกออกมากักขังอยู่ในคุกน้ำที่เป็นภาพสะท้อนกลับหัวของตัวอักษร หรือไม่ก็ขังอยู่ในกาพย์เรือนจำภูผา (ฉิวซานฟู่ 囚山赋 คือกาพย์กลอนในสมัยโบราณที่เขียนบรรยายถึงทัศนียภาพของกลุ่มภูเขาในหย่งโจวที่โอบล้อมกันเหมือนคุกแห่งหนึ่ง) ที่มียอดเขาทับซ้อนสลับสล้าง ทว่าในตำราไม่ได้บอกวิธีแก้เอาไว้
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถ้าอย่างนั้นก็คล้ายคลึงกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู่อวี๋ สับเปลี่ยนระหว่างจริงและเท็จได้เพียงแค่ชั่วความคิดเดียว? เพียงแต่ว่าในใต้หล้านี้นอกจากชุยฉานและชุยตงซานแล้วยังมีใครที่สามารถจำแลงความคิดได้มากมายเช่นนี้อีก? แล้วทำอย่างไรถึงสามารถประคับประคองให้ผู้คนมากมายที่อยู่ในเมือง ‘พูดคุยเรื่องของตัวเอง’ ‘มีความคิดเป็นของตัวเอง’ ได้เช่นนี้? หรือจะบอกว่าผู้คนในท้องถิ่นทุกคนของนครเถียวมู่ต่างก็ถูกใช้วิธีเดียวกับของพื้นที่มงคลกระดาษขาวในเวลาเดียวกัน? น่าเสียดายที่ชุยตงซานไม่อยู่ข้างกาย ไม่อย่างนั้นหากลูกศิษย์คนนี้มาถึงในนครแห่งนี้ก็มีแต่จะเป็นดั่งปลาได้น้ำไม่ใช่หรือ?
ในอดีตตอนที่เฉินผิงอันเดินทางไกล ไม่ว่าจะเดินทางไปพร้อมกับลู่ไถที่ใบถงทวีป หรือเจอกับบัณฑิตชุดดำในหุบเขาผีร้าย ล้วนหวังให้ในอนาคตเด็กรุ่นหลังของภูเขาลั่วพั่วอย่าเป็นดั่งตนที่อ่านหนังสือมาไม่มาก จึงต้องเสียเปรียบคนมาก หวังว่าสักวันหนึ่งเมื่อลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ พวกเขาจะได้อาศัยตำราที่เก็บสะสมไว้บนภูเขาบ้านตัวเองมาทำให้มีความรู้แข็งแกร่งกว้างขวาง ในเรื่องของการค้นหาโชควาสนาก็ได้ยึดครองโอกาสความได้เปรียบมาก่อน แล้วก็สามารถลดเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่จำเป็นให้เหลือน้อยลง
ตอนนี้มาลองย้อนดู กลับกลายเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่เฉินผิงอันคิดไม่ถึงมากที่สุด เป็นเผยเฉียนที่ทำได้ถึงจุดนี้ก่อนใคร แต่แน่นอนว่านี้ก็หนีไม่พ้นความทรงจำของเผยเฉียนที่ดีเยี่ยมและเรียนวิชาหมัดได้อย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าบนเส้นทางของชีวิตคนได้มี ‘เดิมนึกว่า’ และ ‘เพิ่งจะค้นพบว่า’ มาเพิ่มอีกมากมาย
เผยเฉียนทรุดตัวลงนั่งยอง โจวหมี่ลี่ปีนออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ ออกเดินทางครั้งนี้แม่นางน้อยชุดดำได้ยึดเป้าหมายสำคัญแห่งยุทธภพที่ว่าไม่อวดเงินทอง จึงไม่ได้เอาคานหาบเล็กสีทองออกมาด้วย เพียงแค่เอาไม้เท้าเดินป่าสีเขียวออกมาเท่านั้น
เฉินผิงอันกับเผยเฉียนปกป้องหมี่ลี่น้อยไว้ตรงกลาง เดินไปบนถนนเจริญรุ่งเรืองกลางเมืองพร้อมกัน ผู้คนที่เดินเท้าพูดคุยกันหลากหลาย บ้างก็คุยเรื่องสัพเพเหระในบ้าน บ้างก็คุยเรื่องเป็นการเป็นงาน ในบรรดานั้นมีสองคนเดินตรงเข้ามาหา พวกเฉินผิงอันจึงเปิดทางให้ คนทั้งสองกำลังถกเถียงกันเรื่องประโยคที่ว่าเสื้อเกราะสะท้อนแสงตะวันส่องสีทองระยิบระยับ มีคนชักนำประโยคในตำรามา บอกว่าต้องพูดว่าแสงจันทราถึงจะถูก อีกคนหนึ่งเถียงหน้าดำหน้าแดง พอเถียงไม่ทันก็ปล่อยหมัดออกไปอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ทำเอาคนข้างกายกลิ้งลงไปบนพื้น หลังจากคนที่ล้มลงลุกขึ้นมาได้แล้วก็ไม่โกรธ หันไปเถียงเรื่องความจริงเท็จของเทียบหลังฝนกันต่อ
เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ “อาจารย์พ่อ ทุกคนล้วนพูดภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มองให้มาก ฟังให้มาก”
ทหารม้ากลุ่มนั้นควบม้ามาถึง ทั้งคนและม้าต่างสวมเสื้อเกราะประหนึ่งฝ่าฟันขวากหนามที่ขวางทาง ผู้คนบนถนนจึงพากันหลีกทางให้ คนที่เป็นผู้นำยกง้าวยาวขึ้นเล็กน้อย ปลายง้าวกลับยังคงชี้ลงไปบนพื้นดิน ดังนั้นจึงไม่ได้ดูว่าเขาดูแคลนเหยียดหยามคนอื่นหรือแสดงพลังอำนาจบีบคั้นผู้คนเกินไป แม่ทัพทหารม้าถามเสียงทุ้มหนัก “ผู้ที่มาคือใคร จงบอกชื่อแซ่มา”
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ย “เฉาโม่”
เผยเฉียนตอบ “เจิ้งเฉียน”
หมี่ลี่น้อยพูดเลียนแบบอย่างเข้าท่าเข้าที “โจวหย่าปา”
ทหารม้าพยักหน้ารับ เอ่ยเตือนว่า “ในเมืองไม่อนุญาตให้ทะเลาะต่อยตีกัน ไม่อนุญาตให้บังคับซื้อบังคับขาย ไม่อนุญาตให้บินทะยานโดยพลการ นอกจากนี้ก็ไม่มีข้อห้ามใดๆ อีก”
การถามไถ่พูดคุยที่ไม่มีความขัดแย้งใดๆ จบลง กลุ่มทหารม้าก็ชักหัวม้าหันกลับไปตรวจตราถนนใหญ่ต่ออีกครั้ง พวกเฉินผิงอันไปยังร้านหนังสือแห่งหนึ่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าหนังสือทุกเล่มที่วางขายล้วนเป็นอักขรานุกรมท้องถิ่นที่จัดพิมพ์อย่างดี ลองเปิดอ่านไปสิบกว่าเล่มก็เห็นว่าเป็นตำราเก่าของราชวงศ์เก่าแก่ในใต้หล้าไพศาล ตำราที่ถืออยู่ในมือเล่มนี้มีชื่อว่า ‘จารึกจังหวัดถานโจว’ แบ่งออกเป็นบทอาณาเขต พิธีการ ขุนนางผู้มีชื่อเสียง ผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แหล่งรวบรวมปัญญาชน คุณูปการทางการต่อสู้ ฯลฯ โดยมีการจำแนกคัดเลือกออกเป็นแต่ละยุคสมัย อธิบายได้ละเอียดยิบ อักขรานุกรมท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยยังแนบเรื่องตระกูล อนุสรณ์สถาน ชลประทาน สถานศึกษาเอกชน สุสาน ฯลฯ เอาไว้ด้วย เฉินผิงอันใช้นิ้วลูบกระดาษเบาๆ ถอนหายใจหนึ่งที คิดจะซื้อหนังสือนั้นช่างเถิด เงินต้องไหลหายไปกับสายน้ำแน่นอน เพราะกระดาษของตำราทุกเล่มล้วนเป็นวัตถุที่จำแลงมาจากมรรคกถาลี้ลับบางอย่าง ไม่ใช่ของที่จับต้องได้จริง ไม่อย่างนั้นขอแค่ราคาเป็นธรรม เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาที่จะกว้านซื้อมา แล้วเอาไปเต็มเติมหอเก็บตำราของภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันหยิบตำราแล้วก็วางลงอย่างต่อเนื่อง ในร้านหนังสือแห่งนี้เขายังไม่เจอจารึกเล่มใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์อย่างต้าหลี ต้าตวน
แค่ดูไม่ซื้อ ย่อมไม่ใช่ลูกค้าที่ร้านค้าใดๆ ในใต้หล้าจะชื่นชอบได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันได้เตรียมใจที่จะถูกขับไล่ออกจากร้านไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วก็จะได้อาศัยเรื่องนี้มาวิเคราะห์อายุของเรือข้ามฟากคร่าวๆ
เถ้าแก่ร้านขายหนังสือคือผู้เฒ่าท่าทางสุภาพอ่อนโยนคนหนึ่ง เขาเองก็กำลังอ่านหนังสือ แล้วก็ไม่ถือสานิสัยเปิดๆ พลิกๆ ที่อาจจะทำให้หนังสือเสียหายของเฉินผิงอัน ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา ในที่สุดผู้เฒ่าที่มีความอดทนดีเยี่ยมก็ยิ้มถามว่า “พวกลูกค้ามาจากที่ไหนกันหรือ?”
พอโจวหมี่ลี่ได้ยินคำถามก็นึกถึงคำเตือนของเจ้าขุนเขาคนดีก่อนหน้านั้นขึ้นมาทันที แม่นางน้อยเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวกาจ รีบใช้สองมืออุดปากทันใด
เฉินผิงอันลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย ยิ้มตอบเถ้าแก่ร้าน “มาจากนอกเมือง”
“อย่างน้อยก็บอกชื่อสถานที่ที่จากมาก็ยังดีนะ” เถ้าแก่ผู้เฒ่าส่ายหน้า พึมพำกับตัวเองหนึ่งประโยค คล้ายผิดหวังกับคำตอบนี้ของเฉินผิงอันมาก จึงไม่เอ่ยอะไรอีก
เฉินผิงอันถาม “เถ้าแก่ ในเมืองมีร้านขายหนังสืออยู่กี่ร้าน?”
เถ้าแก่เฒ่าเอ่ยอย่างระอาใจ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ลูกค้ากลับเข้าใจพูดเล่นนัก”
ปัญญาชนร่างผอมบางสวมชุดของลัทธิขงจื๊อหัวเราะพลางก้าวเท้าข้ามผ่านธรณีประตูของร้านหนังสือเข้ามา บุรุษเลี้ยงเครางาม แล้วก็ไม่มองพวกเฉินผิงอัน เพียงแค่เดินไปทางโต๊ะคิดเงิน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวานกับเถ้าแก่ผู้เฒ่า “สถานที่ที่มีกลุ่มขุนเขาตั้งตระหง่านแห่งนั้นจะต้องเป็นเมื่อพันปีหมื่นปีก่อนที่ถูกกระแสน้ำหลากกระแทกชนในหุบเขา แล้วถูกดินทรายกร่อนลอกไป จึงเหลือเพียงหินยักษ์ตั้งตระหง่าน จนกลายมาเป็นยอดเขา”
เถ้าแก่ดวงตาเป็นประกาย “เสิ่นเจี้ยวคานช่างมีความรู้ดีเยี่ยม ความคิดจินตนาการบรรเจิดล้ำ ถือเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”
เถ้าแก่ผู้เฒ่ารีบค้อมเอวไปหยิบพู่กันและหมึกออกมาจากในชั้นวาง จากนั้นหยิบเอากระดาษแคบยาวแผ่นหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก เขียนตัวอักษรลงไปบางส่วน เป่าหมึกเบาๆ สุดท้ายหมุนตัวไปดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมา สอดกระดาษไว้ด้านในหนังสือ
เถ้าแก่ผู้เฒ่าปิดหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะคิดเงิน ยื่นมันมอบให้กับลูกค้าเก่าแก่แซ่เสิ่นผู้นี้ ฝ่ายหลังเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ หัวเราะเสียงดังก้าวจากไป พอขยับเข้าใกล้ธรณีประตูก็หันขวับกลับมา ลูบหนวดถามว่า “เจ้าหนูรู้เรื่องศาสตร์การซ้อนเรียง ขัดศาสตร์การค้นคว้า ความว่างเปล่าสามารถรองรับเสียงหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่รู้”
อันที่จริงเฉินผิงอันพอจะรู้อย่างผิวเผินอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นตอนที่อยู่ในอารามหวงฮวาของนครเซิ่นจิ่งก็ไม่มีทางยืมตำราพวกนั้นมาจากหลิวเม่า เพียงแต่ว่าอยู่ในนครเถียวมู่แห่งนี้ ไม่รู้ย่อมดีกว่า
“คนหนุ่มสาวตอนนี้เป็นอย่างไรกันนะ ถามอะไรก็ไม่รู้กันสักอย่าง”
ปัญญาชนเครางามที่เถ้าแก่เรียกว่า ‘เสิ่นเจี้ยวคาน’ รู้สึกเสียดายเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง เปลี่ยนจากลูบหนวดเป็นขยุ้มหนวด แล้วก็คงจะเจ็บถึงได้ส่ายหน้าถอนหายใจ ก้าวเร็วๆ จากไป
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนและหมี่ลี่น้อยออกมาจากร้านหนังสือ
เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ “อาจารย์พ่อ อาจารย์เสิ่นผู้นั้น และยังมีตำราที่เถ้าแก่มอบให้เขาในภายหลัง ดูเหมือนว่าต่างก็เป็น…ของจริง”
เฉินผิงอันยกนิ้วชี้ตั้งวางบนริมฝีปาก แสดงให้รู้ว่าให้เงียบไว้ อย่าพูดมากในเรื่องนี้
คิดไม่ถึงว่าปัญญาชนเครางามคนนั้นจะหันตัวเดินกลับมาแล้ว ยังคงไม่ถอดใจ หยิบตำราที่เถ้าแก่มอบให้ออกมา ถามอีกว่า “เจ้าหนุ่ม ทุกวันนี้เป็นปีที่เท่าไรของปฏิทินต้าเหยี่ยนแล้ว? หากเจ้ารู้ ข้าจะมอบตำราเล่มนี้ให้เจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มพลางหยิบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เป็นของที่เขาเก็บไว้นานแล้ว ยกมือขวาขึ้น แบฝ่ามือออก ด้านหนึ่งของเงินเทพเซียนสลักเป็นอักษรคำว่า ‘มักอิจฉาบุรุษงามดุจหยกของโลกนี้’
——บทที่ 770.1 แผนร้าย
เข้ามาในนครเถียวมู่ เฉินผิงอันก็ไม่รีบร้อนพาเผยเฉียนและโจวหมี่ลี่เดินเที่ยว เขาคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ทำมาจากกระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อก่อน จากนั้นจึงใช้สองนิ้วทำมุทรากระบี่ ปาดลงไปรอบด้านของยันต์เบาๆ เฉินผิงอันเพ่งสมาธิจ้องมองความเร็วในการเผาไหม้ของยันต์แผ่นนี้อยู่ตลอดเวลา ในใจนับเวลาเงียบๆ รอกระทั่งยันต์ส่องไฟแผ่นหนึ่งเผาไหม้จนหมด เขาถึงได้เอ่ยกับเผยเฉียนว่า “ระดับความเปี่ยมล้นของปราณวิญญาณไม่ต่างจากบนมหาสมุทรนอกเรือข้ามฟาก แต่การไหลหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาคล้ายจะช้ากว่าฟ้าดินด้านนอกเล็กน้อย พวกเราพยายามอย่าอยู่ที่นี่นานเกินไปนัก ภายในหนึ่งเดือนต้องไปจากที่นี่ได้แล้ว”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ ในใจเข้าใจเป็นอย่างดี นครยักษ์ซึ่งเป็นเรือข้ามฟากใต้ฝ่าเท้าลำนี้ เกินครึ่งน่าจะคล้ายคลึงกับพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำที่ปริแตกของถ้ำสวรรค์เล็ก เพียงแต่ว่าถูกยอดฝีมือหล่อหลอมจึงคล้ายกับหลุมน้ำลู่ของชิงจงฮูหยินที่ได้กลายเป็นฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งไปแล้ว
เฉินผิงอันสลายลมปราณที่หลงเหลืออยู่ของมุทรากระบี่ก่อนหน้านี้ทิ้ง แล้วค่อยๆ โยนหินถามทาง ปราณกระบี่ไหลรินไปได้สิบจั้งกว่าก็ถูกเฉินผิงอันเก็บกลับมาทันใด ไม่ปล่อยให้ปราณกระบี่แผ่ขยายออกไปอีก
ปราณวิญญาณในฟ้าดินของนครเถียวมู่บางเบา ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การหลอมลมปราณ แน่นอนว่าไม่ตัดทิ้งความเป็นไปได้อย่างสำนักว่านเหยาหรือพื้นที่มงคลสามภูเขาที่ถูกใครบางคนหรือบางสถานที่สูบกินไปครึ่งหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่ายังได้ยึดครองปราณวิญญาณและโชคชะตาจำนวนมากกว่านั้น สุดท้ายทำให้ฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งกลายเป็นดั่งกุยซวีบนมหาสมุทร
เผยเฉียนมองกระแสคนที่เดินไปบนถนนใหญ่ ขยับสายตามองขึ้นไปสูงอีกหน่อย ไกลอีกหน่อย หอเรือนและศาลากลับกลายเป็นว่ายิ่งอยู่ไกลยิ่งชัดเจน นี่ผิดจากหลักปกติทั่วไปอย่างมากมากแล้ว ราวกับว่าขอแค่คนที่มองตั้งใจก็จะสามารถมองไปเห็นถึงขอบฟ้ามหาสมุทรได้เลย
สุดท้ายสายตาของเผยเฉียนไปหล่นลงกลางระเบียงของหอสูงแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลมาก นางมองเห็นแผ่นหลังของดรุณีน้อยที่แต่งกายเหมือนนางกำนัลในวังหลวง กำลังเขย่งปลายเท้ายืดแขนขึ้นสูง เผยข้อมือช่วงหนึ่งที่ขาวนวลราวกับรากบัวอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ นางแขวนโคมไฟที่สานด้วยโครงไม้ไผ่ดวงหนึ่งเสร็จแล้วก็พลันหันขวับกลับมา รูปโฉมของนางงามพิลาสล้ำ นางคลี่ยิ้มหวานให้กับเผยเฉียน เผยเฉียนไม่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว เพียงแค่ขยับสายตาเบี่ยงออกไปด้านข้าง จุดที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า ระหว่างหอเรือนสีสันสดใสสองหลังที่สูงทะลุเข้าไปในชั้นเมฆมีสะพานโค้งแห่งหนึ่งพาดผ่าน ประหนึ่งรุ้งยาวเจ็ดสีเส้นหนึ่งที่พาดตัวอยู่บนม่านฟ้า ตรงช่วงกลางของระเบียงมีเด็กหนุ่มดวงตาสีเงินบนหัวมีเขากวางงอกคนหนึ่งยืนอยู่ สิบนิ้วของสองมือสอดประสานเข้าด้วยกัน วางตั้งไว้บนหน้าอก ชายแขนเสื้อใหญ่ยาวระพื้น ประหนึ่งสตรีของจักรพรรดิในหอเรือนที่ถูกกล่าวถึงในตำราตระกูลเซียน กำลังมองสบตากับเผยเฉียน
เผยเฉียนย้ายสายตาออกไปอีกครั้ง จวนหรูหรางดงามแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นบนภูเขาลูกเล็ก หอเรือนสีชาดกระเบื้องสีมรกต เสาคานหยกแกะสลักงามประณีติ ในนั้นมีสตรีคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงผ้าทอแวววาวสีเหมือนน้ำไหลท่ามกลางแสงจันทร์ บนศีรษะสวมมงกุฎสีทอง กำลังเอนตัวพิงที่นั่งคนงาม (美人靠 เหม่ยเหรินค่าว แปลตรงตามตัว หมายถึงม้านั่งตัวยาว ราวพนักพิงจะโค้งยื่นออกไปลักษณะคล้ายคอห่าน) ใบหน้าทาชาดประทินโฉม เม้มปากอยู่น้อยๆ พอสังเกตเห็นสายตามองประเมินจากเผยเฉียนก็คล้ายจะตกใจ สาวงามรีบหยิบพัดกลมขึ้นมา แต่กลับรู้สึกสงสัยใคร่รู้ด้วย ดังนั้นจึงใช้พัดกลมงามประณีตที่วาดเป็นรูปร้อยบุปผาชูช่อบดบังใบหน้าไว้เพียงครึ่งเดียว สายตามองเผยเฉียน เห็นเพียงริมฝีปากสีชาดครึ่งหนึ่งและใบหน้าสีขาวหิมะครึ่งหนึ่งของสตรี ราวกับแน่ใจแล้วว่ารูปโฉมของเผยเฉียนไม่ได้โดดเด่น นางจึงเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ คิ้วตาไม่ได้แสดงความดูแคลน แต่คล้ายจะแฝงความท้าทายไว้น้อยๆ
เผยเฉียนรีบถอนสายตากลับมาทันใด นวดคลึงหน้าผาก เพียงแค่มองไปยังทิศไกลไม่กี่ทีกลับรู้สึกหูตาพร่าลายเสียแล้ว เผยเฉียนเพ่งสายตามองไปใหม่อีกครั้ง เลือกทัศนียภาพและผู้คนที่สัญจรไปมาซึ่งอยู่ใกล้ยิ่งกว่า ตรงมุมเลี้ยวสุดปลายถนนเส้นนี้มีทหารลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ทหารขี่ม้าที่เป็นผู้นำถือง้าวยาวนั่งอยู่บนหลังม้า ทั้งม้าและคนต่างสวมเสื้อเกราะ แม่ทัพบู๊สวมเกราะเหล็กลักษณะคล้ายแผ่นเกล็ดปลาที่เรียงกันแน่นขนัด บนเส้นทางมีผู้คนเบียดเสียดกันแออัด บางครั้งแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะก็จะยกง้าวยาวในมือขึ้นแหวกคนเดินเท้าที่ไม่ทันระวังพุ่งเข้ามาชนกลุ่มทหารม้าออกไปเบาๆ กะน้ำหนักแรงที่ใช้เป็นอย่างดี ไม่มีทางทำให้คนบาดเจ็บได้
เผยเฉียนเล่าสิ่งที่ตามองเห็นให้เฉินผิงอันฟังก่อนคร่าวๆ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์พ่อ ผู้คนในเมืองเหล่านี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ ‘เทพเซียนมีชีวิต’ ที่เอ่ยถึงในตำราโบราณเล่มหนึ่งของตระกูลอวี้ ไม่ค่อยเหมือนกับสาวงามกระดาษยันต์ของแคว้นหูที่เป็น ‘คนตายครึ่งตัว’ และคนกระดาษของพื้นที่มงคลกระดาษขาวสักเท่าไร”
ยันต์หุ่นเชิดเป็นวัตถุระดับล่างสุด อาศัยแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นการแต้มนัยน์ตาลงบนแก่นยันต์ของตระกูลเซียนมาเป็นตัวประคับประคอง ใช้สิ่งนี้มาเปิดสติปัญญา อันที่จริงไม่ได้มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของพวกมันอย่างแท้จริง
แต่เฉินผิงอันกลับเพิ่งเคยได้ยิน ‘เทพเซียนมีชีวิต’ เป็นครั้งแรก เขาใคร่รู้อย่างยิ่ง จึงใช้เสียงในใจถามเบาๆ “เทพเซียนมีชีวิต? หมายความว่าอย่างไร?”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง มองอาจารย์พ่อแวบหนึ่ง เพราะนางเข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์พ่อกำลังทดสอบความรู้ของตัวเองอยู่ รอกระทั่งแน่ใจแล้วว่าอาจารย์พ่อไม่รู้ถึงคำกล่าวนี้จริงๆ นางถึงได้อธิบายให้ฟังถึงบันทึกในตำราเบ็ดเตล็ดที่พบเห็นได้น้อยเล่มนั้น ประโยคที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือ จิตวิญญาณของคนมีชีวิตถูกแบ่งแยกออกมากักขังอยู่ในคุกน้ำที่เป็นภาพสะท้อนกลับหัวของตัวอักษร หรือไม่ก็ขังอยู่ในกาพย์เรือนจำภูผา (ฉิวซานฟู่ 囚山赋 คือกาพย์กลอนในสมัยโบราณที่เขียนบรรยายถึงทัศนียภาพของกลุ่มภูเขาในหย่งโจวที่โอบล้อมกันเหมือนคุกแห่งหนึ่ง) ที่มียอดเขาทับซ้อนสลับสล้าง ทว่าในตำราไม่ได้บอกวิธีแก้เอาไว้
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถ้าอย่างนั้นก็คล้ายคลึงกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู่อวี๋ สับเปลี่ยนระหว่างจริงและเท็จได้เพียงแค่ชั่วความคิดเดียว? เพียงแต่ว่าในใต้หล้านี้นอกจากชุยฉานและชุยตงซานแล้วยังมีใครที่สามารถจำแลงความคิดได้มากมายเช่นนี้อีก? แล้วทำอย่างไรถึงสามารถประคับประคองให้ผู้คนมากมายที่อยู่ในเมือง ‘พูดคุยเรื่องของตัวเอง’ ‘มีความคิดเป็นของตัวเอง’ ได้เช่นนี้? หรือจะบอกว่าผู้คนในท้องถิ่นทุกคนของนครเถียวมู่ต่างก็ถูกใช้วิธีเดียวกับของพื้นที่มงคลกระดาษขาวในเวลาเดียวกัน? น่าเสียดายที่ชุยตงซานไม่อยู่ข้างกาย ไม่อย่างนั้นหากลูกศิษย์คนนี้มาถึงในนครแห่งนี้ก็มีแต่จะเป็นดั่งปลาได้น้ำไม่ใช่หรือ?
ในอดีตตอนที่เฉินผิงอันเดินทางไกล ไม่ว่าจะเดินทางไปพร้อมกับลู่ไถที่ใบถงทวีป หรือเจอกับบัณฑิตชุดดำในหุบเขาผีร้าย ล้วนหวังให้ในอนาคตเด็กรุ่นหลังของภูเขาลั่วพั่วอย่าเป็นดั่งตนที่อ่านหนังสือมาไม่มาก จึงต้องเสียเปรียบคนมาก หวังว่าสักวันหนึ่งเมื่อลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ พวกเขาจะได้อาศัยตำราที่เก็บสะสมไว้บนภูเขาบ้านตัวเองมาทำให้มีความรู้แข็งแกร่งกว้างขวาง ในเรื่องของการค้นหาโชควาสนาก็ได้ยึดครองโอกาสความได้เปรียบมาก่อน แล้วก็สามารถลดเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่จำเป็นให้เหลือน้อยลง
ตอนนี้มาลองย้อนดู กลับกลายเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่เฉินผิงอันคิดไม่ถึงมากที่สุด เป็นเผยเฉียนที่ทำได้ถึงจุดนี้ก่อนใคร แต่แน่นอนว่านี้ก็หนีไม่พ้นความทรงจำของเผยเฉียนที่ดีเยี่ยมและเรียนวิชาหมัดได้อย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าบนเส้นทางของชีวิตคนได้มี ‘เดิมนึกว่า’ และ ‘เพิ่งจะค้นพบว่า’ มาเพิ่มอีกมากมาย
เผยเฉียนทรุดตัวลงนั่งยอง โจวหมี่ลี่ปีนออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ ออกเดินทางครั้งนี้แม่นางน้อยชุดดำได้ยึดเป้าหมายสำคัญแห่งยุทธภพที่ว่าไม่อวดเงินทอง จึงไม่ได้เอาคานหาบเล็กสีทองออกมาด้วย เพียงแค่เอาไม้เท้าเดินป่าสีเขียวออกมาเท่านั้น
เฉินผิงอันกับเผยเฉียนปกป้องหมี่ลี่น้อยไว้ตรงกลาง เดินไปบนถนนเจริญรุ่งเรืองกลางเมืองพร้อมกัน ผู้คนที่เดินเท้าพูดคุยกันหลากหลาย บ้างก็คุยเรื่องสัพเพเหระในบ้าน บ้างก็คุยเรื่องเป็นการเป็นงาน ในบรรดานั้นมีสองคนเดินตรงเข้ามาหา พวกเฉินผิงอันจึงเปิดทางให้ คนทั้งสองกำลังถกเถียงกันเรื่องประโยคที่ว่าเสื้อเกราะสะท้อนแสงตะวันส่องสีทองระยิบระยับ มีคนชักนำประโยคในตำรามา บอกว่าต้องพูดว่าแสงจันทราถึงจะถูก อีกคนหนึ่งเถียงหน้าดำหน้าแดง พอเถียงไม่ทันก็ปล่อยหมัดออกไปอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ทำเอาคนข้างกายกลิ้งลงไปบนพื้น หลังจากคนที่ล้มลงลุกขึ้นมาได้แล้วก็ไม่โกรธ หันไปเถียงเรื่องความจริงเท็จของเทียบหลังฝนกันต่อ
เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ “อาจารย์พ่อ ทุกคนล้วนพูดภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มองให้มาก ฟังให้มาก”
ทหารม้ากลุ่มนั้นควบม้ามาถึง ทั้งคนและม้าต่างสวมเสื้อเกราะประหนึ่งฝ่าฟันขวากหนามที่ขวางทาง ผู้คนบนถนนจึงพากันหลีกทางให้ คนที่เป็นผู้นำยกง้าวยาวขึ้นเล็กน้อย ปลายง้าวกลับยังคงชี้ลงไปบนพื้นดิน ดังนั้นจึงไม่ได้ดูว่าเขาดูแคลนเหยียดหยามคนอื่นหรือแสดงพลังอำนาจบีบคั้นผู้คนเกินไป แม่ทัพทหารม้าถามเสียงทุ้มหนัก “ผู้ที่มาคือใคร จงบอกชื่อแซ่มา”
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ย “เฉาโม่”
เผยเฉียนตอบ “เจิ้งเฉียน”
หมี่ลี่น้อยพูดเลียนแบบอย่างเข้าท่าเข้าที “โจวหย่าปา”
ทหารม้าพยักหน้ารับ เอ่ยเตือนว่า “ในเมืองไม่อนุญาตให้ทะเลาะต่อยตีกัน ไม่อนุญาตให้บังคับซื้อบังคับขาย ไม่อนุญาตให้บินทะยานโดยพลการ นอกจากนี้ก็ไม่มีข้อห้ามใดๆ อีก”
การถามไถ่พูดคุยที่ไม่มีความขัดแย้งใดๆ จบลง กลุ่มทหารม้าก็ชักหัวม้าหันกลับไปตรวจตราถนนใหญ่ต่ออีกครั้ง พวกเฉินผิงอันไปยังร้านหนังสือแห่งหนึ่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าหนังสือทุกเล่มที่วางขายล้วนเป็นอักขรานุกรมท้องถิ่นที่จัดพิมพ์อย่างดี ลองเปิดอ่านไปสิบกว่าเล่มก็เห็นว่าเป็นตำราเก่าของราชวงศ์เก่าแก่ในใต้หล้าไพศาล ตำราที่ถืออยู่ในมือเล่มนี้มีชื่อว่า ‘จารึกจังหวัดถานโจว’ แบ่งออกเป็นบทอาณาเขต พิธีการ ขุนนางผู้มีชื่อเสียง ผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แหล่งรวบรวมปัญญาชน คุณูปการทางการต่อสู้ ฯลฯ โดยมีการจำแนกคัดเลือกออกเป็นแต่ละยุคสมัย อธิบายได้ละเอียดยิบ อักขรานุกรมท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยยังแนบเรื่องตระกูล อนุสรณ์สถาน ชลประทาน สถานศึกษาเอกชน สุสาน ฯลฯ เอาไว้ด้วย เฉินผิงอันใช้นิ้วลูบกระดาษเบาๆ ถอนหายใจหนึ่งที คิดจะซื้อหนังสือนั้นช่างเถิด เงินต้องไหลหายไปกับสายน้ำแน่นอน เพราะกระดาษของตำราทุกเล่มล้วนเป็นวัตถุที่จำแลงมาจากมรรคกถาลี้ลับบางอย่าง ไม่ใช่ของที่จับต้องได้จริง ไม่อย่างนั้นขอแค่ราคาเป็นธรรม เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาที่จะกว้านซื้อมา แล้วเอาไปเต็มเติมหอเก็บตำราของภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันหยิบตำราแล้วก็วางลงอย่างต่อเนื่อง ในร้านหนังสือแห่งนี้เขายังไม่เจอจารึกเล่มใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์อย่างต้าหลี ต้าตวน
แค่ดูไม่ซื้อ ย่อมไม่ใช่ลูกค้าที่ร้านค้าใดๆ ในใต้หล้าจะชื่นชอบได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันได้เตรียมใจที่จะถูกขับไล่ออกจากร้านไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วก็จะได้อาศัยเรื่องนี้มาวิเคราะห์อายุของเรือข้ามฟากคร่าวๆ
เถ้าแก่ร้านขายหนังสือคือผู้เฒ่าท่าทางสุภาพอ่อนโยนคนหนึ่ง เขาเองก็กำลังอ่านหนังสือ แล้วก็ไม่ถือสานิสัยเปิดๆ พลิกๆ ที่อาจจะทำให้หนังสือเสียหายของเฉินผิงอัน ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา ในที่สุดผู้เฒ่าที่มีความอดทนดีเยี่ยมก็ยิ้มถามว่า “พวกลูกค้ามาจากที่ไหนกันหรือ?”
พอโจวหมี่ลี่ได้ยินคำถามก็นึกถึงคำเตือนของเจ้าขุนเขาคนดีก่อนหน้านั้นขึ้นมาทันที แม่นางน้อยเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวกาจ รีบใช้สองมืออุดปากทันใด
เฉินผิงอันลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย ยิ้มตอบเถ้าแก่ร้าน “มาจากนอกเมือง”
“อย่างน้อยก็บอกชื่อสถานที่ที่จากมาก็ยังดีนะ” เถ้าแก่ผู้เฒ่าส่ายหน้า พึมพำกับตัวเองหนึ่งประโยค คล้ายผิดหวังกับคำตอบนี้ของเฉินผิงอันมาก จึงไม่เอ่ยอะไรอีก
เฉินผิงอันถาม “เถ้าแก่ ในเมืองมีร้านขายหนังสืออยู่กี่ร้าน?”
เถ้าแก่เฒ่าเอ่ยอย่างระอาใจ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ลูกค้ากลับเข้าใจพูดเล่นนัก”
ปัญญาชนร่างผอมบางสวมชุดของลัทธิขงจื๊อหัวเราะพลางก้าวเท้าข้ามผ่านธรณีประตูของร้านหนังสือเข้ามา บุรุษเลี้ยงเครางาม แล้วก็ไม่มองพวกเฉินผิงอัน เพียงแค่เดินไปทางโต๊ะคิดเงิน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวานกับเถ้าแก่ผู้เฒ่า “สถานที่ที่มีกลุ่มขุนเขาตั้งตระหง่านแห่งนั้นจะต้องเป็นเมื่อพันปีหมื่นปีก่อนที่ถูกกระแสน้ำหลากกระแทกชนในหุบเขา แล้วถูกดินทรายกร่อนลอกไป จึงเหลือเพียงหินยักษ์ตั้งตระหง่าน จนกลายมาเป็นยอดเขา”
เถ้าแก่ดวงตาเป็นประกาย “เสิ่นเจี้ยวคานช่างมีความรู้ดีเยี่ยม ความคิดจินตนาการบรรเจิดล้ำ ถือเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”
เถ้าแก่ผู้เฒ่ารีบค้อมเอวไปหยิบพู่กันและหมึกออกมาจากในชั้นวาง จากนั้นหยิบเอากระดาษแคบยาวแผ่นหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก เขียนตัวอักษรลงไปบางส่วน เป่าหมึกเบาๆ สุดท้ายหมุนตัวไปดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมา สอดกระดาษไว้ด้านในหนังสือ
เถ้าแก่ผู้เฒ่าปิดหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะคิดเงิน ยื่นมันมอบให้กับลูกค้าเก่าแก่แซ่เสิ่นผู้นี้ ฝ่ายหลังเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ หัวเราะเสียงดังก้าวจากไป พอขยับเข้าใกล้ธรณีประตูก็หันขวับกลับมา ลูบหนวดถามว่า “เจ้าหนูรู้เรื่องศาสตร์การซ้อนเรียง ขัดศาสตร์การค้นคว้า ความว่างเปล่าสามารถรองรับเสียงหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่รู้”
อันที่จริงเฉินผิงอันพอจะรู้อย่างผิวเผินอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นตอนที่อยู่ในอารามหวงฮวาของนครเซิ่นจิ่งก็ไม่มีทางยืมตำราพวกนั้นมาจากหลิวเม่า เพียงแต่ว่าอยู่ในนครเถียวมู่แห่งนี้ ไม่รู้ย่อมดีกว่า
“คนหนุ่มสาวตอนนี้เป็นอย่างไรกันนะ ถามอะไรก็ไม่รู้กันสักอย่าง”
ปัญญาชนเครางามที่เถ้าแก่เรียกว่า ‘เสิ่นเจี้ยวคาน’ รู้สึกเสียดายเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง เปลี่ยนจากลูบหนวดเป็นขยุ้มหนวด แล้วก็คงจะเจ็บถึงได้ส่ายหน้าถอนหายใจ ก้าวเร็วๆ จากไป
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนและหมี่ลี่น้อยออกมาจากร้านหนังสือ
เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ “อาจารย์พ่อ อาจารย์เสิ่นผู้นั้น และยังมีตำราที่เถ้าแก่มอบให้เขาในภายหลัง ดูเหมือนว่าต่างก็เป็น…ของจริง”
เฉินผิงอันยกนิ้วชี้ตั้งวางบนริมฝีปาก แสดงให้รู้ว่าให้เงียบไว้ อย่าพูดมากในเรื่องนี้
คิดไม่ถึงว่าปัญญาชนเครางามคนนั้นจะหันตัวเดินกลับมาแล้ว ยังคงไม่ถอดใจ หยิบตำราที่เถ้าแก่มอบให้ออกมา ถามอีกว่า “เจ้าหนุ่ม ทุกวันนี้เป็นปีที่เท่าไรของปฏิทินต้าเหยี่ยนแล้ว? หากเจ้ารู้ ข้าจะมอบตำราเล่มนี้ให้เจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มพลางหยิบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เป็นของที่เขาเก็บไว้นานแล้ว ยกมือขวาขึ้น แบฝ่ามือออก ด้านหนึ่งของเงินเทพเซียนสลักเป็นอักษรคำว่า ‘มักอิจฉาบุรุษงามดุจหยกของโลกนี้’
——