กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 771.1 เรือราตรี
เส้าเป่าเจวี้ยนยิ้มเอ่ย “แม่น้ำเว่ยลมใบไม้ร่วง ตัวไหนเต็มใจก็มาติดเบ็ด”
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นที่นี่ก็คือเส้นทางลี่หยางสินะ?”
เส้าเป่าเจวี้ยนพยักหน้ารับโดยตรง “ความรู้ดีเยี่ยม แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังจำได้”
คนรุ่นหลังที่ต่อให้เป็นคนที่มีจิตใจมุ่งสู่พระธรรม ยามที่เปิดอ่านกรณีพิพาทของลัทธิพุทธอย่างตั้งใจ ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับชื่อสถานที่ที่ไม่มีความสำคัญเท่าใดนัก
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ อำเภอลี่ก็มีอาณาเขตในการปกครองอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าเมิ่งซี มิน่าเล่าเสิ่นเจี้ยวคานผู้นั้นถึงได้มาเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ ดูท่าแล้วยังเป็นแขกประจำของร้านหนังสือที่ขายเฉพาะอักขรานุกรมด้วย เกินครึ่งแล้วเสิ่นเจี้ยวคานก็คงไม่ต่างจากเส้าเป่าเจวี้ยนเท่าไร ต่างก็ไม่ใช่คนในพื้นที่ของนครเถียวมู่ เพียงแต่ได้เปรียบในการเตรียมทางหนีทีไล่ จึงกลับกลายเป็นว่าชิงความได้เปรียบไปก่อน ดังนั้นจึงค่อนข้างชอบเก็บตกของดีไปทั่วสารทิศ ก็เหมือนอย่างเส้าเป่าเจวี้ยนที่ดูเหมือนว่าเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วพริบตาก็ได้สมบัติไปแล้วหลายชิ้น อีกทั้งในนครแห่งอื่นก็ยังจะต้องมีโชควาสนาอย่างอื่นที่กำลังรอคอยให้เจ้านครเส้าที่อาศัยการ ‘ใช้หินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก’ ผู้นี้มาไล่เก็บพวกมันไปไว้ในกระเป๋าของตัวเองอย่างแน่นอน เส้าเป่าเจวี้ยนและเสิ่นเจี้ยวคานที่ได้โชควาสนาและสมบัติอาคมในนครเถียวมู่ไปในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำราเล่มนั้นของเสิ่นเจี้ยวคานหรือดาบสมบัติ ‘เสี่ยวเหมย’ รวมไปถึงถุงเอ๋อลวี่หนึ่งใบกับเชือกหนึ่งเส้น ล้วนเป็นของจริงแท้แน่นอน
ส่วนนักพรตเฒ่าร่างผอมแห้งที่จับจ้องมองมาด้วยสายตาละโมบ กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันไม่ได้สนใจมากนัก ไม่ได้เหมือนอย่างในปีนั้นที่อยู่ในหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูกซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าได้แต่เผ่นหนีไม่อาจต่อสู้ได้เสียหน่อย ความกังวลเพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้ของเฉินผิงอันก็คือ ยังคงกลัวว่ากระตุกผมเส้นเดียวแล้วจะสะเทือนไปทั้งร่าง ยกตัวอย่างเช่นชายฉกรรจ์หนวดม้วนที่อยู่ข้างแผงดูดวง โดยเฉพาะเส้าเป่าเจวี้ยนผู้นี้ที่ไม่รู้ว่าซุกซ่อนวิธีรับมือภายหลังกี่มากน้อยไว้รอคอยตน
ก็เหมือนผู้ฝึกกระบี่แผ่นดินกลางคนหนึ่งมาเที่ยวเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เผชิญหน้ากับตนที่ทำหน้าที่เป็นอิ่นกวาน ผลแพ้ชนะย่อมต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าขอบเขตสูงหรือต่ำ แต่อยู่ที่ฟ้าอำนวยดินอวยพร
ภิกษุที่เดิมทีคิดว่าจะซื้อขนมอบมากินก็เห็นได้ชัดว่ามองเห็นเฉินผิงอันแล้ว ภิกษุจึงไม่พูดคุยกับหญิงชราอีก เขาหยิบหาบ ‘อรรถาธิบายมังกรเขียว’ ที่ทุกตัวอักษรล้วนเขียนด้วยลายมือตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ถามว่า “มองดูแล้วเจ้าเองก็เป็นคนของบ้านเกิดที่มาจากทางทิศเหนือ จะลงใต้ไปดูพวกคนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าด้วยกันหรือ?”
เส้าเป้าเจวี้ยนไม่แสดงสีหน้ากระโตกกระตาก แต่ในใจกลับตกตะลึงเล็กน้อย ภิกษุเพิ่งจะพบเจอคนผู้นี้เป็นครั้งแรก แต่กลับให้คำวิจารณ์ว่า ‘คนบ้านเกิดของทางเหนือ’ ต้องรู้ว่าเส้าเป่าเจวี้ยนอ่านตำราหลากหลายยิ่ง ในชีวิตนี้จึงคุ้นเคยกับพจนะจากหนังสือโบราณหลากหลายประเภทมากที่สุด ก่อนหน้านี้เขาอาศัยสถานะของเจ้านครแห่งหนึ่งทำให้ไปเยือนนครต่างๆ ได้อย่างสบายๆ จึงคิดคำนวณเวลาอย่างแม่นยำ มารอคอย ติดตาม และถามปริศนาธรรมกับภิกษุอยู่ในนครเถียวมู่แห่งนี้อยู่หลายครั้ง ต่อให้จะยกปริศนาธรรมหลายสิบอย่างที่มีบันทึกไว้ในตำรายุคหลังอย่างชัดเจนมาพูดถึง ก็ยังไม่เคยได้รับผลเก็บเกี่ยวใดๆ จากภิกษุรูปนี้ ดังนั้นเส้าเป่าเจวี้ยนจึงใช้ความคิดอย่างว่องไว ทันใดนั้นก็มีแผนการบางอย่างผุดขึ้นมา
เฉินผิงอันพนมสิบนิ้ว หลังจากที่คารวะภิกษุที่ถูกคนรุ่นหลังขนานนามว่า ‘โจวจินกัง’ ผู้นี้แล้วกลับส่ายหน้า ลังเลอยู่ชั่วขณะ ชำเลืองตามองไม้เท้าเดินป่าในมือของเผยเฉียนกับหมี่ลี่น้อยก็ยิ้มเอ่ยกับภิกษุว่า “ไม่สู้ติดค้างหกสิบกระบองไว้ก่อน”
ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาล ภิกษุจะต้องพักเท้าอยู่ที่บ่อมังกร แล้วก็จะเผาคัมภีร์หนึ่งหาบที่เขียนด้วยลายมือตัวเอง แล้วยังจะต้องเอ่ยประโยคว่า ‘ไม่สงสัยลิ้นของภิกษุเฒ่าในใต้หล้า’ และยิ่งมีการสร้างกระท่อมอยู่บนยอดเขา ตำหนิพระพุทธเจ้าด่าบรรพบุรุษ ทั้งยังมีคดีนิกายฌานที่ไม่ว่าจะพูดได้หรือพูดไม่ได้ก็ล้วนต้องเจอสามสิบกระบองซึ่งน่าตะลึงพรึงเพริดยิ่งกว่า
ทางฝั่งของร้านหนังสือ เถ้าแก่ผู้เฒ่าเอนพิงประตูบานใหญ่ ชมเรื่องสนุกอยู่ไกลๆ
คนต่างถิ่นทั้งหลายที่ขึ้นเรือมาแล้วได้มาเยือนนครเถียวมู่ก่อน มีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนจะไปพักอาศัยที่นครทุยเชียวหรือไม่ก็นครเปิ่นโม่ อีกทั้งแต่ละปี คนในพื้นที่มักจะเห็นพวกแมลงวันไร้หัวที่พุ่งชนสะเปะสะปะอยู่มากมาย คนอย่างมือกระบี่ชุดเขียวในวันนี้ที่คำพูดคำจาและการกระทำระมัดระวังรอบคอบ ราวกับคนที่เตรียมตัวมาจึงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม กลับพบเจอได้น้อยจริงๆ ส่วนเส้าเป่าเจวี้ยนผู้นั้นที่โชควาสนาลึกล้ำก็ยิ่งเป็นข้อยกเว้นสุดๆ เถ้าแก่ร้านหนังสือถอนสายตากลับมาเล็กน้อย ชำเลืองตามองไปยังร้านขายอาวุธ ตู้ซิ่วไฉผู้นั้นก็ยืนอยู่หน้าประตูเช่นเดียวกัน มือหนึ่งถือน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่ได้มาจากนครเปิ่นโม่พลางแทะขิงขาวถงหลิงกินไปด้วย ผ่อนคลายสบายอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด ดูท่าอาจารย์อู่ซงท่านนี้จะได้เนื้อหา ‘เทียบกลิ่นบุปผาอบอวล’ จากเส้าเป่าเจวี้ยนเจ้านครหรงเม่ามาจนครบสมบูรณ์แล้ว ถ้าอย่างนั้นอีกไม่นานตู้ซิ่วไฉก็จะสามารถอาศัยเทียบอักษรนี้ไปเยือนนครโหย่วย้งที่มีอีกชื่อว่านครป๋ายเหยี่ยนเพื่อแลกเปลี่ยนเอาโชควาสนาที่คิดถึงคำนึงหาอยู่ตลอดมาได้แล้ว บนเรือข้ามฟาก ระหว่างนครแต่ละแห่ง หนึ่งประโยค หนึ่งเรื่องราว หนึ่งวัตถุ ประวัติความเป็นมาล้วนวกวนซับซ้อนเช่นนี้ ได้มาไม่ง่าย รับมาก็ยากยิ่งกว่า
เถ้าแก่ร้านหนังสือรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สายตาของตู้ซิ่วไฉผู้นี้นี่ยังไงกันนะ ดูเหมือนว่าจะกวาดสายตาไปหยุดอยู่บนกระบี่ยาวที่คนชุดเขียวสะพายไว้หลายครั้ง หรือว่าเป็นคนรู้จักเก่าแก่กัน? ไม่มีทางแน่ อายุของคนหนุ่มผู้นี้ไม่สอดคล้อง
แปลกยิ่งนัก ก่อนที่ตู้ซิ่วไฉจะขึ้นเรือมา เขาเคยเป็นอาจารย์หล่อหลอมกลางภูเขาที่มีฝีมือเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าไพศาล เป่าสายฟ้าแดงสะบัดควันม่วง มีบารมีน่าเกรงขามอย่างมาก ว่ากันว่าภูเขาถงหลิงที่อยู่ใกล้กับบ้านเกิดของเขาล้วนถูกเขาหล่อหลอมไปแล้วเกินครึ่ง ต่อให้เป็นกระบี่ยาวที่เป็นอาวุธระดับกึ่งเซียนทั้งหลายก็ยังมีน้อยนักที่จะเข้าตาตู้ซิ่วไฉได้ แล้วก็เพราะว่าการหล่อหลอมเปิดภูเขาของตู้ซิ่วไฉ ได้ก่อให้เกิดเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่ง ถึงกับถูกบันทึกลงในเอกสารของนครเถียวมู่ จากบันทึกข้อหนึ่งในบทฮวางถัง ใกล้กับบ้านเกิดของตู้ซิ่วไฉเคยมีจวนเทพวารีซวีอี๋อยู่แห่งหนึ่ง ทหารกุ้งหอยปูปลาในลำคลองใหญ่ถูกขนานนามว่า ‘เข้มแข็งทรงพลังที่สุดในใต้หล้าไพศาล’ ผลคืออาจารย์อู่ซงท่านนี้ต้มน้ำไปเกือบครึ่ง เป็นเหตุให้จวนเทพวารีเจอกับความยากลำบากอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ จำต้องไปร้องทุกข์ที่ศาลบุ๋น หรือว่ากระบี่ยาวเล่มที่คนต่างถิ่นพกมาจะเป็นของตกทอดของเซียนเหรินที่ตู้ซิ่วไฉเคยรู้จักมาก่อนในอดีต?
ภิกษุที่อยู่บนถนนรู้สึกสนเท่ห์เล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังพนมมือคารวะกลับ ก่อนจะแบกหาบก้าวเดินออกไปก็พลันถามเฉินผิงอันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “เพราะพลิกปีนออกมาจากทฤษฎีความรู้ของเหตุผลและสาระ คนออกบวชจึงกลับกลายเป็นว่ามีกลิ่นอายของบัณฑิต?”
เฉินผิงอันได้แต่เงียบงันไป ภิกษุส่ายหน้า แบกหาบออกจากเมืองไป เพียงแต่ว่าตอนที่เดินสวนไหล่กับเฉินผิงอันกลับหยุดเท้ากะทันหัน หันหน้ามามองเฉินผิงอัน ถามอีกว่า “เหตุใดดวงตาของทุกท่านมองเห็นกระจ่างชัดเจน แต่กลับไม่อาจมองตรงไปที่ใบหน้า?”
เฉินผิงอันตอบ “ได้แต่รอโคมแห่งวัดส่องสว่าง มังกรและคชสารสิบทิศพันปี เปิดดวงตาเที่ยงตรง เผาไหม้ความมืดมน”
ภิกษุขมวดคิ้วน้อยๆ
เฉินผิงอันย้อนถาม “ใครเป็นคนจุดโคม? จะจุดโคมได้อย่างไร?”
ภิกษุหัวเราะเสียงดังลั่น “ตอบได้ดี เป็นคนแบบข้า เป็นคนแบบข้า ไม่ใช่คนใต้ฝ่าเท้าทางทิศใต้จริงๆ”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด พระธรรมของนิกายฌานในใต้หล้าไพศาล มีแบ่งเหนือและใต้ แต่ในสายตาของเฉินผิงอัน อันที่จริงทั้งสองฝ่ายไม่มีใครสูงต่ำกว่ากัน ถูกมองเป็นหนทางสู่ธรรมที่ผู้คนต้องค่อยๆ ตระหนักรู้แบบเดียวกัน
ภิกษุกลับแบกหาบจากไปไกลแล้ว ราวกับว่าเพียงแค่ชั่วพริบตา เรือนกายก็ได้หายไปจากหน้าประตูเมืองแล้ว
เส้าเป่าเจวี้ยนใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “โชควาสนายากจะพานพบ ง่ายจะพลัดพราก เจ้าควรฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อน”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยตอบโต้เขา
เส้าเป่าเจวี้ยนยิ้มบางๆ “ข้าไม่ได้มีใจวางแผนคิดร้ายต่อเจ้า เป็นอิ่นกวานที่คิดมากไปเอง”
เฉินผิงอันหรี่ตาถาม “ทำไม เจ้านครเส้าช่างกล้าหาญเสียเหลือเกิน คิดจะสะสมกระบองเต๋อซาน น้ำดื่มหลินจี้ ขนมอบอวิ๋นเหมิน ชาจ้าวโจวให้ครบถ้วนอย่างนั้นหรือ?”
เส้าเป่าเจวี้ยนเอ่ยอย่างจนใจ “ก่อนหน้านี้มีความละโมบอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับถูกอิ่นกวานขัดขวางแย่งชิงหกสิบกระบองไป ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่สามสิบกระบองนั้น แน่นอนว่าไม่มีทางทำสำเร็จแล้ว”
เส้าเป่าเจวี้ยนพลันหัวเราะ ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าพวกเราหายกันแล้วนะ? หลังจากนี้เจ้าและข้าสองคนเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง? ต่างคนต่างหาโชควาสนาของตัวเองไป?”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงแค่ยิ้มเอ่ย “เจ้านครเส้าเป็นเจ้านครของนครแห่งใด? ในเมื่อน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ถึงอย่างไรก็ควรต้องให้ข้ารู้สักหน่อยกระมังว่าน้ำบ่อและน้ำคลองอยู่ที่ใดบ้าง”
เส้าเป่าเจวี้ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สถานที่แห่งนี้ในเวลานี้ ไม่มีความรู้ที่ได้รับมาเปล่าๆ โดยไม่ต้องจ่ายเงิน เหตุใดอิ่นกวานรู้ดีแล้วยังต้องถามอีกเล่า”
อันที่จริงเฉินผิงอันก็พอจะมองเบาะแสออกคร่าวๆ แล้ว อยู่บนเรือข้ามฟาก อย่างน้อยในนครเถียวมู่และในนครเปิ่นโม่ ความรู้ความเข้าใจของคนคนหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นความจริงในเรื่องการก่อเกิดของยอดเขาหลายแห่งที่เสิ่นเจี้ยวคานรู้มา เส้าเป่าเจวี้ยนเสริมเนื้อหาตัวอักษรลงในที่ว่างของเทียบไร้อักษร หากถูก ‘คนบางคน’ บนเรือข้ามฟากตรวจสอบว่าเป็นของจริงไม่มีผิดพลาด ก็จะได้รับโชควาสนาที่บ้างเล็กบ้างใหญ่ไป แต่ว่า สิ่งที่ต้องจ่ายไปคืออะไร มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะต้องทิ้งจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งไว้บนเรือข้ามฟากลำนี้ กลายมาเป็น ‘เทพเซียนมีชีวิต’ อย่างที่เผยเฉียนอ่านเจอจากตำราโบราณ ตกอยู่ในคุกของตัวอักษรบางอย่าง หากเฉินผิงอันเดาเส้นสายนี้ไม่ผิด ถ้าอย่างนั้นขอแค่ระมัดระวังมากพอ เอาอย่างเจ้านครเส้าเป่าเจวี้ยนเดินแวะเวียนไปตามบ้านเรือนตามตรอกซอกซอยต่างๆ ทำเพียงเรื่องที่ถูกต้อง พูดแค่คำพูดที่ถูกต้อง ถ้าอย่างนั้นตามหลักแล้วยิ่งขึ้นมาบนเรือลำนี้ช้าเท่าไร ก็ยิ่งง่ายที่จะได้รับผลประโยชน์มากเท่านั้น แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่าเรือลำนี้มีชื่อเสียงไม่โดดเด่นนักในใต้หล้าไพศาล ถูกปิดบังอำพรางไว้มากเกินไป ง่ายที่จะหลงกล ไม่ทันระวังก็อาจแพ้ทั้งกระดาน
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเพียงมองเห็น ‘นครเถียวมู่’ ก็สามารถเอ่ยเตือนเผยเฉียนและหมี่ลี่น้อยว่าห้ามตอบคำถามใดๆ นั่นก็เพราะปีนั้นตอนที่ออกเดินทางท่องเที่ยวใบถงทวีปพร้อมกับลู่ไถ ลู่ไถได้พูดถึงเรือข้ามฟากลำหนึ่งโดยบังเอิญ แล้วยังเอ่ยหยอกล้อด้วยการถามเฉินผิงอันว่า ใต้หล้านี้เรื่องที่รับมือได้ยากที่สุดคือเรื่องอะไร ภายหลังรอกระทั่งเฉินผิงอันได้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง ยามที่อยู่ว่างก็ได้ตรวจสอบคดีลับในคฤหาสน์หลบร้อน แล้วก็เจอบันทึกที่เกี่ยวกับเรือใต้ฝ่าเท้าลำนี้เข้าพอดี ได้มาจากตอนที่แวะเวียนไปเยี่ยมเยือนบ้านต่างๆ ช่วงที่อ่านตำรา ตรงพื้นที่ว่างของช่วงท้ายหน้าหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘เรือเจินจู’ ได้เจอกับบันทึกที่เกี่ยวกับเรือราตรี เพราะว่าบ้านเกิดมีภูเขาเจินจูซึ่งเป็นภูเขาบ้านตัวเองอยู่ บวกกับที่เฉินผิงอันรู้สึกสนใจในเนื้อหาอันมากมายซับซ้อนที่เขียนไว้ในเรือเจินจูอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้แค่อ่านคร่าวๆ เหมือนกับที่อ่านตำรามากมาย แต่พลิกเปิดอ่านตั้งแต่ต้นจนจบทุกหน้าอย่างละเอียด ดังนั้นถึงได้เจอกับประโยคที่ว่า ‘เบื้องหน้ามีเรือเจินจู เบื้องหลังมีเรือราตรี มหาสมุทรความรู้กว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด เรือน้อยลำหนึ่ง ปะชุนซ่อมแซม บรรทุกผู้คนออกเดินทางยามค่ำคืนท่ามกลางฟ้าดินหมื่นปี’
——