กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 772.3 จากลาที่ยุทธภพ
ชายฉกรรจ์แสยะยิ้ม “หากข้ามีเหล้าดื่ม รับรองว่าจะไม่อาเจียนออกมาสักหยด”
ตู้ซิ่วไฉยิ้มพลางโยนเหล้ากาหนึ่งออกมา ชายฉกรรจ์เคราดกรับเหล้าเอาไว้ ดมกลิ่นหอมของสุรา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม แต่จากนั้นก็ให้รู้สึกเสียใจ พึมพำว่า “เมื่อก่อนพกกระบี่สะพายธนู ขี่ลาออกท่องยุทธภพ ชอบแต่จะดื่มอย่างเต็มคราบ ทุกวันนี้กลับตัดใจดื่มไม่ลงแม้แต่อึกเดียวแล้ว”
ทางฝั่งของร้านหมิงเจีย เถ้าแก่หนุ่มกำลังพลิกเปิดหน้าหนังสือ อ่านหนังสือคล้ายมองดูขุนเขาสายน้ำ จึงมองเห็นร่องรอยการเดินทางของเฉินผิงอันในนครเถียวมู่ทั้งหมด เขาพยักหน้ายิ้มบางๆ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “แต่ไหนแต่ไรมาภูเขาตำราไม่เคยว่าง ไม่เคยมีเส้นทางใดที่เดินเสียเปล่า ยามที่คนเดินเท้าลงจากภูเขา มือทั้งสองก็ไม่เคยว่างเปล่า ยิ่งเดินวนอ้อมเส้นทางมากเท่าไร ก็ยิ่งได้รับผลประโยชน์ต่อชีวิตมากเท่านั้น เสิ่นเจี้ยวคานเอ๋ยเสิ่นเจี้ยวคาน เอาอะไรมาพูดว่าถามอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง? ท่ามกลางเรือราตรี อะไรที่รู้ก็บอกรู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ นั่นแหละคือผู้รู้”
จากนั้นเขาก็เริ่มสงสัยเล็กน้อย แต่แล้วก็ส่ายหน้า ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เจ้านครเส้าผู้นี้มีความแค้นกับเจ้าหรือ? มั่นใจว่าเจ้าจะต้องหมายตาธนูคันนั้น? ดังนั้นถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะให้เจ้ารื้อถอนเสาคานสามลัทธิต้นหนึ่งออกด้วยตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้บนเส้นทางการฝึกตนในอนาคตก็อาจจะเดือดร้อนไปถึงโชควาสนาส่วนของลัทธิเต๋านะ”
เพราะว่าก่อนที่เฉินผิงอันจะมาซื้อหนังสือที่ร้านหมิงเจียแห่งนี้ เส้าเป่าเจวี้ยนก็เคยมาที่นี่มาก่อน จ่ายเงินซื้อหนังสือทั้งหมดที่เกี่ยวกับพจนะที่มีชื่อเสียงนั้นไปรวดเดียว กว้านซื้อไปทั้งหมด จำนวนมากหลายร้อยเล่ม ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันมาซื้อหนังสือที่นี่ อันที่จริงก็เป็นการเลือกที่ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่าถูกเส้าเป่าเจวี้ยนที่แสร้งทำเป็นว่าออกไปจากนครเถียวมู่ชิงลงมือตัดหน้าไปก่อน
เถ้าแก่หนุ่มครุ่นคิด สุดท้ายก็ยังเดินออกมาจากร้านอย่างที่หาได้ยาก แหงนหน้ามองฟ้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายลู่ นี่จะไม่ถูกข้าทำให้เดือดร้อน เป็นการวาดงูเติมขาหรอกหรือ ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลห่างจากลัทธิเต๋าขึ้นทุกทีแล้ว ทำให้อยู่ดีไม่ว่าดีเจ้าก็อาจโดนอีก ‘หนึ่งกระบี่’ กระมัง?”
คนหนุ่มต่างถิ่นที่เพิ่งขึ้นเรือมาคนนั้นเป็นทั้งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ต้องศึกษาหาความรู้อย่างจริงจัง แล้วก็เป็นทั้งเซียนกระบี่ที่ต้องออกเดินทางไปทั่วสารทิศ ถ้าอย่างนั้นวันนี้จะมอบตำราหมวดปู้ซูของลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งออกมา หรือมอบตำราของร้านเต้าจ้างเล่มหนึ่งมาให้ ระหว่างทั้งสองอย่างนี้ยังมีความต่างอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นหากไม่มีเส้าเป่าเจวี้ยนคอยขัดขวาง มอบตำราของหมิงเจียมาให้เล่มหนึ่ง ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก เพียงแต่ว่าเถ้าแก่หนุ่มที่ก่อนหน้านี้เพียงแค่ขออักษรสองคำว่า ‘หาวเหลียง’ ไม่ใช่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อะไรนั่น เวลานี้ยืนอยู่นอกประตูร้าน ปากเอ่ยถ้อยคำขออภัย ทว่าสีหน้ากลับมีความขบขันเล็กน้อย
พวกเฉินผิงอันเดินกลับไปที่แผงลอยของชายเคราดก ทรุดตัวลงนั่งยอง เก็บตำราเล่มหนึ่งเอาไว้ หยิบเอาตำราที่เหลืออีกสี่เล่มออกมา สามเล่มวางทับซ้อนกันบนแผงที่ปูด้วยผ้าฝ้าย ในมือถือเล่มหนึ่ง ตำราสี่เล่มล้วนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ส่วนดีและส่วนเสียของธนู’ จากนั้นเฉินผิงอันก็มอบ ‘คัมภีร์โส่วป๋าย’ ของลัทธิเต๋าที่มีตัวอักษรบันทึกเรื่องราวน้อยที่สุดเล่มสุดท้ายให้กับเจ้าของแผง เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันต้องการเลือกตำราลัทธิเต๋าเล่มนี้เป็นตัวแลกเปลี่ยน
ส่วนเถ้าแก่ของร้านหนังสือหมิงเจียผู้นั้น อันที่จริงก็ไม่ถือว่าวางแผนร้ายเล่นงานเฉินผิงอันอะไร แต่เหมือนเป็นการผลักเรือไปตามน้ำมากกว่า จะหยุดจอดเรือที่ท่าเรือแห่งใด ยังคงต้องดูที่การเลือกของตัวคนพายเรือเอง แล้วนับประสาอะไรกับที่หากไม่มีคำเตือนของเถ้าแก่คนนั้น คาดว่าอย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็คงต้องวิ่งไปรอบนครเถียวมู่ครึ่งหนึ่งถึงจะได้คำตอบ อีกทั้งเฉินผิงอันก็ไม่ได้เอาหนังสือที่เก็บสะสมในหมวดของหนังสือปู้ซูลัทธิขงจื๊อเล่มนั้นออกมาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
เมื่อครู่นี้พอเห็นเฉินผิงอันหยิบหนังสือออกมาสี่เล่ม แรกเริ่มชายฉกรรจ์ยังรู้สึกดีใจอยู่บ้าง แต่พอเฉินผิงอันยื่นตำราของหมวดเต้าจ้างเล่มนั้นมาให้ ชายฉกรรจ์ชำเลืองตามองชื่อหนังสือก็อึ้งค้างไปทันที เกิดลังเลขึ้นมา เขาไม่รีบร้อนยื่นมือไปรับหนังสือ พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย “หรือว่าคุณชายไม่เคยไปเยือนร้านหนังสือหมิงเจียมาก่อน?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไปมาแล้ว เพียงแต่ว่าซื้อหนังสือมาไม่ได้ อันที่จริงก็ไม่เป็นไร อีกทั้งข้ายังต้องขอบคุณใครบางคนด้วย ไม่อย่างนั้นหากข้าต้องขายหนังสือเล่มหนึ่งที่ร้านหมิงเจียกลับจะทำให้คนลำบากใจ ไม่แน่ว่าในใจอาจจะยังรู้สึกผิดต่อผู้อาวุโสเถ้าแก่ร้านที่เลื่อมใสมานานผู้นั้นด้วย”
ร้านขายอาวุธที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ตู้ซิ่วไฉที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินดื่มสุราอย่างเคลิบเคลิ้ม รอยยิ้มเหยเก สรุปแล้วเป็นลูกศิษย์สายบุ๋นสายไหนของศาลบุ๋นกันแน่ อายุน้อยๆ ก็เข้าใจพูดขนาดนี้แล้วหรือ?
อย่างน้อยที่สุดตาเฒ่าฝูเซิ่งที่ตั้งใจไปเยือนนครจีเฉวี่ยนสองครั้ง แล้วก็เคยมาท่องเที่ยวนครเถียวมู่หนึ่งครั้งก็ไม่มีทางสอนลูกศิษย์แบบนี้ออกมาได้แน่นอน
ชายฉกรรจ์ถึงได้พยักหน้า วางใจรับหนังสือเล่มนั้นมา ต่อให้เขาจะไม่ได้อยู่ในยุทธภพมานานแล้ว แต่คุณธรรมในยุทธภพก็ยังต้องมี ชายฉกรรจ์มองไปยังหนังสืออีกสามเล่มที่อยู่บนพื้นอีกครั้ง ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็จะพูดเรื่องเล็กๆ สามเรื่องที่ไม่ทำลายกฎกับคุณชาย อันดับแรกมีจิงหมานปกป้องกองไฟ ภายหลังจึงมีธนูสมบัติรัฐฉู่ที่ข้าได้รับมา ดังนั้นอยู่ในนครเถียวมู่แห่งนี้ข้าจึงใช้นามแฝงว่าจิงฉู่ อันที่จริงเจ้าสามารถเรียกข้าว่าจางซานได้ ธนูคันเล็กที่อยู่บนพื้นคันนี้ระดับขั้นไม่ต่ำ จึงต้องขอเอ่ยแสดงความยินดีกับคุณชายแล้ว”
ชายฉกรรจ์กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนฟังมาถึงนี่ สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นสดชื่นแจ่มใส เมื่อก่อนตอนที่อ่านนิยายในยุทธภพร่วมกับพี่หญิงเป่าผิงและยังมีหลี่ไหว ระหว่างนั้นก็เคยอ่านเจอเรื่องของจอมยุทธใหญ่เคราหยิกที่ใช้นามแฝงว่า ‘จางซาน’ นี้ อีกทั้งผู้อาวุโสแห่งยุทธภพท่านนี้ยังมีลาที่สามารถขี่ได้ด้วย! เพียงแต่ว่าตำราพวกนั้นล้วนเป็นเกร็ดพงศาวดารและนิยายในยุทธภพ ตอนนั้นเผยเฉียนสามคนต่างก็คิดว่าจอมยุทธเคราหยิกผู้นี้คือบุคคลที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมา
แน่นอนบุรุษย่อมไม่รู้ว่าแม่นางน้อยกำลังคิดเรื่องอะไร เพียงแค่พึมพำกับตัวเองว่า “คงต้งฮูหยินที่มีชาติกำเนิดจากหญิงเตี้ยนเจี่ยว (เตี้ยนเจี่ยวคือคำเรียกขานคนที่ทำหน้าที่ดึงเชือกลากเรือ) ของนครเปิ่นโม่ผู้นั้น ข้ามีความแค้นกับรองเจ้านครท่านหนึ่งที่นางรับใช้อยู่ ก่อนหน้านี้เฟิงจวินบอกว่าคงต้งฮูหยินคือคนจากนครเตี่ยนจิง แน่นอนว่าเขาจงใจพูดจาเหลวไหลหลอกเจ้า เกินครึ่งน่าจะเป็นเพราะเฟิงจวินมีข้อตกลงบางอย่างร่วมกับเจ้านครเส้าอย่างลับๆ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ก่อนหน้านี้ได้รำลึกความหลังกับเทพเซียนผู้เฒ่าเฟิงที่ภูเขาเหนี่ยวจวี่ ผู้น้อยจึงรู้เรื่องนี้แล้ว น่าจะเป็นเพราะเจ้านครเส้ากลัวว่าข้าจะรีบรุดเดินทางไปยังนครเปิ่นโม่ ไปทำลายเรื่องดีๆ ของเขาพัง ทำให้เขาไม่อาจได้รับโชควาสนาจากทางคงต้งฮูหยิน”
อันที่จริงหากเฉินผิงอันไปพบเจอกับเส้าเป่าเจวี้ยนผู้นั้น ก็คงไม่ใช่โชควาสนาอะไรแล้ว ส่วนเรื่องที่เส้าเป่าเจวี้ยนเป็นเจ้านครแห่งหนึ่ง แต่อยู่ในนครเถียวมู่กลับคล้ายจะไม่เกรงกลัวอะไรเพราะมีคนหนุนหลัง ทว่าเหตุใดถึงได้กังวลว่าตนจะลงมือที่นครเปิ่นโม่เช่นนี้ ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ แล้วก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยจริงๆ นครเปิ่นโม่ มาจากประโยคเปิ่นโม่เต้าจื้อ? (การไม่จัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง) หรือเส่อเปิ่นชวี่โม่? (สละรากเลือกกิ่ง เปรียบเปรยว่าไม่จัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง) แล้วนับประสาอะไรกับที่หากพูดถึงแค่ยามอยู่ว่างของกวีผู้ลือนาม หากมีใจอยากศึกษาเรื่องธรรมชาติผ่อนคลายและเรื่องความลี้ลับทั้งหลาย ก็มีตำราที่วิเคราะห์และให้คำอธิบายเกี่ยวกับสองคำว่าเปิ่นโม่นี้นับไม่ถ้วน สารพัดหลากหลาย สำหรับเรื่องพวกนี้เฉินผิงอันจึงเป็นคนนอกที่ไม่เข้าใจอะไรเลย เมื่อเทียบกับนครเถียวมู่ (รายละเอียดข้อบังคับ) ที่แค่ฟังก็รู้ความหมายคร่าวๆ จากนั้นแค่ลองมองดูร้านหนังสือทั้งหลายก็พอจะวิเคราะห์ความจริงออกมาได้แล้ว รากฐานในการหยัดยืนของนครเปิ่นโม่ย่อมต้องมีความประหลาดมหัศจรรย์มากกว่า ดังนั้นควรจะอธิบายอย่างไร? สวรรค์เท่านั้นที่รู้
ชายฉกรรจ์พูดต่อว่า “นครสิบสองแห่งล้วนมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นนครเปิ่นโม่ก็มีชื่อเรียกอีกว่านครฮวางถัง คนและเรื่องราวในนครเมื่อเทียบกับนครชุยก่งที่กษัตริย์ราชาแต่ละยุคแต่ละสมัยมีมากมายก่ายกอง ก็มีแต่จะยิ่งเหลวไหล (ฮวางถัง) มากกว่า”
พูดสามเรื่องจบแล้ว อันที่จริงชายฉกรรจ์ก็ไม่ต้องถามเรื่องหนึ่งกับเฉินผิงอันเพื่อนำมาตัดสินถึงผลดีผลเสียของธนูคันนั้นอีกแล้ว เพราะการที่เฉินผิงอันส่งมอบตำรามาให้ เดิมทีก็เป็นการเลือกอย่างหนึ่ง เป็นคำตอบอย่างหนึ่งอยู่แล้ว
อยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ของคนเคราหยิกผู้นี้ เฉินผิงอันหยิบตำราออกมาอีกเล่ม เพียงแต่ว่าไม่ได้วางไว้บนสุดของกองหนังสือสามเล่มที่วางซ้อนกันอยู่บนผ้าฝ้าย แต่วางไว้เดี่ยวๆ อยู่ด้านข้าง
จางซานก้มหน้าลงมองหนังสือเล่มนั้น แล้วก็เงยหน้ามองแม่นางน้อยชุดดำที่ยืนอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ ครั้นจึงยิ้มออกได้ทันที “ถ้าอย่างนั้นก็พูดเพิ่มอีกเรื่องหนึ่งแล้วกัน หากคุณชายจะไปที่นครเปิ่นโม่จริงๆ ก็ทั้งต้องระมัดระวังแล้วก็ทั้งสามารถวางใจได้นะ”
เฉินผิงอันห้ามไม่ทัน จึงได้แต่ล้มเลิกความคิด อันที่จริงเดิมทีเขาอยากจะถามว่าเส้าเป่าเจวี้ยนผู้นั้นคือเจ้านครของนครอะไร ไม่อย่างนั้นถามว่าจะไปเยือนนครเปิ่นโม่อย่างไรได้ก็ยังดี แบบนั้นก็จะสามารถมองข้ามคำสั่งไล่แขกของหลี่สือหลางแห่งเถียวมู่โม่ได้แล้ว นครเถียวมู่มีใจอยากจะขับไล่คน แต่กลับไม่บอกว่าจะให้ออกจากนครไปอย่างไร นี่ก็ไม่มีคุณธรรมสักเท่าไรแล้ว ใต้หล้าไม่มีการรับรองแขกเช่นนนี้
ชายฉกรรจ์หยิบธนูคันเล็กขึ้นมา ส่วนเฉินผิงอันก็หยิบตำราสี่เล่มที่วางบนผ้าฝ้ายเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นจึงรับธนูโบราณที่ในตำราประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเคยยิงเจียวหลงและแรดในสวนอวิ๋นเมิ่ง แต่กลับทำเพียงแค่เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อเท่านั้น ไม่ได้เก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
ชายฉกรรจ์เองก็ไม่ถือสาเรื่องนี้ กลับกันยังมีสีหน้าชื่นชมอยู่หลายส่วน ท่องอยู่ในยุทธภพจะไม่ระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีกได้อย่างไร เขาทรุดตัวนั่งยอง คว้าจับมุมสองด้านของผ้าฝ้ายแล้วรวบมาง่ายๆ ห่อข้าวของทั้งหมดที่อยู่บนนั้นไว้ด้วยกัน หิ้วไว้ในมือ จากนั้นจึงหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมามอบให้เฉินผิงอัน ยิ้มเอ่ย “สมใจปรารถนาแล้ว กรงขังก็แตกแล้ว ของเหล่านี้หากคุณชายไม่รับไว้อย่างสบายใจก็จงนำไปมอบกลับคืนให้กับทางการของนครเถียวมู่ ตกลงไหม? หากรับไว้แล้วสมุดเล่มนี้ก็จะได้เอามาใช้แล้ว บันทึกที่อยู่ในนี้ล้วนเป็นเบาะแสของข้าวของแต่ละชิ้นที่นำมาขายบนแผงลอยนี้”
เฉินผิงอันรับสมุดและห่อผ้ามาด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคยยิ่ง แล้วเอาห่อสัมภาระสะพายเอียงๆ ไว้บนบ่า
คนเคราหยิกกุมหมัดคารวะ “จากลากันตรงนี้!”
ด้านหลังของชายฉกรรจ์มีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า พลังอำนาจบีบคั้นผู้คน ประหนึ่งเซียนกระบี่ที่กำลังจะออกเดินทางไกล
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน เผยเฉียนและหมี่ลี่น้อยที่ยืนอยู่ในตะกร้าก็ทำเช่นเดียวกัน
ชายฉกรรจ์เคราดกที่ใช้นามแฝงว่าจางซานยื่นมือออกไปกวัก ข้างกายก็พลันมีลาแก่ขาเป๋ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา เขาพลิกกายขึ้นหลังลา ยิ้มถามว่า “ขอถามคุณชาย ชื่อในยุทธภพคือ?”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “มือกระบี่เฉาโม่”
“ชื่อดี สุราดียิ่งกว่า” ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะเสียงดังลั่น ครั้นจึงขี่ลาออกจากเมืองไปทั้งอย่างนี้
ลาขาเป๋ยามเดินขากะเผลกเล็กน้อย ร่างของบุรุษสะพายกระบี่ที่อยู่บนหลังลาจึงโยกไปโยกมา เขาหยิบเหล้ากานั้นออกมาแหงนหน้ากระดกดื่มไปตลอดทาง ก่อนที่ร่างจะหายไปตรงหน้าประตูเมือง
โจวหมี่ลี่มองเฉินผิงอันที่สะพายห่อสัมภาระไว้เอียงๆ เอ่ยเสียงเบา “เผยเฉียนๆ ผู้อาวุโสในยุทธภพที่เคราเยอะผู้นี้ใจกว้างเท่าปากถ้วยจริงๆ มือก็เติบยิ่งนัก หากในนครเถียวมู่มีคนแบบี้สักหลายๆ คน พวกเราก็รวยกันแล้ว”
เผยเฉียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ก็นั่นน่ะสิ ขี่ลาท่องยุทธภพ ต้องเป็นจอมยุทธผู้กล้าอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “รู้แล้วๆ ไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาเตือนอาจารย์พ่อหรอก”
เผยเฉียนยิ้มจนตาหยี หัวเราะหึหึ
โจวหมี่ลี่ลูบหัวน้อยๆ ที่ฉลาดเฉลียวของเผยเฉียนเบาๆ เลียนแบบเจ้าขุนเขาคนดีที่สัมผัสกลิ่นอายบุ๋น นางก็จะสัมผัสกลิ่นอายความฉลาดของเผยเฉียนมาบ้าง
เผยเฉียนเองก็ปล่อยให้แม่นางน้อยลูบคลำมวยผมกลมของตนไป เพียงแค่กระซิบถามเบาๆ ว่า “อาจารย์พ่อ ต่อจากนี้จะเอายังไงต่อ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “หาที่พักง่ายๆ สักแห่งก็แล้วกัน”
คนทั้งสามเดินเล่นไปบนถนนด้วยกัน เฉินผิงอันพลันยื่นสองนิ้วออกมาทำท่าขีดเขียน
บนเรือราตรีลำนี้ มีเส้นสายอันเป็นรากฐานที่ค่อนข้างตื้นเขินเส้นหนึ่งซึ่งเรียบง่ายอย่างมาก ยอมรับว่าไม่รู้ก็คือรู้ ดังนั้นขอแค่ยึดหลักเกณฑ์นี้ อย่างน้อยที่สุดในเวลาสั้นๆ ย่อมสามารถเดินทางได้อย่างไร้อุปสรรค
จากนั้นอาศัยความรู้และการถามตอบที่ได้รับมาติดต่อกันในวันนี้ เฉินผิงอันก็ยิ่งมั่นใจในเส้นสายรากฐานเส้นที่สอง กุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่สองคำว่า แลกเปลี่ยน
เผยเฉียนรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ดูเหมือนอาจารย์พ่อจะกำลังเขียนตัวอักษร?
เฉินผิงอันเดินไปเนิบช้าพลางใช้นิ้วต่างพู่กัน เขียนสามประโยคลงไประหว่างฟ้าดินเบื้องหน้า
กระเทือนแบ่งหยินหยาง ต่างฝ่ายต่างสอดคล้องสลับเปลี่ยน
เลือกให้สับเปลี่ยน วันเดือนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ต้อนรับใหม่ส่งลาเก่า
เงาตัวอักษรกลับหัว สับเปลี่ยนตั้งนอน ขุนเขาสายน้ำบรรจบ สลับขัดเกลา ดินทับถมกลายเป็นภูเขา น้ำสะสมกลายเป็นมหาสมุทร
ปัญญาชนสวมชุดผ้าแพรเรือนกายสูงเพรียวคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ยื่นมือไปสลายท่วงทำนองที่เหลืออยู่ของปราณตัวอักษรเหล่านั้นทิ้ง
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “คารวะหลี่สือหลาง”
หลี่สือหลางเจ้านครเถียวมู่ไม่มีสีหน้าดีๆ อะไรให้เห็น เพียงแค่เดินเคียงบ่าอยู่ข้างกายเฉินผิงอันอย่างเงียบงัน จากนั้นก็โยนกระดาษยันต์สีเขียวแผ่นหนึ่งออกไป แต่กลับไม่ใช่ยันต์จริงๆ เขียนอักษรไว้แค่สามคำว่าตั๋วขายภูเขา
กระดาษสีเขียวแผ่นหนึ่งลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ หลี่สือหลางไม่เอ่ยอะไรสักคำ ร่างพลันเปล่งวูบหายไป มาอย่างรีบร้อนและจากไปอย่างรีบร้อน
เฉินผิงอันเก็บตั๋วขายภูเขาแผ่นนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ใช้นิ้วมือปาดลบตัวอักษรสือที่อยู่บนคำว่า ‘ขาย’ ไป (ตัวอักษรสือคือ 十 คำว่าขายคือ 卖 มีตัวอักษรสืออยู่ด้านบน หากลบตัวอักษรสือไปก็จะเหลือเป็นคำว่า 买 แปลว่าซื้อ) ดังนั้นตัวอักษรบนกระดาษจึงเปลี่ยนเป็นคำว่าตั๋วซื้อภูเขา
ไม่คิดว่าหลี่สือหลางเจ้านครของหนึ่งในสี่นครบนเรือราตรีผู้สูงศักดิ์ที่จากไปแล้วจะหวนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าสีหน้ายิ่งไม่น่ามอง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าแขกหนุ่มที่ผ่านทางมาผู้นี้จะตอแยได้ยากขนาดนี้
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “บังเอิญจริง เพียงชั่วพริบตาก็ได้เจอกับเจ้านครอีกครั้งแล้ว”
ข้าผู้อาวุโสเล่นหมากล้อมสู้ศิษย์พี่ชุยฉานไม่ได้ แต่เล่นหมากล้อมกับคนอื่น ไม่พูดถึงฝีมือการเล่นว่าสูงหรือต่ำ พูดถึงแค่สภาพจิตใจตื้นลึกก็สามารถทำให้เบื้องหน้าไร้ผู้คนได้อย่างง่ายดายแล้วจริงๆ
หลี่สือหลางถาม “เจ้าทำการค้าครั้งหนึ่งกับนักพรตวัวดำผู้นั้นหรือ?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยื่นมือไปตบห่อผ้าที่สะพายไว้เอียงๆ
เจ้านครผู้นี้หัวเราะเสียงเย็นหนึ่งที แล้วจึงจากไปอีกครั้ง
เฉินผิงอันมอบ ‘ตั๋วซื้อภูเขา’ แผ่นนั้นให้กับเผยเฉียน ยิ้มเอ่ย “ถือว่าเป็นดอกเบี้ยเงินเชื่อก็แล้วกัน”
เผยเฉียนรีบโบกมือ ของขวัญหนักเกินไป นางพอจะมองระดับความล้ำค่าของยันต์นี้ออกได้คร่าวๆ แล้ว
เฉินผิงอันเดินไปพลางหันหน้ามามองด้วย แม้ว่าจะยังคงหรี่ตาอยู่เหมือนเดิม แต่สีหน้ากลับอ่อนโยนยิ่ง พูดกับเผยเฉียนเสียงแผ่ว “ของขวัญที่อาจารย์พ่อมอบให้เจ้าครั้งแรก คือเบ็ดตกปลาหรือว่ายันต์ส่องไฟ?”
เผยเฉียนถึงได้รับยันต์แผ่นนี้มา เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันเอนตัวไปด้านหลัง ยิ้มพูดรับรองกับหมี่ลี่น้อย “ขอแค่ได้ผลเก็บเกี่ยวมาอีกก็จะมอบให้เจ้าแล้ว”
หมี่ลี่น้อยโบกมือเล็กๆ หนึ่งที “ล้วนเป็นคนในยุทธภพเหมือนกัน จะเกรงใจกันไปไย”
ลังเลเล็กน้อย แม่นางน้อยชุดดำก็ยกมือเกาหัว คล้ายจะรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ไม่กล้าเปิดปากเอ่ยออกมา
เฉินผิงอันหยุดเดิน เผยเฉียนรู้ใจทันที ปลดตะกร้าลงเบาๆ ยื่นส่งให้อาจารย์พ่อ
แม่นางน้อยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า รีบยกสองมือขึ้นอุดปากเอาไว้ หลังจากได้มายืนในตะกร้าดีด้านหลังเจ้าขุนเขาคนดีแล้ว นางก็ค้อมเอวลงน้อยๆ เอาศีรษะวางไว้บนไหล่ของเฉินผิงอัน กระซิบถาม “กลับบ้านแล้วไปทำเรื่องหนึ่งเป็นเพื่อนข้าได้ไหม”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ให้ไปพบจอมยุทธหญิงในยุทธภพที่ขายกระพรวนให้พวกเราด้วยกันหรือ? ต้องได้แน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาเลย”
โจวหมี่ลี่ทอดถอนใจ อะไรกับอะไรกันเล่า “ข้าหมายถึงว่าพวกเรากลับไปบ้านแล้วก็ไปเที่ยวเล่นที่เมืองหงจู๋ด้วยกันต่างหาก เมื่อก่อนรู้สึกว่าไกลเกินไป ข้าตัวเล็ก เดินคนเดียวไม่ไหวน่ะ”
เพราะว่าบ้านของนางอยู่ที่บ้านของเขานี่นา
——