กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 776.3 พบเจอขอบเขตสิบสี่
ในนครเถียวมู่
หนิงเหยาหยิบตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งออกมา บิดขยี้ไส้ตะเกียงเบาๆ คลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำชั้นหนึ่งออก
ปีนั้นก่อนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะบินทะยานจากไป เฉินผิงอันได้มอบตะเกียงน้ำมันดวงนี้ให้กับเหนี่ยนซินคนเย็บผ้า ให้นางนำไปที่ใต้หล้าแห่งที่ห้าด้วยกัน
ทุกวันนี้หนิงเหยาเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานแล้ว ถ้าอย่างนั้นการดำรงอยู่ของมันจึงมีหรือไม่มีก็ได้
ในห้องมีเด็กชายผมขาวคนหนึ่งกระโดดออกมา นั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่กลางอากาศ ตรงหน้าผากมีเขางอก สวมต่างหูงูเขียว ห้อยกระบี่คู่ สวมชุดคลุมอาคม ดวงตาทั้งคู่แวววาวดุจผลึกแก้วใส คาดว่าอยู่ในฟ้าดินเล็กคงจะกำลังเบื่อหน่าย เวลานี้พอถูกบีบให้ปรากฏตัวจึงยังอยู่ในท่าแทะนิ้วมือ
เทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่ง ใช้นามแฝงว่าอู๋ซวงเจี้ยง ตอนที่อยู่ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ชอบให้เฒ่าหูหนวกเรียกขานตัวเองว่าท่านปู่ เฒ่าหูหนวกเองก็ไม่เคยเลอะเลือน บอกให้เรียกก็เรียก
เพียงแต่ว่างูเขียว กระบี่คู่และชุดคลุมอาคมของมันล้วนเอาไปทำการค้ากับเฉินผิงอันหมดแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างจึงเป็นเพียงเวทอำพรางตาที่เกิดจากความคิดถึง ออกจะน่าสงสารอยู่บ้าง ทุกวันนี้คือคนยากจนอย่างไม่อาจหักลดอะไรได้อีกจริงๆ
รอกระทั่งมันได้เห็นเฉินผิงอันที่สวมชุดสีเขียว ใบหน้าของเด็กชายผมขาวก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ คล้ายถูกฟ้าผ่า สีหน้าจึงอึ้งค้าง รู้สึกเหมือนอยู่ห่างกันคนละโลก ฉับพลันนั้นน้ำตาก็คลอเจียนจะหยด ต่อมาสีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นน้อยเนื้อต่ำใจคล้ายเสียใจอย่างสุดแสน เหมือนน้ำหมึกเข้มข้นหยดหนึ่งที่ถูกหยดลงในน้ำใสสะอาด พริบตาเดียวก็แผ่ลามออกไป มันนั่งแปะร่วงลงพื้น มือเท้าโบกเป็นพัลวันวุ่นวาย ร้องไห้โฮเสียงดัง สุดท้ายก็ทุบอกตัวเองอย่างแรง คล้ายว่าเจ็บปวดเสียใจจนพูดอะไรไม่ออกแต่คำเดียว ทำได้เพียงนั่งคร่ำครวญอยู่บนพื้น
เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตง เหล่ตามอง “หยุดเลย”
ลุกพรวดขึ้นยืนอยู่ว่องไว เด็กชายผมขาวเริ่มตะเบ็งเสียงแหกปากจนใบหน้าแดงก่ำ เดินก้าวใหญ่วนไปรอบโต๊ะ ชูแขนร้องตะโกน “บรรพจารย์อิ่นกวาน หล่อเหลาสง่างามดุจต้นไม้หยกรับลม ได้สวมชุดแพรกลับคืนบ้านเกิด คุณูปการเลิศล้ำค้ำโลกา ใต้หล้าไร้ศัตรูเทียมทาน หมัดสูงยอดเยี่ยมเท่าขอบเขตสิบเอ็ด เวทกระบี่ก็ยิ่งสูงเท่าขอบเขตสิบห้า…”
เผยเฉียนแทะเมล็ดแตงมองเจ้าคนที่ค่อนข้างประหลาดผู้นี้ คำพูดของอีกฝ่ายออกจะเลื่อนเปื้อนอยู่บ้าง แม้แต่นางก็ยังรู้สึกทนฟังไม่ค่อยไหว เมื่อเทียบกับกวอจู๋จิ่วผู้นั้นแล้วก็ด้อยกว่าไม่ใช่น้อยๆ เลย
ส่วนโจวหมี่ลี่กลับเข้าใจผิดคิดว่าฟักแคระผู้นี้โดนจิ่งชิงสิงร่างเข้าให้แล้ว
เฉินผิงอันเอ่ย “แค่พอประมาณก็พอแล้ว”
เด็กชายผมขาวหันไปพูดประจบหนิงเหยาก่อน “พี่หญิงหนิงรักษาคำพูดจริงเสียด้วย ไม่เสียแรงที่เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่ต่อจากนี้อีกหมื่นปีฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน!”
หนิงเหยาไม่ได้สนใจ
จากนั้นเด็กชายผมขาวก็วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามอย่างระมัดระวังว่า “บรรพจารย์อิ่นกวาน? การค้าครั้งนั้นจะคิดกันอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้ามีอิสระแล้ว”
หลังจากที่เฉินผิงอันกลับมายังใต้หล้าไพศาล ก็เคยถามเรื่อง ‘อู๋ซวงเจี้ยง’ กับชุยตงซาน ถึงได้รู้ว่าอู๋ซวงเจี้ยงตัวจริงถึงกับสามารถเลื่อนขั้นมาอยู่ในอันดับสิบคนของใต้หล้ามืดสลัวได้ และเด็กชายผมขาวก็เป็นอย่างที่ตนคิดไว้จริงๆ นั่นคือเป็นจิตมารของอู๋ซวงเจี้ยง ถึงขั้นที่ว่ายังเป็นคู่รักบนภูเขาของเขาอีกด้วย
ชื่อจริงของนางคือเทียนหรัน ในทำเนียบขุนเขาสายน้ำของตำหนักสุ้ยฉูก็ใช้ชื่อนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีแซ่
เพียงแต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นอู๋ซวงเจี้ยงเทวบุตรมารนอกโลกแบบนี้ก็ดีมากเหมือนกัน
ปีนั้นก็เพราะเรื่องที่ว่าเทวบุตรมารตนนี้จะ ‘ตกเป็นของใคร’ เขากับเถ้าแก่หนุ่มของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำผู้นั้น สองฝ่ายที่เดิมทีความสัมพันธ์ดีเยี่ยม สุดท้ายยังทะเลาะกันจนต่างฝ่ายต่างไม่สบอารมณ์
เด็กชายผมขาวถอนหายใจ เหม่อลอยไร้คำพูด ผ่านความยากลำบากนับพันหมื่น พอได้สมปรารถนาจริงๆ กลับรู้สึกเคว้งคว้างเล็กน้อย
มันพลันยกสองมือเท้าเอวฉับ “เจ้าสองคนนั้นคือใคร เจ้าหัวลูกชิ้น แล้วก็เจ้าฟักแคระนั่น ทำอะไร ถึงกับกล้านั่งร่วมโต๊ะกับบรรพจารย์อิ่นกวานของข้าเลยหรือ?! ใครมอบความกล้าให้พวกเจ้ากัน? หา? ฟังภาษาคนไม่เข้าใจใช่ไหม? รีบไปนั่งบนพื้นให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เผยเฉียนหัวเราะหึหึ
โจวหมี่ลี่เกาหัว แต่กลับไม่กลัวแม้แต่น้อย
นาทีถัดมาเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานตนนี้ก็พลันเผยกายธรรมที่เป็นมายาล่องลอย พริบตาเดียวก็เอามือค้ำยันฟ้าดินของนครเถียวมู่เอาไว้ งอสองเข่าลงน้อยๆ ก้มหน้าลง เก็บภาพขุนเขาสายน้ำของสถานที่แห่งนี้ไว้ในคลองจักษุทั้งหมด ชายแขนเสื้อสองข้างหมุนตลบหนึ่งที แสงดาวพร่างพราวก็กระจายไประหว่างฟ้าดิน ทันใดนั้นมันก็พลันเก็บกายธรรมและแสงดาวกลับมา เรือนกายหดเล็กลงกลับคืนสู่สภาพเดิม นอกจากเฉินผิงอัน หนิงเหยา และยังมีเผยเฉียนที่ดวงตาทั้งคู่สาดประกายเจิดจ้าแล้ว แม้แต่กองทหารม้าลาดตระเวนเมืองก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นลมปราณส่วนนี้ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่กายธรรมใหญ่โตโอฬารนั่นก็ยังมองไม่เห็น มีเพียงหลี่สือหลางและบัณฑิตผู้เฒ่าที่เงยหน้าขึ้นเพราะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
นี่แสดงให้เห็นถึงความสูงส่งในวิชาอภินิหารของอู๋ซวงเจี้ยง มิน่าเล่าชุยตงซานถึงได้พูดว่าเจ้าตำหนักสุ้ยฉูผู้นี้จะต้องกลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนใหม่ล่าสุดของใต้หล้ามืดสลัวอย่างแน่นอน
เด็กชายผมขาวเดินอาดๆ มานั่งลงบนม้านั่งตัวยาวว่างโล่งที่อยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน สองมือวางไว้บนโต๊ะ กำลังจะลุกขึ้นยืนก็พลันก้มหน้าลงต่ำ สังเกตเห็นว่าเท้าของแม่นางน้อยชุดดำผู้นั้นก็เหยียบไม่ถึงพื้นเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด จึงนั่งลงอีกครั้ง กวาดเอาเมล็ดแตงส่วนหนึ่งมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เริ่มแทะเมล็ดแตง แล้วถึงได้เอ่ยเสียงเบาว่า “บรรพจารย์อิ่นกวาน ที่นี่คือสถานที่ใด เลื่อนลอยยิ่งนัก พอมองออกไปข้างนอกก็เห็นแต่ทัศนียภาพดำทะมึน เจ้าของสถานที่แห่งนี้อย่างน้อยที่สุดต้องมีขอบเขตบินทะยานขึ้นไป หรือว่าที่นี่ก็คือภูเขาบ้านเรา? มารดาเถอะ กิจการใหญ่โตจริงๆ! ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะรวยกันแล้ว!”
เฉินผิงอันเอ่ย “พวกเราอยู่บนเรือข้ามฟากลำหนึ่ง”
เด็กชายผมขาวอึ้งตะลึง โน้มตัวไปด้านหน้า ไม่สนใจจะแทะเมล็ดแตงอีกแล้ว ยื่นมือมาป้องข้างปาก เอ่ยยุแยงว่า “บรรพจารย์อิ่นกวาน ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะลงมือเมื่อไหร่ดีล่ะ? หากพวกเราไม่เล่นเขาสักยก จะเป็นการเสียมาดองอาจของพวกเราเอาได้นะ! ตอนนี้ฟ้ามืดลมแรง เหมาะแก่การลงมือพอดี มีท่านมีพี่หญิงหนิง บวกกับข้าที่คอยช่วยโบกธงร้องให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง รับผิดชอบคอยคุมหลังให้ เรือข้ามฟากไม่ข้ามฟากอะไรนี่ นับแต่พรุ่งนี้ไปก็จะกลายเป็นสมบัติของพวกเราแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปสำรวจเส้นทางก่อนดีไหมล่ะ?”
มันถอนหายใจ แทะเมล็ดแตงต่อไป ได้แต่คิดว่าตนไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น
มันค้นพบว่าบนโต๊ะวางของผุพังเอาไว้ แทะเมล็ดแตงไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหน รู้สึกเบื่อหน่ายเป็นกำลัง จึงลุกขึ้นยืนบนม้านั่งยาว เริ่มหยิบข้าวของที่เป็นภาพมายาพวกนั้นขึ้นมาดู กิ่งเหมยแห้งมัดกันเป็นมัดเล็กๆ อ่างกระเบื้องเซียนน้ำใบเล็กที่สร้างขึ้นด้วยรูปแบบเรียบง่าย กระถางใส่ดอกไม้ที่หลอมขึ้นมาจากเหล็ก ที่ทับกระดาษไม้อูมู่ที่ด้านล่างมีคำว่า ‘ซูเย่’
มันพลันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองเจ้าคนที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ขยี้หัวตา ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น “เหตุใดบรรพจรารย์อิ่นกวานได้กลับบ้านเกิดแล้ว กลับกลายเป็นว่ายิ่งมีชีวิตตกยากข้นแค้นเช่นนี้ล่ะ?”
เฉินผิงอันทำเป็นไม่ได้ยิน
มันพลันถามอย่างระมัดระวัง “ทางฝั่งของภูเขาห้อยหัว มีใครมาหาท่านไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้าตอบอย่างไม่มีปิดบัง “เคยมาหาข้า แต่ปฏิเสธไปแล้ว”
มันยืนอยู่บนม้านั่งตัวยาว ยิ้มถาม “ตอนนั้นคือตอนนั้น แล้วตอนนี้ล่ะ?”
ตอนนั้นเฉินผิงอันที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ขนาดรักษาตัวให้รอดก็ยังเป็นเรื่องยาก จะได้กลับมายังบ้านเกิดหรือไม่ก็ยังบอกไม่ได้ ปฏิเสธก็ปฏิเสธไปแล้ว ตอนนี้กลับมาใต้หล้าไพศาลแล้ว แล้วจะอย่างไรเล่า?
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เคยรับปากเจ้าไว้ ดังนั้นภายในแปดสิบปี ต่อให้อู๋ซวงเจี้ยงมา ขอแค่ข้ายังอยู่ เจ้าก็ยังมีอิสระอยู่เหมือนเดิม”
ลูกจ้างหนุ่มคนหนึ่งที่ฟุบตัวงีบหลับอยู่บนโต๊ะคิดเงินพลันเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็อ้าปากหาว เท้าคางด้วยมือข้างเดียว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนหนุ่มพูดจาวางโตขนาดนี้ ลมปากจะฉีกตัวเองตายหรือไม่นะ?”
เด็กชายผมขาวหน้าซีดเผือดในฉับพลัน
เฉินผิงอันกล่าว “ให้เจ้าตำหนักอู๋ลำบากรอแล้ว”
ลูกจ้างหนุ่มยิ้มถาม “ตอนนี้จะเอาอย่างไร? จะเก็บคำพูดห้าวเหิมที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ สะสมความสัมพันธ์ควันธูปที่ไม่เล็กไปจากข้า? หรือว่าจะขัดขวางข้า?”
เฉินผิงอันคีบยันต์แผ่นหนึ่งออกมา ยิ้มเอ่ย “ในเมื่อเจ้าตำหนักอู๋เชี่ยวชาญการพยากรณ์ คำนวณได้อย่างแม่นยำว่าข้าจะมาเยือนเรือราตรีลำนี้ จึงมาเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่นานแล้วเพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน ก็ไม่สู้ลองแหกกฎอีกสักครั้ง กลับคืนสู่ตบะสูงสุดชั่วคราว ใช้ตบะของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่มาคำนวณให้ตัวเองอีกสักทีดีไหม ไม่อย่างนั้นอาจต้องระวังว่าแผนทั้งหมดที่วางมาจะล่มไม่เป็นท่า มาเยือนไพศาลง่าย กลับคืนไปยังใต้หล้ามืดสลัวกลับยากแล้ว และการแหกกฎครั้งนี้ของเจ้าตำหนักอู๋ย่อมต้องทำลายกฎที่ว่าขอบเขตถดถอยเมื่อเดินทางไกลที่ทางศาลบุ๋นตั้งไว้แน่นอน แต่ข้าสามารถใช้คุณความชอบมาคืนความเป็นธรรมแทนเจ้าตำหนักอู๋ที่ศาลบุ๋นได้”
ทางฝั่งของปัญญาชนวัยกลางคน เขามีสีหน้าจนใจเล็กน้อย อู๋ซวงเจี้ยงมาเยือนเรือราตรีกะทันหัน ทว่าตนกลับสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
สิงกวานผู้นั้นเอ่ยว่า “เป็นเรื่องดี นอกจากจะไม่นับหนิงเหยาที่ไม่ว่าสำหรับใครก็ล้วนเป็นเรื่องไม่คาดคิดแล้ว หากเฉินผิงอันมีท่าไม้ตายที่เตรียมการมาไว้ล่วงหน้าอยู่จริง ขอแค่เอามาใช้กับอู๋ซวงเจี้ยง ก็น่าจะเป็นดั่งน้ำลดหินผุดแล้ว”
ปัญญาชนวัยกลางคนจุ๊ปากพูดชื่นชม “ไม่ว่าจะมีหนทางรับมือเตรียมไว้หรือไม่ กล้างัดข้อกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่เช่นนี้ ก็ไม่ผิดต่อชื่อเรียกว่าอิ่นกวานแล้วจริงๆ”
แต่หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังเล็กน้อย “ทั้งอยากเห็นฝีมือของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ที่ไม่ได้เห็นมานาน ทั้งไม่ยินดีจะชักนำสายตามาจากฝั่งศาลบุ๋น ทำให้คนลำบากใจดีจริงๆ”
เขาหันหน้าไปมองบุรุษคนนั้น เอ่ยสัพยอกว่า “ด้วยโชควาสนาส่วนนี้ของเส้าเป่าเจวี้ยน เขาก็ควรจะเป็นเหมือนเจ้าและเถียนหว่านที่ได้ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งของที่นั่น”
การที่ไม่ได้คำนึงถึงผลได้ผลเสียกับบุรุษเคราดกผู้นั้น ทำให้เฉินผิงอันสูญเสียโชควาสนาของลัทธิเต๋าไปส่วนหนึ่ง
บุรุษพยักหน้า “สามารถพิจารณาได้”
‘ลูกจ้างหนุ่ม’ ของโรงเตี๊ยมลุกขึ้นยืน เห็นได้ชัดว่าเจ้าตำหนักสุ้ยฉูที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วผู้นี้ไม่คิดจะทำนายพยากรณ์อะไรอีกแล้ว
ชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย คีบยันต์แผ่นหนึ่งออกมา ไม่มีความลี้ลับอะไร ก็แค่ใช้วิธีการของยันต์ ‘ย้ายภูเขา’ มาไว้บนกระดาษ วาดภูเขาธรรมดาลูกหนึ่งที่ไม่มีความมหัศจรรย์ใดๆ เท่านั้น
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าตำหนักอู๋ จะลองดูจริงๆ หรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉูที่เร่งเดินทางมายังไพศาลและยังขึ้นเรือมาอย่างเงียบเชียบเพียงแค่หลุดหัวเราะพรืดเท่านั้น
เฉินผิงอันเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาในชั่วพริบตา จากนั้นจึงให้เผยเฉียนและเด็กชายผมขาวช่วยกันปกป้องหมี่ลี่น้อย
นกในกรง
เฉินผิงอันกับหนิงเหยายืนเคียงบ่ากัน ฟ้าดินเล็กนอกจากขาดพวกเผยเฉียนสามคนแล้วก็คล้ายว่าจะยังคงเป็นปกติดังเดิม
นาทีถัดมาตลอดทั้งนครเถียวมู่ก็ไม่มีเทพเซียนมีชีวิตคนใดอยู่อีก มีเพียงเฉินผิงอันและหนิงเหยาที่ต่างก็สะพายกระบี่เท่านั้น
นกในกรงเล่มหนึ่ง ในฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่ง ถนนหนทางและสิ่งปลูกสร้างทุกอย่างล้วนกลายเป็นกระบี่บิน
อู๋ซวงเจี้ยงเอาสองมือไพล่หลัง เดินนำไปบนถนนก่อน ยังคงมีอารมณ์ผ่อนคลายมองประเมินวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มนั้น ครั้นจึงเดินนำไปบนถนนใหญ่ที่เงียบสงัดไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง
ยันต์ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์วาบหนึ่งที แล้วก็พลันจางหายไปในชั่วพริบตา
อู๋ซวงเจี้ยงขมวดคิ้วน้อยๆ
เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งออกไป เย่โหยวออกจากฝัก ถูกกุมไว้ในมือ หรี่ตาเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปพบเจอขอบเขตสิบสี่กันหน่อย?”
หนิงเหยาคลี่ยิ้ม
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งพลันเผยกาย ใช้หมัดทุบฝ่ามือ “ได้เลย อาจารย์!”
บุรุษเรือนกายสูงเพรียวสวมชุดกว้าสีเขียวตัวยาวและรองเท้าผ้ายกมือขึ้น ระหว่างนิ้วมีใบหลิวท่อนหนึ่งบินวน หัวเราะร่าเอ่ยกับอู๋ซวงเจี้ยงว่า “ขอบเขตสิบสี่หรือ บิดากลัวแทบตายอยู่แล้ว”
——