กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 778.3 มอบของขวัญกลับคืน
เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “นับว่ายังดี อาจารย์พ่อสอนได้ดียิ่ง แต่ข้ากลับเรียนรู้มาได้แค่สองสามส่วนเท่านั้น”
มันพลันตบโต๊ะ เอ่ยอย่างมีโทสะว่า “เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง เจ้ามาพูดเลียนแบบข้าทำไม?!”
เผยเฉียนรีบยกมือไปกดหน้าโต๊ะเอาไว้ทันที กลัวว่าจะเสียงดังจนปลุกให้หมี่ลี่น้อยตื่น
มันได้แต่เอ่ยขออภัยเผยเฉียนอย่างขลาดๆ “ขอโทษทีๆ ไม่ทันระวังเลยเปิดเผยอารมณ์ที่แท้จริง”
จู่ๆ เผยเฉียนก็เอ่ยว่า “วันหน้าไปถึงภูเขาลั่วพั่ว เจ้าสามารถไปที่ร้านฉ่าวโถวในตรอกฉีหลงก่อนได้ ที่นั่นมีผู้อาวุโสคนหนึ่งที่น่าจะพูดคุยกับเจ้าถูกคอ เจอกันแล้วต้องถูกชะตากันแน่ๆ”
เด็กชายผมขาวทำสีหน้าสนเท่ห์ “ผู้อาวุโสคนไหน? ขอบเขตบินทะยานหรือ? แถมยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย?”
ภูเขาลั่วพั่วใช้ได้เลยนี่นา บวกกับหนิงเหยา แล้วก็บวกตนและผู้อาวุโสท่านนี้เข้าไป สามบินทะยานแล้ว! วันหน้าตนไปถึงใต้หล้าไพศาลจะไม่สามารถเดินวางก้ามเหมือนปูได้ทุกวันเลยหรือ?
เผยเฉียนส่ายหน้า “ขอบเขตประตูมังกร”
เด็กชายผมขาวร้องเพ้ยหนึ่งที “ล้อเล่นอะไรกัน ขอบเขตประตูมังกร? ข้าทนขายหน้าแบบนี้ไม่ได้หรอก!”
เผยเฉียนไม่เอ่ยอะไรอีก
เด็กชายผมขาวพนมสองมือเข้าด้วยกัน สีหน้าเคร่งขรึม พูดเออออกับตัวเองว่า “เด็กน้อยพูดจาไม่รู้ประสา เด็กน้อยพูดจาไม่รู้ประสา ขอให้สมพรปากเจ้า ขอให้สมพรปากเจ้า จะต้องได้ไปภูเขาลั่วพั่ว ได้ไปเยี่ยมเยือนเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรของตรอกฉีหลงอะไรนั่นแน่นอน”
เผยเฉียนพลันมองเทวบุตรมารนอกโลกที่มีรูปโฉมเป็นเด็กชายผมขาวอย่างเหม่อลอย เอ่ยเสียงเบาว่า “ได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในใจของคนอื่น ใช้ชีวิตกลายมาเป็นตัวเองอีกคนหนึ่ง จะต้องลำบากมากแน่ๆ”
เด็กชายผมขาวอึ้งตะลึง นั่งขัดสมาธิแทะเมล็ดแตงพลางยิ้มทะเล้นพูดหน้าเป็นว่า “นังหนูน้อยอายุใหญ่เท่าก้น อันที่จริงไม่ว่าอะไรก็ล้วนไม่รู้เรื่อง ยามพูดถึงเรื่องนี้จึงเป็นแค่คำพูดบางเบา ไม่อาจปลอบใจคนได้”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที ไม่ได้ตอบโต้ ฟุบตัวลงนอนบนโต๊ะ สองมือวางทับซ้อนกัน วางปลายคางแหลมเล็กไว้บนหลังมือ
เด็กชายผมขาวเหลือบมองมวยผมทรงกลมของหญิงสาว “มีความรู้สึกทุกอย่างร่วมกัน ทุกครั้งไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ล้วนรับรู้ไปพร้อมกัน ไม่ได้ผ่อนคลายเลย ดังนั้นเจ้าอย่าได้เรียนรู้จากอาจารย์พ่อของเจ้าทุกเรื่อง เฉินผิงอันเองก็ไม่หวังให้เป็นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็คอยดูไปเถอะ ฝึกกระบี่ ฝึกบำเพ็ญตน วันใดจิตมารผุดขึ้นมา เมื่ออยู่ในใจของเจ้าก็จะใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุที่ขัดขวางทางไปของเจ้า ทำให้เจ้าลำบากจนพูดไม่ออก ถึงเวลานั้นเจ้าถึงเพิ่งจะรู้ว่าอะไรคือความ ‘ลำบาก’ ที่แท้จริง ปีนั้นตอนที่อยู่ในคุก มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อโยวอวี้ เป็นคนโง่ที่มีโชคของคนโง่ อยากจะคิดให้มากก็ยังไม่รู้ว่าควรคิดอย่างไร และมีเจ้าเด็กคนหนึ่งชื่อตู้ซานอินที่มีชีวิตเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก ไม่ต้องสนใจแม่งหรอกว่าดีหรือเลว จุดที่สายตามองไปเห็น ของดี เป็นของข้า ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเป็นของข้า ของที่ไม่มีค่า ขอแค่เป็นไปได้ ต่อให้ทุบจนเละเจ้าหมอนั่นก็ไม่มีทางยกให้คนอื่นแน่นอน ในใจไม่มีกฎเกณฑ์กรอบระเบียบใดๆ บนเส้นทางการฝึกตนก็มีคนสองประเภทนี้นี่แหละที่กลับกลายเป็นว่าจะเดินไปได้ง่ายกว่าคนอื่นหน่อย”
จากนั้นคนทั้งคู่ก็พากันเงียบไป
หมี่ลี่น้อยหลับฝันหวาน เผยเฉียนฟุบตัวนอนเหม่อลอย เด็กชายผมขาวนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความเบื่อหน่าย คอยพนมมือยกขึ้นสูงเหนือหัวอยู่เป็นระยะ ปากก็ท่องพึมพำ คาดว่าคงขอร้องเทพเซียนจากทุกฝ่ายที่ขอร้องได้ครบไปแล้วรอบหนึ่ง
สุดท้ายมันก็ถอนหายใจ ชำเลืองตามองสีท้องฟ้าราตรีนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง สีเทามืดทะมึนราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น
อู๋ซวงเจี้ยงผู้นั้น สำหรับมันและนางในอดีต สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็คือหลุมที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจข้ามผ่านไปได้
ปีนั้นอู๋ซวงเจี้ยงทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จก่อน จิตมารก็คือนาง นางคือจิตมาร นี่ก็เหมือนโครงสร้างทั้งหมดและกฎเกณฑ์ทุกอย่างที่อู๋ซวงเจี้ยงกำหนดมาไว้นานแล้ว
ด้วยเรื่องนี้อู๋ซวงเจี้ยงได้ตั้งใจเตรียมการมานานถึงร้อยกว่าปี
อู๋ซวงเจี้ยงทำลายจิตมารได้อย่างไร?
นั่นก็คือกลายเป็นจิตมารของ ‘นาง’
ตอนนั้นในสายตาของเหล่าบรรพจารย์ตำหนักสุ้ยฉู อู๋ซวงเจี้ยงเสียเวลาเปล่าอยู่ที่คอขวดก่อกำเนิดนานเป็นร้อยปี คนรอบกายล้วนพากันฉงนสนเท่ห์ว่าเหตุใดคนที่มีคุณสมบัติในการฝึกตนโดดเด่นเช่นอู๋ซวงเจี้ยงถึงได้หยุดชะงักที่ขอบเขตก่อกำเนิดนานเช่นนี้
ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่า แท้จริงแล้วก่อนหน้านั้นเมื่อนานมากแล้ว อู๋ซวงเจี้ยงได้เตรียมเส้นทางสำหรับการบินทะยานของตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงขั้นที่ว่าควรจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่อย่างไร ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมการไว้นานแล้ว
ก็เหมือนกับคนคนหนึ่งที่เกิดมาก็รู้ทุกอย่าง
แต่ไม่ว่าจะเป็นนางหรือเทวบุตรมารนอกโลก ก็ล้วนรู้เรื่องหนึ่งชัดเจนดียิ่งกว่าใคร อู๋ซวงเจี้ยงไม่ใช่คนที่เกิดมาแล้วล่วงรู้ทุกอย่าง บุรุษที่เวลาปกติเงียบขรึมพูดน้อย มักจะให้ความรู้สึกเฉยชาแก่ผู้คน หรืออย่างมากสุดก็เป็นภาพจำที่ว่าเขาเป็นคนสุขุมหนักแน่นผู้นี้ เพียงแค่ชอบคิดมากเท่านั้น
เด็กชายผมขาวพลันปวดหัว ลำพังเพียงแค่คิดถึงอู๋ซวงเจี้ยงก็ปวดหัวราวหัวจะแตกแล้ว สองมือจึงยกขึ้นกุมศีรษะ
เผยเฉียนคืนสติกลับมา ส่งเหล้าไปให้อีกกาหนึ่ง มันดื่มรวดเดียวหมดไปครึ่งกา หางตาเหลือบไปเห็นถุงเล็กๆ ใบหนึ่งก็กระโดดผลุงลุกขึ้นยืน ค้อมเอวเตรียมจะหยิบมาไว้ในมือ คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนเองก็ลุกขึ้น ยื่นมือไปกดปลาเล็กปลาน้อยตากแห้งถุงเล็กนั้นเอาไว้เบาๆ ออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งนี้ เมล็ดแตงของหมี่ลี่น้อยมีไม่น้อย แต่ปลาตากแห้งกลับมีไม่มาก
มันจึงได้แต่หยิบปลาลำธารตากแห้งมาสามสี่ตัวแล้วกลับมานั่งที่เดิม โยนเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ ปลาแห้งหนึ่งตัวเหล้าหนึ่งอึก เอ่ยพึมพำว่า “ตอนเด็กทุกครั้งที่ทำกุญแจหายไปหรือทำด้วยแตกสักใบแล้วโดนด่า ก็จะนึกว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว”
เผยเฉียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดมันถึงพูดเรื่องพวกนี้ คิดไม่ถึงว่าเด็กชายผมขาวจะขยี้ตาแรงๆ แล้วน้ำตาแห่งความขมขื่นก็ไหลอาบหน้าในชั่วพริบตา พูดอย่างเสียใจในความผิดพลาดของตัวเองด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ “ข้ายังเป็นแค่เด็กนะ ยังเป็นแค่เด็ก ทำไมต้องมาถูกผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งรังแกด้วย ใต้หล้าไม่มีเหตุผลแบบนี้หรอกนะ บรรพจารย์อิ่นกวาน ฝีมือการต่อสู้เลิศล้ำค้ำโลกา ใต้หล้าไร้ศัตรูเทียมทาน ตีเขาให้ตาย ตีเจ้าตะพาบที่เสียสติผู้นั้นให้ตายไปเลย!”
เผยเฉียนนวดคลึงหว่างคิ้ว ฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์พ่อไม่อยู่หยิบเหล้าหมักมาให้ตัวเองหนึ่งกา รินใส่ถ้วย จิบเหล้าหนึ่งอึก
เด็กชายผมขาวเช็ดน้ำตาแล้วก็ยังพูดเสียงสะอึกสะอื้นไม่หาย “เวลาที่เด็กเจ็บก็แค่ร้องไห้โฮดังๆ แต่คนโตล่ะ…”
กล่าวมาถึงตรงนี้มันก็เก็บสีหน้า พึมพำว่า “ชั่วชีวิตนี้มีชีวิตอยู่เหมือนคนที่ดื่มเหล้าดับทุกข์คนเดียว”
เผยเฉียนถาม “ขอละลาบละล้วงถามสักคำ เมื่อเจ้าตำหนักอู๋กายดับมรรคาสลายแล้ว เจ้าก็ต้อง?”
มันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้ารับ ในดวงตามีประกายสดใสเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน เอ่ยประโยคหนึ่งที่ยากจะทำให้คนข้างกายรู้สึกเห็นอกเห็นได้ใจ “ก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้างนะ”
ก่อนที่มันจะเจอกับอู๋ซวงเจี้ยงก็หวังว่าจะได้อิสรภาพกลับคืนมาอีกครั้ง เป็นหรือตายก็ไม่ต้องคอยกลัดกลุ้ม พอได้เจอกับอู๋ซวงเจี้ยงก็หวังแค่ว่าตัวเองจะได้หลุดพ้น ไม่ต้องถูกกักขังอยู่ในหัวใจของเขาอีกต่อไป แต่ก็ไม่หวังให้อู๋ซวงเจี้ยงต้องกายดับมรรคาสลายไปนับแต่นี้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมานางก็หวังมาโดยตลอดว่าระหว่างฟ้าดินจะยังคงมีเขา เขาที่มีชีวิตอยู่อย่างดี
เผยเฉียนยกถ้วยเหล้าขึ้น ยกส่งไปทางมัน เด็กชายผมขาวก็ชูกาเหล้าขึ้นชนกับถ้วยของนางเบาๆ ต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเอง
ชีวิตเจอเรื่องไม่เบิกบานใจ ใช้เหล้าดับทุกข์ กลืนลงไปพร้อมกับสุรา
มันถามหยั่งเชิงว่า “พวกเราสองคนเป็นสหายรักที่สนิทสนมกัน ขอปลาแห้งอีกสักสองตัวสิ?”
เผยเฉียนยิ้มบางๆ แล้วเก็บปลาตากแห้งถุงนั้นเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อโดยตรง
มันยกนิ้วโป้งให้ เอ่ยชื่นชมเสียงดัง “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของบรรพบุรุษอิ่นกวาน ใจกว้างผึ่งผาย ได้รับการสืบทอดที่แท้จริงมาทั้งหมดเลย!”
เผยเฉียนเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมประโยคหนึ่ง “ด้วยความสามารถในการประจบสอพลอของเจ้า อาศัยแค่เสียงที่ดัง ไปอยู่บนภูเขาลั่วพั่วของข้าก็ไม่มีสิทธิ์ได้แทะเมล็ดแตงด้วยซ้ำ”
มันคิดแล้วก็เริ่มขอพรด้วยความจริงใจ พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ขอแค่ได้ไปอยู่ภูเขาลั่วพั่ว จะให้ข้าไปทำงานจุกจิกคอยช่วยเหลือเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรคนนั้นที่ตรอกฉีหลงก็ยังได้!”
……
ในนครหรงเม่าแห่งนั้น ปัญญาชนวัยกลางคนที่มีฐานะเป็นเจ้าของเรือราตรี เนื่องจากการสกัดกั้นฟ้าดินของทางฝั่งนครเถียวมู่ แม้แต่เขาก็ยังไม่อาจชมศึกอยู่ไกลๆ ต่อไปได้ จึงเสกสมุดเล่มหนึ่งออกมา ตำราทองหนังสือหยกพลันเปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ พอคลี่กางออกแล้วก็เห็นว่าหน้าหนึ่งบันทึกเนื้อหาช่วงท้ายของซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู ส่วนหน้าข้างกันบันทึกบทนำของอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู
ศึกบนเรือราตรีวันนี้ มากพอจะทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ได้แล้ว
ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง เซียนเหรินสองคนที่พลังการต่อสู้ไม่อาจมองเป็นขอบเขตล่างได้ บวกกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบซึ่งเป็นขอบเขตหยกดิบอีกคนหนึ่ง
หากมีเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นมาลงสนามรบด้วย ไม่ว่ามันจะเลือกอยู่ฝั่งไหนก็จะมีขอบเขตบินทะยานเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
หากเผยเฉียนยังตามติดมาด้านหลังด้วยก็ไม่แน่ว่าจะมี…ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางเพิ่มมาอีกคน?
ปัญญาชนวัยกลางคนหัวเราะ “ช่างเป็นการเข่นฆ่าที่ดียิ่งนัก ก็โชคดีที่อยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้ของข้า ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดขุนเขาสายน้ำของครึ่งทวีปต้องรับเคราะห์ไปด้วยเป็นแน่ ทางฝั่งศาลบุ๋นจะบันทึกคุณความชอบของเรือข้ามฟากสักครั้งหรือไม่นะ?”
สิงกวานเงียบงันไม่พูดจา
ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มถาม “หากอู๋ซวงเจี้ยงกดขอบเขตไว้ที่บินทะยาน เจ้ามีโอกาสจะชนะสักกี่ส่วน?”
สิงกวานตอบ “หากเขาไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขตก็พูดได้แค่ว่ามีโอกาสจะแลกชีวิต แต่พอเขาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วค่อยกดขอบเขตเป็นบินทะยาน ข้าก็ไม่มีโอกาสจะชนะแม้แต่น้อยแล้ว”
ปัญญาชนวัยกลางคนส่ายหน้า “ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรเลือกเป็นศัตรูกับอู๋ซวงเจี้ยง”
เขากล้ามั่นใจเลยว่า ขอแค่เฉินผิงอันทำให้อู๋ซวงเจี้ยงเดือดดาล อีกฝ่ายต้องกลับคืนสู่ตบะขอบเขตสิบสี่แน่นอน
อู๋ซวงเจี้ยงผู้นี้ ตอนอยู่ในใต้หล้าบ้านเกิดตัวเอง แม้แต่ป๋ายอวี้จิงและเต๋าเหล่าเอ้อก็ยังกล้าไปมีเรื่องด้วย มาเยือนใต้หล้าไพศาล ย่อมไม่มีทางเห็นกฎของศาลบุ๋นอยู่ในสายตา
ว่ากันว่าเจ้าลัทธิใหญ่ท่านนั้นได้ตั้ง ‘กฎบ้าน’ กับศิษย์น้องเป็นการส่วนตัวข้อหนึ่ง ภายในช่วงร้อยปีที่เต๋าเหล่าเอ้อนั่งบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิง ไม่อนุญาตให้อวี๋โต้วพกกระบี่เซียนไปถามกระบี่ต่อตำหนักสุ้ยฉู
นอกจากมรรคจารย์เต๋าผู้เป็นอาจารย์แล้ว อวี๋โต้วที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนั้นก็ฟังแค่คำโน้มน้าวจากศิษย์พี่คนเดียวจริงๆ สาเหตุไม่ใช่เพียงแค่เพราะศิษย์พี่เป็นคนรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ ช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แทนอาจารย์เท่านั้น
หากข่าวลือเป็นความจริง ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงสั่งห้ามไม่ให้ศิษย์น้องอวี๋โต้วไปถามกระบี่ต่อตำหนักสุ้ยฉูโดยพลการ ก็ต้องไม่ได้เรียบง่ายอย่างแค่เข้าข้างคนนอกอย่างอู๋ซวงเจี้ยงเท่านั้น
ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ถูกประเมินไว้ต่ำสุดของใต้หล้าไพศาลอย่างที่อาจไม่มี ‘หนึ่งใน’ อะไรนั่น ก็คือหลิ่วชีที่สามารถเปลี่ยนขอบเขตเส้นเอ็นหลิวให้กลายมาเป็นขอบเขตรั้งคนได้
สุดท้ายหลิ่วชีที่หวนกลับคืนมายังใต้หล้าไพศาลอีกครั้งก็ได้ใช้ความจริงพิสูจน์เรื่องนี้ เขาร่ายเวทคาถาสามร้อยกว่าชนิด ต่อให้อยู่บนสนามรบเหนือมหาสมุทรใหญ่ก็ยังสามารถสยบกำราบวิชาอภินิหารธาตุน้ำของปีศาจใหญ่หย่างจื่อเอาไว้ได้ทุกจุด
และในใต้หล้ามืดสลัว อิงตามข่าวลือเล็กๆ บางอย่างที่ไม่แพร่หลายมากนัก คนที่ถูกประเมินไว้ต่ำสุดกลับเป็นอู๋ซวงเจี้ยงที่นอกเหนือจากลู่เฉิน
นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่เคยมีคำพูดสัพยอกประโยคหนึ่ง ลู่เฉินติดพื้นรองเท้าขูดเท่าไรก็ขูดไม่ออก อู๋ซวงเจี้ยงติดฟันต่อให้ใช้ไม้แคะฟันก็แคะไม่ออก
คนผู้หนึ่งไม่มีความสามารถที่แท้จริงอะไร ดีแต่จะทำให้คนอื่นสะอิดสะเอียน อีกคนหนึ่งคือผีตอแยยากที่ตามติดดั่งวิญญาณแค้นยิ่งกว่าข้าผู้อาวุโสเสียอีก
ปัญญาชนวัยกลางคนพลิกเปิดบันทึกของเรือข้ามฟากอย่างต่อเนื่อง เอ่ยเนิบช้าว่า “ระหว่างที่อยู่ห้าขอบเขตกลาง โชคของเจ้าตำหนักอู๋ดีจนต้องบอกว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ทุกครั้งล้วนรอดชีวิตมาจากอันตรายที่รายล้อมได้ สองขอบเขตก่อนขอบเขตบินทะยานอย่างขอบเขตหยกดิบและขอบเขตเซียนเหริน เจ้าตำหนักอู๋มีปราณสังหารมากที่สุด จิตสังหารเข้มข้นที่สุด จำนวนครั้งที่จับคู่เข่นฆ่ากับผู้อื่นถี่ยิ่ง เป็นอีกครั้งที่เรียกได้ว่าครองอันดับหนึ่งแห่งมืดสลัว เป็นสุดยอดผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน หลังจากเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้เริ่มอบรมเบาะเพาะจิตใจ นิสัยเปลี่ยนแปลงไปมาก เปลี่ยนจนกลายมาเป็นว่าไม่แก่งแย่งชิงดีกับคนบนโลก มีแค่การลงมือสองครั้งเท่านั้นที่ถูกบันทึกเอาไว้ คือการลงมือกับเต๋าเหล่าเอ้อและกับนักพรตซุน หลังจากนั้นมาส่วนใหญ่แล้วก็คือการปิดด่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ไม่มีหลักฐานให้พิสูจน์ได้ แทบจะไม่ได้พบเจอกับคนนอกคนใดของสำนัก ดังนั้นก่อนหน้านี้ถึงเพิ่งจะเลื่อนติดอันดับสิบคน”
ในตำรายังมีบันทึกลับแห่งขุนเขาสายน้ำที่ค่อนข้างจะละเอียดอยู่อีกบางส่วน บันทึกถึงขั้นตอนการ ‘ถามมรรคา’ ที่อู๋ซวงเจี้ยงมีต่อเซียนดินรวมไปถึงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนบางส่วนไว้คร่าวๆ ตอนที่ขอบเขตของอู๋ซวงเจี้ยงยิ่งต่ำก็ยิ่งมีบันทึกมาก เนื้อหาก็ยิ่งใกล้เคียงกับความจริงมากเท่านั้น
เส้นทางการฝึกตนของอู๋ซวงเจี้ยงมีรูปแบบเฉพาะตัวที่ใหญ่ที่สุดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือรอดชีวิตจากสถานการณ์ตาย เชี่ยวชาญการแว้งกลับสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์จนตรอกตกเป็นรอง
แต่ผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นเพียงภายนอกพวกนี้ จุดที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่ว่าอู๋ซวงเจี้ยงสามารถรวบรวมข้อดีของร้อยสำนักมาไว้ด้วยกัน แล้วยังนำมาปฏิบัติได้จริง เชี่ยวชาญการเอาความรู้มาหล่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเตา แล้วนำมาใช้งาน สุดท้ายก็พัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น
มรรคกถาของห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง สายเซียนกระบี่ของอารามเสวียนตูใหญ่ ค่ายกลยันต์ที่ ‘ชี้แนะบ้านเมือง’ ของภูเขาเซียนจ้าง จากนั้นก็อาศัยการรวบรวมคาถาลับ เส้นสายเบาะแสต่างๆ นำมาอนุมานเป็นต้นกำเนิดมหามรรคาของวิชาอภินิหารแต่ละประเภท ยันต์ของอวี๋เสวียน วิชาอสนีของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ อู๋ซวงเจี้ยงล้วนทำการศึกษาทั้งสิ้น ส่วนเรื่องที่ว่าสรุปแล้วจะเหมือนทางด้านจิตวิญญาณได้สักกี่ส่วน เพราะมีสองใต้หล้ากั้นขวางอยู่จึงไม่เคยมีโอกาสได้พิสูจน์เรื่องนี้
ปัญญาชนวัยกลางคนปิดหน้าหนังสือลง ยิ้มถามว่า “เป็นอย่างไร สามารถพูดถึงคนผู้นั้นได้แล้วหรือยัง? ขอแค่เจ้ายินดีเปิดเผยเรื่องนี้ สี่นครที่บุกเบิกใหม่บนเรือข้ามฝากแห่งนี้ก็จะยกให้พวกเจ้าหนึ่งนคร”
สิงกวานส่ายหน้า “เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม อาจารย์จางอย่าถามเรื่องนี้อีกเลย”
ปัญญาชนวัยกลางคนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นก็คงจะต้องเป็น ‘ไร้ผลลัพธ์’ อย่างหนึ่งในนครหงเหมาแล้ว”
สิงกวานกล่าว “ก็ไม่ได้ขาดแค่เรื่องนี้เสียหน่อย”
ในประวัติศาสตร์หมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะมีตำแหน่งหน้าที่ที่สำคัญอย่างถึงที่สุดสามตำแหน่งมาโดยตลอด สิงกวาน อิ่นกวาน จี้กวาน
บรรพจารย์สามท่านช่วงแรกเริ่มสุดก็คือเฉินชิงตู หลงจวิน กวนจ้าว
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน แรกเริ่มสุดเป็นสายสิงกวานที่มีหน้ามีตายิ่งกว่าใคร อิ่นกวานแต่ละยุคแต่ละสมัยขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอน จี้กวานเริ่มถอยกลับเข้าไปอยู่เบื้องหลัง อีกทั้งสถานะยังถูกอำพรางอย่างเร้นลึก ไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้รับรู้ กระทั่งช่วงพันปีล่าสุดที่ผ่านมา จี้กวานเงียบหายไปยิ่งกว่าสิงกวานเสียอีก ราวกับว่าไม่เคยมีสายนี้ดำรงอยู่ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์เลย ต่อให้เป็นเซียนกระบี่หลายคนก็แทบจะไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ไม่สำคัญนี้ ไม่อาจกินแทนข้าวได้ ไม่อาจดื่มแทนเหล้าได้ ยิ่งไม่อาจนำมาเป็นกระบี่บินที่ออกจากเมืองไปสังหารปีศาจ จะคิดไปทำไม
หันกลับมามองสายอิ่นกวาน อันดับแรกก็มีเซียวสวิ้น ต่อมามีเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็เป็นคนที่โดดเด่นสะดุดตาอย่างมาก
คาดว่าใต้หล้าไพศาลในภายหน้า ผู้ฝึกตนบนภูเขาทั่วไปก็คงจะเข้าใจผิดคิดว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มีแค่ตำแหน่งอิ่นกวานเท่านั้นแล้ว
สองตำหนักพักผ่อนชั่วคราวอย่างคฤหาสน์หลบร้อนและคฤหาสน์หลบหนาวของสายอิ่นกวานมีตำราเก็บสะสมไว้มากมาย เอกสารลับก็ยิ่งมีมากนับไม่ถ้วน ทว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับไม่มีบันทึกใดๆ กล่าวถึง ราวกับว่าปฏิทินเหลืองส่วนนั้นได้ถูกฉีกออกไปหลายหน้า เป็นไม่ได้แม้แต่ข้อห้ามใดๆ ด้วยซ้ำ