กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 778.4 มอบของขวัญกลับคืน
ทะเลสาบขนาดเล็กแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยใบบัวปูแผ่ มีทางเส้นเล็กสายหนึ่งทอดยาวตรงไปยังศาลากลางทะเลสาบ
บนเส้นทาง ชายหญิงคู่หนึ่งยืนชมทัศนียภาพกันอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เข้าไปในศาลาที่ปัญญาชนวัยกลางคนและสิงกวานยืนอยู่
ข้างกายบุรุษหนุ่มคนหนึ่งมีเด็กสาวที่คล้องตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนข้อมือยืนอยู่ นางสวมชุดเรียบๆ แต่สะอาดสะอ้าน รูปโฉมงามพิลาส
บุรุษหนุ่มสวมชุดเขียวสะพายกระบี่ เรือนกายสูงใหญ่ ตรงเอวห้อยถุงใบเล็กสีเงินไว้ใบหนึ่ง แสงสีทองเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนแทรกซึมออกมาจนกลายเป็นเส้นสีเงินยวง สว่างไสวดุจแสงอรุโณทัย
ก็คือผู้ฝึกกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตู้ซานอิน เขากับโยวอวี้ต่างก็ถูกจับโยนเข้าไปในคุก ตู้ซานอินกลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสิงกวาน ส่วนโยวอวี้ก็กลายไปเป็นลูกศิษย์ของเฒ่าหูหนวกอย่างมึนๆ งงๆ คนหนึ่งติดตามสิงกวานกลับไพศาล อีกคนหนึ่งติดตามเฒ่าหูหนวกไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
เด็กสาวข้างกายตู้ซานอินมีนามว่าจี๋ชิง เคยมีชีวิตพึ่งพากันและกันกับฉางมิ่งอยู่ในคุก ในอดีตคอยซักผ้าอยู่ริมลำธารในคุกปีแล้วปีเล่า
ฉางมิ่งคือร่างจำแลงของบรรพบุรุษแห่งเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง จี๋ชิงเองก็เป็นการจำแลงของบรรพบุรุษเงินเทพเซียนประเภทหนึ่งเช่นกัน
ตู้ซานอินถามเสียงเบา “แม่นางจี๋ชิง เป็นอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉูคนนั้นจริงๆ หรือ เขาผสานมรรคาเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วหรือ?”
สองฝ่ายที่อยู่ตรงศาลาต่างก็ไม่ได้จงใจปิดบังบทสนทนาของพวกเขา ฝั่งของตู้ซานอินจึงรับฟังกับหู จดจำไว้ในใจอยู่เงียบๆ
จี๋ชิงคลี่ยิ้มหวาน พยักหน้าเอ่ย “เกินครึ่งคงใช่แล้ว”
ตู้ซานอินลูบคลำปลายคาง “ในเมื่อเด็กชายคนนั้นคือจิตมารของอู๋ซวงเจี้ยง นี่ก็คล้ายคลึงกับการหนีจากบ้านไปสินะ? ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือส่วนตัว ตามเหตุตามผลแล้ว ใต้เท้าอิ่นกวานก็ควรจะมอบตัวเขาออกไปกระมัง? ยังจะตีกันอีกทำไม นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเลยนะ”
จี๋ชิงเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
ตู้ซานอินเอ่ยต่อไปอีกว่า “อีกอย่างใต้เท้าอิ่นกวานก็ขึ้นชื่อว่าทำการค้าเก่ง เหตุใดทางฝั่งของโรงเตี๊ยมไม่พูดคุยกันก่อนแล้วรอให้พูดคุยกันไม่รู้เรื่องเสียก่อนค่อยฉีกหน้าแตกหักกัน ทั้งสองฝ่ายต่างทิ้งคำขู่อาฆาตอะไรนั่นไว้ แล้วค่อยตีกันเล่า? ไม่เหมือนกับนิสัยการกระทำของอิ่นกวานพวกเราเลย คงไม่ใช่ว่าพอกลับมาถึงบ้านเกิด อิ่นกวานอาศัยสถานะของสายบุ๋นสานสัมพันธ์กับทางศาลบุ๋นของแผ่นดินกลาง ก็เลยไม่ต้องกังวลกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่มาจากต่างถิ่นคนหนึ่งหรอกกระมัง?”
จี๋ชิงส่ายหน้า เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “บ่าวก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ตู้ซานอินยิ้มกล่าว “หากอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา อู๋ซวงเจี้ยงย่อมไม่มีทางกล้าลงมือแบบนี้แน่ เพราะถึงอย่างไรหนิงเหยาก็ไม่ใช่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส”
จี๋ชิงกลับหันหน้าไปมองกลางทะเลสาบแล้ว คล้ายมีคนยืนอยู่ท่ามกลางน้ำมรกต ถือร่มใบบัวหลายคัน ริ้วน้ำกระเพื่อมไหว ใบบัวแผ่ขยาย กลิ่นหอมสดชื่นรวยริน ทำให้จิตใจคนปลอดโปร่งโล่งสบาย บางครั้งยังมียวนยางคู่เล่นน้ำอยู่ด้วยกันลอดผ่านไปตามใบบัว ใบบัวสีเขียวเข้มราวมวยผม ดอกบัวดั่งสาวงามประทินโฉม ใบบัวขยับไหวโดยไร้ลม ไม่ใช่ปลาว่ายน้ำก็ต้องเป็นนกยวนยาง
จี๋ชิงเริ่มคิดถึงพี่หญิงฉางมิ่งขึ้นมาบ้างแล้ว หากมีโอกาสได้พบเจอกันอีกครั้งนางจะต้องถามใต้เท้าอิ่นกวานที่เห็นแล้วเงินตาโตผู้นั้นสักหน่อยว่า จำได้หรือไม่ว่าครานั้นที่ได้พบกันครั้งแรก แรกเริ่มที่อิ่นกวานหนุ่มมองพวกนางได้วางตัวอยู่ในกฎในระเบียบอย่างมาก ภายหลังพอรู้รากฐานของพวกนางกลับยิ้มอย่างสนิทสนมทันทีทันใด ความใกล้ชิดในสายตานั้น จะซ่อนอย่างไรก็ซ่อนไม่อยู่ บุรุษผู้หนึ่งในสายตาคล้ายไม่เคยมีสาวงาม กลับมีแต่เงินอย่างเดียวเท่านั้น
พอเด็กสาวคิดเรื่องพวกนี้อารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อย นางจึงทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มพลางดึงใบบัวเขียวเล่น
ตู้ซานอินยิ้มกล่าว “แม่นางจี๋ชิง หากชอบใบบัวพวกนี้ วันหน้าข้าจะบอกกับเจ้านครโจวสักคำ ให้เจ้าได้เก็บไปให้เต็มตะกร้าไม้ไผ่”
จี๋ชิงหันหลังให้ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้น นางเหลือกตามองบนอย่างซุกซน คร้านจะเอ่ยอะไรให้มากความ เงินใต้หล้านี้ไม่ได้หากันเช่นนี้ มองดูเหมือนเก็บมาได้เปล่าๆ ได้ใบบัวเต็มหนึ่งตะกร้ามานั่นก็คือความสัมพันธ์ควันธูปบนภูเขาแล้ว นั่นไม่ใช่เงินหรอกหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าและโจวเหม่ยหลางผู้นั้นก็ไม่ได้สนิทสนมกันจนถึงขั้นนี้จริงๆ เสียหน่อย
ตู้ซานอินก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ใบบัวหนึ่งตะกร้าเท่านั้น ไม่มีค่าพอให้ต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจอะไร ส่วนใหญ่แล้วเขาคิดเรื่องใหญ่อย่างการฝึกตนของตัวเองมากกว่า
จะฝึกกระบี่อย่างไรให้ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วยิ่งกว่าเดิม ควรจะเพิ่มระดับขั้นของกระบี่บินอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะกลายมาเป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ในอนาคต
วันหน้าเมื่อออกไปจากข้างกายของอาจารย์ เดินทางไกลท่องเที่ยวไปคนเดียว อะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นจะสามารถพาจี๋ชิงไปอยู่ข้างกายได้หรือไม่ ต้องไปเยือนทักษินายทวีปสักรอบหนึ่งก่อน เพื่อไปเยี่ยมเยือนเซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉีถิงจี้และลู่จือหรือเปล่า…เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนต้องให้เขาใคร่ครวญให้ดีตั้งแต่ตอนนี้ เขาไม่ใช่โยวอวี้ที่มึนๆ งงๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เขาหวังว่าผ่านไปอีกสักไม่กี่สิบปีหรือร้อยปี เมื่อได้กลับมาพบเจอกับโยวอวี้คนรุ่นเดียวกันผู้นั้นอีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายก็จะกลายเป็นหนึ่งฟ้าหนึ่งดินไปแล้ว
สิงกวานผู้เป็นอาจารย์ไม่ชอบพูดคุย ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้ต่อให้ตู้ซานอินจะอยู่ร่วมกับอีกฝ่ายตลอดเวลาก็ยังได้รู้แค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้น ไม่ถือว่าเข้าใจอะไรอาจารย์มากนัก แซ่อะไรชื่ออะไร เรียนกระบี่อย่างไรกลายเป็นเซียนกระบี่ได้อย่างไร แล้วได้มาเป็นสิงกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไร ล้วนเป็นปริศนาทุกเรื่อง
อาจารย์ชอบดื่มเหล้า ดังนั้นตอนอยู่ในคุกถึงได้ฉายาว่าผีขี้เหล้า แต่หลังจากที่อาจารย์ได้กลับมายังใต้หล้าไพศาลก็มีน้อยครั้งนักที่จะดื่มเหล้า นอกจากนี้หลังจากที่ตนกราบอาจารย์แล้ว อาจารย์ก็ไม่มีข้อเรียกร้องอะไร มีแค่อย่างเดียว ในอนาคตรอให้เขาตู้ซานอินเรียนวิชากระบี่สำเร็จแล้ว ออกไปท่องเที่ยวในไพศาล ได้เจอกับโจรเด็ดบุปผาคนหนึ่งก็สังหารคนหนึ่ง เรื่องสุดท้าย ดูเหมือนว่าอาจารย์ที่รับหน้าที่เป็นสิงกวานจะไม่มีความรู้สึกที่ดีอะไรต่อคนที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลทุกคนในใต้หล้า ดังนั้นปีนั้นที่อยู่กับอิ่นกวาน อันที่จริงอาจารย์จึงไม่เคยทำสีหน้าดีๆ อะไรให้เห็น
ทางฝั่งของศาลา ปัญญาชนวัยกลางคนโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งทำให้ตู้ซานอินไม่ได้ยินอะไรอีกแม้แต่ครึ่งคำ จากนั้นก็ยิ้มถามว่า “ลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของเจ้า หรือว่าตอนอยู่บ้านเกิดก็เคยมีความแค้นกับเฉินผิงอันอยู่ก่อนแล้ว? ไม่อย่างนั้นทั้งๆ ที่ดูเป็นคนฉลาดหัวไว ทุกวันเอาแต่คิดโน่นคิดนี่ เหตุใดถึงแสร้งทำเป็นตาบอดกับเรื่องนี้? คล้ายกับว่านึกอยากจะมอบจิตสังหารหลายๆ ส่วนให้เจ้าตำหนักอู๋เสียเต็มแก่?”
สิงกวานส่ายหน้า “เขากับเฉินผิงอันไม่ได้มีความแค้นอะไร คงเป็นเพราะต่างคนต่างไม่ชอบขี้หน้ากันกระมัง”
ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มเอ่ย “หากจะคิดจริงจังกันขึ้นมา ไม่พูดถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่และนครบินทะยาน ลำพังแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างและมนุษย์ธรรมดาส่วนเกินมากมายขนาดนั้นที่สามารถรักษาชีวิตรอดมาได้เพราะสายของอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อน ก็พูดได้แค่ว่าการที่เขาได้กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้า สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังต้องขอบคุณอิ่นกวานคนนั้นถึงจะถูก เหตุใดพอเฉินผิงอันเจอกับเจ้าตำหนักอู๋ขอบเขตสิบสี่ที่มาเอาเรื่อง เจ้าเด็กรุ่นหลังผู้นี้กลับดูมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นนัก?”
ตามการอนุมานอย่างละเอียดรอบคอบของเรือข้ามฟากลำนี้ ท่ามกลางสงครามครั้งนั้น แม้ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะทำสงครามนานหลายปี แต่ก็เพราะการวางแผนกลยุทธ์การจัดขบวนรบของคฤหาสน์หลบร้อน ถึงได้มีคนรอดชีวิตเพิ่มมาอีกถึงหนึ่งหมื่นแปดพันคน
นี่หมายความว่านครบินทะยานไปถึงใต้หล้าแห่งที่ห้าจึงมีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มใหญ่เพิ่มขึ้นมา ต่อให้แต่ละคนต่างก็ขอบเขตไม่สูง แต่กลับช่วยให้นครบินทะยานสร้างภาพบรรยากาศที่มีโชคชะตากระบี่จำนวนมากกว่าเดิมมารวมตัวกันได้ อีกทั้งการผลิดอกออกผลของเมล็ดพันธ์บนวิถีกระบี่ทุกเมล็ด บางทีอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตอาจไม่สะดุดตานัก ก็หนีไม่พ้นว่าจะตายช้าหรือตายเร็วบนสนามรบเท่านั้น ทว่าพอไปอยู่ใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งนั้นกลับส่งอิทธิพลลึกล้ำยาวไกลเกินกว่าที่จะประมาณการณ์ได้
สิงกวานเอ่ย “ไม่รู้เหมือนกัน คร้านจะคิดให้ละเอียด”
ปัญญาชนวัยกลางคนหลุดหัวเราะพรืด “รับลูกศิษย์ที่เป็นเช่นนี้มา เจ้าไม่กลุ้มใจบ้างเลยหรือ? แต่คนที่เป็นอาจารย์ได้อย่างเจ้าก็มีน้อยเหมือนกัน”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นเรียกอู๋ซวงเจี้ยงคำแล้วคำเล่าไม่ขาดปาก ทางฝั่งของปัญญาชนวัยกลางคนผู้นี้จึงต้องช่วยเขาเก็บกวาดเรื่องเละเทะ กลางฝ่ามือมีตัวอักษรสีทองหลายตัวมารวมกัน ประหนึ่งนกกระจอกตัวเล็กๆ หลายตัวที่อยู่ในกรงขัง ไม่อาจกระพือปีกบินออกไปข้างนอกได้
“เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโยนมาให้ ไม่รับไว้ไม่ได้”
สิงกวานเอ่ย “ข้าแค่รับผิดชอบคอยถ่ายทอดวิชากระบี่ให้ตู้ซานอิน รอให้เขากลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ เขาก็จะต้องออกจากบ้านไปหาประสบการณ์เอาเอง วันหน้าจะเป็นหรือตาย สุดท้ายจะเดินไปได้ถึงตำแหน่งไหน ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ”
ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มถาม “หากทุกครั้งที่พบเจออันตรายก็จะต้องยกอาจารย์อย่างเจ้าออกมาเล่า?”
สิงกวานเอ่ยอย่างเฉยเมย “ก็ปล่อยเขาไป ในเมื่อสามารถรับข้าเป็นอาจารย์ได้ ไม่ว่าจะด้วยโชคช่วยหรือเพราะผลกรรมชักนำ ก็ล้วนถือว่าเป็นความสามารถของตู้ซานอิน”
ปัญญาชนวัยกลางคนพยักหน้า เป็นเหตุผลเช่นนี้จริงๆ
สิงกวานเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนอย่างที่หาได้ยาก เขาถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญข้อหนึ่งกับอาจารย์จางท่านนี้ “เหตุใดครั้งนี้เขาขึ้นเรือมาถึงสำรวมตนกับเจ้าเช่นนี้ ทว่าพอเจอเฉินผิงอันกลับใช้อำนาจบาตรใหญ่ถึงเพียงนั้น? ราวกับว่าเดินทางไกลครั้งนี้ไม่ได้เพียงแค่เพื่อจับจิตมารตนนั้นกลับไปเท่านั้น กลับเหมือนว่าต้องการถามมรรคากับเฉินผิงอันมากกว่า? ไม่อย่างนั้นด้วยสถานะที่สำคัญสองอย่างอย่างอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ และลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง เขาก็ไม่ควรจะใช้อำนาจรังแกคนอื่นเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ยอมคุย กลายเป็นว่ามาถึงก็จะลงมือโดยตรงเลย”
ปัญญาชนวัยกลางคนเอนตัวพิงราวระเบียง หันหน้าไปมองใบบัวที่อยู่ในทะเลสาบพวกนั้น “เหตุผลที่แท้จริงยากจะอธิบายได้กระจ่าง ไม่ต้องเปลืองความคิดไปคาดเดา เพราะมีแต่จะเป็นการกระทำที่เปลืองแรงเปล่าเท่านั้น ตอนนี้มีเพียงเส้นสายหนึ่งที่ค่อนข้างพร่าเลือน คู่รักจิตมารของเจ้าตำหนักอู๋ ในอดีตได้ฉวยโอกาสตอนที่เขาปิดด่านพยายามจะฝ่าทะลุขอบเขตแอบหนีออกมาจากตำหนักสุ้ยฉู ติดตามนักพรตคนนั้นของอารามเสวียนตูใหญ่ออกไปจากใต้หล้ามืดสลัวด้วยกัน เป็นเหตุให้เขาฝ่าทะลุขอบเขตไม่สำเร็จ ส่วนเฉินผิงอันที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปก็น่าจะเพราะได้ท่องเที่ยวไปในพื้นที่ซากปรักพร้อมกับนักพรตซุน ไม่รู้ว่าได้รับการสืบทอดจากระบบเต๋าที่เป็นความลับส่วนนั้นไปใต้เปลือกตาของนักพรตซุนได้อย่างไร ในวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ หนึ่งในนั้นจึงมีเทวรูปตนหนึ่งที่มีรูปลักษณ์เป็นนักพรต ข้าสามารถไล่ตามเส้นเบาะแสไปมองเห็นภาพนี้และมรรคกถาของเขาได้ แน่นอนว่าเขาก็ย่อมมองออกได้ไม่ยาก ในเมื่อนักพรตผู้นั้นได้จากไปแล้ว คิดจะแก้แค้นจึงเป็นเรื่องเพ้อฝัน ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเอาเฉินผิงอันมาเป็นตัวแทนกระมัง หรือไม่ก็เขาคิดจะอนุมานวางแผนเพื่อให้เกิดการวิวัฒนาการณ์บนมหามรรคาที่น่าตะลึงพรึงเพริดครั้งหนึ่ง หลังจากดึงเอาเมล็ดพันธ์เต๋าเมล็ดนั้นออกมาจากหัวใจของเฉินผิงอันได้แล้วก็จะเป็นจุดเริ่มต้นบนมหามรรคาที่ลี้ลับมหัศจรรย์ครั้งหนึ่ง”
ปัญญาชนวัยกลางคนประกบสองนิ้วคีบน้ำหยดหนึ่งออกมาจากทะเลสาบ จากนั้นก็โยนไปบนใบบัวที่ลาดเอียงใบหนึ่ง หยดน้ำกลิ้งตกหล่นลงน้ำไปอีกครั้ง ปัญญาชนวัยกลางคนมองขั้นตอนเล็กละเอียดที่หยดน้ำหยดนั้นไหลลงน้ำ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นหากเปลี่ยนเฉินผิงอันเป็นคนอื่น มาเจอกับเขาก็ไม่มีทางเจอกับหายนะเช่นนี้ แน่นอนว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ข้างกายก็ย่อมไม่มีมารฟ้า (เทวบุตรมาร) ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งติดตามมาด้วย? จะทำเรื่องนี้ได้สำเร็จจริงหรือ?”
ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มอย่างรู้ทัน พูดเปิดโปงความลับสวรรค์ด้วยประโยคเดียวว่า “เจ้าคงไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลู่เฉินไม่เลว เล่าลือกันว่าเขายังแลกเปลี่ยนยันต์ไท่เสวียนชิงเซิงแผ่นหนึ่งที่มรรคาจารย์เต๋าสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองโดยทำตามกฎเก่าบางอย่าง และรวมถึงเงินอีกเจ็ดล้านสองแสนมาจากมือของป๋ายกู่เจินเหรินคนนั้นด้วย ส่วนข้อที่ว่าจะเอายันต์แผ่นนี้มาใช้บนร่างของคู่รักหรือใช้กับนักพรตที่เคยคิดจะ ‘บุกเบิกโฉมหน้าใหม่’ ให้กับอารามเสวียนตูผู้นั้นกันแน่ ตอนนี้ก็มีเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น”
อาจารย์จางท่านนี้ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ช่วยไม่ได้ หลายๆ ครั้งที่ในใจเจ้าและข้าแน่ใจในเส้นสายบางเส้น แต่แท้ที่จริงแล้วมันกลับเป็นทางแยกเส้นหนึ่งที่ทำให้คนเดินไปโดยไม่หันหลังกลับ”
ปัญญาชนวัยกลางคนชำเลืองตามองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่อยู่บนเส้นทางคนนั้น มองอย่างตั้งใจ ความคิดใดๆ ก็ตามที่ผุดขึ้นมา หรือเส้นสายหัวใจแต่ละเส้นของตู้ซานอิน คล้ายตัวอักษรแถวหนึ่งที่ร้อยเรียงต่อกัน พอถูกอาจารย์จางท่านนี้ไล่มองอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยำเกรงผู้แข็งแกร่ง ไม่เคยรังแกคนอ่อนแอ”
สิงกวานเอ่ย “ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มกล่าว “ไม่เกี่ยวจริงๆ หรือ? โลกมนุษย์มีที่ใดบ้างที่ไม่ใช่พื้นที่มงคลบ้านเกิดเจ้า?”
สิงกวานได้ยินประโยคนี้ก็เงียบไป สีหน้ายิ่งเฉยเมยมากกว่าเดิม
ปัญญาชนวัยกลางคนพลันหัวเราะดังลั่น “สิงกวานคนปัจจุบันอย่างเจ้า อันที่จริงยังสู้สิงกวานคนก่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ เจี่ยเซิงแห่งไพศาลในอดีต ก่อนที่จะกลายเป็นโจวมี่มหาสมุทรความรู้ จะดีจะชั่วก็ยังทิ้งนครกุยจวี้แห่งหนึ่งที่ตั้งใจสร้างด้วยความหวังดีเอาไว้ในโลกมนุษย์”
มองอาจารย์จางที่อายุไม่มากตบเข่าเบาๆ พลางเอ่ยเนิบช้า
หากป๋ายเหย่ไม่ได้เป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง แต่ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง
หากเฉินชิงตูไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมา เพียงแค่ทำอะไรด้วยอารมณ์ห้าวหาญ เพียงแค่เพื่อตัวเอง ออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง ถามกระบี่ต่อใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
หากเฒ่าตาบอดของภูเขาใหญ่แสนลี้และเจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่แห่งอารามกวานเต๋า ขอบเขตสิบสี่ที่มีประสบการณ์โชกโชนมากที่สุดสองท่านต่างก็ยินดีที่จะออกจากภูเขามาเพื่อไพศาล
หากอวี๋โต้วไม่เคยพกกระบี่เดินทางไกลไปยังอารามเสวียนตูใหญ่ ไม่เคยสังหารนักพรตเต๋าผู้นั้น
หากป๋ายเหย่ไม่เคยพกกระบี่เดินทางไปยังฝูเหยาทวีป ไม่ได้ทำลายกระบี่เซียนไท่ป๋ายเล่มนั้นทิ้ง แต่มอบมันกลับคืนสู่เจ้าของเดิม สุดท้ายถูกซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ถือไว้ในมือ จากนั้นถามกระบี่ต่อป๋ายอวี้จิง
หากกำแพงเมืองปราณกระบี่เลือกจะเป็นพวกเดียวกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หรือถอยมาอีกหนึ่งก้าว เลือกที่จะเป็นกลาง ไม่ช่วยเหลือใครทั้งนั้น เลือกที่จะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ
หากซิ่วหู่ชุยฉานร่วมมือกับศิษย์น้องฉีจิ้งชุนขัดขวางเส้นทางการจากไปของหอบินทะยานแห่งที่สอง อย่างน้อยที่สุดใต้หล้าไพศาลก็เสียขุนเขาสายน้ำของหนึ่งหรือสองทวีปไป ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนพื้นดินปริแตกภูเขาพังถล่มราบ แผ่นดินจมดิ่ง ซากศพกองเกลื่อนพื้นอย่างแท้จริง จากนั้นค่อยให้ผู้สวมเกราะคนหนึ่งเลือกใช้ร่างผสานมรรคาอย่างไม่เสียดาย ย้ายที่ตั้งเก่าของสรวงสวรรค์ ข้ามผ่านธารดวงดาวอันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วพุ่งกระแทกเข้าชนกับใต้หล้าไพศาลนับแต่บัดนั้น หลี่เซิ่งถูกบีบให้ดึงโชควาสนาของฟ้าดินมาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้า ต่อสู้จนร่างดับมรรคาสลาย สกัดขวางเรื่องนี้ไว้ได้เกินครึ่ง ผลลัพธ์กลับยังคงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากที่กลับได้คืนสู่ตำแหน่งอย่างแท้จริง สถานการณ์วุ่นวายหอบใต้หล้าสี่แห่งมารวมกัน แทบจะเท่ากับว่ากลับคืนไปสู่ภาพบรรยากาศฟ้าดินวุ่นวายอลหม่านอย่างเมื่อหมื่นปีก่อนอีกครั้ง ป๋ายอวี้จิงสั่นคลอน ดินแดนพุทธะสั่นสะเทือน เทวบุตรมารออกอาละวาดอย่างกำเริบเสิบสาน ภูตผีก่อกรรมทำเข็ญไปทั่ว โลกมนุษย์ไม่หลงเหลืออีกต่อไป
ปัญญาชนวัยกลางคนถอนหายใจ “ด่านทางใจที่ผ่านไปได้ยากที่สุดของบัณฑิต คืออะไร?”
สิงกวานเอ่ย “คนแก่ในชนบท คนเร่ร่อนพเนจรจากทั่วสารทิศ”
ปัญญาชนวัยกลางคนด่าขำๆ “ที่แท้เจ้าแม่งก็รู้เหมือนกันหรือ?!”
ดั่งที่พักแรมในชีวิต เรือลำน้อยจอดพักในค่ำคืนเหน็บหนาว ลมพัดเป่าขนขาวของต้นกกต้นอ้อให้ปลิวปราย ถึงอย่างไรดอกต้นกกต้นอ้อก็มีอยู่ทุกปี คืนหนึ่งพัดหล่นหายนับพันนับหมื่น จะนับเป็นผายลมอะไรได้
สิงกวานพยักหน้า “เคยรู้”
——